บุญกิริยาวัตถุ

คนทั้งหลายที่เกิดเป็นมนุษย์นั้นนับเป็นความดียิ่ง บางคนรํ่ารวย บาง คนได้เป็นใหญ่ บางคนได้เป็นเจ้า เป็นพระยาจักรพรรดิราช เหตุที่เป็นเช่นนี้ เป็นเพราะเคยทำบุญไว้อย่างไร เคยบำเพ็ญศีลบำเพ็ญทานไว้อย่างไร

บุญในกามภูมิมีทั้งหมด ๑๗,๒๘๐ ประการ บุญเหล่านั้น คืออะไรบ้าง คือ บุญจำพวกแรกมีแปดประการ (มหากุศล ๘) ได้แก่ ประการแรก คือการรู้จักบุญและบาป ทำบุญบุญกิริยาวัตถุด้วยความยินดี ประการที่สอง คือการรู้จักบุญและบาป แต่ไม่ทำบุญ เมื่อมีคนมาชักชวนก็เกิดความยินดีจึงทำบุญ ประการที่สามคือการไม่รู้จักบุญและไม่รู้จักบาป ไม่มีความยินดีในการทำบาปแต่ยินดีในการทำบุญ ประการที่สี่ คือการไม่รู้จักบุญและไม่รู้จักบาป เมื่อมีผู้ชักชวนให้ทำบุญ ก็เกิดความละอายต่อคำชักชวนจึงทำบุญ ประการที่ห้า คือการรู้จักบุญและบาป และทำบุญด้วยความรู้สึกนึกคิดของตนเอง ประการที่หก คือการรู้จักบุญและบาป ไม่ปรารถนาทำบุญด้วยตนเอง เมื่อมีคนมาชักชวนจึงทำบุญ ประการที่เจ็ด คือการไม่รู้จักบุญและบาป ไม่ยินดีในการทำบาป แต่ได้ทำบุญด้วย ความรู้สึกนึกคิดของตนเอง ประการที่แปด คือการไม่รู้จักบุญและบาป ไม่ยินดีในการทำบุญ เมื่อเห็นผู้อื่นทำบุญก็ทำตาม

บุญอีกจำพวกหนึ่ง มีสิบประการ (บุญกิริยาวัตถุ ๑๐) ได้แก่อะไรบ้าง ประการแรกคือ การให้ทาน เป็นต้นว่าให้ข้าวนํ้า หมากพลู ประการที่สอง คือ การรักษาศีล ทั้งศีลห้า ศีลแปด และศีลสิบ ประการที่สาม คือ การภาวนา เป็นต้นว่าสวดมนต์ สวดพระพุทธคุณ (พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ) และระลึกถึงพระคุณของบิดามารดา ผู้หลักผู้ใหญ่และผู้มีบุญคุณแก่ตน คำนึงถึงความไม่เที่ยงแท้ของสังขาร ประการที่สี่ คือ อุทิศส่วนบุญที่ได้บำเพ็ญแด่เทพยดา มนุษย์และสัตว์ที่มีคุณแก่ตน ประการที่ห้า คือการอนุโมทนาหรือยินดีด้วยทาน ที่ผู้อื่นกระทำ และมีใจยินดีศรัทธาต่อทานนั้นด้วย ประการที่หก คือการปรนนิปติรับใช้บิดามารดา ครูอาจารย์ เช่น การรักษาความสะอาดด้วยการ ปัดกวาดปราบดินบริเวณที่ประดิษฐานพระพุทธรูป สถูป เจดีย์ พระศรีมหาโพธิ์ ประการที่เจ็ด คือการเคารพยำเกรงบิดามารดา ผู้ทรงอาวุโส ครู อาจารย์ ไม่ประมาทล่วงเกินท่าน ประการที่แปด คือการเทศนาสั่งสอนบุคคลอื่น ประการที่เก้า คือการหมั่นฟังพระธรรมเทศนา หากยังสงสัยไม่เข้าใจให้หมั่นถามผู้รู้ ประการที่สิบ คือมีความเห็นถูกต้องตามทำนองคลองธรรม เชื่อถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ บิดามารดา ครู อาจารย์ ผู้หลักผู้ใหญ่ ผู้เคยอุปการะเลี้ยงดูตนด้วยความสุจริตใจ

บุญสิบประการ (บุญกิริยาวัตถุ ๑๐) ดังกล่าวแล้วนี้ ประกอบด้วย อารมณ์หกอย่างอันเป็นเหตุให้ทำบุญ ได้แก่ หนึ่ง คือการเห็นรูปด้วยตา ก่อให้เกิดเป็นอารมณ์แล้วจึงทำบุญ สอง คือการได้ยินเสียงไพเราะด้วยหู สาม คือ การได้กลิ่นอันหอมด้วยจมูก สี่ คือ การได้รับประทานอาหารสะอาดรู้รส อันโอชาด้วยลิ้น ห้า คือ การได้รับสิ่งสัมผัสที่ดีด้วยกาย หก คือ การคิดคำนึง ในทางที่ชอบธรรม

อารมณ์หกอย่างดังกล่าวแล้วนี้ มีบุญเป็นหลักใหญ่ เป็นเหตุจูงใจให้ ทำบุญอันยิ่งใหญ่ (อธิบดี ๔) ซึ่งแบ่งเป็นสี่ประการ คือ หนึ่ง มีความพอใจ เที่ยงตรงตั้งมั่นแล้วจึงทำบุญ สอง มีความพยายามขวนขวายในบุญ สาม มีความเอาใจใส่ไม่หวั่นไหวในบุญ สี่ มีความพินิจพิจารณาในบุญ

การทำบุญอันยิ่งใหญ่สี่ประการดังกล่าวแล้วนี้ แต่ละอย่างเกิดจากการ กระทำ ๓ ทางซึ่งได้แก่ หนึ่ง การกระทำทางกาย (กายกรรม) สอง การกระทำ ทางวาจา (วจีกรรม) สาม การกระทำทางใจ (มโนกรรม)

การกระทำทั้งสามทางดังกล่าวแล้วนี้ ประกอบด้วยการทำบุญด้วย ความตั้งใจจริงสามประการ ได้แก่ อย่างตํ่า อย่างกลาง และอย่างแรงกล้า ภายในใจได้ตั้งเจตนาปรารถนาจะเกิดในกามภูมิได้บุญ ๑๗,๒๘๐ ประการ

บุญ ๑๗,๒๘๐ ได้จากการนำมหากุศล ๘ ตั้ง คูณด้วย บุญกิริยาวัตถุ ๑๐ คูณด้วยอารมณ์ ๖ คูณด้วยอธิบดี ๔ คูณด้วยกรรม ๓ คือ กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม คูณด้วยความตั้งใจจริง ๓ ประการ ก็จะได้ผลลัพธ์ ๑๗,๒๘๐

มีเจตสิกเป็นเพื่อนจิต มาสนับสนุนให้จิตกระทำบุญ ๓๘ จำพวก คือ ๑. ให้เกิดความต้องใจ ๒. ให้เกิดเสวยคือให้ฟังและให้ดู ๓. ให้รู้ ๔. ให้คิด ๕. ให้มั่นคงในบุญ ๖. ให้รักษาเจตสิกอื่นๆ ไว้ ๗. ให้ผูกสัมพันธ์เจตสิกอื่นๆ ไว้ด้วยกันอย่างมั่นคง ๘. ให้คิดถึงบุญ ๙. ให้พิจารณาบุญ ๑๐. ให้ตัดสินใจทำบุญ ๑๑. ให้พยายามทำบุญ ๑๒. ให้ชื่นชมในการทำบุญ ๑๓. ให้พอใจทำบุญ ๑๔. ให้ศรัทธาในการทำบุญ ๑๕. มิให้ลืมการทำบุญ ๑๖. ให้ละอายต่อบาปและทำบุญ ๑๗. ให้กลัวบาปและทำบุญ ๑๘. มิให้มีโลภซึ่งเป็นอุปสรรค ขัดขวางการทำบุญ ๑๙. มิให้มีความโกรธเกลียดซึ่งเป็นเหตุทำลายบุญ ๒๐. ให้มีใจเป็นกลาง ๒๑. ทำกายให้สงบในการทำบุญ ๒๒. ทำใจให้สงบในการทำบุญ ๒๓. ให้กายรีบเร่งในการทำบุญ ๒๔. ใจรีบเร่งในการทำบุญ ๒๕. ทำกายให้อ่อนโยนคล้อยตามการทำบุญ ๒๖. ทำใจให้อ่อนโยนคล้อยตามการทำบุญ ๒๗. ทำกายให้เหมาะสมกับการทำบุญ ๒๘. ทำใจให้เหมาะสมกับการทำบุญ ๒๙. ทำกายให้คล่องแคล่วต่อบุญ ๓๐. ทำใจให้ว่องไวต่อบุญ ๓๑. ทำกายให้ซื่อตรงต่อบุญ ๓๒. ทำใจให้ซื่อตรงต่อบุญ ๓๓. กล่าวถ้อยคำด้วยความซื่อตรง ๓๔. ให้ประพฤติปฏิบัติในสิ่งที่ไม่เป็นโทษ ๓๕. ให้ (แสวงหาหรือ) รับประทานอาหารที่ไม่เป็นโทษ ๓๖. ให้มีใจเมตตาต่อสัตว์ทั้งหลาย ๓๗. ให้มีใจกรุณาต่อสัตว์ทั้งหลาย ๓๘. ให้มีความฉลาด

เจตสิก ๓๘ ประการดังกล่าวแล้วนี้ เป็นเพื่อนจิต ให้ทำบุญและบุญนั้น เป็นสิ่งที่ปฏิบัติไม่เพียงแต่ในเมืองมนุษย์นี้เท่านั้น แต่บรรดาเทพยดาสถิตในสวรรค์ชั้นฉกามาพจรภูมิก็ปฏิบัติด้วยเช่นกัน และบุญนั้นมีผลส่งให้ได้เป็นพระอินทร์ในแดนสวรรค์ คือได้ให้สมบัติอันประเสริฐ (ได้แก่ มนุษยสมบัติ สวรรคสมบัติ) ในกามโลก แต่ยังไม่อาจให้สมบัติในพรหมโลกได้ บุญกุศลของบรรดาพรหมจะกล่าวถึงในโอกาต่อไป ส่วนที่กล่าวมาแล้วนี้ เป็นเพียงบุญกุศลของผู้เกิดในกามาพจรเท่านั้น

คณะทำงานโครงการวรรณกรรมอาเซียน

โชติกเศรษฐี

ครั้งนั้นยังมีเศรษฐีคนหนึ่ง มีนามว่าโชติกเศรษฐี อาศัยอยู่ในเมืองราชคฤห์ เขามีปราสาทสูง ๗ ชั้น ประดับตกแต่งด้วยแก้ว ๗ ประการ พื้นภายในบ้านเป็นแก้วผลึกอันสุกใสแวววาวงดงามยิ่ง เหมือนหน้าแว่นที่ขัด ๑,๐๐๐ ครั้ง บ้านนั้นล้อมรอบด้วยกำแพงแก้ว ๗ ชั้น ทำด้วยแก้ว โชติกเศรษฐี๗ ประการ ในระหว่างกำแพงนั้นมีต้นกัลปพฤกษ์เรียงรายเป็นแถวจรดถึงมุมปราสาททั้ง ๔ มุม และมีขุมทองอยู่มุมละ ๑ ขุม ซึ่งกว้าง ๘,๐๐๐ วา ๖,๐๐๐ วา ๔,๐๐๐ วา และ ๒,๐๐๐ วา ตามลำดับ ทั้ง ๔ ขุมนั้นลึก ๒๔๐,๐๐๐ โยชน์ ทุกขุมเต็มไปด้วยกองเงิน กองทองและกองแก้ว ๗ ประการ จนล้นปากขุมขึ้นมาเหมือนกองลูกตาลไว้ แม้จะตักสักเท่าใดก็ไม่มีวันพร่อง แก้วแหวนเงินทองที่อยู่ภายใต้ก็จะเกิดพอกพูน จนเต็มขุมดังเดิม เหมือนนํ้าไหลซึมออกมา ในมุมปราสาททั้ง ๔ มุมนั้น มีลำอ้อยทองลำใหญ่เท่าลำตาลขนาดใหญ่ ประจำอยู่มุมละ ๑ ลำ เป็นแก้วมณีทองคำล้วน ที่ปากทางเข้าออกประตูกำแพงทั้ง ๗ ชั้น มียักษ์ใหญ่ ๗ ตน พร้อมด้วยบริวารเฝ้าอยู่ที่ปากประตูชั้นนอกมียักษ์ชื่อยมโกลิพร้อมด้วยบริวาร ๑,๐๐๐ ตนเฝ้าอยู่ ที่ปากประตูถัดเข้าไปชั้นที่ ๒ มียักษ์อุปละพร้อมด้วยบริวาร ๒,๐๐๐ ตนเฝ้าอยู่ ที่ปากประตูชั้นที่ ๓ มียักษ์ทมิฬพร้อมด้วยบริวาร ๓,๐๐๐ ตนเฝ้าอยู่ ที่ปากประตูชั้นที่ ๔ มียักษ์วชิรวามะ พร้อมด้วยบริวาร ๔,๐๐๐ ตนเฝ้าอยู่ ที่ปากประตูชั้นที่ ๕ มียักษ์สกนะ พร้อมด้วยบริวาร ๕,๐๐๐ ตนเฝ้าอยู่ ที่ปากประตู ชั้นที่ ๖ มียักษ์กตารตะ พร้อมด้วยบริวาร ๖,๐๐๐ ตนเฝ้าอยู่ ที่ปากประตูกำแพง แก้วชั้นที่ ๗ มียักษ์ทิศาปาโมกข์ พร้อมด้วยบริวาร ๗,๐๐๐ ตนเฝ้าอยู่

สมบัติของโชติกเศรษฐีนั้นมีมากมายเหลือคณนา ชนทั้งหลายจึงนำ เรื่องของเขาขึ้นกราบบังคมทูลพระเจ้าพิมพิสารราชาผู้ครองนคร
ราชคฤห์ให้ทรงทราบ พระเจ้าพิมพิสารจึงทรงพระกรุณาให้นำเศวตฉัตรมาพระราชทานแก่โชติกเศรษฐี แล้วทรงสถาปนาให้เป็นเศรษฐีในเมืองราชคฤห์นั้น ภรรยาของโชติกเศรษฐีเป็นนางแก้วมาจากอุตตรกุรุทวีป นางได้นำหม้อข้าวหม้อแกงมาด้วยลูกหนึ่ง พร้อมด้วยก้อนเส้าเท่าลูกฟักมาด้วย ๓ ก้อน ก้อนเส้านี้ชื่อโชติปาสาณ และนำข้าวสารมาด้วย ๓ ทะนาน ข้าวสารพันธุ์ข้าวสาลี (สัญชาติสาลี) ๒ ทะนาน ข้าวนั้นมีกลิ่นหอมและรสอร่อยยิ่งนัก ข้าวสาร ๒ ทะนานหุงให้ โชติกเศรษฐีรับประทานได้ตลอดชั่วชีวิตก็ไม่มีวันหมดสิ้น เมื่อนำเอาข้าวสารมาใส่หม้อข้าวสารก็เต็มทะนานขึ้นมาเหมือนเดิมไม่หมดสิ้นไป หากจะตักออก ใส่เกวียนให้เต็ม ๑,๐๐๐ เล่มเกวียน ข้าวสาร ๒ ทะนานก็ไม่พร่อง ยังเต็มอยู่เหมือนเดิม เมื่อจะหุงข้าว นำข้าวสาร ๒ ทะนานใส่ลงในหม้อแก้วแล้วยกขึ้นตั้งบนก้อนเส้าแก้วโชติปาสาณ ชั่งเวลาไม่นาน ไฟจะลุกขึ้นที่ก้อนเส้าแก้วเอง เมื่อข้าวสุกไฟก็จะดับไปเองเช่นกัน เมื่อจะต้มแกงหรือทำขนมข้าวต้มของกินอย่างอื่นก็ทำเช่นเดียวกัน

บรรดาสิ่งของภายในปราสาทและบ้านเรือนของเศรษฐีรุ่งเรืองไปด้วย รัศมีแก้ว โดยไม่ต้องตามประทีปโคมไฟและจุดเทียน ความมั่งมีของโชติกเศรษฐีนี้เลื่องลือไปทั่วชมพูทวีป มหาชนทั้งหลายต่างพากันขึ้นยานคานหามมาดูสมบัติของโชติกเศรษฐี โชติกเศรษฐีจึงให้หุงข้าว ๒ ทะนานที่ภรรยานำมาจากอุตตรกุรุทวีปนั้น เลี้ยงดูผู้คนที่มาดูและเยี่ยมเยียนทั่วถึงทุกคน ให้นำเอาเครื่องถนิมพิมพาภรณ์จากต้นกัลปพฤกษ์มามอบให้ผู้มาดูโดยทั่วถึงทุกคน แล้วจึงเปิดขุมทองกว้าง ๒ วาออกให้ดูพร้อมกับกล่าวว่า ผู้ใดอยากได้แก้วแหวนเงินทองจำนวนเท่าใดจงเก็บเอาได้ตามใจชอบ ผู้คนในชมพูทวีปต่างมาตักเอาโกยเอาแก้วแหวนเงินทองในขุมทองขุมเดียวกันนั้น แก้วแหวนเงินทองก็จะไม่พร่องแม้เพียงฝ่ามือเดียว

ครั้งนั้น พระเจ้าพิมพิสารผู้เสวยราชสมบัติอยู่ในเมืองราชคฤห์ ทรงมีพระประสงค์ใคร่จะทอดพระเนตรสมบัติของโชติกเศรษฐี จึงเสด็จพร้อมด้วยข้าราชบริพาร เมื่อเสด็จถึงปากประตูกำแพงแก้วชั้นนอก ได้ทอดพระเนตรเห็นนางทาสีกำลังปัดกวาดบ้านอยู่ รูปสวยงามมาก นางได้ยื่นมือออกให้พระราชาทรงเหนี่ยวขึ้นที่ปากประตู ความงามของนางทำให้พระราชาทรงเข้าพระทัยว่านางเป็นภรรยาของเศรษฐี ทรงนึกเกรงใจและอาย จึงมิได้ทรงยื่นพระหัตถ์ออกไปจับแขนนางทาสีนั้น

บรรดาสตรีที่บัดกวาดอยู่ที่ปากประตูด้านนี้ พระราชาทรงเห็นงามทุกคน ทรงเข้าพระทัยว่าเป็นภรรยาของโชติกเศรษฐีทุกคน จึงมิทรงแตะต้องทาสีเหล่านั้นแม้แต่คนเดียว ต่อมา โชติกเศรษฐีจึงออกมารับเสด็จพระเจ้าพิมพิสารถึงปากประตูชั้นนอกปราสาท ทูลเชิญให้เสด็จนำหน้า ส่วนตนเดินตามเสด็จ เมื่อพระราชาทรงดำเนินเข้าไปในปราสาท ทอดพระเนตรเห็นพื้นปราสาทประดับด้วยแก้วมณีมีรัศมีรุ่งเรืองตลอดทะลุลงไปเบื้องตํ่า เหมือนหลุมที่ลึกลงไปถึง ๗ ช่วงตัว จึงทรงดำริว่าเศรษฐีนี้ขุดหลุมไว้ล่อให้พระองค์ตกลงไป จึงทรงหยุดยืนคอย ฝ่ายโชติกเศรษฐีเมื่อเห็นพระราชาทรงหยุดยืนเช่นนั้น จึงกราบทูลว่าอันนี้ไม่ใช่หลุมแต่เป็นแก้วมณี ขออัญเชิญพระองค์เสด็จตามมา กราบทูลดังนั้นแล้วเศรษฐีจึงนำเสด็จพระองค์ไป เศรษฐีเหยียบที่ใดพระราชา ทรงเหยียบตามที่นั้น ทรงดำเนินตามเศรษฐีทอดพระเนตรปราสาทตั้งแต่ชั้นล่างจนถึงชั้นบน

ครั้งนั้น พระเจ้าอชาตศัตรูทรงเกาะมือตามเสด็จพระราชบิดา ครั้นได้ทอดพระเนตรเห็นปราสาทงดงาม จึงทรงดำริว่าพระราชบิดาของเรานี้ยังไม่นับว่าเป็นใหญ่จริง เพราะยังประทับอยู่ในปราสาทไม้ แต่เศรษฐีคนนี้กลับได้อยู่ในปราสาทแก้ว ๗ ประการ ถ้าเราได้เป็นพระราชาเมื่อใดจะมายึดเอาปราสาทนี้ไปเป็นของเราให้จงได้

เมื่อพระเจ้าพิมพิสารเสด็จดำเนินทอดพระเนตรไปถึงชั้นสุดท้าย ได้ เวลาเสวยพระกระยาหารเช้าพอดี พระองค์จึงตรัสแก่เศรษฐีว่าฉันจะกินข้าวเช้าที่บ้านท่าน เศรษฐีกราบทูลรับว่ายินดี

เศรษฐีจึงอัญเชิญพระเจ้าพิมพิสารให้ทรงสรงนํ้าอันหอม แล้วอัญเชิญ เสด็จขึ้นประทับนั่งเหนือรัตนบัลลังก์ทองซึ่งตั้งอยู่บนบัลลังก์แก้ว ๗ ประการ อันเป็นบัลลังก์ที่เศรษฐีเคยนั่ง ฝ่ายคนครัวจัดเตรียมอาหารและข้าวกิลินปายาส (ข้าวปายาสอุ่น) ใส่เต็มตะไลมีค่าล้านตำลึง แล้วนำมาตั้งไว้เบื้องพระพักตร์ พระพิมพิสารทรงเข้าพระทัยว่าเป็นข้าวสำหรับเสวยจึงทรงล้างพระหัตถ์เพื่อเตรียมเสวย เศรษฐีเห็นดังนั้นจึงกราบทูลห้ามว่า ข้าวนี้ไม่ใช่พระกระยาหารเป็นข้าวกิลินปายาสที่จัดไว้เพื่อรองตะไลข้าวสำหรับเสวยอีกทีหนึ่ง ป้องกันมิให้ข้าวเย็น ครั้นกราบทูลดังนั้นแล้ว เศรษฐีจึงให้นำข้าวสารสำหรับเสวย ซึ่งหุงด้วยข้าวสารที่นำมาจากอุตตรกุรุทวีปใส่เต็มตะไลทอดอีกลูกหนึ่ง มาตั้งเหนือตะไลข้าวกิลินปายาสนั้น แล้วกราบทูลอัญเชิญพระราชาเสวย พระราชาเสวยแล้วได้รับรส โอชายิ่งนัก ไม่มีอาหารชนิดใดอร่อยเท่า เสวยเท่าใดๆ ก็ไม่ทรงรู้อิ่ม เศรษฐี เห็นดังนั้นจึงกราบทูลห้ามว่า เสวยมากแล้วขอได้โปรดเสวยแต่พอประมาณเถิด ถ้าเสวยมากอาจทำให้ทรงประชวร จะเป็นโทษแก่พระองค์ได้ พระเจ้าพิมพิสารตรัสตอบว่า เศรษฐีคิดเสียดายข้าวที่เรากิน กลัวว่าเราจะกินข้าวท่านหมดเปลืองไปมากหรือ เศรษฐีกราบทูลว่ามิได้คิดเสียดายกลัวจะหมดเปลือง เพราะเพียงข้าวและแกงหม้อเดียว หากรี้พลบ่าวไพร่ข้าไทของพระองค์จะมา รับประทานมากเท่าใด ข้าวและกับก็จะไม่พร่องจากหม้อเลย การที่กราบทูลห้ามไว้เพราะกลัวว่าพระองค์จะเสวยพระกระยาหารมากเกินประมาณ การที่พระองค์เสด็จมาเรือนของข้าพระพุทธเจ้า ถ้าทรงพระเกษมสำราญก็นับว่าเป็นโชคลาภ แต่ถ้าพระองค์ทรงมีอันเป็นไปในเรือนของข้าพระพุทธเจ้า ไพร่ฟ้า ข้าไททั้งหลายจะพากันตำหนิว่า การที่พระองค์ทรงมีอันเป็นไปนั้น สาเหตุมาจากการเสด็จไปบ้านของโชติกเศรษฐี ถูกเศรษฐีประทุษร้าย

พระเจ้าพิมพิสารจึงตรัสตอบว่าดีแล้ว ถ้าเป็นอย่างนั้นเราก็จะกินเพียง เท่านี้ แล้วพระองค์ทรงหยุดเสวยทันที หลังจากนั้นเศรษฐีจึงให้จัดหาอาหารมาเลี้ยงดูข้าราชบริพารที่ตามเสด็จให้อิ่มหนำสำราญกันทุกคน ตลอดทั้งชาวเมืองผู้มาเยี่ยมเยียน เศรษฐีก็เลี้ยงดูด้วยข้าวและแกงหม้อเดียว แม้จะตักออกเท่าใดก็ยังเต็มอยู่เหมือนเดิม ไม่มีหมดสิ้น

พระเจ้าพิมพิสารตรัสถามว่า ท่านเศรษฐีมีภรรยาไหม เศรษฐีทูลตอบ ว่ามี เป็นนางแก้วมาจากอุตตรกุรุทวีป พระราชาถามว่านางแก้วภรรยาท่านอยู่ที่ไหน เศรษฐีทูลตอบว่า นางนอนอยู่ในปราสาท ตอนแรกที่พระองค์เสด็จมาถึง ข้าพระพุทธเจ้ากำลังอยู่ในสุขสมบัติ จึงไม่ทราบว่าพระองค์เสด็จมา

เมื่อกราบทูลดังนั้นแล้ว เศรษฐีก็คิดว่าพระองค์ทรงมีพระประสงค์ใคร่จะทอดพระเนตรภรรยาของตน จึงกราบทูลว่าจะไปนำภรรยามาเฝ้า

จากนั้นจึงลุกไปหาภรรยาในปราสาท แล้วกล่าวกับนางว่า พระเจ้าพิมพิสารพระราชาแห่งราชคฤห์มหานครได้เสด็จมาถึงปราสาทของเราแล้ว ขณะนี้ประทับอยู่ห้องข้างนอก พี่ได้ถวายพระกระยาหารแล้ว เชิญเจ้าออกไปเฝ้าพระองค์เถิด นางจึงถามว่าพระราชาผู้นั้นเป็นใครจึงจะให้ออกไปถวายบังคม เศรษฐีกล่าวตอบว่าพระองค์ทรงเป็นใหญ่อยู่ในเมืองนี้ ทรงเป็นเจ้าเหนือหัวของพวกเราทุกคน ใครหรือจะไม่รู้จักพระองค์ นางจึงกล่าวว่าน้องอยู่มาทุกวันนี้ยังไม่รู้เลยว่ามีเจ้าเหนือหัวปกครองเราอยู่ เพิ่งมารู้วันนี้เอง บุญของเรามีถึงเพียงนี้นับว่ายังน้อยอยู่ จึงมีเจ้าเหนือหัวผู้ยิ่งใหญ่กว่าอาจเป็นเพราะ เราทำบุญแต่อดีตชาติปางก่อนมิได้ทำด้วยศรัทธา มาชาตินี้เราจึงมีเจ้าที่เหนือกว่า ถ้าเราทำบุญด้วยศรัทธาอันมั่นคงเราก็จะไม่มีเจ้าเหนือหัวมาปกครอง เพราะท่านจักได้เป็นเจ้าแห่งคนทั้งหลายเสียเอง เหมือนพระราชาพระองค์นี้ นางจึงถามต่อไปว่าเมื่อท่านจะให้ไปเฝ้าพระราชาควรจะให้ปฏิบัติอย่างไร วางตัวอย่างไร โปรดสั่งมาเถิด เศรษฐีจึงสั่งภรรยาว่าเมื่อเฝ้าแล้วจงนั่งถวายงานพัดเถิด นางออกไปเฝ้าพระราชาแล้วถือพัดใบตาลแก้วถวายงานพัดอยู่ ลมได้พัดเอากลิ่นธูปที่อบผ้าทรงและผ้าโพกศีรษะของพระราชามาเข้าตานาง ทำให้นางรู้สึกแสบตา นํ้าตาไหลพราก นางจึงยกผ้าขึ้นซับนํ้าตา พระราชาได้ทอดพระเนตรเห็นดังนั้น ทรงเข้าพระทัยว่านางร้องไห้ จึงตรัสแก่โชติกเศรษฐี ว่า ภรรยาของเจ้านี้ไม่น่ารัก นางเห็นเรามาบ้านคงนึกว่าเราจะมาแย่งชิงเอามหาสมบัติของนาง นางจึงร้องไห้ แต่เรามาคราวนี้หวังจะมาชมบุญของเจ้าต่างหาก เจ้าจงปลอบใจอย่าให้นางร้องไห้เลย

เศรษฐีกราบทูลว่า ข้าพระพุทธเจ้าทั้งสองเป็นผู้น้อย นางมิได้ร้องไห้ แต่เป็นเพราะไอกลิ่นธูปซึ่งอบเครื่องทรงของพระองค์มาเข้าตานาง เพราะอบด้วยไฟ ทำให้นางแสบตานํ้าตาไหล เพราะในปราสาทนี้จะหุงต้มหรืออบสิ่งใด ก็อาศัยแสงแก้วมณีรัตนะทั้งสิ้น ไม่เคยอาศัยไฟเลย แต่ในปราสาทของพระองค์อาศัยแต่แสงไฟ

เศรษฐีกราบทูลต่อไปว่า นับแต่นี้เป็นต้นไป พระองค์จะได้ทรงอาศัย แสงแก้วเลิกอาศัยแสงไฟ ครั้นกราบทูลดังนี้แล้ว เศรษฐีจึงถวายแก้วดวงหนึ่ง โตเท่าแตงโมลูกใหญ่ มีค่าเหลือคณนา

ครั้นพระเจ้าพิมพิสารได้ทอดพระเนตรมหาสมบัติของโชติกมหาเศรษฐี ซึ่งมีมากมายเหลือที่จะประมาณแล้ว ทรงมีพระราชหฤทัยชื่นชมโสมนัสยิ่ง เสด็จออกจากปราสาทของเศรษฐีกลับสู่พระราชมนเทียรพร้อมด้วยข้าราชบริพาร

พระเจ้าอชาตศัตรูกราบบังคมทูลพระเจ้าพิมพิสารผู้เป็นพระราชบิดา ว่า สมบัติมากมายมหาศาลของเศรษฐีนั้น ไม่เหมาะสมกับเศรษฐีผู้อาศัยอยู่ในเมืองของเรานี้ เราควรจะไปชิงเอามาเป็นราชสมบัติทั้งหมด พระเจ้าพิมพิสารตรัสว่าลูกจะชวนพ่อไปชิงเอาสมบัติของโชติกเศรษฐีนั้น เป็นการไม่ชอบธรรม เพราะสมบัติเหล่านั้นไม่ได้เกิดขึ้นด้วยบุญบารมีของเราทั้งสอง หากแต่สมบัตินั้นเกิดขึ้นด้วยอำนาจบุญบารมีของโชติกเศรษฐี เพราะได้เคยทำบุญมาแต่ชาติปางก่อน ดังนั้นพระวิษณุกรรมจึงเนรมิตให้มิใช่ได้มาด้วยเหตุอื่น การที่เราจะชิงเอามาเป็นราชสมบัตินั้นไม่สมควร

เมื่อกาลเวลาล่วงมา พระเจ้าอชาตศัตรูได้ทรงคุ้นเคยกับพระเทวทัต นับถือเป็นครู พระเทวทัตได้เสี้ยมสอนยุยงให้พระเจ้าอชาตศัตรูชิงเอาราชสมบัติ และฆ่าพระราชบิดาเสีย พระเจ้าอชาตศัตรูครั้นได้ราชสมบัติแล้ว ทรงรำพึงในพระทัยว่า คราวนี้จะไปชิงเอาปราสาทแก้วของโชติกเศรษฐีมาเป็นของเราเสีย ทรงดำริดังนั้นแล้วจึงคุมกองทหารออกไปล้อมบ้านโชติกเศรษฐีไว้ วันนั้น เป็นวันพระ โชติกเศรษฐีรับประทานอาหารแล้วก็ไปยังพระเวฬุวันมหาวิหาร เพื่อรักษาศีล ๘ และฟังพระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้า

ฝ่ายพระเจ้าอชาตศัตรูไม่ทรงทราบว่าเศรษฐีไปฟังธรรม ทรงเข้าพระทัยว่าเศรษฐีอยู่ในปราสาท จึงนำรี้พลไปล้อมกำแพงแก้วชั้นนอกไว้ ฝ่าย ทหาร ช้างม้าแลเห็นเงาของตนเองบนกำแพงแก้ว เข้าใจว่ามีกองทหารมากมายอยู่ภายในจะยกออกมาสู้รบกับพวกตน ตกใจกลัวไม่กล้าที่จะเข้าไปข้างใน ช้าง เอางาแทงปักลงดิน ไม่ยอมเข้าไปในกำแพงแก้วนั้นเลย

พระเจ้าอชาตศัตรูทรงเห็นดังนั้นจึงเร่งขับรี้พลให้เคลื่อนเข้าไป ในทันใดนั้นพระยายักษ์ตนหนึ่ง ชื่อยมโกลิยักษ์ เป็นยามอยู่เฝ้ากำแพงชั้นนอก พร้อมด้วยบริวารยักษ์หนึ่งพันตนเห็นพระเจ้าอชาตศัตรูพาบริวารเข้าไป จึงร้องถามว่าท่านมาที่นี่ด้วยเหตุผลอันใด ยมโกลิยักษ์และบริวารถือตะบองเหล็ก ประหนึ่งว่าจะเข้าตี แล้วร้องตวาดขับไล่พระเจ้าอชาตศัตรูและบริวารแตกหนีกระจัดกระจายไป

พระเจ้าอชาตศัตรูตกพระทัยเสด็จหนีเข้าไปในพระเวฬุวันที่ประทับของพระพุทธเจ้า โชติกเศรษฐีเห็นแล้วลุกขึ้นจากอาสนะมาทูลถามพระเจ้าอชาตศัตรูว่า วันนี้เหตุใดพระองค์จึงรีบเสด็จโดยด่วน พระเจ้าอชาตศัตรูจึงตรัสว่า ท่านเศรษฐีได้ใช้บริวารของท่านต่อต้านรุกรบกับพวกเรา จนพวกเราพ่ายแพ้ แต่ตัวท่านกลับหนีมาก่อน แกล้งทำทีนั่งฟังธรรมทำเป็นไม่รู้เรื่อง เศรษฐีทูลว่า พระองค์ยกทัพมาชิงเอาปราสาทของข้าพระพุทธเจ้าหรือ พระเจ้าอชาตศัตรูตรัสตอบว่าถูกต้องแล้ว เราต้องการชิงเอาปราสาทแก้วของท่าน เศรษฐีทูลว่าสมบัติใดๆ ขอข้าพระพุทธเจ้า แม้จะเป็นเพียงเศษด้ายที่หูกทอผ้า ถ้าข้าพระพุทธเจ้าไม่ยกให้ ผู้นั้นก็ไม่สามารถเอาไปได้ พระเจ้าอชาตศัตรูตรัสว่า เศรษฐีเจรจาโอหังเสมือนหนึ่งว่าตนเป็นพระเจ้าแผ่นดิน เศรษฐีทูลว่าหามิได้ ข้าพระพุทธเจ้าไม่ได้ทำตนเป็นพระเจ้าแผ่นดิน แต่เชื่อในกุศลกรรมที่เคยกระทำไว้นั้น สมบัติถ้าข้าพระพุทธเจ้ามิได้ถวายให้ อย่าว่าแต่พระราชาพระองค์เดียวเลย แม้พระราชาผู้มีอำนาจเช่นท่านสักพันพระองค์ก็มิอาจจะยึดเอาสมบัติแห่งข้าพระพุทธเจ้านี้ได้ เพราะว่าข้าพระพุทธเจ้ามิได้ให้ แต่ว่าเมื่อใดข้าพระพุทธเจ้ายกให้ เมื่อนั้นจึงเอาไปได้ ถ้าพระองค์ไม่ทรงเชื่อบุญของข้าพระพุทธเจ้า ข้าพระพุทธเจ้าก็จะทำให้พระองค์เชื่อดังนี้ แหวนทั้ง ๒๐ วงในมือข้าพระพุทธเจ้า ทั้ง ๑๐ นิ้วนี้ เมื่อข้าพระพุทธเจ้ามิได้ถวายแก่พระองค์ พระองค์ก็ไม่สามารถที่จะถอดแหวนออกจากนิ้วของข้าพระพุทธเจ้าได้ ถ้าพระองค์ไม่ทรงเชื่อก็ขอให้พระองค์โปรดทดลองถอดเอาเถิด

เมื่อพระเจ้าอชาตศัตรูได้สดับคำที่โชติกเศรษฐีกราบทูลเช่นนั้น ทรงพิโรธยิ่งนัก อุปมาดังพญานาคราชถูกค้อนเหล็กตีขนดหาง ขณะที่กำลังประทับนั่ง ทรงกระโดดขึ้นสูง ๑๘ ศอก แล้วเสด็จลงมาประทับยืนที่พื้น แล้วทรงกระโดดขึ้นอีกหนึ่งครั้ง สูง ๗๐ ศอก ทรงมีพละกำลังมากยิ่งนัก แล้วทรงบิดองค์ไปทางขวาเพื่อทรงถอดเอาแหวนในมือโชติกเศรษฐี ทรงล้มลุกคลุกคลาน พระเสโทไหลย้อยทั่วพระวรกาย แม้กระทำเช่นนั้น แต่ก็ไม่อาจแย่งชิงเอาแหวนออกจากนิ้วเศรษฐีได้ จึงประทับนั่งลงตามเดิม

เศรษฐีเห็นดังนั้นจึงกราบทูลว่า แหวนของข้าพระพุทธเจ้าทั้ง ๒๐ วงนี้ ขอน้อมถวายแด่พระองค์ ขอเชิญพระองค์ทรงนำภูษามารองรับเถิด พระเจ้าอชาตศัตรูจึงทรงปูผ้าฉลองพระพักตร์ลงบนพื้น โชติกเศรษฐีจึงยื่นมือออกไปเหนือผ้านั้นต่อพระพักตร์พระเจ้าอชาตศัตรู ทันใดนั้นแหวนทั้ง ๒๐ วงก็หลุดจากนิ้วมือตกลงบนผ้านั้น

โชติกเศรษฐีจึงกราบทูลพระเจ้าอชาตศัตรูว่า สมบัติของข้าพระพุทธเจ้า นี้ ถ้าข้าพระพุทธเจ้ายังมิได้ทูลถวายพระองค์ก็จะไม่สามารถนำไปได้ แต่ถ้าได้ถวายแล้วพระองค์จึงจะได้นำสมบัติของข้าพระพุทธเจ้า ดังที่พระองค์ได้ทรงทอดพระเนตรเห็นแล้ว เมื่อโชติกเศรษฐีกราบทูลเช่นนั้นแล้วก็รู้สึกสังเวชใจ จึงกราบทูลพระเจ้าอชาตศัตรูว่า ข้าพระพุทธเจ้าขอกราบทูลอำลาบวชเพื่อถวายพระราชกุศลแด่พระองค์ ขอพระองค์ทรงอนุญาต พระเจ้าอชาตศัตรูได้สดับดังนั้นทรงพอพระราชหฤทัยอย่างยิ่งและทรงพระราชดำริว่า ปราสาทนั้นจะตกเป็นของเรา จึงตรัสบอกโชติกเศรษฐีว่า ถ้าเศรษฐีจะบวช เราก็อนุญาตขอเศรษฐีจงบวชเถิด

ดังนั้นโชติกเศรษฐีจึงโกนผมเข้าบวชในพระพุทธศาสนาแล้วบรรลุธรรมสำเร็จเป็นพระอรหันต์พร้อมด้วยปฏิสัมภิทา มีสมณฉายาว่า
พระโชติกเถระ เมื่อบวชแล้วสมบัติทั้งหลายก็อันตรธานหายไปหมดสิ้น เป็นต้นว่านางแก้ว ซึ่งมีนามว่านางอตุลกายเทวีผู้เป็นภรรยา เทวดานำกลับคืนไปสู่อุตตรกุรุทวีปดังเดิม ปราสาท ๗ ชั้น ทำด้วยแก้ว ๗ ประการ กำแพง ๗ ชั้น อันล้อมรอบปราสาทแก้วนั้น ต้นกัลปพฤกษ์อันเรียงรายไปรอบทั้ง ๗ ชั้น ขุมเงินขุมทอง ๔ มุมปราสาท หม้อข้าวแก้วมณี สมบัติมากมายซึ่งเกิดมาด้วยบุญโชติกเศรษฐี ก็จมลงไปในแผ่นดินหมดสิ้น

คณะทำงานโครงการวรรณกรรมอาเซียน

พระเจ้าอโศกมหาราช

นอกจากพระยามหาจักรพรรดิราชแล้ว มีพระมหากษัตริย์อีกจำพวก หนึ่ง ทรงมีพระบุญญาบารมีและทรงพระบรมเดชานุภาพมากเทียบเท่าพระยามหาจักรพรรดิราชทีเดียว เช่น พระยาธรรมาโศกราช เป็นต้น พระยาธรรมาโศกราชนั้นได้เสวยราชสมบัติในเมืองปาตลีบุตรมหานคร หลังจากสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จพระเจ้าอโศกมหาราชปรินิพพานแล้วได้ ๒๑๙ ปี ทรงมีพระอัครมเหสีทรงพระนามว่าพระนางอสันธิมิตตา และทรงมีนางสนมถึง ๑๖,๐๐๐ นาง เมื่อครั้งพระองค์เสด็จขึ้นครองราชสมบัตินั้น บรรดาพระราชาและเจ้าพระยาทั้งหลายตามหัวเมืองต่างๆ ในชมพูทวีปต่างมาไหว้แสดงความเคารพด้วยอำนาจพระบุญญาบารมีของพระองค์นั้นเอง ใช่จะมีแต่พระราชาและเจ้าพระยาเท่านั้น ที่เสด็จมาทรงเคารพกราบไหว้ แม้แต่เหล่าเทพยดาและหมู่สัตว์ในอาณาจักรของพระองค์ ซึ่งอยู่ตํ่าลึกลงไปใต้แผ่นดิน ๑ โยชน์ และสูงขึ้นไปเบื้องบนอากาศ อีก ๑ โยชน์ ต่างมากราบไหว้บูชา ห้อมล้อมบำรุงบำเรอทุกคืนวันมิได้ขาด ทั้งนี้ด้วยเดชอำนาจพระบุญญาบารมีของพระยาศรีธรรมาโศกราชนั้นเอง

เหล่าเทวดาซึ่งสถิตอยู่ในป่าหิมพานต์นำเอานํ้าหอมสะอาดผ่องใสดั่งแก้วผลึก มีรสโอชาอร่อยหวานเย็นจากสระอโนดาตมาทูลเกล้าถวายวันละ ๑๖ กระออม เป็นประจำมิได้ขาด พระเจ้าศรีธรรมาโศกราชทรงโปรดให้นำนํ้า ๘ กระออม ไปถวายแก่พระสงฆ์ทั้งหลาย ถวายพระสงฆ์ผู้ทรงพระไตรปิฎก ๑๖ รูป ๒ กระออม พระราชทานแก่พระอัครมเหสีอสันธิมิตตา ๒ กระออม พระราชทานแก่นางสนม ๑๖,๐๐๐ นาง ๒ กระออม อีก ๒ กระออมให้จัดไว้สำหรับพระองค์ทรงใช้สระสรงและเสวย พระองค์ทรงปฏิบัติเช่นนี้เป็นประจำทุกวันมิได้ขาดเลย

เทวดาบางพวกนำเถาวัลย์ชื่อนาคลดาอันอ่อนและหอมมาถวายสำหรับ เป็นไม้ชำระพระทนต์ทุกวัน พระองค์ทรงให้จัดแบ่งถวายพระสงฆ์วันละ ๖ รูป และทรงโปรดเกล้าฯ ให้พระราชทานแก่พระสนม ๑๖,๐๐๐ นาง เป็นประจำมิได้ขาด เทวดาบางพวกนำเอาผลไม้จากป่าหิมพานต์มาถวายทุกวัน ได้แก่ ผลมะขามป้อมอันมีรสหวานหอมยิ่ง เหลืองอร่ามเหมือนทอง ผลสมอที่หอม เหลืองอร่ามเหมือนทอง มะม่วงสุกสีเหมือนทอง มีรสหวานหอม เทวดาบางพวกนำเอาผ้าทิพย์มี ๕ สี สวยงามยิ่ง จากสระฉัททันต์ มาถวายเป็นพระภูษามาลาฉลองพระองค์ทุกวัน เทวดาบางพวกนำเอาผ้าเช็ดหน้าทิพย์มี ๕ สี สีดำ แดง ขาว เหลือง และเขียว สดใสงดงามยิ่งจากสระฉัททันต์มาถวายให้เช็ดพระพักตร์ และพระวรกายทุกวัน ถ้าผ้าทิพย์เหล่านั้นแปดเปื้อนด้วยเหงื่อไคลหรือเก่าหม่นหมองไปไม่ต้องซักฟอกด้วยน้ำเลย เพียงแต่ก่อไฟให้ลุกเป็นเปลว แล้วนำผ้าทิพย์ไปวางในเปลวไฟเท่านั้นจะไม่ไหม้ผ้าเลย เหงื่อไคลและสิ่งสกปรกปฏิกูลต่างๆ ที่ติดเปื้อนผ้าก็จะสูญหายไปสิ้น กลับเป็นผ้าสะอาดหมดจด มีสีสดใสงดงาม เหมือนผ้าใหม่อย่างเดิม

เทวดาบางพวกนำเอาฉลองพระบาททองทิพย์ มีสีสุกใสเงางาม มาถวาย เพื่อทรงเป็นฉลองพระบาท เทวดาบางพวกนำกาน้ำทองทิพย์ มีสีและกลิ่นหอมยิ่งนักมาถวายเพื่อทรงใช้สระสรงพระเกศทุกวัน เทวดาบางพวกนำเอาอ้อยอันหวานหอมและมีรสโอชาอร่อยยิ่งนัก มีลำต้นเท่าลำต้นหมาก จากป่าหิมพานต์มาถวาย เพื่อเสวยเป็นพระกระยาหารทุกวัน รวมทั้งผลไม้ต่างๆ เหล่านี้ ได้แก่ ผลมะพร้าว มีรสอร่อย ผลลูกตาล ผลลูกหว้า ผลลูกลาน ผลลูกไทร ผลมะสัง และผลมะหาด และลูกฟักแฟงแตงเต้า ผลไม้เหล่านี้เทวดานำมาถวายพระยาศรีธรรมาโศกราช เป็นประจำทุกวันมิได้ขาด

บรรดานกทั้งหลาย มีนกเปล้า นกแขกเต้า นกคล้า และนกจริง เป็นต้น ต่างคาบเอารวงข้าวสาลีที่เกิดริมสระฉัททันต์มาถวาย วันละ ๙,๐๐๐ เกวียน เป็นประจำเสมอ ข้าวนั้นไม่ต้องตำฝัดและร่อนเลย เพราะฝูงหนูป่ามาเกล็ดให้เป็นเมล็ดข้าวสาร ไม่แตกหักแม้แต่เมล็ดเดียว เป็นข้าวต้นเสวยชั้นดี เป็นพระกระยาหารที่พระยาศรีธรรมาโศกราชเสวยเป็นประจำ ทั้งเช้าทั้งเย็นมิได้ขาด

ฝูงผึ้ง (รวง) และ (ผึ้ง) มิ้ม ต่างมาทำรวงรังให้น้ำผึ้งไว้ในโอ่งและกระ ออม เป็นพระกระยาหารเสวยได้ทุกเมื่อ พวกพ่อครัวแม่ครัวไม่ต้องลำบากใจ เกรงว่าจะขาดแคลนฟืนสำหรับหุงต้ม เพราะพวกหมีในป่าฉีกหั่นไม้ให้เป็นฟืน นำมาส่งให้ทุกวัน ทั้งนี้ด้วยอำนาจพระบุญญาบารมีของพระยาศรีธรรมาโศกราช นั้นเอง

บรรดาฝูงนกในป่า มีฝูงนกการเวก นกยูง นกกระเรียน และนกดุเหว่า เป็นต้น ต่างพร้อมใจกันมารำแพนหางตีปีกฟ้อนรำ ส่งเสียงร้องด้วยสรรพสำเนียงอันไพเราะจับใจยิ่ง ถวายแด่พระยาศรีธรรมาโศกราชเป็นประจำทุกวันมิได้ขาด นกเหล่านั้นเป็นสัตว์ชั้นเยี่ยมมาจากป่าหิมพานต์ เสียงนกการเวกนั้นไพเราะจับใจยิ่ง เสียงนั้นเหมือนมีมนต์ขลัง สามารถสะกดจิตใจของผู้ได้ฟังต้องหยุดอยู่กับที่ทีเดียว แม้เสือที่กำลังกินเนื้อก็จะลืมกินเนื้อ แม้เด็กที่กำลังวิ่งหนีการถูกไล่ตี ก็จะหยุดวิ่งทันที นกที่กำลังบินอยู่ในอากาศ ก็จะหยุดบิน ปลาที่กำลังว่ายอยู่ในนํ้าก็จะหยุดว่าย เพราะเสียงร้องของนกการเวกไพเราะจับใจน่าฉงนยิ่งนัก

บรรดาสัตว์ทั้งหลายทั้งที่อยู่บนแผ่นดินและในอากาศ ต่างมาบำรุงบำเรอ พระยาศรีธรรมาโศกราชอยู่ทุกวันมิได้ขาด เหล่าเทวดาที่สถิตอยู่ในมหาสมุทร นำเอาแก้วแหวนเงินทองมากมายมาถวาย ฝูงนาคราชนำเอาผ้ามีสีแดงใสงดงาม ดั่งดอกชาตบุษย์อันบริสุทธิ์ไม่ระคนเจือปนด้วยด้ายไทย ไหมเทศ วิเศษดั่งผ้าทิพย์ มาถวายเพื่อทรงห่มทั้งเป็นพระภูษาแต่งพระองค์และรองพระบาทอีกด้วย นาคราชบางจำพวกนำเอากระแจะจวงจันทน์เครื่องหอมอันประเสริฐมาทูลเกล้าถวายเป็นประจำทุกวัน พระยาศรีธรรมาโศกราชทรงมีพระบุญญาภินิหาร และพระบรมเดชานุภาพมาอย่างนี้แล

พระยาศรีธรรมาโศกราชได้ทรงสดับพระธรรมเทศนาของนิโครสามเณรผู้ทรงพระไตรปิฎก มีปัญญาเปรื่องปราดเฉลียวฉลาดมาก ทรงมีพระราชศรัทธาเลื่อมใสในพระรัตนตรัยยิ่งนัก ทรงถวายภัตตาหารแก่พระสงฆ์ ๖๐,๐๐๐ รูป เป็นจำนวน ๖๐,๐๐๐ สำรับ ทุกวันโดยทรงเลิกการนำภัตตาหารไปพระราชทานแก่ปริพพาชก (นักบวชนอกพุทธศาสนา) วันละ ๖๐,๐๐๐ คน ที่พระเจ้าพินทุสารราชผู้เป็นพระราชบิดาได้เคยปฏิบัติมาก่อน แล้วนำมาถวายแก่พระสงฆ์ ในพระพุทธศาสนาทุกวัน

พระยาศรีธรรมาโศกราชนั้น ทรงสร้างอโศการามมหาวิหารในพระราชอุทยานให้เป็นพระอารามที่พำนักพักพิงของพระสงฆ์ บรรดาสิ่งของทุก อย่างที่มีผู้นำมาถวาย จะเป็นของที่เทวดานำมาถวายจากป่าหิมพานต์ก็ดี ของที่มนุษย์และสัตว์นำมาถวายก็ดี พระยาศรีธรรมาโศกราชทรงนำไปบูชาสักการะ พระศรีรัตนตรัยก่อนแล้วจึงพระราชทานแก่พระนางอสันธิมิตตาราชเทวี แล้วจึงพระราชทานแก่พระสนม ๑๖,๐๐๐ นาง พระราชทานแก่เทวราช แล้วจึงพระราชทานแก่ไพร่ฟ้าประชาราษฎ์ในพระนครนั้นทุกคนโดยลำดับ

อยู่มาวันหนึ่ง ในเมืองนั้น ยังมีหมู่เทวดานำเอาอ้อยลำใหญ่เท่าลำต้นหมาก พร้อมด้วยผลไม้มากมายจากป่าหิมพานต์มาถวาย อ้อยเหล่านั้นมีรสหวานอร่อยยิ่งนัก พระองค์ทรงโปรดเกล้าให้หีบอ้อยเหล่านั้นแล้วทรงอังคาสเลี้ยงดูพระสงฆ์ ๖๐,๐๐๐ รูป พร้อมด้วยภัตตาหารในพระราชมนเทียร เมื่อพระสงฆ์ทั้งนั้นกระทำภัตกิจเสร็จแล้ว ถวายอนุโมทนา พระราชาทรงหลั่งนํ้าทักษิโณทก แล้วเสด็จตามไปส่งพระสงฆ์กลับอารามถึงพื้นอัฒจันทร์พระราชมนเทียร ทรงนมัสการพระสงฆ์ถ้วนทุกรูปแล้วตรัสสรรเสริญคุณพระศรีรัตนตรัย จึงเสด็จกลับเข้าสู่พระราชมนเทียร

เช้าวันนั้น พระนางอสันธิมิตตาราชเทวีเสด็จลุกจากที่บรรทม ทรงชำระ พระองค์เสร็จแล้ว ทรงจัดเตรียมข้าวยาคูและอาหารนานาชนิด พร้อมด้วยหมากพลู อังคาสเลี้ยงดูพระสงฆ์ ๖๐,๐๐๐ รูป พระนางทรงหลั่งนํ้าทักษิโณทก แล้วทรงกราบไหว้อำลาพระสงฆ์เสด็จเข้าสู่พระราชมนเทียรพร้อมด้วยข้าราชบริพาร ประทับนั่งบนแท่นที่ประทับ ทรงเห็นลำอ้อยที่เหล่าเทวดานำมาทูลเกล้าถวายพระราชสวามีนั้น จึงทรงปอกอ้อยท่อนหนึ่ง แล้วเสวยท่ามกลางนางพระกำนัลทั้งหลาย

หลังจากเสด็จตามส่งพระสงฆ์แล้ว พระยาศรีธรรมาโศกราชจึงเสด็จเข้า สู่พระราชมนเทียร ได้ทอดพระเนตรเห็นพระนางประทับนั่งอยู่บนพระแท่น กำลังเสวยอ้อยอยู่ท่ามกลางหมู่พระกำนัลใน พระนางทรงมีพระสิริโฉมเปล่งปลั่ง งดงามยิ่ง พระราชาทรงมีพระหฤทัยเสน่หารักใคร่ยิ่งกว่าพระสนมทั้งหมด จึงตรัสสรรเสริญพร้อมทรงพระสรวลตรัสล้อเล่นว่าใครกันหนอมานั่งกินอ้อยอยู่ท่ามกลางนางสนมเหล่านี้ ซ้ำยังมีใบหน้าผุดผ่องสวยงามยิ่ง เธอจะเป็นหญิง หรือเป็นนางระบำที่เสกสรรปั้นแต่งขึ้น จึงสวยงามสุดที่จะพรรณนาได้เช่นนี้ ในขณะที่ตรัสล้อเล่นนั้นพระองค์ประทับยืนอยู่ตรงพระพักตร์ของพระนางพอดี เมื่อพระนางอสันธิมิตตาราชเทวีได้ทรงสดับพระราชดำรัสของพระราชสวามี ดังนั้น จึงทรงพระดำริว่าพระราชสวามีของเรานี้ได้เสวยราชสมบัติมากมาย
ทรงได้เป็นใหญ่เหนือพระราชาและเจ้าพระยาทั้งหลายในแผ่นดินชมพูทวีปนี้ พระราชอำนาจของพระองค์แผ่ลงไปถึงเบื้องตํ่าใต้แผ่นดินลึก ๑ โยชน์ และแผ่เหนือแผ่นดินขึ้นไปเบื้องบนอากาศ ๑ โยชน์ บรรดาเทวดาพระยาครุฑ พระยานาค พวกยักษ์ คนธรรพ์ กินนรกินนรี วิทยาธร หมาผี หมาไน ราชสีห์ หมี เสือเหลือง และเสือโคร่ง ต่างก็มากราบไหว้บูชาพระองค์ทั้งสิ้น อีกทั้ง ช้าง ม้า เสนา พลไพร่ ข้าไทก็มากราบไหว้บูชามากมาย แก้วแหวนเงินทอง ผ้าผ่อนแพรพรรณก็มีพร้อมมูล ข้าวนํ้าก็อุดมสมบูรณ์เต็มยุ้งเต็มฉาง พระราชสวามีของเรานี้เสวยราชสมบัติในกลางชมพูทวีป บรรดาพระราชาสมณพราหมณาจารย์ไพร่ฟ้าประชาราษฎร์ทุกหมู่เหล่าต่างมาห้อมล้อมเป็นบริวาร ทรงงดงามเหมือนพระอินทร์ท่ามกลางนางฟ้าเทพธิดาทั้งหลาย และการที่พระองค์เสด็จมาทรงเห็นเรากำลังนั่งกินอ้อยอยู่แล้วตรัสถ้อยคำนี้กับเรา พระองค์ทรงกระทำเช่นนี้เหมือนไม่เคยทรงรู้จักเรามาก่อน ทรงกล่าวเยาะเย้ยถากถาง เราเล่นว่ามานั่งกินแต่อ้อยอยู่ฉะนี้ พระองค์ทรงดูถูกดูแคลนเราแน่นอน ไม่เช่นนั้นคงไม่ตรัสคำนี้ออกมา เพราะพระองค์ทรงมีพระเกียรติยศบุญญาบารมี ราชสมบัติมากมาย จึงทรงกล่าวหาว่าเรานี้เป็นคนไม่มีบุญวาสนา ที่เป็นอยู่ได้ ทุกวันนี้เพราะอาศัยพระบุญญาบารมีของพระองค์ช่วยอุดหนุนเกื้อกูลนั่นเอง

เมื่อพระนางสันธิมิตตาทรงดำริดังนั้นแล้ว ทรงขัดเคืองพระทัยในพระยาศรีธรรมาโศกราชผู้เป็นพระราชสวามี กราบทูลตอบไปว่า อ้อยลำนี้ ไม่มีใครปลูกไว้ หากแต่เกิดขึ้นเองในป่าหิมพานต์ พวกเทวดานำมาถวาย ด้วยอำนาจบุญกุศลของข้าพระพุทธเจ้าจึงได้กินอ้อยนี้

ฝ่ายพระยาศรีธรรมาโศกราชครั้นได้ทรงสดับถ้อยคำของพระนาง อสันธิมิตตาดังนั้นจึงทรงพระดำริว่าพระเทวีนี้คิดว่าตัวเองมีบุญวาสนามาก และเข้าใจว่าเรานี้พึ่งใบบุญของนาง ครั้นแล้วจึงตรัสประชดพระนางว่า นี่แน่ะ เจ้าอสันธิมิตตา เจ้าว่าพวกเทวดานำเอาอ้อยจากป่าหิมพานต์มาถวายเจ้าเพราะอำนาจบุญของเจ้า ส่วนราชสมบัติในชมพูทวีปนี้ เจ้าว่าเราได้มาเพราะบุญของเจ้าแน่หรือ บุญของเจ้านั้นเจ้ายกยอไว้สูงเลิศเลอถึงชั้นอกนิฎฐพรหม แต่บุญของเราเจ้ากลับกดให้ตํ่าลงถึงมหานรกอเวจี ถ้าเจ้าคิดว่ามีบุญมากกว่าเราจริง ก็จะเป็นการดีมาก พรุ่งนี้เราจะทดลองบุญของเจ้า พระสงฆ์ ๖๐,๐๐๐ รูป จะมาฉันภัตตาหารเช้า หลังจากเสร็จกิจแล้ว เราจะถวายผ้าไตรจีวร ๖๐,๐๐๐ ไตร พรุ่งนี้เช้าเจ้าจงเร่งจัดหาไตรจีวรให้ทันถวายแก่พระสงฆ์ตามกำหนดเวลาให้จงได้ ถ้าเจ้าจัดหามาได้ เราก็จะยอมเชื่อว่าเจ้ามีบุญจริงและบุญของเจ้าได้ ปรากฏไปทั่วชมพูทวีปจริง แต่ถ้าเจ้าจัดหามาให้ไม่ได้นี้ เราก็จะรู้บุญของเจ้าในวันพรุ่งนี้ ตรัสแล้วก็เสด็จไป

เมื่อพระนางอสันธิมิตตาได้ทรงสดับดังนั้น ทรงเป็นทุกข์พระทัยยิ่งนัก ทรงดำริว่าพระราชสวามีทรงขุ่นเคืองเราเป็นแน่ พระองค์ทรงเข้าพระทัยว่าเราโกรธเคืองพระองค์ พระองค์จึงตรัสถ้อยคำเช่นนี้กับเรา พระนางเป็นทุกข์พระทัยหนักขึ้น ทรงทอดถอนพระทัยใหญ่ ทรงกระสับกระส่ายบรรทมไม่หลับ ทรงพลิกพระวรกายไปมาเหนือพระเขนยทองตั้งแต่พลบคํ่าจนถึงเที่ยงคืนก็บรรทมไม่หลับ ทรงทอดถอนพระทัยใหญ่พร้อมกับทรงรำพึงว่าเราจะหาผ้าไตรจีวรให้ได้ครบ ๖๐ ,๐๐๐ ไตร มาจากที่ไหนได้

คืนนั้นเป็นคืนวันเพ็ญ เป็นวันพระ ขึ้น ๘ คํ่า ในยามเที่ยงคืน ท้าวจตุโลกบาลทั้ง ๔ จะออกเที่ยวตรวจตราดูโลก ท้าวจตุโลกบาลทั้ง ๔ นั้น คือ ท้าวกุเวรุราช ท้าวธตรฐราช ท้าววิรูปักขราช ท้าววิรุฬหกราช ในคืนเดือนดับและคืนวันเพ็ญ ข้างขึ้นหรือข้างแรม ๘ คํ่า ท้าวจตุโลกบาลทั้ง ๔ นั้น จะออกเที่ยวตรวจตราดูคนทำบุญทำบาปในแผ่นดินนี้

ครั้งนั้นท้าวกุเวรุราชหรือเรียกอีกนามหนึ่งว่าพระไพศรพณ์มหาราช พร้อมด้วยเสนาบดีผู้ใหญ่เป็นบริวาร ทรงยานทิพย์เสด็จไปทางอากาศ จาก อาฬกมนทาพิมานด้านทิศเหนือสู่ทิศใต้ เสด็จผ่านหน้าพระบัญชรพระราชมนเทียรที่พระอัครมเหสีอสันธิมิตตาบรรทมอยู่ ทรงได้ยินเสียงทอดถอนพระทัยของพระนางซึ่งกำลังทรงปริวิตกกลัวว่าจะหาผ้าไตรจีวรไม่ได้ครบ ๖๐,๐๐๐ ไตร ตามที่พระราชสวามีทรงรับสั่งไว้ ครั้นแล้วพระไพศรพณ์มหาราชจึงเสด็จลงจากยานทิพย์แล้วเสด็จเข้าไปใกล้พระนางตรัสว่า ดูกร พระนางอสันธิมิตตา พระนางอย่าได้ทรงเป็นทุกข์เศร้าโศกไปเลย เมื่อชาติปางก่อนพระนางทรงได้ถวายผ้าเช็ดหน้าแก่พระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่ง บุญกุศลของพระนางที่ได้ทรงบำเพ็ญครั้งนั้นใหญ่หลวงยิ่งนัก อานิสงส์ผลบุญนั้นจะบังเกิดแก่พระนาง ณ บัดนี้ แล้ว เชิญเสด็จมารับเถิด ตรัสแก่พระนางดังนั้นแล้ว พระไพศรพณ์มหาราชจึงทรงนำเอาผอบแก้วทิพย์ใบหนึ่งมาด้วยอิทธิฤทธิ์ของพระองค์ ทรงเปิดฝาผอบแก้วแล้วทรงยื่นส่งให้พระนางอสันธิมิตตาเพื่อทอดพระเนตรดูผ้าทิพย์ในผอบแก้วนั้น พร้อมกับตรัสสั่งว่า ถ้าพระนางทรงมีพระประสงค์ใคร่จะทรงได้ผ้า จงได้เปิดฝาผอบผ้าทิพย์นี้แล้วจงชักเอาผ้าทิพย์ออกจากผอบแก้วนี้เถิด ไม่ว่าพระนางจะทรงต้องการจำนวนเท่าใดก็จะทรงได้รับทุกอย่าง ไม่มีวันหมดสิ้น ครั้นพระไพศรพณ์มหาราชตรัสดังนั้นแล้ว จึงเสด็จขึ้นสู่ยานทิพย์เสด็จกลับสู่ อาฬกมนทาพิมานด้านเหนือของเขาพระสุเมรุ

วันรุ่งขึ้นพระยาศรีธรรมาโศกราชทรงถวายภัตตาหารพระสงฆ์ ๖๐,๐๐๐ รูป ครั้นเสร็จภัตกิจแล้ว พระมหาราชาทรงถวายสักการบูชาพระสงฆ์ ด้วยธูปเทียนข้าวตอกดอกไม้และกระแจะจวงจันทน์ของหอมเสร็จแล้ว พระนางอสันธิมิตตาทรงนำเอาข้าวตอกดอกไม้อันเป็นพู่พวงผูกห้อยร้อยเป็นระเบียบด้วยดี มีสีสันต่างๆ กัน ตกแต่งส่วนปลายที่ห้อยย้อยลงทุกอย่าง บรรจุใส่เต็มผอบทองใบใหญ่ ทรงเจิมธูปเทียนด้วยเก้าจุณจันทน์อันหอมเสร็จแล้วทรงนำผอบแก้วที่เต็มด้วยผ้าทิพย์ใส่ไว้ในผอบสุวรรณรัตนะอีกใบหนึ่งทรงปิดครอบไว้ด้วยผอบทอง แล้วทรงโปรดให้นางกำนัลในผู้ไว้วางพระราชหฤทัยถือตามเสด็จไป พระนางเสด็จไปอังคาสถวายภัตตาหารพระสงฆ์พร้อมด้วยบริวารหลังจากพระสงฆ์ทำภัตกิจเสร็จแล้ว ทรงถวายสักการบูชาพระสงฆ์ด้วยข้าวตอกดอกไม้ธูปเทียนประทีปชวาลาและธูปที่เจิมด้วยขี้เถ้าจุณจันทน์น้ำหอม ตลอดทั้งหมากพลู เสร็จแล้วจึงประทับรอพระราชาอยู่

ครั้งนั้นพระยาศรีธรรมาโศกราชทอดพระเนตรดูพระพักตร์ของพระนาง และตรัสว่าอสันธิมิตตา เจ้าจงเร่งนำผ้าไตรมาให้เรา ๖๐,๐๐๐ ชุด ณ บัดนี้ เรากำลังจะถวายทานนี้ เราจะขอพึ่งบุญของเจ้า จะถวายเป็นไตรจีวรแก่พระสงฆ์ให้ครบ ๖๐,๐๐๐ รูป พระนางอสันธิมิตตาทรงน้อมรับพระบรมราชโองการ ด้วยความยินดี แล้วกราบทูลว่าหม่อมฉันจะถวายผ้าแก่พระสงฆ์ให้ครบทั้ง ๖๐,๐๐๐ รูป ตามพระราชหฤทัยเถิด ครั้นพระนางกราบทูลแล้ว มิทรงรอช้า ทรงเปิดผอบสุวรรณรัตนะที่ใส่ผอบแก้วนั้นออก แล้วทรงนำผอบแก้วทิพย์นั้นขึ้นมา ทรงถือชูไว้ด้วยพระหัตถ์เบื้องซ้าย ทรงเปิดฝาผอบแก้วด้วยพระหัตถ์เบื้องขวา แล้วทรงวางไว้ทรงใช้พระหัตถ์เบื้องขวาชักผ้าทิพย์ออกจากผอบแก้วนั้นทีละผืนๆ จนได้ครบเป็นไตรจีวรถวายแก่พระสงฆ์ พระนางทรงถวายผืนหนึ่งก่อน พระยาศรีธรรมาโศกราชทรงรับเอาผ้าผืนหนึ่งทรงถวายแก่พระมหาเถระผู้เป็นประธาน สงฆ์มีอายุพรรษาแก่กว่าพระสงฆ์ทั้งหลายก่อน ผ้าผืนนั้นมีสีสดใสงดงามประหนึ่งเกิดมาจากต้นกัลปพฤกษ์ซึ่งมีในอุตตรกุรุทวีป ต่อจากนั้นพระนางจึงทรงชักเอาผ้าออกจากผอบแก้วนั้น ทรงถวายพระสงฆ์ตามลำดับจนครบทั้ง ๖๐,๐๐๐ รูป ถึงแม้นพระนางจะทรงนำเอาผ้าออกจากผอบแก้วมากมายเช่นนั้น ผ้าก็ไม่มีทีท่าว่าจะหมดสิ้นไปเลย ดูยังเต็มผอบแก้วอยู่เหมือนเดิม มิได้บกพร่องแม้แต่น้อยเลย พระยาศรีธรรมาโศกราชทรงเห็นเป็นสิ่งมหัศจรรย์เช่นนั้น ทรงยินดียิ่งนัก ประทับนั่งอยู่ ทรงนมัสการพระสงฆ์ทั้งหลาย ครั้นพระสงฆ์ถวายอนุโมทนาแล้ว ถวายพระพรลาพระองค์จึงเสด็จไปทรงส่งพระสงฆ์ทั้งหลายถึงประตูพระราชมนเทียร ทรงนมัสการไหว้พระสงฆ์แล้วจึงเสด็จกลับคืนสู่พระราชมนเทียรตามปรกติ

ครั้นพระยาศรีธรรมาโศกราชเสด็จเข้าไปภายในพระราชวังแล้ว ได้ตรัสกับพระนางอสันธิมิตตาว่า อสันธิมิตตากัลยาณีทิพย์ นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป บรรดาถิ่นฐานบ้านเมือง ปราสาทราชวัง เรือนหลวง ช้างม้า ข้าไท ไพร่พล แก้วแหวนเงินทอง และนางสนมกำนัลทั้ง ๑๖,๐๐๐ นาง เราขอมอบคืนให้แก่เจ้าจงเป็นใหญ่เป็นเจ้าแก่พวกเขาเถิด อีกอย่างหนึ่งนับตั้งแต่นี้ต่อไป ถ้าเจ้ามีความประสงค์จะทำการสิ่งใด ก็จงทำตามความประสงค์ของเจ้าเราจะไม่ขัดใจ จะตามใจเจ้าทุกอย่าง

นับตั้งแต่นั้นมา พระนางอสันธิมิตตาผู้ทรงเป็นบาทบริจาริกา แห่งพระยาศรีธรรมาโศกราช แม้พระนางจะทรงได้รับพระบรมราชานุญาตให้ ทรงกระทำกิจการที่ทรงประสงค์ได้ทุกอย่างก็ตาม แต่พระนางก็มิได้ทรงละเมิดพระราชสวามีแม้แต่น้อยสักครั้งเดียว ถ้าหากพระนางจะทรงกระทำใดๆ แม้เพียงเล็กน้อยก็จะต้องกราบบังคมทูลก่อน เมื่อทรงได้รับพระบรมราชานุญาตแล้วพระนางจึงจะทรงกระทำ ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อพระยาศรีธรรมาโศกราชยังมิได้เสวยพระนางจะไม่เสวยก่อนพระราชสวามีเลย ถ้าหากว่าพระยาศรีธรรมาโศกราชยังมิได้บรรทม พระนางก็จะไม่บรรทมก่อนเหมือนกัน ครั้นพระราชสวามีบรรทมหลับแล้ว พระนางจึงจะบรรทมตามภายหลัง แม้พระนางจะบรรทมภายหลังก็มิได้ทรงตื่นบรรทมภายหลังพระราชสวามีเลยสักครั้งเดียว ย่อมทรงตื่นบรรทมก่อนพระราชสวามีทุกเมื่อ

พระนางเจ้าอสันธิมิตตาราชเทวี ทรงมีพระราชจริยาวัตรงดงามน่าเลื่อมใส ทั้งทรงมีพระปรีชาสามารถเฉลียวฉลาดเป็นที่ลือชาปรากฏ ทรงเป็นที่รักของราษฎรและพสกนิกรทุกหมู่เหล่า ทรงมีพระสหายมากมาย แม้จะตรัสเจรจาปราศัย พระสุรเสียงสำเนียงก็ไพเราะน่าฟัง ทรงมีพระวิริยะอุตสาหะมาก มิทรงย่อท้อ ทรงมีพระราชศรัทธาบำเพ็ญบุญกุศลอยู่เป็นนิตย์ ทรงได้ราชาภิเษกเป็นสมเด็จพระราชินีพระยาศรีธรรมาโศกราชภายในปราสาทราชมนเทียรนั้นเอง ทรงเป็นใหญ่มีอำนาจเหนือนางสนมกำนัลทั้ง ๑๖,๐๐๐ นาง

ครั้งนั้น บรรดาหญิงและนางสนมผู้เคยเป็นพระชายามาก่อน คิดกันว่าพระยาศรีธรรมาโศกราชทรงมีความรักเสน่หา ทรงโปรดปรานแต่พระนางอสันธมิตตายิ่งนัก ต่างก็ไม่พอใจ มีความอิจฉาริษยา จึงพูดตำหนิว่าสมเด็จพระเจ้าเหนือหัวของพวกเราทรงคิดว่าพระนางอสันธิมิตตาผู้เดียวเท่านั้นทรงเป็นยอดหญิง ทรงมีพระราชจริยาวัตรอันงดงาม ทั้งทรงเป็นกุลสตรีกัลยาณี ผู้เลิศเลออีกด้วย ส่วนหญิงคนอื่นชะรอยจะไม่เป็นยอดหญิง ไม่มีคุณสมบัติเทียบเท่าพระนางได้ ด้วยเหตุนี้เองพระองค์จึงไม่ทรงมองดูพวกเราเต็มถึง ๒ พระเนตร ไม่ทรงอาลัยใยดีต่อพวกเราเลย เรื่องนี้ความทรงทราบถึงพระกรรณพระยาศรีธรรมาโศกราชจึงทรงดำริว่าการที่พวกนางเหล่านี้กล่าวตำหนิเช่นนั้นเพราะพวกเขาเป็นคนโง่เขลา เป็นคนพาล คอยจ้องแต่จะติเตียนนินทาผู้มีบุญว่าเป็นคนมักใหญ่ใฝ่สูง อันสตรีผู้มีบุญบารมีได้สร้างสมมามาก ต้องการสิ่งใดก็จะได้สมดังปรารถนา เช่นเดียวกับพระนางอสันธิมิตตานี้ นางพวกนี้ ยังไม่รู้จักผู้มีบุญเลย เพราะเป็นคนพาลโง่เขลาเบาปัญญาเราจะแสดงให้พวกเขาได้เห็นประจักษ์ว่าพระนางอสันธิมิตตาเป็นผู้มีบุญจริงๆ

ในวันหนึ่งพระยาศรีธรรมาโศกราชทรงมีรับสั่งให้นำขนมต้มมา ๑๖,๐๐๐ ลูก ทรงถอดพระธำมรงค์วงหนึ่งออกจากพระกร แล้วทรงใส่เข้าไว้ในขนมลูกหนึ่ง เสร็จแล้วทรงวางขนมลูกที่มีพระธำมรงค์นั้นไว้บนขนมลูกอื่นๆ ครั้นแล้วจึงทรงโปรดให้เรียกนางสนมทั้ง ๑๖,๐๐๐ นาง มาชุมนุมพร้อมกันแล้วจึงตรัสว่า น้องนางทั้งหลาย เจ้าจงเลือกขนมต้มในตะไลทองนั้นไว้คนละ ๑ ลูก เมื่อเลือกได้ครบทุกคนทั้ง ๑๖,๐๐๐ ลูกแล้วก็จะยังเหลือขนมต้มอยู่อีกเพียงลูกเดียวเป็นลูกสุดท้าย เราจะให้พระนางอสันธิมิตตารับเอาขนมลูกสุดท้ายนั้นไว้ ขนมต้มทั้ง ๑๖,๐๐๐ ลูก กับเศษอีกหนึ่งลูกนั้น เราใส่พระธำมรงค์ของเราไว้ ภายในอยู่ลูกหนึ่ง แล้วตั้งจิตอธิษฐานว่า ถ้าสตรีนางใดมีบุญญาบารมีขอให้หยิบได้ขนมลูกที่มีพระธำมรงค์เถิด พวกเจ้าก็จงพากันตั้งใจอธิษฐานนึกเอา แล้วเลือกหยิบเอาคนละหนึ่งลูกตามใจชอบเถิด

ลำดับนั้นนางสนมทั้งหลายจึงเลือกหยิบเอาขนมต้มในตะไลทองคนละ ลูกจนครบทั้ง ๑๖,๐๐๐ นาง จึงยังคงเหลือขนมต้มอยู่ในตะไลทองเพียงลูกเดียว

พระยาศรีธรรมาโศกราชจึงรับสั่งให้อสันธิมิตตาราชเทวีทรงไปรับขนมต้มลูกสุดท้ายนั้น ทรงพระดำเนินไปด้วยพระราชอิริยาบถอันงดงาม ทรงหยิบเอาขนมต้มลูกนั้นมาทรงถือไว้ในพระหัตถ์ ต่อจากนั้นพระยาศรีธรรมาโศกราชจึงตรัสแก่นางสนมเหล่านั้นว่า พวกเจ้ามีขนมต้มอยู่ในมือทุกคน จงบิ ขนมต้มของตนออกมาดู ถ้าผู้ใดได้พระธำมรงค์ของเราจงนำเอามาคืนให้เรา เราจะได้รู้ว่าผู้นั้นเป็นคนมีบุญจริง เมื่อนางสนมทั้ง ๑๖,๐๐๐ นางบิขนมต้มในมือของตนออกดูก็ไม่พบพระธำมรงค์แม้แต่คนเดียว พระยาศรีธรรมาโศกราช จึงทรงจับเอาขนมต้มลูกที่อยู่ในพระหัตถ์ของพระนางอสันธิมิตตาราชเทวีมา แล้วทรงบิออกต่อหน้านางสนมทั้งหลาย ตรัสเรียกให้เข้ามาดูใกล้ๆ ทรงนำพระธำมรงค์ออกจากขนมต้มลูกนั้นต่อหน้านางสนมทุกคน แล้วตรัสว่าพระนาง อสันธิมิตตานี้ทรงมีบุญมากกว่าเจ้าทุกคน แต่พวกเจ้าไม่รู้ว่าพระนางได้ทรง บำเพ็ญบุญกุศลมาแล้วแต่ชาติปางก่อน พวกเจ้าตำหนิติเตียนกล่าวขวัญเราว่ารักและโปรดปรานพระนางเพียงผู้เดียว วันนี้เราจึงแสดงบุญของพระนางให้พวกเจ้าได้เห็นประจักษ์กันทุกคน

เมื่อพระนางอสันธิมิตตาได้ทรงสดับพระบรมราชโองการที่ทรงประกาศ พระบุญบารมีของพระนางให้ปรากฏเช่นนั้น พระนางทรงมีพระประสงค์ใคร่จะทรงแสดงบุญบารมีที่ได้ทรงบำเพ็ญแต่อดีตชาติปางก่อนให้เป็นที่ประจักษ์แจ้งชัด จึงทรงถือผอบแก้วด้วยพระหัตถ์เบื้องซ้าย ทรงชักผ้าทิพย์ออกจากผอบแก้วนั้นด้วยพระหัตถ์เบื้องขวาได้จำนวน ๑,๐๐๐ ผืน จึงทรงนำมาถวายพระยาศรีธรรมาโศกราชต่อหน้านางสนมทั้ง ๑๖,๐๐๐ นาง ทรงชักผ้าทิพย์ออกจากผอบแก้วนั้นอีก แล้วพระราชทานแก่เจ้าพระยาผู้ทรงปกครองหัวเมืองชนบทต่างๆ องค์ละ ๕,๐๐๐ ผืน พระราชทานแก่พระยุพราชรัชทายาทแห่งเจ้าพระยาเหล่านั้นองค์ละ ๑๐๐ ผืน พระราชทานแก่พระบรมวงศานุวงศ์ประจำ ราชตระกูลองค์ละ ๕๐ ผืน พระราชทานแก่พระชายาของเจ้าพระยาตามหัวเมืองชนบทต่างๆ องค์ละ ๕๐ ผืน พระราชทานแก่องคมนตรีและเสนาบดีคนละ ๕๐ ผืน พระราชทานแก่นางสนมทั้ง ๑๖,๐๐๐ นาง คนละ ๒๕ ผืน พระราชทานแก่ไพร่ฟ้าประชาราษฎรและพสกนิกรทั้งหญิงและชายทุกคนที่อยู่ในเมืองปาตลีบุตรมหานครนั้นคนละ ๒๒ ผืน

ในกาลครั้งนั้น พระยาศรีธรรมาโศกราชและเจ้าพระยาสามันตราช ซึ่งปกครองหัวเมืองรอบนอก ตลอดทั้งพระบรมวงศานุวงศ์เสนาบดีทแกล้วทหาร ไพร่ฟ้าประชาราษฎร์ที่มาประชุมพร้อมกันอยู่ ณ สถานที่นั้นต่างก็ได้เห็นพระนางอสันธิมิตตาทรงชักผ้าทิพย์ออกจากผอบแก้วลูกเดียวนั้นไม่รู้จักหมดสิ้นไปเลย ดังนั้นรู้สึกฉงนอัศจรรย์ใจยิ่งนัก ต่างโห่ร้องเปล่งเสียงสาธุการถวายพระพรกันกึกก้องไปทั่วแผ่นดินเมืองปาตลีบุตรมหานครทีเดียว

ครั้นพระยาศรีธรรมาโศกราชได้ทอดพระเนตรเห็นสิ่งแปลก ซึ่งไม่เคยมีปรากฏมาก่อนเช่นนั้น ยิ่งทรงอัศจรรย์ใจเป็นทวีคูณ ทรงมีพระประสงค์ ใคร่จะทรงทราบมูลเหตุบุญบารมีของพระนางที่ได้ทรงบำเพ็ญมาแต่ปางก่อน จึงตรัสถามว่า นางอสันธิมิตตาราชเทวี ผอบแก้วที่เราเห็นเจ้าได้มานี้ ดูแล้วช่างน่าพิศวงแก่ใจเราเหลือเกิน เพราะว่าเราไม่รู้เรื่องผอบแก้วนี้มาก่อน เจ้าได้สิ่งวิเศษนี้มาจากไหนเชิญเจ้าจงบอกเรามาเถิด เราจะขอชมบุญเจ้า

เมื่อพระนางเจ้าอสันธิมิตตาราชเทวีจะทรงแสดงบุญบารมีของพระองค์ ที่ได้ทรงบำเพ็ญมาแต่ชาติปางก่อน จึงทรงกราบทูลว่า เมื่ออดีตชาติปางก่อนนั้น หม่อมฉันได้ถวายผ้าผืนหนึ่งแก่พระปัจเจกพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง พระไพศรพณ์มหาราชทรงเป็นทิพยพยานแก่หม่อมฉัน เมื่อพระองค์ทรงมีพระบัญชารับสั่งให้หม่อมฉันจัดหาผ้าไตรจีวรให้ได้ครบ ๖๐,๐๐๐ ไตร เพื่อทรงถวายพระสงฆ์ ๖๐,๐๐๐ รูป นั้น หม่อมฉันมีความทุกข์โศกร้อนใจเป็นกำลัง นอนกระสับกระส่ายไปมาอยู่บนที่นอนจนดึกดื่นเที่ยงคืนก็หลับไม่ลง คืนนั้นพระไพศรพณ์มหาราชเสด็จผ่านหน้าต่างปราสาทที่หม่อมฉันกำลังนอนอยู่ พร้อมด้วยยักษ์บริวาร ทรงได้ยินเสียงถอนใจคิดหาผ้าไตรจีวรของหม่อมฉันอยู่นั้น จึงเสด็จลงจากยานทิพย์เสด็จเข้าไปตรัสแก่หม่อมฉันว่า พระนางอสันธิมิตตาราชเทวี พระนางทรงอย่าได้มีความทุกข์โศกไปเลย ขอจงทรงนึกย้อนหลังไปถึงอดีตชาติก่อนโน้น ว่าทรงได้เคยถวายทานเป็นผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งแก่พระปัจเจกพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ขอพระนางเจ้าอย่าได้ทรงวิตกร้อนพระทัยในเรื่องนี้ไปเลย อานิสงส์ผลบุญของพระนางที่ได้ทรงถวายผ้าเช็ดหน้าผืนเดียวแก่พระปัจเจกพุทธเจ้าในอดีตนั้นจะบันดาลให้พระนางทรงได้รับผ้าทิพย์ในบัดนี้ ครั้นตรัสดังนั้นแล้ว พระไพศรพณ์มหาราชจึงพระราชทานผอบแก้วใบหนึ่งใส่ไว้ในมือของหม่อมฉัน พร้อมกับตรัสสั่งว่าถ้าพระนางทรงมีพระประสงค์ใคร่จะทรงได้ผ้า จงทรงถือผอบแก้วนี้ด้วยพระหัตถ์เบื้องซ้าย ทรงใช้พระหัตถ์เบื้องขวาจับชายผ้า ทิพย์ชักออกจากผอบแก้วเถิด นับตั้งแต่หม่อมฉันได้ผอบแก้วนี้มาเป็นสมบัติของตน ไม่ว่าหม่อมฉันจะต้องการผ้าจำนวนเท่าใดหรือสีสันชนิดไหนก็จะได้สมตามใจปรารถนาทุกประการ เช่นถ้าต้องการผ้าสีขาว ผ้าสีแดง ผ้าสีดำ ผ้าสีเหลือง ผ้าสีแดงอ่อน หรือผ้าสีต่างๆ ทุกสี ก็จะได้ดังใจนึกทุกอย่าง ถ้าหม่อมฉันต้องการจะนำผ้าจากผอบแก้วออกปูลาดให้ทั่วพื้นชมพูทวีปซึ่งกว้างได้ ๑๐,๐๐๐ โยชน์นี้ ก็จะสามารถปูลาดได้ทั่วทั้งหมดทีเดียว ผ้าในผอบแก้วจะไม่มีวันหมดสิ้นไปเลย ทั้งนี้เพราะอำนาจผลบุญที่หม่อมฉันได้ถวายผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งแก่พระปัจเจกพุทธเจ้าแต่ชาติก่อนนั้นได้ส่งผลให้หม่อมฉันจนถึงทุกวันนี้

เมื่อพระนางอสันธิมิตตาได้ทรงแสดงผลบุญที่พระองค์ได้ทรงบำเพ็ญ มาแต่อดีตชาติแด่พระราชาให้ทรงได้ทราบโดยประจักษ์เป็นที่ชื่นชมแล้ว จึงทรงถวายคติธรรมเป็นสุภาษิตสืบต่อไปว่า บรรดาเทวดาและมนุษย์ที่เกิดมาในโลกนี้ยากนักที่จะได้พบพระพุทธพระธรรมและพระสงฆ์ ผู้ใดมีปัญญาเฉลียวฉลาดรู้หลักธรรมคำสอน เร่งขวนขวายให้ทานรักษาศีลและเจริญภาวนาบ่อยๆ ก็จะได้บรรลุถึงนวโลกุตรธรรมทั้ง ๙ อย่าง นำตนเข้าสู่ประตูพระนครแห่งนิพพาน ผู้ที่จะได้มาเกิดเป็นมนุษย์ในแผ่นดินนี้หาได้ยากอย่างยิ่งเพราะผู้ที่เป็นมนุษย์ได้นั้นจะต้องเป็นผู้มีใจเลื่อมใสศรัทธายึดมั่นในศีลธรรม รู้หลักธรรม เชื่อผลบุญเชื่อผลบาป ประพฤติดีปฏิบัติชอบอยู่เสมอ ผู้ที่มีคุณสมบัติดังกล่าวมานี้หาได้ยากยิ่ง อีกอย่างหนึ่ง ถ้ามนุษย์มีใจเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนา เชื่อบุญเชื่อบาป รู้หลักธรรมเป็นอย่างดี ครั้นได้ฟังธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้วตั้งอยู่ในพระพุทธโอวาท นำพระธรรมคำสอนไปประพฤติปฏิบัติเช่นนี้ ก็จัดว่าหาได้ยากยิ่ง และถ้าได้ฟังธรรมแล้วจดจำพระธรรมคำสอนนั้นเป็นอย่างดี นำไปแนะนำพรํ่าสอนผู้อื่นให้รู้ตามสืบต่อไป อย่างนี้ก็จัดว่าหาได้ยากอย่างยิ่ง การได้อัตภาพหรือร่างกายเกิดมาเป็นคนนี้ก็จัดว่าหาได้ยากยิ่งเช่นกัน เรื่องทุกอย่างตามที่หม่อมฉันได้กราบทูลมานี้ พระองค์ก็ทรงทราบมาแล้วเป็นอย่างดีว่าหาได้ยากยิ่งจริงๆ ด้วยเหตุนี้แหละ หม่อมฉันจึงทำผิดล่วงละเมิดพระบรมราโชวาท บังอาจทูลถวายข้อแนะนำแก่พระองค์ซึ่งเป็นสิ่งมิบังควรเลย ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปขอพระองค์จงทรงบำเพ็ญพระราชกุศลในพระพุทธศาสนา จงทรงเร่งสดับพระธรรมอันประเสริฐ จงทรงรักษาศีล จงทรงทำบุญให้จงหนักในพระพุทธศาสนาเถิด เพราะว่าทั้งหม่อมฉันและพระองค์จะมีโอกาสได้พบพระพุทธศาสนานั้นดูช่างหายากยิ่งนัก บุญและธรรมที่ได้บำเพ็ญในสำนักของพระพุทธเจ้าพระปัจเจกพุทธเจ้าและพระอรหันตขีณาสพทั้งหลายเป็นอานิสงส์ผลบุญมากมายยิ่ง ต่อจากนี้ไปเบื้องหน้า ขอพระองค์จงทรงหมั่นบำเพ็ญบุญ จงทรงหมั่นบริจาคทาน จงทรงหมั่นสดับพระธรรม จงทรงหมั่นรักษาศีล ทรงเอาพระทัยใส่ให้ดีอย่าได้ทรงทอดธุระ โปรดอย่าได้ทรงโกรธแค้นผู้ใดจงทรงคบหาพระสหายผู้ดีมีศีลธรรมเถิด อย่าได้ทรงมีความประมาทในธรรม ทุกเมื่อเลย

ครั้นพระยาศรีธรรมาโศกราชได้ทรงสดับคำอนุโมทนาเป็นคติธรรม น่านิยมของพระนางอสันธิมิตตาราชเทวีเช่นนั้น จึงตรัสกับพระนางว่านับแต่นี้ต่อไปเราจะเชื่อฟังเจ้า ผิดชอบชั่วดีอย่างไร ขอให้น้องนางผู้มีบุญจงว่ากล่าวตักเตือนเราได้ทุกเมื่อ เราจะเชื่อฟังเจ้าทุกอย่าง นับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา พระยาศรีธรรมาโศกราชผู้ทรงมีพระราชอำนาจนั้นทรงมีพระบุญญาบารมีมาก ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลอันยิ่งใหญ่ เป็นต้นว่าทรงสร้างพระมหาธาตุ (พระมหาเจดีย์) ๘๔,๐๐๐ องค์ ในกลางชมพูทวีปทั่วทุกพระนคร ทรงสร้างพระมหา¬วิหาร ๘๔,๐๐๐ แห่ง (ตำบล) ทรงอังคาสถวายภัตตาหารแก่พระสงฆ์ ๖๐,๐๐๐ รูป เป็นประจำวันละ ๖๐,๐๐๐ สำรับ ด้วยประการฉะนี้ พระเกียรติยศเกียรติศักดิ์ตลอดทั้งราชสมบัติของพระองค์บรรดามีที่ทรงจัดไว้สำหรับอุปถัมภ์บำรุง พระพุทธศาสนาและอังคาสเลี้ยงดูพระสงฆ์เป็นประจำทุกวันนั้นมีมากมาย จัดอยู่ในสมบัติของจุลจักรพรรดิราชทีเดียว

บรรดาผู้มีบุญบารมีมาก มีลาภยศอันยิ่งใหญ่มีสมบัติมากมายใน แผ่นดินนี้ก็จะยังมีไม่เท่าราชสมบัติปรกติของพระเจ้าจักรพรรดิและจุลจักรพรรดิสักแห่งเดียว แต่ก็ยังมีพระบรมราชผู้ทรงมีพระบุญญาธิการ ทรงมีมหิทธาภินิหารมาก ทรงมีพระเกียรติยศ พระเกียรติศักดิ์ยิ่งใหญ่ไพศาล และทรงมีราชสมบัติมากมายยิ่งกว่าราชสมบัติของพระเจ้าจักรพรรดิและจุลจักรพรรดิทั้งสองนั้นอยู่ คือพระเจ้ามันธาตุราช พระองค์ทรงมีพระบรมเดชานุภาพแผ่คลุมไปถึงเทวโลกทีเดียว เพราะนอกจากพระองค์จะได้เสวยราชสมบัติในมหาทวีป ทั้ง ๔ ในมนุษย์โลกแล้ว ยังได้เสวยทิพย์สมบัติในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชและชั้นดาวดึงส์อีกด้วย ทรงอุดมสมบูรณ์ไปด้วยสมบัติทิพย์ ทรงมีนางฟ้าเทพธิดาผู้มีรูปโฉมมีใบหน้าพริ้มเพราเฉิดฉายงามยิ่งห้อมล้อมเป็นบริวาร อีกทั้งหมู่เทวดาต่างก็มากราบไหว้สักการบูชาทุกคืนนั้น เหมือนขุนนางทั้งหลายเข้าเฝ้าถวายบังคม สมเด็จพระมหาจักรพรรดิฉะนั้น พระบุญญาบารมีของพระองค์นั้น มีมากมายเหลือล้นสุดที่จะพรรณนา และสามัญชนผู้มีบุญบารมีมาก มีทรัพย์สมบัติ และข้าทาสบริวารมากเทียบได้กับพระราชาผู้ประเสริฐก็มีอยู่ตามเมืองใหญ่ๆ เช่นโชติกเศรษฐี ชาวเมืองราชคฤห์ เป็นต้น

คณะทำงานโครงการวรรณกรรมอาเซียน

ปริณายกรัตนะ (ขุนพลแก้ว)

พระยามหาจักรพรรดิราชนั้น ทรงมีพระโอรส ๑,๐๐๐ พระองค์ พระโอรสเหล่านั้นทรงมีพระสิริโฉมสง่างามยิ่ง ทั้งทรงมีพระปรีชาสามารถแกล้วกล้า อาจหาญทุกพระองค์ ส่วนพระราชโอรสองค์ใหญ่ ทรงมีพระปรีชาขุนพลแก้วสามารถเฉลียวฉลาดกว่าพระโอรสองค์อื่นๆ ทั้งนี้ก็ด้วยพระบุญญาบารมีของพระยามหาจักรพรรดิราชที่ได้ทรงบำเพ็ญมาแต่ชาติปางก่อน จึงทรงมีแก้วคู่พระบารมีอีกประการหนึ่ง คือขุนพลแก้ว อันได้แก่ พระราชโอรสแก้ว พระราชโอรสแก้ว นั้นทรงมีพระปรีชาสามารถมาก ทรงหยั่งรู้จิตใจของคนอื่นได้ ทรงรู้คนดีคนชั่ว แม้จะอยู่ไกลถึง ๑๒ โยชน์ ก็ทรงหยั่งรู้ความรู้สึกนึกคิดของทุกคนทีเดียว

พระองค์ทรงมีพระประสงค์จะทรงปฏิบัติราชกิจแทนพระราชบิดา จึงเสด็จเข้าเฝ้าแล้วทรงกราบทูลว่า

ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป งานบริหารราชการแผ่นดินและพระราชกรณียกิจ อื่นใดของพระราชบิดา พวกข้าพระองค์ขอดำเนินการจัดทำแทนตามความรู้ ความสามารถให้ถูกต้องชอบธรรมตามพระราชประเพณี มิให้เป็นที่ขัดเคืองพระราชหฤทัย ขอจงทรงพระเกษมสำราญเสวยสุขทุกประการเถิด

นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา พระยามหาจักรพรรดิราชมิได้ทรงกังวล พระทัยในราชการบ้านเมืองและพระราชกิจทุกอย่าง เพราะพระราชโอรสแก้ว ทรงบริหารการบ้านการเมืองและทรงปฏิบัติพระราชภารกิจต่างพระเนตรพระกรรณ รัตนะคือแก้วอันประเสริฐสำหรับประดับพระบุญญาบารมีของพระยามหาจักรพรรดิราชผู้มาก ก็มีครบถ้วนทั้ง ๗ ประการดังกล่าวมาโดยลำดับแล้วนั้น

พระยามหาจักรพรรดิราชทรงเป็นประมุขแห่งคนทั้งหลายในพื้นแผ่นดิน ทั้ง ๔ ทวีป ซึ่งมีทวีปเล็ก ๒,๐๐๐ ทวีปเป็นบริวาร ภายในขอบเขตจักรวาลนี้ พระองค์ทรงตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรมทุกเวลา ผู้ที่ตั้งอยู่ในพระโอวาทคำสั่งสอนของพระองค์ เมื่อสิ้นชีวิตลงจะได้ไปเกิดในสวรรค์ ส่วนผู้ไม่ตั้งอยู่ในพระบรมราโชวาท มีใจบาปหยาบช้าไม่มีศีลธรรมนั้น พระองค์ไม่ทรงโปรดปรานและตรัสเจรจาด้วยเลย

ตราบใดที่พระยามหาจักรพรรดิราชยังทรงพระชนม์อยู่ กงจักรแก้ว ก็ยังคงสถิตอยู่ประดับพระบารมีอยู่ตราบนั้น ไม่คลาดเคลื่อนลอยไปไหนเลย แต่เมื่อใดพระยามหาจักรพรรดิราชเสด็จสวรรคต กงจักรแก้วนั้นจึงจะเคลื่อนจากเรือนแก้วที่อยู่ลงสู่ท้องมหาสมุทรซึ่งเคยสถิตอยู่แต่เดิม แก้วคู่พระบารมีของพระยามหาจักรพรรดิราชจะเคลื่อนจากพระยามหาจักรพรรดิราช ในกรณีต่อไปนี้ คือ ก่อนพระยามหาจักรพรรดิราชจะเสด็จสวรรคต ๗ วัน ก่อนพระยามหาจักรพรรดิราชจะเสด็จออกผนวช ๗ วัน ก่อนพระพุทธเจ้าจะเสด็จอุบัติขึ้นในโลก ๗ วัน

เมื่อใดพระยามหาจักรพรรดิราชเสด็จอุบ้ติขึ้นมาอีก กงจักรแก้วก็จะขึ้นจากท้องมหาสมุทรไปเป็นแก้วคู่พระบารมีของพระองค์เหมือนดังแต่ก่อนมา เมื่อจักรแก้วซึ่งเป็นผู้นำของแก้วคู่พระบารมีทั้งหลายคลาดเคลื่อนลอยจากพระยามหาจักรพรรดิราชไปแล้ว แก้วคู่พระบารมีอื่นๆ ก็มีอันจากไปเสื่อมไปตามลำดับ เช่น ช้างแก้วตระกูลอุโบสถหรือช้างแก้วตระกูลฉัททันต์ก็จะกลับคืนไปสู่ตระกูลของตนตามเดิม ทั้งม้าแก้วตระกูลพลาหกก็กลับคืนไปอยู่ในตระกูลของตนตามเดิมเหมือนกัน ทั้งแก้วมณีพร้อมด้วยแก้วบริวาร ๘๔,๐๐๐ ชนิด ก็กลับคืนไปสู่เขาพิบูลบรรพตตามเดิม ส่วนพระนางแก้วนั้นถ้าพระนางเสด็จมาแต่อุตตรกุรุทวีปพระนางก็จะเสด็จกลับคืนสู่อุตตรกุรุทวีปอย่างเดิม แต่ถ้าพระนางแก้วนั้นเสด็จอุบัติในแผ่นดินที่เราอาศัยอยู่นี้ รัศมีที่เคยแผ่ซ่านออกจากพระวรกายของพระนางก็จะดับสูญหายไปสิ้น จะทรงมีผิวพรรณเหมือนหญิงสามัญทั่วไป

ส่วนขุนคลังแก้วซึ่งแต่ก่อนเคยมองเห็นหรือได้ยินสิ่งที่อยู่ไกลได้ก็กลับ มองไม่เห็นหรือได้ยินไม่ได้ไกลดังแต่ก่อนหรือแม้แต่จะคิดอยากได้สิ่งใดก็จะไม่ได้สมใจนึกเหมือนแต่ก่อนอีก ทั้งขุนพลแก้ว คือ พระราชโอรสแก้ว ซึ่งแต่ก่อนทรงเฉลียวฉลาดเฉียบแหลมมากก็กลับลดน้อยลง ทรงไม่สามารถหยั่งรู้จิตใจของใครได้อีกเลย แต่บางครั้งพระราชโอรสแก้วนั้นทรงมีพระบุญญาภินิหาร และทรงมีพระบรมเดชานุภาพมาก ทรงได้เป็นพระยามหาจักรพรรดิราชสืบแทนพระราชบิดา ก็จะทรงหยั่งรู้ธรรมอันประเสริฐทุกอย่างเช่นเดียวกับพระราชบิดา

เมื่อพระยามหาจักรพรรดิราชสวรรคตแล้ว พระบรมศพได้รับการ ชะโลมด้วยกระแจะจวงจันทน์อันหอม มัดตราสังด้วยผ้าขาวเนื้อละเอียด แล้วนำสำลีอย่างดีที่ตีได้ร้อยครั้งมาห่อชั้นหนึ่งใช้ผ้าขาวอันละเอียดมาห่อทับอีกชั้นหนึ่ง แล้วนำสำลีอันละเอียดบริสุทธิ์มาห่อทับอีกชั้นหนึ่ง ห่อสลับกันอยู่อย่างนั้น จนถึง ๑,๐๐๐ ชั้น คือห่อด้วยผ้า ๕๐๐ ชั้น ห่อด้วยสำลี ๕๐๐ ชั้น นำนํ้าหอมซึ่งอบได้ ๑๐๐ ครั้งมาสรงพระบรมศพ เสร็จแล้วจึงอัญเชิญพระบรมศพบรรจุไว้ ในโกศทองประดับด้วยหินดำถมอมีลวดลายและสีสันต่างๆ งดงามละเอียดและ ประณีตยิ่งนัก

อัญเชิญพระบรมศพขึ้นสู่เชิงตะกอน เพื่อถวายพระเพลิงด้วยแก่นจันทน์ และกฤษณาทั้งห้า บูชาด้วยข้าวตอกดอกไม้มากมาย ครั้นถวายพระเพลิงแล้ว ชาวพระนครจึงนำพระอัฐิธาตุไปบรรจุไว้ในเจดีย์ที่ก่อไว้ในทางสี่แพร่งกลางใจเมือง เพื่อให้คนทั้งหลายได้ไปกราบไหว้สักการบูชา ผู้ใดได้กราบไหว้บูชา ครั้นตายไปจะได้ไปเกิดในสวรรค์เหมือนได้กราบไหว้สักการบูชาพระปัจเจกพุทธเจ้า และพระอรหันต์ แต่ผู้ที่กราบไหว้บูชาพระปัจเจกพุทธเจ้าและพระอรหันต์อาจจะได้รับสมบัติ ๓ ประการ คือ มนุษยสมบัติ สวรรคสมบัติ และนิพพานสมบัติ ส่วนผู้ที่กราบไหว้สักการบูชาพระยามหาจักรพรรดิราชอาจจะได้สมบัติเพียง ๒ อย่าง คือ มนุษยสมบัติและสวรรคสมบัติเท่านั้นไม่สามารถได้นิพพานสมบัติ โดยเหตุที่พระยามหาจักรพรรดิราชยังทรงเป็นปุถุชนอยู่นั่นเอง

ถึงแม้พระยามหาจักรพรรดิราชทรงมีพระบุญญาเดชานุภาพมาก ทรงมี พระราชอำนาจเหนือข้าศึกศัตรู ทรงสามารถปราบได้ทั่วทั้ง ๔ ทวีป พระองค์ ก็ยังเสด็จสวรรคต ไม่ทรงพระชนม์ชีพยั่งยืนอยู่ได้ตลอดกาล ตราบใดที่ยังไม่พ้นจากกิเลสและกองทุกข์ พระองค์ก็จะทรงเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสารนี้อยู่ตราบนั้น แต่เมื่อพ้นจากกิเลสและกองทุกข์ได้บรรลุธรรมถึงพระนิพพานแล้ว จึงจักพ้นจากทุกข์ในวัฏสงสารนี้ได้

คณะทำงานโครงการวรรณกรรมอาเซียน

คหปติรัตนะ(ขุนคลังแก้ว)

ครั้งนั้นพวกโหราพฤฒาจารย์เข้าเฝ้าพระยามหาจักรพรรดิราชแล้ว กราบทูลว่า ตั้งแต่พระองค์ทรงได้เป็นพระยามหาจักรพรรดิราชมานั้น เครื่องประดับพระบุญญาบารมีของพระองค์ยังมีไม่ครบถ้วนเลย พระยามหาจักรพรรดิราชจึงทรงบำเพ็ญพระราชกุศลด้วยการทรงบริจาคทาน ทรงสมาทานรักษาศีล ครั้นแล้วทรงดำริถึงผู้มีบุญญาภินิหาร มีอำนาจราชศักดิ์ที่จะมาเป็นขุนคลังประจำพระราชสำนัก ในกาลครั้งนั้น ยังมีมหาเศรษฐีคนหนึ่ง เป็นผู้สืบเชื้อสายวงศ์ตระกูลเก่าแก่ของมหาเศรษฐีมาแต่โบราณกาล ผู้เป็นขุนคลังนั้นสามารถจะทำการงานให้เป็นที่พอพระราชหฤทัยของพระยามหาจักรพรรดิราชทุกประการได้

แม้หากพระองค์ทรงดำริถึงทรัพย์สิ่งใด เพื่อทรงรับมาเป็นสมบัติส่วน พระองค์ ขุนคลังก็สามารถนำมาถวายได้ทุกอย่างตามพระราชประสงค์ และมหาเศรษฐีนั้นได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งขุนพระคลังแก้วประจำพระราชสำนัก ด้วยอำนาจพระบุญญาบารมีของพระยามหาจักรพรรดิราชนั้นเอง

ขุนคลังแก้วนั้นมีอำนาจพิเศษประจำตัวอยู่ สามารถมองเห็นหรือได้ยิน เสียงสิ่งที่อยู่ไกลลี้ลับได้ เหมือนมีตาทิพย์หูทิพย์ ดั่งเทพยดาในสวรรค์ชั้นฟ้าทีเดียว บรรดาแก้วแหวนเงินทองที่อยู่บนแผ่นดินนี้หรืออยู่ใต้แผ่นดินลึกลงไปถึง ๑๖ โยชน์ หรือแม้อยู่ในท้องมหาสมุทร ขุนคลังแก้วนั้นสามารถมองเห็นทุกอย่าง ถ้าเขานึกอยากให้สิ่งใดเป็นต้นว่าแก้วแหวนเงินทองมาเป็นของตน ทุกอย่างก็จะหลั่งไหลมาหาเขาตามใจนึก หรือถ้าขุนคลังแก้วประสงค์จะให้เป็นเครื่องถนิม พิมพาภรณ์ หรือสิ่งอื่นใดก็ตาม แก้วแหวนเงินทองเหล่านั้นก็จะเปลี่ยนสภาพไปตามใจนึกของขุนคลังแก้วทุกประการ เขาเข้าเฝ้าพระยามหาจักรพรรดิราช แล้วกราบทูลว่า ขอพระองค์ทรงพระเกษมสำราญในราชสมบัติเถิด อย่าได้ทรงวิตกกังวลเลย หากทรงมีพระประสงค์ทรัพย์สมบัติใดๆ ขอได้โปรดเรียก เอาจากข้าพระพุทธเจ้าแต่เพียงผู้เดียว ข้าพระพุทธเจ้าผู้เดียวจะจัดหามาถวายทุกอย่าง ถ้าหากพระองค์ทรงมีพระราชประสงค์จะพระราชทานบำเหน็จรางวัล แก่ไพร่ฟ้าประชาราษฎร์ของพระองค์ ข้าพระพุทธเจ้าจะจัดหามาถวายให้เพียงพอตามพระราชประสงค์ ขอพระองค์อย่าได้ทรงคิดระแวงสงสัยเลย ไม่ว่าพระองค์จะพระราชทานทรัพย์สมบัติมากน้อยเพียงใด ขอจงพระราชทานได้ตามพระราช ประสงค์เถิด ขออย่าได้ทรงเป็นกังวลพระหฤทัยเลย

เมื่อขุนคลังแก้วรำลึกนึกในใจอยากได้สิ่งใด สิ่งนั้นก็เกิดเพิ่มพูนขึ้นตาม ใจนึก แก้ว ๗ ประการ มีมากมายเต็มท้องขุนคลังแก้วพระคลัง เมื่อทุกอย่างเป็นไปตามความประสงค์แล้ว ขุนคลังแก้วจึงเข้าเฝ้าแล้วกราบทูลว่า ตั้งแต่บัดนี้ไปเบื้องหน้า ข้าพระพุทธเจ้าจะจัดหาแก้ว ๗ ประการ มาถวายพระองค์ทุกเมื่อ ขอจงทรงพระราชทานแก่ไพร่ฟ้าประชาราษฎร์เถิด อย่าได้ทรงคิดเสียดายเลย และจงทรงพระราชทานตามพระราชอัธยาศัย ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปเถิด

ครั้งนั้น พระยามหาจักรพรรดิราช ทรงมีพระประสงค์ใคร่จะทรงทดลอง ศักดานุภาพของขุนคลังแก้ว จึงทรงให้จัดตกแต่งเรือพระที่นั่งประดับด้วยแก้ว ๗ ประการ แล้วทรงมีบัญชาให้สร้างปราสาทเงินปราสาททองประดับตกแต่งด้วยแก้ว ๗ ประการ ภายในเรือพระที่นั่งนั้น ครั้นแล้วพระองค์จึงเสด็จลงเรือพระที่นั่ง ประทับนั่งในปราสาท ออกไปถึงกลางมหาสมุทรในวันนั้น มีขบวนเรือสำเภาเงิน สำเภาทองและขบวนเรือนาคราชตามเสด็จเป็นบริวาร ๘๔,๐๐๐ ลำ

ลำดับนั้นพระยามหาจักรพรรดิราช รับสั่งกับขุนคลังแก้วว่า ข้าพเจ้ามี ความประสงค์ใคร่จะได้แก้ว ๗ ประการ เจ้าจงรีบหามาในกลางมหาสมุทรนี้ โดยเร็ว ฝ่ายขุนคลังแก้วกราบทูลว่า ข้าพระพุทธเจ้าจะจัดหามาถวายแต่พระองค์ตามรับสั่ง เขาจึงมองลงไปในมหาสมุทร ทันทีทันใดนั้น ตุ่มและไหมากมาย ล้วนเต็มด้วยแก้วแหวนเงินทอง ก็ผุดขึ้นเหนือนํ้าเต็มท้องมหาสมุทร ขุนคลังแก้วจึงนำเข้าถวายโดยทันที พระยามหาจักรพรรดิราชจึงทรงพระราชทานเป็นบำเหน็จรางวัลแก่บรรดาไพร่ฟ้าประชาราษฎร์ ในวันนั้นโดยไม่มีวันหมดสิ้น ขุนคลังแก้วในพระยามหาจักรพรรดิราชมีอิทธิฤทธิ์มาก ดังกล่าวมานี้

คณะทำงานโครงการวรรณกรรมอาเซียน

อิตถีรัตนะ (นางแก้ว)

ด้วยพระบุญญาธิการของพระยามหาจักรพรรดิราชจะมีนางแก้วนาง หนึ่งมาเป็นคู่พระบารมี หรือบางครั้งจะมีหญิงผู้ได้ทำบุญกุศลแต่ปางก่อนไว้มาก มาเกิดในแผ่นดินชมพูทวีปนี้ ในตระกูลกษัตริย์ในเมืองมัทราช คนทั้งอิตถีรัตนะ (นางแก้ว)หลายกล่าวขานกันว่าพระนางประสูติมาเพื่อทรงเป็นพระอัครมเหสีคู่พระบารมีของพระมหาจักรพรรดิโดยแท้ ถ้าไม่มีนางแก้วผู้มีบุญญาธิการมาเกิดในแผ่นดินนี้ไซร้ เดชอำนาจพระบุญญาบารมีของพระมหาจักรพรรดิจะบันดาลให้นางแก้วในแผ่นดิน อุดตรกุรุทวีปมาเป็นพระอัครมเหสีคู่บารมีพร้อมด้วยอาภรณ์เครื่องประดับตกแต่งทุกอย่าง ประกอบด้วยรัตนะ ๗ ประการ รุ่งเรืองสดใสงดงามยิ่ง โดยเหาะ มาเฝ้าทางอากาศ เหมือนนางฟ้าเหาะไปเฝ้าพระอินทร์ฉะนั้น แล้วเข้าเฝ้าพระยามหาจักรพรรดิราช

พระนางแก้วนั้นทรงมีพระสิริโฉมงดงามยิ่ง พระวรกายไม่สูงไม่ตํ่าเกิน ไป พระฉวีไม่ดำไม่ขาวเกินไป ทรงไม่อ้วนไม่ผอมเกินไป ทรงเป็นที่เจริญตาเจริญใจแก่ผู้ได้พบเห็น ทรงมีพระฉวีวรรณสะอาดหมดจดเกลี้ยงเกลางดงามยิ่ง ปราศจากมลทินสิ่งเศร้าหมองทุกอย่าง ฝุ่นละอองธุลีแม้น้อยนิดก็มิได้แปดเปื้อนเลย เหมือนดอกบัวถูกนํ้าแล้วไม่ติดนํ้าฉะนั้น พระสิริรูปโฉมของพระนางแก้วมีลักษณะอันงามครบถ้วนทุกประการ เป็นที่ติดตาตรึงใจของคนทั้งหลายในมนุษยโลกนี้ แม้กระนั้นก็ดี เมื่อเปรียบเทียบกับความงามของนางฟ้าเทพธิดาในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์แล้ว ความงามของพระนางแก้วจัดว่ายังเป็นรอง เพราะรัศมีในพระวรกายของพระนางแก้วมีน้อยกว่าของนางฟ้ามาก เหล่านางฟ้าในสำนักของ พระอินทร์มีรัศมีแผ่ซ่านกระจายออกไปไกลมาก ส่วนรัศมีของพระนางแก้วแผ่ซ่านออกไปไกลได้เพียง ๑๐ ศอกเท่านั้น รอบๆ พระวรกายแม้จะมืดสักเพียงใด ไม่ต้องใช้แสงสว่างจากแสงเทียนหรือตะเกียงนำทางเลย พระนางแก้วทรงมีพระพักตร์ผ่องใสโสภาเกลี้ยงเกลายิ่งนัก พระนางทรงมีพระวรกายอ่อนนุ่มดังสำลีบริสุทธิ์ที่วางทับซ้อนกันเป็นร้อยชั้น แล้วชุบด้วยนํ้ามันเปรียงโคจามจุรีสิสดใส งดงามยิ่ง พระนางทรงปรนนิบัติพระยามหาจักรพรรดิราชเจ้าเป็นที่ถูกพระราชหฤทัยยิ่งนัก ในเวลาที่พระวรกายของพระยามหาจักรพรรดิราชหนาวเย็น พระวรกายของพระนางแก้วอุ่น แต่ในเวลาที่พระวรกายของพระยามหาจักรพรรดิราชร้อน พระวรกายของพระนางแก้วกลับเย็น

อนึ่ง พระวรกายของพระนางแก้วนั้น มีกลิ่นหอมเหมือนกลิ่นแก่นจันทน์ และกฤษณาซึ่งบดและปรุงด้วยคันธารสอันหอมทั้ง ๔ ประการ(คันธารส ๔ =กลิ่นเกิดจากราก กลิ่นเกิดจากแก่น กลิ่นเกิดจากเปลือก กลิ่นเกืดจากดอก) หอมฟุ้งอยู่ตลอดเวลา

ในเวลาที่พระนางแก้วทรงเจรจาหรือทรงแย้มสรวล กลิ่นที่ฟุ้งออกจาก พระโอษฐ์หอมเหมือนกลิ่นดอกบัวนิลุบลและจงกลนีที่แย้มบานและหอมฟุ้งอยู่ตลอดเวลา ในยามที่พระยามหาจักรพรรดิราชเสด็จมาหาพระนางแก้ว เมื่อพระนางแก้วได้ทอดพระเนตรเห็น พระนางจะไม่ประทับนั่งอยู่ จะเสด็จลุกไปทรงต้อนรับพระยามหาจักรพรรดิราช แล้วตามเสด็จไปยังพระแท่นบรรทมแก้ว ทรงนำหมอนทองมาประทับนั่งถวายงานพัด ทรงปรนนิบัติบีบนวดเฟ้นพระบาทและพระกรของพระราชสวามี แล้วเสด็จลงประทับนั่งอยู่เบื้องตํ่า ไม่เสด็จขึ้นเหนือพระแท่นบรรทมแก้วก่อนพระยามหาจักรพรรดิราช แม้แต่ครั้งเดียว และเสด็จลงจากพระแท่นแก้วก่อนพระราชสวามีเสมอ ไม่ว่าพระนางแก้วจะทรงกระทำการสิ่งใดก็จะทรงกราบทูลให้พระราชสวามีทรงทราบก่อนทุกครั้ง และทรงกระทำเฉพาะสิ่งที่พระยามหาจักรพรรดิราชทรงมีรับสั่งให้ทรงกระทำเท่านั้น ทรงไม่ฝ่าฝืนหรือละเมิดพระบรรหารของพระยามหาจักรพรรดิราชแม้แต่ครั้งเดียว เพราะฉะนั้น กิจการที่พระนางแก้วทรงกระทำจึงเป็นที่โปรดปรานของพระยามหาจักรพรรดิราชทุกประการ แม้จะทรงทูลเจรจาปราศรัยก็เป็นที่พอพระทัยของพระยามหาจักรพรรดิราชยิ่งนัก และผู้ที่จะได้เป็นพระราชสวามีของพระนางแก้วมีเฉพาะพระยามหาจักรพรรดิราชเท่านั้น ไม่ทั่วไปแก่บุรุษเหล่าอื่น พระนางแก้วนั้นทรงมีความจงรักภักดีต่อพระราชสวามีเป็นที่ยิ่ง ไม่ทรงประพฤติล่วงละเมิดนอกพระทัยพระยามหาจักรพรรดิราชเจ้าแม้แต่น้อยเลย

คณะทำงานโครงการวรรณกรรมอาเซียน

มณีรัตนะ

เจ้าหน้าที่พระราชวังและพวกโหราจารย์ได้เข้าเฝ้าพระยามหาจักร พรรดิราชเจ้า แล้วกราบทูลว่า เครื่องประดับพระบุญญาบารมีของพระองค์ยังมีไม่ครบถ้วน ขอจงทรงดำริถึงดวงแก้วคู่พระบารมีของพระองค์ด้วยเถิด พระยามหาจักรพรรดิราชครั้นได้ทรงสดับดังนั้น จึงทรงบำเพ็ญพระราชกุศลด้วยการทรงบริจาคทาน ทรงสมาทานรักษาศีล ๘ ตลอด ๗ วัน ครั้นแล้วทรงดำริ ถึงแก้วรัตนะพระบุญญาบารมีที่ได้เคยทรงบำเพ็ญมา และทรงดำริถึงธรรมที่ทรงหยั่งรู้มาก่อน แล้วทรงดำริถึงแก้วมณีซึ่งเคยเป็นแก้วคู่พระบารมีของพระยามหาจักรพรรดิราชมาก่อน

มณีรัตนะเป็นแก้วดวงหนึ่ง ยาว ๔ ศอก โตเท่าดุมเกวียนขนาดใหญ่ หัวแก้วทั้งสองด้านมีดอกบัวทองติดอยู่ด้านละสองดอก มีสายแก้วมุกดามากมาย ติดในกลางแก้ว มุกและดอกบัวทองนั้นขาวงามสดใสยิ่งนักเหมือนอยู่ในกลีบดอกบัวทองนั้น แก้วดวงนี้เป็นพระยาแก้วแห่งแก้ว ๘๔,๐๐๐ ชนิด แก้วเหล่านั้นแต่ละชนิดมีขนาดไม่เท่ากัน บางชนิดมีขนาดเท่าลูกฟัก บางชนิดเท่าลูกตาล บางชนิดเท่าลูกมะตูม บางชนิดเท่าลูกมะนาว บางชนิดเท่าลูกมะม่วง บางชนิดเท่าลูกมะขามป้อม บางชนิดเท่าลูกมะกลํ่า บางชนิดกลม บางชนิดเป็น ๔ เหลี่ยม สุกใส แวววาวยิ่งและมีสีต่างกัน เช่น สีแดง สีขาว สีเขียว สีอ่อน สีแดงกํ่า สีหม่น สีด่าง สีเหลือง ดูเปล่งปลั่งรุ่งเรือง แก้วเหล่านี้มาเป็นบริวารพระยาแก้วดวงนั้น เหมือนพระยาหงส์ทองมัทราช มีหมู่หงส์ ๘๔,๐๐๐ ตัว มาห้อมล้อมเป็นบริวารฉะนั้น

พระยาแก้วดวงวิเศษ สถิตอยู่บนยอดภูเขาพิบูลบรรพต พร้อมด้วยแก้วบริวาร ๘๔,๐๐๐ ชนิดนั้น ด้วยอำนาจพระบุญญาบารมีของพระยามหาจักรพรรดิราชดลบันดาลให้แก้วดวงนั้นไม่สามารถสถิตบนยอดภูเขาตลอดไปได้ จึงเหาะมาพร้อมด้วยแก้วบริวารทั้ง ๘๔,๐๐๐ ดวง รุ่งเรืองสว่างไสวทั่วท้องฟ้าทีเดียว ว่ากันว่าแก้วเหล่านี้จะออกมาเปล่งรัศมีแข่งกับรัศมีพระจันทร์ก็ต่อเมื่อ มีพระยามหาจักรพรรดิราชเสด็จอุบัติขึ้นเท่านั้น ครั้นเมื่อพระยามหาจักรพรรดิราชสวรรคตแล้ว แก้วนั้นพร้อมด้วยบริวารจะคืนกลับไปสถิตอยู่บนยอดภูเขาพิบูลบรรพตนั้นตามเดิมเป็นเวลาช้านาน มิได้ออกมาเปล่งรัศมีแข่งกับรัศมีพระจันทร์นั้นอีกเลย รอไปจนกว่าผู้มีบุญญาธิการจะมาเกิดเป็นพระยาจักรพรรดิราชในอนาคตภายหน้าอีก และเมื่อพระยามหาจักรพรรดิราชพระองค์นั้นทรงดำริถึง แก้วดวงนั้นพร้อมด้วยบริวารจะเหาะไปหาพระองค์แล้วเปล่งรัศมีแข่งกับรัศมีพระจันทร์อีก รัศมีแก้วเหล่านั้นสุกใสแวววาว เหมือนรัศมีพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ

ในขณะที่พระยาแก้วเหาะมา จะมีแก้วบริวารห้อมล้อมมาทั้ง ๔ ด้าน คือ ด้านหน้า ด้านหลัง ด้านซ้ายและด้านขวา แล้วเข้าไปในปราสาทแห่งพระยามหาจักรพรรดิราช พร้อมด้วยบริวารเปล่งรัศมีรุ่งเรืองงดงามยิ่ง เหมือนดวงดาวเปล่งรัศมีห้อมล้อมพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ พระยาแก้วนั้นล่องลอยเข้าไปหา พระยามหาจักรพรรดิราชถึงที่ประทับ เมื่อพระองค์ได้ทอดพระเนตรเห็นดังนั้น ทรงมีพระประสงค์ใคร่จะทรงทดลองอิทธิฤทธิ์ความศักดิ์สิทธิ์ของพระยาแก้ว มณีรัตน์นั้น จึงทรงมีรับสั่งให้ทำไม้ลำหนึ่งยาว ๑๖ ศอก พอกฉาบด้วยทอง โปรดให้ตีตะเครียวทองใส่พระยาแก้วมณีนั้น ทรงให้เอาสายทองคำผูกแขวนไว้กับปลายไม้ แล้วทรงให้เจ้าพนักงานยกไม้นั้นถือนำหน้าไปก่อน จะปรากฏแสงสว่างรุ่งเรืองส่องให้เห็นหนทางทุกหนทุกแห่ง แม้ในที่มืดทั้ง ๔ ประการ ก็สว่าง ไสวไปทั่ว คือมืดเดือนดับกลางคืน มืดป่าทึบรกชัฏ มืดฟ้ามืดฝน และมืดเที่ยงคืนยามดึกสงัด ความมืดเหล่านี้ เมื่อต้องรัศมีพระยาแก้วมณีจะเกิดความสว่างไสว รุ่งเรืองให้มองเห็นทางไปทุกหนทุกแห่ง ไม่ว่าพระยามหาจักรพรรดิราชพร้อมด้วยข้าราชบริพารและรี้พลโยธา จะเสด็จไปทางใดทรงมองเห็นทางเสด็จสว่างไสวเหมือนกลางวันทีเดียว ผู้คนทั้งหลายเห็นดังนั้นต่างออกไปทำธุรกิจของตนๆ เช่น ชาวไร่ชาวนาก็ออกไปทำไร่ไถนา พวกพ่อค้าแม่ค้าก็ออกไปค้าขาย พวกช่างไม้ช่างถากก็ออกไปตัดไม้ถากไม้ เป็นต้น ทำการงานได้ทุกอย่างเช่นเดียวกับที่ทำในเวลากลางวันนั้นเอง

การที่คนทั้งหลายได้รู้จักอิทธิฤทธิ์ความศักดิ์สิทธิ์ของพระยาแก้วมณีนั้น ก็ด้วยเดชอำนาจพระบุญญาบารมีของพระยามหาจักรพรรดิราช บ้านเมือง เกิดความร่มเย็นเป็นสุขยิ่ง เหล่าอาณาประชาราษฎร์จะมีความเป็นอยู่อย่างสุขสำราญปานประหนึ่งเทพยดาในสวรรค์ซั้นฟ้าทีเดียว

คณะทำงานโครงการวรรณกรรมอาเซียน

อัศวรัตนะ (ม้าแก้ว)

เจ้าหน้าที่พระราชวังให้ปลูกสร้างโรงม้าประดับตกแต่งด้วยแก้ว ๗ ประการ เป็นต้น รุ่งเรืองสวยงามเช่นเดียวกับโรงช้าง ครั้นแล้วเจ้าพนักงานจึงนำความขึ้นกราบอัศวรัตนะ (ม้าแก้ว)ทูลพระยามหาจักรพรรดิราชว่า โรงม้าต้นสร้างเสร็จแล้ว ขอพระองค์คำนึงถึงม้าแก้วอันจะมาเป็นคู่บุญของพระองค์เถิด ครั้งนั้นพระยามหาจักรพรรดิราชทรงบำเพ็ญพระราชกุศลด้วยทรงบริจาคทานและทรงสมาทานรักษาศีล ๘ จากนั้นทรงดำริถึงพระบุญญาบารมีที่ได้เคยทรงบำเพ็ญมา ทรงดำริถึงธรรมที่ทรงหยั่งรู้มาก่อน แล้วทรงดำริถึงม้าแก้วตัวประเสริฐ ซึ่งมีชาติตระกูลสูงกว่าม้าตระกูลอื่นๆ

ทันใดนั้น ม้าพลาหก เป็นม้าชั้นดีเยี่ยม เกิดในตระกูลม้าสินธพ มีสีงดงาม ดั่งสีเมฆหมอกขาวหม่นแกมเขียวรุ้ง ดูรุ่งเรืองเหมือนสายฟ้า กีบเท้าทั้ง ๔ และหน้าผากแดง เหมือนสีครั่งสด มีรูปร่างสูงใหญ่กำยำบึกบึน ทรงพละกำลังแข็งแรง มากเหมือนรูปปั้นที่ช่างตบแต่งปั้นขึ้น สันหลังขาวนวลเกลี้ยงเกลาเป็นมันวาวราวแสงจันทร์ ขนหัวดำเลื่อมเป็นมันงามเหมือนขนคอกา มีแสงสีสุกใสรุ่งเรืองเหมือนแก้วอินทนิล ขนคอขาวอ่อนนวลสดใสเหมือนไส้หญ้าปล้องที่คนนำมาวางเรียงกันไว้แลดูงดงามยิ่ง ม้านั้นสามารถไปทางอากาศได้รวดเร็วเหมือนฤาษีผู้บำเพ็ญ เพียรจนตบะแก่กล้ามีฤทธิ์มีอำนาจมาก สามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ ฉะนั้น ด้วยอำนาจพระบุญญาบารมีของพระยามหาจักรพรรดิราช บันดาลให้ม้าแก้ว เหาะมาทางอากาศดูรุ่งเรืองสุกใส เหมือนก้อนเมฆหมอกขาวผสมรุ้งเขียว หล่นหยาดลงจากท้องฟ้าแล้วเข้าไปอยู่ในโรงทอง ที่ประดับแก้ว ๗ ประการนั้น เจ้าพนักงานจึงนำเรื่องขึ้นกราบทูลให้ทรงทราบ พระยามหาจักรพรรดิราชจึงทรงมีรับสั่งให้ประดับตกแต่งม้าแก้วตัวประเสริฐนั้นด้วยเครื่องประดับมีค่าต่างๆ เป็นต้นว่า กระดิ่งและพรวนทอง เครื่องถนิมอาภรณ์ ซองหาง พานหน้า สำหรับประดับอานแก้วแวววาวสะอาดสุกใส แล้วพาดบนหลังพระยาพาชีนั้น เท้าทั้ง ๔ ใส่พรวนทอง หูทั้งสองใส่ปลอกแก้ว คอใส่สร้อยทองมีแสงสีเรืองรองสว่างสดใส เหมือนสายฟ้า หน้าและกีบเท้าทั้ง ๔ ประดับตกแต่งด้วยทองคำ เครื่องประดับ ที่ตัวม้านั้นล้วนแต่เป็นทองและแก้ว ๗ ประการทั้งสิ้น รุ่งเรืองผ่องใสยิ่งกว่าแสงจันทร์ในคืนวันเพ็ญ ครั้นประดับตกแต่งม้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว เจ้าพนักงานจึงนำม้านั้นเข้าน้อมเกล้าถวาย พระยามหาจักรพรรดิราชเสด็จขึ้นทรงม้านั้น และม้านั้นจึงนำพระองค์เหาะไปทางอากาศพร้อมด้วยข้าราชบริพารและรี้พล โยธาทแกล้วทหารผู้ตามเสด็จ เสด็จเลียบขอบกำแพงจักรวาลเช่นเดียวกับกงจักร แก้วและช้างแก้วนั้น ครั้นแล้วจึงเสด็จกลับคืนสู่พระนครในเวลาอันรวดเร็วยังมิทันสาย ยังไม่พ้นเวลาเสวยพระกระยาหารเช้าเลย

คณะทำงานโครงการวรรณกรรมอาเซียน

หัตถีรัตนะ(ช้างแก้ว)

ครั้งนั้น บรรดาข้าราชบริพาร สั่งให้ปลูกโรงช้างแห่งหนึ่ง หลังคาและ เสาทำด้วยเงินและทองประดับตกแต่งด้วยแก้ว ๗ ประการ ตรงกลางโรงช้างทา และประพรมกระแจะจวงจันทน์อันหอม ให้สร้างแท่นทองภายในโรงช้างนั้น แล้วใช้ผ้าหลายชั้นปูบนแท่นทอง ใช้ผ้าทำหัตถีรัตนะ(ช้างแก้ว)เพดาน ตกแต่งด้วยแก้ว ๕ ประการ ดูรุ่งเรือง สดใสงดงามยิ่ง ให้ติดผ้าม่าน ประดับด้วยแก้ว ๗ ประการ แกว่งไกวไปมางามมาก มีแสงสีสุกใสแวววาวเหมือนดั่งดวงดาวบนท้องฟ้า เนื้อผ้านั้นมีกลิ่นหอม เพราะถูกอบด้วยกระแจะจวงจันทน์ มีข้าวตอกดอกไม้หอมนานาชนิด ร้อยเป็น สร้อยห้อยย้อยระย้าเป็นพุ่มพวงประดับด้วยแก้ว ๗ ประการ ติดห้อยไว้กลาง โรงช้าง ซึ่งมีรัศมีสีเขียว ขาว แดง และเหลือง สลับกันดูรุ่งเรืองแวววาวยิ่งนัก

พนักงานได้ติดผ้าเขียวขาวดำแดงและเหลืองไว้ในโรงช้าง ประดับตกแต่งด้วยแก้ว ๗ ประการ รุ่งเรืองงาม ดุจดั่งทิพยวิมานในสวรรค์ครั้นปลูกสร้างโรงช้างเสร็จแล้ว เจ้าพนักงานจึงนำเรื่องขึ้นกราบทูลพระยามหาจักรพรรดิราช ข้าทั้งหลายสร้างโรงช้างของพระองค์เสร็จเรียบร้อยแล้ว ขอพระองค์คำนึงถึงช้างแก้วอันควรจะมาเป็นช้างต้นของพระองค์เถิด

ครั้งนั้นพระยามหาจักรพรรดิราชเจ้า จึงทรงบริจาคทานเละทรงสมาทาน รักษาศีลตลอด ๗ วัน ครั้นแล้วทรงดำริถึงพระบุญญาบารมีที่ได้เคยทรงบำเพ็ญมา ทรงดำริถึงธรรมที่ทรงหยั่งรู้มาแล้ว ต่อจากนั้น ทรงดำริถึงช้างแก้วอันประเสริฐ ด้วยอำนาจพระบุญญาบารมีของพระยามหาจักรพรรดิราช บรรดาฝูงช้างแก้วทั้งหลาย มีช้างแก้วตระกูลฉัททันต์และตระกูลอุโบสถ เป็นต้น เป็นช้างร่างสูงใหญ่เผือกปลอดขาวผ่อง งดงามเหมือนดั่งรัศมีดวงจันทร์วันเพ็ญ มีเท้าแดงสดใสเหมือนดั่งแสงทองในยามอรุณรุ่ง งดงามสมส่วนเหมือนดั่งช่างปั่นแต่ง มีงวงแดงเข้มงามดั่งดอกบัวแดง สามารถเหาะเหินเดินอากาศได้อย่างรวดเร็ว เหมือนดั่งพระอรหันต์ผู้มีฤทธิ์ มีอำนาจเหาะเหินเดินอากาศได้อย่าง รวดเร็วฉะนั้น ช้างแก้วนั้นมีรูปร่างสูงใหญ่ดุจดังภูเขาเงิน พระวิษณุกรรมนำ หิงคุลมา ไล้ทาขัดสีฉวีวรรณให้งามผุดผ่องอยู่เสมอ ช้างแก้วตัวประเสริฐนี้มีลักษณะดีสมบูรณ์ครบถ้วนทุกประการ สมควรเป็นช้างทรงคู่ควรแก่พระบารมีของพระยามหาจักรพรรดิราช เหาะมาทางอากาศเหมือนดั่งพระยาหงส์ทองธรรมราชบินมายังเมืองพระยามหาจักรพรรดิราช ครั้นช้างแก้วมาถึงเมืองพระยามหาจักรพรรดิราช แล้วจึงเข้าไปในโรงช้างทองที่ตกแต่งไว้งามยืนอยู่เหนือ ฟูกที่ปูลาดไว้และขึ้นไปยืนอยู่บนแท่นทอง ช้างนั้นเฉลียวฉลาดและเชื่องมาก เหมือนดั่งช้างประจำพระราชสำนักเก่าแก่ที่ได้รับการฝึกฝนมาแล้วอย่างดีเป็นเวลาช้านาน ช้างนี้เป็นสัตว์ดีเยี่ยม มีชาติตระกูลสูงถ้าเป็นช้างมาจากตระกูล ฉัททันต์ หรือตระกูลอุโบสถนับว่าประเสริฐและวิเศษดียิ่งกว่าช้างตระกูลอื่นๆ

ครั้นเจ้าพนักงานเห็นดังนั้น จึงนำเรื่องเข้ากราบทูลว่าช้างพลายเผือกตัว ประเสริฐเข้ามาอยู่ในโรงช้างแล้ว เชิญเสด็จไปทอดพระเนตร พระยามหาจักรพรรดิราชจึงเสด็จไปยังโรงช้าง ได้ทอดพระเนตรเห็นช้างนั้นมีลักษณะงดงาม ยิ่งทรงมีพระทัยชื่นชมยินดี จึงยื่นพระหัตถ์ไปทรงลูบคลำช้างแก้ว ฝ่ายช้างแก้ว นั้นค่อยเอี้ยวคอมามองพระยามหาจักรพรรดิราช แล้วก้มหัวลงใช้งาดุนพื้นดิน เป็นสัญญานบอกให้รู้ว่าจบไหว้พระยามหาจักรพรรดิราช

พระยามหาจักรพรรดิราชเจ้าทรงมีรับสั่งให้ประดับตกแต่งช้างแก้วทั่ว สรรพางค์กายด้วยเครื่องประดับ เช่น แก้วแหวน เงินทอง และผ้าอาภรณ์อย่างดี เหลือที่จะคณนานับทีเดียว เครื่องประดับเหล่านั้นมีแสงเรืองสุกดังแสงดาวในท้องฟ้า ครั้นแล้วพระยามหาจักรพรรดิราชจึงเสด็จขึ้นทรงช้างแก้วนั้น ทรงมีพระราชดำริจะเสด็จไปทางอากาศ ช้างแก้วนั้นจึงเหาะล่องลอยไปในอากาศ เหมือนราชหงส์ทองอันเป็นพระยาของเหล่าหงส์ ชื่อ พระยาหงส์ทองธรรมราช บรรดาข้าราชบริพารและรี้พลโยธาทแกล้วทหารก็เหาะตามเสด็จไปด้วยอำนาจ อิทธิฤทธิ์ช้างแก้ว เช่นเดียวกับผู้คนเหาะเหินเดินอากาศได้ ด้วยอำนาจอิทธิฤทธิ์กงจักรแก้วฉะนั้น

ส่วนพระยามหาจักรพรรดิราชทรงช้างแก้วเสด็จล่องลอยไปในอากาศ ท่ามกลางการห้อมล้อมของข้าราชบริพารและทแกล้วทหาร ทรงรุ่งเรืองด้วยสิริราชสมบัติเหมือนดั่งพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณตัวประเสริฐ ทรงรุ่งเรืองด้วยทิพยสมบัติท่ามกลางการห้อมล้อมของหมู่นางฟ้าฉะนั้น พระองค์พร้อมด้วยข้าราชบริพารและทแกล้วทหารผู้ตามเสด็จ เสด็จถึงเขาพระสุเมรุราชแล้วทรงเสด็จเวียนรอบพระสุเมรุราชนั้น แล้วเสด็จไปเลียบขอบกำแพงจักรวาล จากนั้น จึงเสด็จกลับคืนสู่พระนครในเวลาอันรวดเร็วแต่เช้าก่อนเวลาเสวยพระกระยาหารเช้า พระยามหาจักรพรรดิราชเสด็จไปแล้วยังกลับมาทันเวลาเสวยพระกระยาหารเช้า
จบเรื่องช้างแก้วเพียงเท่านี้

คณะทำงานโครงการวรรณกรรมอาเซียน

จักรรัตนะ (จักรแก้ว)

มีจักรแก้วอัน ๑ ชื่อว่า จักรรัตนะ ประดับด้วยแก้ว ๗ ประการ มีกำ(ซี่ล้อรอบดุม) จำนวน ๑๐๐๐ อยู่รอบๆ ดุมนั้น งดงามยิ่ง จมอยู่ในท้องมหาสมุทรลึก ๘๔๐๐ โยชน์ ตัวจักรนั้นเป็นแก้ว ดุมนั้นเป็นแก้วอินทนิล หัวกำซึ่งฝังเข้าไปในดุมนั้น เป็นเงินและทองดูสวยสดงดงามยิ่ง เมื่อได้เห็นเหมือนกับดุมนั้นยิ้มให้ และมองเห็นเป็นสีขาวงามยิ่งนัก ที่ขอบดุมนั้นหุ้มด้วยแผ่นเงิน งามดุจดังพระจันทร์วันเพ็ญ ตรงกลางนั้นเป็นรูโดยตลอด โดยรอบหัวกำนั้นประดับด้วยแก้ว ๗ ประการ แต่ละซี่ดูสุกใสงดงามเหมือนกับสายฟ้าแลบ มีรัศมีเหมือนแสงพระอาทิตย์ เมื่อพิจารณา ดูใสงามเลื่อมพรายดังฟ้าแลบไขว้ไปมา วาววับวาวแววดูงามไปทั่วทุกแห่ง มีชื่อว่า นาภีสรรพการบริบูรณ์ กำจำนวน ๑๐๐๐ นั้น ประดับไปด้วยแก้ว ๗ ประการ ดูเลื่อมพรายแวววาวดังสายฟ้าแลบ รุ่งเรืองด้วยรัศมีดังแสงพระอาทิตย์ ตีประดับด้วยตะปูแก้วดูงดงาม และมีรัศมีฉวัดเฉวียนไปมา ดั่งเทพยดาชื่อว่า พระวิศณุกรรม

กงนั้นประดับด้วยแก้วดูเกลี้ยงเกลาดุจดังบรรจงสร้างไว้ มีรัศมีเหมือน พระอาทิตย์เมื่อยามรุ่งอรุณ ดูเต็มงามไม่มีปม ไม่มีรอยแตก ไม่เบี้ยว ไม่มีบกพร่อง เมื่อแลดูในหน้ากล้องนั้น รูปล่องตลอดไปมา ดั่งกล้องอันชื่อว่า พังกา ที่เทพยดาเป่าในเมืองสวรรค์ชั้นฟ้า กล้องแก้วนั้นเวลาเป่าจะมีเสียงกังวาลไพเราะยิ่งนัก เสียงดัง ผาดโผน เสียงหึ่งๆ น่าฟังอย่างยิ่ง แก้วร้อยหนึ่งอยู่เหนือลำกล้องแก้วหมู่นั้น กล้องแก้วหมู่นั้นรองอยู่ใต้ต้นกลดขาวร้อยหนึ่ง และมีหอกดาบแห่งละร้อยอยู่รอบกลดนั้นด้วย เหนือกลดตรงกลางนั้น มียอดทองเรืองรองงามดังแสงฟ้า เหนือฉัตรแก้วนั้น มีราชสีห์ทองสองตัวประดับด้วยแก้ว ๗ ประการ มีแสงทองงามนักหนา เมื่อจักรแก้วนั้นหมุนไปบนอากาศ แลดูพรายงามดั่งสีหะไกรสรสองตัวจะเหาะบิน และยื่นหน้าออกมาจากชายกงจักรแก้วนั้น ดุจดังจะเข้าขบขยํ้าฝูงข้าศึก

เมื่อคนทั้งหลายแลเห็นเช่นนั้นจึงคิดว่า เจ้านายของเราผู้เป็นพระยามหาจักรพรรดิราช เป็นผู้มีบุญมากยิ่งนัก แม้พระยาราชสีห์สองตัว ซึ่งมีกำลังและมีชัยชนะแก่ศัตรูทั้งหลาย ยังอดอยู่มิได้ต้องมานอบน้อมถวายบังคม มาสวามิภักดิ์ แก่พระยามหาจักรพรรดิราชเจ้าผู้เป็นนายแห่งพวกเรา

หมู่ชนทั้งหลาย ต่างพากันยกมือขึ้นเพียงศีรษะแล้วไหว้วันทนาการ กล่าวว่า ชาวเราทั้งหลายปากราชสีห์ ๒ ตัวนั้น มิใช่ไม่มีอะไรอยู่ แต่มีสร้อยมุกดา ๒ สาย ใหญ่เท่าลำตาล ดูรุ่งเรืองงามดั่งรัศมีพระจันทร์เมื่อวันเพ็ญ และปากราชสีห์นั้นก็คาบสร้อยมุกดานั้นห้อยลงมา แก้วซึ่งอยู่ในชายมุกดานั้น ดูเลื่อมแดง ดุจแสงพระอาทิตย์เมื่อแรกขึ้นฉะนั้น เมื่อกงจักรแก้วนั้นลอยอยู่บนอากาศ แลดูเหมือนไม่ไหวตามสร้อยมุกดาซึ่งพรายงามดั่งนํ้าชื่อว่า อากาศคงคา ที่ไหลลงมาฉะนั้น ขณะที่กงจักรแก้วยังลอยอยู่นั้น กลุ่มมุกดาก็กระจายออกรอบกงจักรแก้วนั้น ดุมกงจักรแก้ว ๓ อัน หมุนพัดผันไปในทางเดียวกัน กงจักรแก้วนั้น พระอินทร์ พระพรหม หรือเทพยดาผู้มีฤทธานุภาพ เป็นผู้กระทำกงจักรแก้วนั้นก็หามิได้ หากแต่กงจักรแก้วนั้นเกิดขึ้นเอง และเกิดมาเพื่อบุญของท่านผู้เป็นพระยามหาจักรพรรดิราชเจ้านั้น

ผิว่า เมื่อกัลป์ใดไม่มีพระพุทธเจ้าและพระปัจเจกพุทธเจ้า จึงมีพระยา มหาจักรพรรดิราชแทน ในกัลป์นั้น ครั้นไฟเผาไหม้แผ่นดินแล้ว ด้วยบุญท่าน ซึ่งจะมาเป็นพระยามหาจักรพรรดิราชนั้น กงจักรแก้วนั้นจะเกิดก่อน และจมอยู่ในท้องมหาสมุทร รอท่านผู้จะมาเป็นจักรพรรดิราชนั้น และเครื่องประดับสำหรับท่านผู้มีบุญนี้ ก็ไม่มีสิ่งใดเสมอด้วยกงจักรแก้วนั้น ซึ่งเกิดมาเพื่อให้รู้จักคนผู้มีบุญกว่าคนทั้งหลาย และจะให้หมู่คนทั้งหลายใน ๔ แผ่นดินรักสามัคคีกัน มีดวงใจเป็นอันเดียวกัน ด้วยบุญท่านผู้เป็นพระยามหาจักรพรรดิราชนั้น

กงจักรแก้วนั้นมีศักดานุภาพยิ่งนัก เมื่อมีผู้ใดไปไหว้นอบนบเคารพบูชา แก่กงจักรแก้วนั้นด้วยข้าวตอกดอกไม้ กงจักรแก้วนั้น ย่อมช่วยบำบัดความเจ็บไข้ ให้ประสบความสุขความเจริญ มั่งมีด้วยทรัพย์สินเงินทองมากมาย กงจักรแก้วนี้ ประเสริฐกว่าแก้วอันชื่อว่าสรรพกามททะ (แก้วสารพัดนึก) นั้นตั้งแสนเท่า และกงจักรแก้วนั้น ไม่มีชีวิตจิตใจ แต่มีสภาพดุจดังมีชีวิต เมื่อกงจักรแก้วนั้นลอยขึ้นมา ยังมิทันที่จะพ้นท้องมหาสมุทร และนํ้ามหาสมุทรนั้นแยกแตกออก ให้กงจักรแก้วนั้นลอยขึ้นมากลางอากาศ แลเห็นดุจดังกงจักรแก้วนั้นเป็นเครื่องประดับท้องฟ้า ดูเลื่อมพรายงามดั่งพระจันทร์ในวันเพ็ญ

เมื่อถึงวันเพ็ญ ชนทั้งหลายต่างแต่งเนื้อแต่งตัวให้สวยงาม แล้วนั่งเล่น เจรจากันอยู่ทั้งหนุ่มและสาว เด็กเล็กหญิงชายทั้งหลายต่างประดับตกแต่งกาย แล้วออกไปเล่นด้วยกัน บางพวกก็พากันไปเล่นในป่า บางพวกก็ไปเล่นในกลางแม่น้ำ กลางท้องนาและในถนนหนทาง วันนั้นคนทั้งหลายที่อยู่ในเมืองของพระยามหาจักรพรรดิราชนั้น เมื่อกงจักรแก้วนั้นพุ่งขึ้นเทียมพระจันทร์ และเป็นเวลายามคํ่าแล้ว จะดูเท่ากับดวงจันทร์ จึงเป็นเหมือนมีพระจันทร์ขึ้นมาในวันนั้นเป็น ๒ ดวง ครั้นกงจักรแก้วมาใกล้ได้ ๑๒ โยชน์แล้ว คนทั้งหลายได้ยินเสียงของกงจักรแก้ว อันผันต้องลม เสียงนั้นไพเราะยิ่งนัก ไพเราะยิ่งกว่าเสียงพาทย์และพิณ ฆ้อง แตรสังข์ กังสดาลดุริยดนตรีทั้งหลาย

คนทั้งหลายเมื่อได้ยินเสียงไพเราะนั้นแล้ว รู้สึกถูกใจและยินดีปรีดากัน ทุกคน ชวนกันกล่าวว่า ช่างประหลาดหนอ แต่กาลก่อนเราทั้งหลายไม่เคยมีเรื่องอัศจรรย์ให้ปรากฏเห็นเหมือนวันนี้ พระจันทร์เจ้าได้ขึ้นมาเป็นสองดวง เต็มงาม บริบูรณ์เสมอกันทั้งสองดวง ขึ้นมาเทียมกันดุจพระยาหงส์ทองสองตัว ทะยานเทียมขึ้นมาบนอากาศ จึงร้องเรียกกันให้มาดู บางคนพูดว่า พระจันทร์ขึ้นสองดวง บางคนร้องว่า ท่านนี้เป็นบ้า ชั่วปู่ชั่วย่าไม่เคยมีใครกล่าวว่ามีพระจันทร์เป็น ๒ ดวง อีกดวงหนึ่งนั้นเป็นดวงตะวัน เพราะว่าหากพ้นที่ๆ จะร้อนแล้ว มันก็จะไม่ร้อน อีกจำพวก ๑ ก็ร้องมาดังนี้ว่า ชาวเราทั้งหลาย เขาเหล่านั้นเป็นบ้าไปเสียแล้ว ไม่ใช่ข้อความที่จะกล่าวกลับเอามากล่าว มาเข้าใจกันว่าพระจันทร์ขึ้นมา เป็น ๒ ดวง บางแห่งก็ว่าการที่คิดว่าอีกดวงหนึ่งนั้นเป็นดวงตะวันน่าหัวเราะนัก เขาเหล่านั้นเป็นบ้าไปแล้ว ตะวันเพิ่งจะตกไปเดี่ยวนี้ แล้วจะมาขึ้นพร้อมพระจันทร์ทันทีได้อย่างไร ดวงที่ขึ้นมานี้มิใช่อะไรอื่นเลย มันคือปราสาททองของเทพยดา จึงดูรุ่งเรืองสุกใส เพราะแก้วแหวนเงินทองที่ประดับประดาปราสาทนั่นเอง คนอีกจำพวกหนึ่งพากันหัวเราะพูดว่า เจ้าทั้งหลายอย่าได้โจทเถียงกันไปมาเลย สิ่งนี้มิใช่เดือนมิใช่ตะวัน และมิใช่ปราสาททองของเทพยดาที่ท่านทั้งหลายกล่าวว่าเดือนก็ดี ตะวันก็ดี ปราสาททองของเทพยดาก็ดีนั้น สิ่งเหล่านี้ไม่เคยมีเสียง อึกทึกกึกก้อง และมีเสียงดังกังวานอย่างนี้สักทีเลย สิ่งนี้ต้องเป็นกงจักรแก้ว ซึ่งมีชื่อว่า จักรรัตนะ ดังที่ท่านกล่าวมาแต่กาลก่อน กงจักรแก้วนั้นย่อมเกิดมาด้วยบุญของท่านผู้มีบุญ และจะได้เป็นพระยามหาจักรพรรดิราชนั่นเอง

คนทั้งหลายต่างก็ถกเถียงกันไปมาอยู่อย่างนั้น พวกเขามิได้เชื่อถ้อยคำ ของกันและกันเลย เมื่อกงจักรแก้วนั้นลอยออกมาจากดวงจันทร์เข้ามาใกล้กว่าเก่าอีกประมาณ ๑ โยชน์ จึงจะถึงเมืองนั้น ชนทั้งหลายจึงแลเห็นชัดเจนงามยิ่งนัก และมีใจรักทุกๆ คน เสียงกงจักรแก้วนั้นดังกึกก้องมาก ดังจะเปล่งเสียงว่า พระยาองค์นั้น พระองค์จะได้เป็นพระยาบรมมหาจักรพรรดิราชเจ้า จึงลอยมาถึงพระนครที่พระยาผู้มีบุญอาศัยอยู่ เมื่อเป็นดังนั้นคนทั้งหลายจึงกล่าวว่า กงจักรแก้วดวงนี้ จะลอยไปสู่พระยาองค์ใดหนอ คนอีกจำนวนหนึ่งจึงกล่าวว่า กงจักรแก้วดวงนี้ มิได้เกิดมาด้วยบุญของพระยาองค์อื่นเลย คงลอยมาเพื่อพระยาผู้เป็นเจ้านายของเรานี้เอง ท่านเป็นผู้มีบุญจะได้เป็นพระยามหาจักรพรรดิราชแล พระองค์ทรงคำนึงถึงกงจักรแก้วอยู่ กงจักรแก้วดวงนี้ จึงลอยมาหาพระองค์ กงจักรแก้วก็ลอยมาถึงเมืองนั้น แล้วร่อนลงที่ประตูเมืองของพระองค์ แล้วทำประทักษิณรอบๆ เมือง ๗ รอบ แล้วลอยอยู่บนอากาศไปตามหนทางหลวง แล้วเข้ามาสู่พระราชมนเทียรของพระยาและทำประทักษิณ พระยานั้น ๓ รอบ และพระราชมนเทียรของพระยานั้น ๗ รอบ แล้วก็ลอยเข้าหาพระยานั้น ดุจดังมีชีวิต จิตใจ จะมานอบน้อมแด่พระยานั้น แล้วเข้ามาสู่แทบพระบาทตรงที่ทรงบรรทม ไม่ว่าจะเป็นที่แห่งใดก็ตาม กงจักรแก้วก็ลอยอยู่ในที่นั้น แล้วคนทั้งหลายก็เอาข้าวตอกดอกไม้บุปผชาติและธูปเทียนชวาลา รวมทั้งกระแจะจันทน์ นํ้ามันหอม มาไหว้ มานอบนบเคารพบูชาสักการะแก่กงจักรแก้วนั้น เมื่อกงจักรแก้วสถิต ตั้งอยู่ในที่อันสมควรแล้ว ก็เปล่งรัศมีรุ่งเรืองรอบๆ ทั่วทั้งพระราชมนเทียรนั้น ทุกแห่งดุจดังยอดเขายุคันธร ในวันพระจันทร์เต็มดวง และเมื่อพระจันทร์ลอยขึ้นมาเหนือยอดเขานั้น มีแสงรุ่งเรืองงดงามยิ่งนัก

เมื่อนั้นพระยาจึงเสด็จออกมาจากปราสาท เพื่อทอดพระเนตรกงจักรแก้วนั้น อำมาตย์จึงทูลแด่พระองค์ว่า ขออัญเชิญพระองค์เจ้าทอดพระเนตรกงจักรแก้ว อันมีรัศมีรุ่งเรืองงาม งามทั้งพระราชมนเทียรของพระองค์ พระยาองค์นั้นจึงเสด็จมาประทับนั่งบนแท่นทองอันประดับด้วยแก้วอันตั้งอยู่แทบพระบัญชรนั้น พระมหากษัตริย์เจ้าก็ทรงทอดพระเนตรกงจักรแก้วอันรุ่งเรืองด้วยแก้ว ๗ ประการ อันงามตระการตา หาที่จะเปรียบมิได้ พระยาองค์นั้นจึงมีพระราชโองการแก่อำมาตย์ราชมนตรีทั้งหลายว่า

อาจารย์ทั้งหลายในอดีตกาลกล่าวว่า พระยาพระองค์ใดมีบุญ และจะได้เป็นพระยามหาจักรพรรดิราช สามารถปราบได้ทั่วทั้งจักรวาล กงจักรแก้วอันมีชื่อว่า จักรรัตนะ จักรรัตนะนั้นย่อมมาสู่บุญสมภารของพระยาองค์นั้น เราได้กระทำบุญมาแต่ก่อนและบุญนั้นมาถึงเราจริง กงจักรแก้วนั้นจึงลอยมาหาเราในบัดนี้ อีกทั้งวันนั้น ก็เป็นวันเพ็ญอุโบสถ และพระยาองค์นั้นให้ทานรักษาศีล ๘ แล้ว ทรงบำเพ็ญเมตตาภาวนาอยู่ เมื่อทรงรำพึงถึงทานศีลและภาวนาอยู่ กงจักรแก้วนั้น ก็ลอยมาหาในคืนนั้นแล พระยาองค์นั้นจึงเอาผ้าขาวเนื้อละเอียดพาดเหนือพระอังสาทั้งสอง กราบไหว้ด้วยผ้าผืนเล็ก ผ้าสำลี และมีบางพวกห่มผ้าสีชมพู ผ้าหนัง ผ้าเกราะ แล้วถือเครื่องประหาร ถือหน้าไม้ ธนู หอก ดาบ แหลน หลาว สวมหมวกเงิน ทอง และถม ถือกลดชุบสายหลายคัน พากันไปชมหมู่ไม้ในกลางป่าดง มีบางพวกถือธงเล็ก ธงใหญ่ ธงขนาดกลาง ธงแดง ธงขาว ดูงามพิสดาร มีสีขาว สีดำ สีแดง สีเหลืองเรืองรอง พรายงามดังแสงตะวัน สว่างไสวทั่วทั้งแผ่นดิน เหาะไปในอากาศตามเสด็จพระยามหาจักรพรรดิราช เมื่อนั้น เสนาบดีผู้ใหญ่จึงสั่งให้เจ้าเมืองทั้งหลายเอากลองงดงามมีสายเป็นทอง และมีแสงเป็นสีแดงดุจแสงไฟ ไปตีป่าวร้องแก่หมู่ราษฎรทั้งหลายว่า ถ้าผู้เป็นพระยาเจ้านายของเรานี้ พระองค์จะได้เป็นพระยามหาจักรพรรดิราช และบัดนี้ พระองค์ปราบได้ทั่วทั้ง ๔ ทวีปแล้ว ผู้ใดใคร่อยากชมบุญบารมีของพระองค์ ก็ให้เร่งชักชวนกันมาไหว้มาชม บัดนี้พระองค์ได้เสด็จไปปราบทวีปทั้ง ๔ ท่านทั้งหลายจงเร่งแต่งตัวแล้วพากัน หอบ ถือข้าวตอกดอกไม้ไปบูชากงจักรแก้วนั้น

เมื่อคนทั้งหลายได้ยินเสียงกงจักรแก้วนั้น เสียงดังไพเราะลอยไปทาง อากาศเบื้องหน้าพระยามหาจักรพรรดิราช คนทั้งหลายต่างก็หยุดทำงานของตนที่ค้างไว้ แล้วชักชวนกันประดับตกแต่งกายให้สวยงามทากระแจะจันทน์น้ำมันหอม ถือข้าวตอกดอกไม้ไปบูชากงจักรแก้วนั้น

ครั้งนั้น คนทั้งหลายต่างมีใจชื่นชมยินดียิ่งนัก เพียงนึกว่าจะตามเสด็จ ไปก็สามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ทุกคน ด้วยบุญอำนาจแห่งกงจักรแก้วนั้น บรรดาสมณพราหมณ์ บรมวงศานุวงศ์ ลูกขุน มนตรี ข้าราชบริพาร เศรษฐี คฤหบดี พ่อค้า ประชาชน พวกแพศย์ พวกศูทร เหล่านี้ต่างมีร่างกายงามสะอาดทุกคน ไม่มีสกปรกเลย แม้ความสกปรกด้วยเหตุใดๆ ก็ดีที่เขามีในกาลก่อน ก็พลันมลายหายไปสิ้นด้วยอำนาจอิทธิฤทธิ์แห่งกงจักรแก้วนั้น ซึ่งสามารถขจัดความสกปรกมลทินทั้งผองในกายมนุษย์

จะกล่าวให้รู้ว่ากำลังรี้พลของพระยามหาจักรพรรดิราช ว่ามีจำนวน มากเท่าใด ถ้าอยากรู้ก็ให้คิดถึงที่แห่งหนึ่งกว้าง ๑๒ โยชน์ วัดโดยรอบได้ ๓๖ โยชน์ แล้วให้ไพร่พลทั้งหลายนั่งในบริเวณนั้น กงจักรแก้วนั้นก็สามารถอยู่ในบริเวณเท่านั้นได้ พระยามหาจักรพรรดิราชก็ดี และไพร่พลทั้งหลายก็ดี ย่อมเหาะไปในอากาศเหมือนวิทยาธรผู้มีฤทธิ์ ผู้มีอาวุธวิเศษ พระยามหาจักรพรรดิราช และรี้พลไปในอากาศด้วยอำนาจของกงจักรแก้วนั้น พระยามหาจักรพรรดิราช รุ่งเรืองงามเหมือนพระจันทร์วันเพ็ญ และพสกนิกรผู้ตามเสด็จก็รุ่งเรืองงามสง่าเหมือนดั่งดวงดาราห้อมล้อมเป็นบริวารพระจันทร์ ฉะนั้น

ซนทั้งหลายต่างมีใจแช่มชื่นรื่นเริงยิ่งนัก มีการแต่งตัวมาชมกงจักรแก้ว นั้น แล้วขับร้อง และมีเสียงพาทย์ เสียงพิณ แตร สังข์ กลองใหญ่น้อย ฉิ่งฉาบ บัณเฑาะก์ ทั้งไพเราะและวังเวง บางคนตีกลอง ตีพาทย์ ตีฆ้อง ตีกรับ บางพวก ดีดพิณ สีซอ ตีฉิ่ง จับระบำรำเต้น เสียงสรรพดนตรีดังครื้นเครง กึกก้องดัง แผ่นดินจะถล่มทลาย คนทั้งหลายผู้เป็นบริวารตามเสด็จพระยามหาจักรพรรดิราช ไปในกลางอากาศนั้น งามนักหนาดังเทวดาทั้งหลายผู้เป็นบริวารของพระอินทร์

เมื่อพระราชาเสด็จไปทางอากาศครั้งใด กงจักรแก้วจะนำเสด็จไปก่อน ถัดมาเป็นพระราชาและต่อมาเป็นไพร่พลทั้งหลาย พฤกษชาติไม้ดอกไม้ผลนานาชนิดตามข้างทางที่เสด็จผ่านก็ลอยละลิ่วปลิวตามไปด้วย ถ้าใครอยากจะกินผลไม้ชนิดใดก็ได้กินสมตามใจนึก ถ้าอยากทัดดอกไม้ชนิดใดก็ได้สมใจ หรือถ้าใครอยากจะเข้าไปอยู่ในร่มเงาก็ได้เข้าไปอยู่ในร่มเงาสมใจนึกเช่นกัน ประชาชนผู้อยู่เบื้องล่าง เมื่อเห็นรี้พลบริวารของพระยานั้น อยากจะรู้จักชื่อเขาเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นบรมวงศานุวงศ์ก็ดี ขุนนางก็ดี หรือข้าราชบริพารอื่นๆ ก็ดี อำนาจของกงจักร แก้วจะบอกชื่อคนทั้งหลายเหล่านั้นแก่ผู้อยากรู้ถ้วนทุกคน

ผู้ใดนึกอยากตามเสด็จไม่ว่าจะอยู่ในลักษณะอาการยืน เดิน นั่ง นอน ก็จะลอยขึ้นไปในอากาศ ด้วยลักษณะอาการนั้นๆ ไม่ต้องก้าว ไม่ต้องเดิน ทั้งเสื่อสาดอาสนะ ที่นั่ง ที่นอนอยู่ ถ้านึกอยากจะนำไปด้วย มันก็จะลอยไปด้วย ถ้าใครนึกอยากจะยืนไป เดินไป นั่งไป นอนไป ทำการงานไป ก็จะเป็นไปตามความประสงค์ทุกประการ ถ้าใครกำลังทำงานอยู่ และไม่อยากทำงานไปด้วย งานทั้งหมดก็จะไม่ไปด้วย ใครอยากทำงานไปด้วย ก็จะทำงานไปด้วย ไม่เสียงาน

ทิศตะวันออกเขาพระสุเมร และด้านซ้ายเขาสัตตบริภัณฑ์ ข้ามมหาสมุทร ด้านทิศตะวันออก จะถึงแผ่นดินชื่อบุรพวิเทหะ กว้าง ๗,๐๐๐ โยชน์ เมื่อพระยามหาจักรพรรดิราชไปถึงสถานที่หนึ่งราบเรียบมาก มีนํ้าใสงาม ท่านํ้าก็ไม่ลึก ที่นั้นเหมือนคนถากไว้ด้วยพร้าด้วยขวาน กว้าง ๑๒ โยชน์ วัดโดยรอบได้ ๓๖ โยชน์ ที่นั้นเคยเป็นที่ตั้งทัพหลวงของพระยามหาจักรพรรดิราชแต่โบราณ ในเวลาที่พระองค์เสด็จประพาส กงจักรแก้วจึงหยุดอยู่ในอากาศเหมือนถูกขัดเพลาไว้ ไม่เคลื่อน และไม่มีผู้ใดหมุนไปได้ เมื่อกงจักรแก้วหยุดอยู่ดังนั้น พระยามหาจักรพรรดิราชและไพร่พลทั้งหลายจึงลงมาจากอากาศมายังพื้นดินที่ดูรุ่งเรืองงาม เหมือนดาวหรือเหมือนฟ้าแลบ หรือเหมือนแสงธนูของพระอินทร์ ทุกคนสนุก ใครอยากจะอาบนํ้าก็ได้อาบ ใครอยากจะกินข้าวและนํ้าก็ได้กิน ผู้ใดปรารถนาสิ่งใดก็ได้สิ่งนั้นทุกอย่าง

เมื่อพระยามหาจักรพรรดิราชเสด็จไปถึงทวีปนั้น บรรดาพระราชาและ เจ้าเมืองต่างๆ ในทวีปนั้น ก็ไม่อาจตระเตรียมอาวุธมาสู้รบกับพระยามหาจักรพรรดิราชนั้นได้เลย เขาทั้งหลายต่างมีใจรักใคร่นิยมบูชาพระยานั้น จึงชักชวนกันมาถวายบังคมมาเฝ้าแหนพระยามหาจักรพรรดิราชอยู่ บรรดาปีศาจ ผีสาง และสัตว์ทั้งหลายที่ฆ่ามนุษย์ก็ไม่มีใจคิดร้ายต่อพระยามหาจักรพรรดิราชเลย เพราะเกรงบุญอำนาจของพระยามหาจักรพรรดิราชนั้น

เมื่อกงจักรแก้วมาจากมหาสมุทรมีชื่อว่า จักรรัตนะ แต่เมื่อพระยามหา- จักรพรรดิราชปราบทวีปทั้ง ๔ ได้แล้ว กงจักรแก้วนั้นจึงมีชื่อว่า อรินทมะ (ผู้ปราบข้าศึก)

บรรดาพระราชาทั้งหลายในบุรพวีเทหทวีป ต่างแต่งเครื่องบรรณาการมี เทียน ธูป และเครื่องหอมนานาชนิดที่ตกแต่งอย่างประณีตงดงาม แล้วชวนกันมาไหว้และมาถวายตัวเป็นข้าแห่งพระยามหาจักรพรรดิราชนั้น ขณะที่พระราชาทั้งหลายมาเฝ้าพระยามหาจักรพรรดิราชอยู่นั้น ดูรุ่งเรืองงามด้วยด้วยเครื่องราชกกุธภัณฑ์ และเครื่องประดับและอาภรณ์ของพระราชาเหล่านั้น พวกเขาประดับด้วยแก้ว ๗ ประการ ดูรุ่งเรืองงามตา เปรียบดังฟองน้ำไหลออกจากคนโททองมาล้างพระบาทพระยามหาจักรพรรดิราชนั้น เมื่อพระราชาทั้งหลายถวายบังคมแล้วก็ถวายตัวและถวายบังคมทูลว่าดังนี้ ข้าแต่มหาราชเจ้า ตั้งแต่นี้ไป ข้าทั้งหลายขอถวายตัวเป็นข้าของพระองค์ผู้เป็นเจ้า หากพระองค์ปรารถนาสิ่งใด ข้าทั้งหลายจะทำการงานสิ่งนั้นถวายพระองค์ ขอถวายบ้านเมืองของข้าทั้งหลาย แด่พระองค์ ขอพระองค์ได้โปรดข้าทั้งหลายเถิด แล้วพระราชาทั้งหลายก็ถวายบังคมแสดงความเคารพยำเกรงพระยามหาจักรพรรดิราชนั้น พระยามหาจักรพรรดิราชจึงตรัสตอบพระราชาทั้งหลายว่า เราไม่ต้องการทรัพย์สมบัติหรือส่วยสาอากรจากพระราชาองค์ใดเลย เพราะพระยามหาจักรพรรดิราชมีสมบัติทิพย์อยู่แล้วด้วยเดชอำนาจของกงจักรแก้วนั้นเอง

พระยามหาจักรพรรดิราชไม่ได้ทรงมีพระดำรัสสั่งการใดๆ ให้พระราชาทั้งหลายต้องพลัดพรากจากที่อยู่หรือเกิดความน้อยเนื้อตํ่าใจเลย พระองค์อนุเคราะห์เขาเหล่านั้นให้มีความสุข มีความสบาย ไม่ให้มีอันตรายเกิดแก่เขา พระยามหาจักรพรรดิราชรู้บุญรู้ธรรมและสั่งสอนธรรมคนทั้งหลายเหมือนเป็นพระพุทธเจ้ามาเกิด พระองค์สอนธรรมแก่โลกทั้งหลาย พระองค์สอนธรรมแก่พระราชาทั้งหลายว่าให้ตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรม ๑๐ ประการ ตลอดเวลา ให้รักไพร่ฟ้าข้าไททั้งหลายเสมอกัน อย่าลำเอียง การเกิดเป็นคนเป็นสิ่งยาก เมื่อได้เกิดเป็นพระราชา แสดงว่ามีบุญมาก จึงควรรู้จักบุญรู้จักธรรม รู้จักละอายแก่บาป ให้ตัดสินความด้วยความสัตย์สุจริตเป็นธรรม และรวดเร็ว กระทำได้ดังนี้ เมื่อเกิดเมื่อใด เพราะบุญกุศลที่ได้ทำมาแต่ครั้งก่อน จะทำให้เกิดเป็นพระราชาให้รู้จักคุณของแก้ว ๓ ประการ คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ให้ปฏิบัติตามธรรมคำสั่งสอนที่อาจารย์แต่โบราณ เช่นพระพุทธเจ้า และปราชญ์ผู้รู้ทั้งหลายได้สั่งสอนไว้ และควรเว้นสิ่งที่ไม่ชอบธรรม

บาป ๕ ประการที่ควรเว้น ได้แก่

หนึ่ง ไม่ควรฆ่าสัตว์ทั้งหลายที่มีชีวิต ไม่ว่าจะมดตัวหนึ่งก็ดี หรือปลวก ตัวหนึ่งก็ดี ถ้าผู้ใดจะทำร้ายตน ก็ไม่ควรฆ่าผู้นั้น ควรว่ากล่าวสั่งสอนโดยธรรม การฆ่าสัตว์มีชีวิตเป็นบาปหนัก ผู้ใดทำบาปนั้นจะไปเกิดในนรกทนทุกข์เวทนา เดือดร้อนเป็นเวลานานมาก เมื่อพ้นจากนรกแล้วมาเกิดเป็นคนจะมีความทุกข์โศก จะถูกทำร้ายได้รับความเดือดร้อนไม่มีความสุขใจเลยเป็นเวลา ๑๐๐ ชาติ ๑,๐๐๐ ชาติ ต้องพลัดพรากจากคนที่รักทั้งหลาย ถ้าใครไม่กลัวบาปนั้นและยังทำบาปนั้นซํ้าอีก ก็จะเป็นการต่อบาปนั้นไปไม่มีที่สิ้นสุด

สอง ไม่ถือเอาทรัพย์สิ่งของที่เจ้าของไม่ให้ และไม่ใช่ให้คนอื่นไปถือเอา ถ้าผู้ใดโลภเอาทรัพย์สินของคนอื่นที่เจ้าของไม่ให้ จะไปเกิดในนรกทนทุกข์ทรมานมาก เมื่อพ้นจากนรกนั้นมาเกิดเป็นคน จะเป็นคนโง่มาก เดือดร้อนลำบากมาก จนไม่อาจพรรณนาได้ทั้งหมด หากมีทรัพย์ใดๆ แม้เพียงนิดเดียวก็จะถูกช่วงชิงไป แม้ใส่พกไว้ก็จะตกหาย หรือมิฉะนั้นจะถูกไฟโทษ หรือมิฉะนั้นจะถูกนํ้าพัดไป จะเป็นคนเข็ญใจเช่นนี้ถึง ๑,๐๐๐ ชาติ จึงจะหมดบาป แม้ผู้ใดไม่รู้จักกลัวบาปนี้ และยังกระทำอีก ก็จะต่อบาปนั้นไปไม่สิ้นสุด

สาม การเป็นชู้กับภรรยาผู้อื่น ไม่ควรกระทำแม้แต่น้อย ผู้ใดกระทำบาป นั้นจะตกนรกสิมพลี มีไม้งิ้วมีหนามเป็นเหล็กยาวแหลมคมมาก มีเปลวไฟลุกโพลงตลอดเวลา มีฝูงยมบาลถือหอกทิ่มแทงคอยขับให้สัตว์นรกปีนขึ้นลง มีความทุกข์ทรมานเป็นเวลานาน เมื่อพ้นจากนรกนั้นจะมาเกิดคนมีศัตรูมาก จะเกิดเป็นกะเทยเป็นเวลา ๑,๐๐๐ ชาติ ถ้าเกิดเป็นผู้ชายจะมีบาปสืบไปตลอดชาติ

สี่ การพูดปด เจ้าทั้งหลายไม่ควรกล่าว ถ้าผู้ใดกล่าวคำเท็จ ผู้นั้นจะตกนรก มีฝูงยมบาลทรมานให้ได้รับความทุกข์ทรมานเป็นเวลานานมาก เมื่อพ้นจากนรกนั้นมาเกิดเป็นคน ร่างกายจะมีกลิ่นอาจม มีกลิ่นเหม็นหืนมาก ถ้าไปทำผิดต่อผู้ใด เวลาผู้นั้นจะทำร้ายจะหนีไม่พ้น และจะถูกทำร้ายไปทุกชาติ ผ้านุ่งห่มก็เหม็นสาบเหม็นสาง ต้องเกิดเป็นเช่นนี้ ๑,๐๐๐ ชาติจึงจะหมดบาป หากผู้ใดไม่รู้จักกลัวบาปนี้ยังพูดปดอีก บาปนั้นจะเพิ่มมากขึ้น และจะพ้นจากบาปนั้นได้ยาก

ห้า ไม่ควรชวนกันกินเหล้า บาปนั้นจะทำให้ตกนรก มียมบาลทรมาน ให้ได้รับความทุกข์ทรมานเป็นเวลานาน เมื่อพ้นจากนรกนั้นจะมาเกิดเป็นผีเสื้อ ๕๐๐ ชาติ และเป็นสุนัขบ้า ๕๐๐ ชาติ ถ้ามาเกิดเป็นคนจะเป็นบ้า มีรูปร่างน่าเกลียด ใจเป็นพาลไม่รู้จักผิดชอบ เป็นคนใจคอโหดเหี้ยม หากไม่รู้จักบาปนั้นยังคงกระทำต่อไป บาปนั้นจะเพิ่มมากขึ้น และยากที่จะพ้นจากบาปนั้นได้

บาปกรรมที่มีควรกระทำ ที่เจ้าทั้งหลายควรเว้น ที่เราได้กล่าวมาแล้วนี้ ชื่อว่า เบญจศีล เจ้าทั้งหลายจงจำไว้ให้มั่น และจงสั่งสอนไพร่ฟ้าข้าไททั้งหลาย ในอาณาจักรของตนให้รู้ให้ปฏิบัติชอบ จะได้เจริญและมีความสวัสดีทุกๆ คน

ท้าวพระยาทั้งหลาย ไพร่ฟ้าข้าไทราษฎรทำไร่ไถนาเลี้ยงชีวิตในแผ่นดิน ของเรานี้ เมื่อข้าวออกรวง ผู้ทำนาไม่ว่าจะเป็นผู้ดีหรือเข็ญใจ ให้เขาแบ่งข้าวเปลือก เป็น ๑๐ ส่วน เป็นของหลวง ส่วนหนึ่ง อีก ๙ ส่วนเป็นของเขาผู้นั้น หากเห็นว่า เขาทำนาไม่ได้ข้าว ก็ไม่ควรเอาของเขา อนึ่ง ควรแจกข้าวแก่ไพร่พลและทหารทั้งหลาย เดือนละ ๖ ครั้ง เขาจึงจะพอกินอย่าให้เขาอดอยาก ถ้าจะให้เขาทำสิ่งใดก็ตาม ควรใช้แต่พอควร อย่าใช้งานมากเกินไป ไม่ควรใช้คนมีอายุมาก ควรปล่อยเขาไปเป็นอิสระ ให้เก็บส่วยจากราษฎรตามแบบที่ท้าวพระยาแต่โบราณกระทำ มา ถ้าทำได้เช่นนั้นผู้เฒ่าผู้แก่ทั้งหลายจะสรรเสริญว่ากระทำชอบ ไม่ควรเก็บส่วยจากราษฎรมากเกินไป ถ้าทำเช่นนั้น ท้าวพระยาผู้จะมาเสวยราชย์ต่อจากเราในภายหน้าจะถือเป็นตัวอย่าง เป็นธรรมเนียมสืบต่อๆ กันไป บาปจะเกิดแก่เรา เพราะเรากระทำความไม่ชอบธรรมนี้ไว้ในแผ่นดิน

อนึ่ง หากไพร่ฟ้าข้าไททั้งหลายในแผ่นดินเรา จะไปค้าขายแต่ไม่มีทุน และได้มาหาและมาขอกู้เงินทองเป็นทุนจากเราผู้เป็นนาย เราควรเอาเงินจากท้องพระคลังให้เขา และให้จดบัญชีไว้แต่ต้นปีว่าเขากู้ไปเท่าใด เราผู้เป็นนายไม่ควรคิดดอกเบี้ยเขาเลย ควรเรียกแต่ต้นทุนคืนเท่านั้น ไม่ควรเรียกเก็บภาษีหรือดอกเบี้ยจากเขาเลย

ท้าวพระยาทั้งหลายควรให้ทรัพย์สินแก่ลูกและเมียของเสนามนตรี และ ไพร่พลทั้งหลาย เพื่อเป็นเบี้ยเลี้ยงเสบียงสำหรับเขา เป็นเครื่องแต่งตัว ควรให้ทรัพย์สินแก่เขา เขาจะได้เต็มใจทำงาน เราผู้เป็นท้าวพระยาไม่ควรคิดเสียดายทรัพย์

ขณะที่เสนามนตรีทั้งปวงเข้าเฝ้า พระราชาไม่ควรพูดมาก ไม่ควรยิ้มมาก ควรพูดและแย้มยิ้มพอประมาณ อย่าลืมตัว เมื่อจะตัดสินคดีความทั้งหลาย อย่าพูดนอกเรื่องหรือทะเลาะกัน ต้องตัดสินคดีความอย่างยุติธรรม พิจารณาความให้ตลอดถี่ถ้วน แล้วจึงตัดสินความอย่างซื่อตรง

ให้เลี้ยงดูบำรุงสมณพราหมคณาจารย์และนักปราชญ์ราชบัณฑิตผู้รู้ ธรรมยกย่องให้นั่งในที่สูง แล้วจึงสนทนาซักถามธรรมอันประเสริฐ ไพร่ฟ้าข้าราชบริพารผู้ใดทำความดีความชอบเป็นประโยชน์แก่ท้าวพระยาต้องให้รางวัลผู้นั้นมากน้อยตามความดีที่เขาทำ

ถ้าพระราชาองค์ใด เมื่อเสวยราชย์แล้วทรงปกครองโดยชอบธรรม ไพร่ฟ้าประชาราษฎร์จะอยู่เย็นเป็นสุข เพราะพระบุญญาบารมีของพระราชา ผู้เป็นนาย มีข้าวปลาอาหาร แก้วแหวนเงินทอง ผ้าผ่อนแพรพรรณบริบูรณ์ ฝนตกปริมาณพอดีตกตามฤดูกาล ข้าวในนาปลาในน้ำก็ไม่หมดไปเพราะฝน ไม่แล้ง

อนึ่ง วันคืน เดือนปี ทั้งหลายย่อมเป็นไปโดยปรกติ เทวดาอารักษ์ประจำเมืองก็รักษาเมือง เพราะเกรงบุญบารมีของพระราชาผู้ปกครองโดยธรรม ถ้าพระราชาองค์ใดไม่ปกครองโดยธรรม ฝนจะวิปริต การทำไร่ไถนาจะเสียหาย เพราะฝนแล้ง โอชารสที่อร่อยในดินจะจมหายไปได้แผ่นดินทั้งสิ้น ผลไม้และพืชพันธุ์ต่างๆ จะไม่งอกงาม แดด ลม ฝน เดือนและดาวจะไม่เป็นไปตามฤดูกาลดังแต่ก่อน ทั้งนี้เพราะพระราชาไม่อยู่ในธรรม เทวดาทั้งหลายเกลียดพระราชาอธรรม ไม่ชอบมองหน้าพระราชานั้น จะมองด้วยหางตาเท่านั้น พระราชาทั้งหลาย จงจำคำที่เราสอนไว้นั้นตราบเท่ามีชีวิตอยู่ และจงเร่งกระทำความชอบธรรมนี้เถิด จะได้มีความสุขความเจริญทั้งในชาตินี้และชาติหน้า เมื่อสิ้นชีวิตไป แล้วจะได้ไปเกิดใน ๖ ชั้นฟ้า ถ้ามาเกิดในเมืองมนุษย์ จะได้เกิดในตระกูลดีมียศศักดิ์มีบุญทุกประการ

ถ้ามีผู้ถามว่า เมื่อพระยามหาจักรพรรดิราชสั่งสอนพระราชาทั้งหลาย นั้น พระราชาเหล่านั้นสนใจฟังและปฏิบัติตามคำสั่งสอนนั้นหรือไม่ ตอบว่า แม้พระพุทธเจ้าผู้ได้สะสมสร้างบารมีมามากจนได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า และได้สั่งสอนชาวโลกนั้น ยังมีบางคนผู้มีบุญเต็มใจปฏิบัติตามคำสั่งสอน บางคนมีบุญน้อยไม่นิยมปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามยังมีจำนวนมาก ส่วนพระยามหาจักรพรรดิราชไม่อาจเทียบกับพระพุทธเจ้าได้ ยังห่างไกลกันมาก ดังนั้น ไม่ใช่พระราชาทั้งหมดจะปฏิบัติตามคำสั่งสอน บางคนฟังคำสั่งสอนและทำตาม บางคนไม่เชื่อและไม่ทำตาม

พระธรรมเทศนาที่พระยามหาจักรพรรดิราชทรงแสดงแก่พระราชาทั้ง หลายในบุรพวิเทหทวีป ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของแผ่นดินนี้ ชื่อว่า ชัยวาทสาสน์ แล้วพระองค์จึงเลี้ยงอำลาพระราชาทั้งหลายพร้อมด้วยข้าราชบริพารทั้งปวงด้วยอาหารอันมีรสเลิศทั้งหลาย แล้วกงจักรแก้วก็เหาะขึ้นไปในอากาศ นำพระยามหาจักรพรรดิราชพร้อมด้วยรี้พลไปทางทิศตะวันออก มุ่งไปทางกำแพงจักรวาล ด้านตะวันออก เมื่อมาถึงฝั่งมหาสมุทรด้านตะวันออก กงจักรแก้วก็ผันลงสู่มหาสมุทร น้ำมหาสมุทรกลัวบุญบารมีกงจักรแก้วจึงไม่ตีฟองเป็นละลอก เปรียบ เหมือนพระยานาคซึ่งกำลังแผ่พังพานอยู่ ต้องก้มสยบหัวลงแอบซ่อนเพราะความกลัวอาญาเมืองกงจักรแก้วนั้นผันไปถึงพระมหาสมุทรแล้ว นํ้าในมหาสมุทรก็แยกออกเป็นทาง กว้าง ๑ โยชน์ หรือ ๘,๐๐๐ วา นํ้าสองข้างงามเหมือนกำแพงแก้วไพฑูรย์ เมื่อกงจักรแก้วไปถึงพื้นมหาสมุทร นํ้าแยกออกเป็นเนื้อที่ ๘,๐๐๐ วา แก้ว ๗ ประการที่อยู่ในพื้นมหาสมุทรและแก้วประเภทต่างๆ ก็มาอยู่ตรงทางที่พระยามหาจักรพรรดิราชเสด็จด้วยรี้พล ตั้งยังมหาสมุทรนี้ไปจนถึงฝังโน้นตลอดไปจนถึงเชิงกำแพงจักรวาล ทั้งนี้เพราะอำนาจของกงจักรแก้วนั้น

ฝูงคนทั้งหลายที่ตามเสด็จพระยามหาจักรพรรดิราชในวันนั้นต่างเห็น แก้วแหวนเงินทอง ต่างก็เลือกเอาตามใจตน บางคนกวาดเอาใส่พก บางคนกวาดใส่ห่อผ้า คนทั้งหลายชื่นชมยินดีมาก ทุกคนร้องชมว่า แต่ก่อนเราไม่เคยพบเห็น อย่างนี้ บัดนี้เราได้เห็นได้พบ ทั้งนี้เป็นเพราะบุญบารมีเจ้านายเรา

กงจักรแก้วนั้นก็นำเสด็จพระยาไปถึงฝั่งมหาสมุทรอีกด้านหนึ่ง จนถึง กำแพงจักรวาลฝั่งตะวันออก พระยามหาจักรพรรดิราชจึงหลั่งนํ้าหอมจากหม้อทองลงสู่พื้นดินและประกาศว่า ดินแดนฝั่งตะวันออกนั้นเป็นของเรา อาณาประชาราษฎร์ที่อาศัยอยู่ในดินแดนตะวันออกนี้เป็นของเรา แล้วพระยามหาจักรพรรดิราชก็เสด็จกลับทางเก่า คนทั้งหลายก็กลับตาม ข้าราชบริพารและไพร่พลบางคนนำเสด็จ บางคนตามเสด็จ ส่วนกงจักรแก้วนั้นตามหลังคนทั้งหลาย เพราะคอยกันไม่ให้นํ้าในมหาสมุทรท่วมกลบหนทางของคนทั้งหลาย ส่วนนํ้าในมหาสมุทร รักกงจักรแก้วมาก ไม่อยากให้จากไป เปรียบเหมือนนางรูปงาม มีสามีที่ตนรัก และสามีได้จากไปเป็นเวลานาน เมื่อกลับคืนมาหาและจะจากไปอีก นางรักสามีมากไม่อยากให้จากไป จึงกล่าวถ้อยคำเล้าโลมสามี เพราะไม่อยากให้จากไป ฉันใดก็ดี น้ำในมหาสมุทรก็ฉันนั้น นํ้าในมหาสมุทรมีใจรักกงจักรแก้วยิ่งนัก  จึงตามมาส่ง นํ้านั้นคอยท่วมทางตามกงจักรแก้วมา แต่ไม่ถูกกงจักรแก้วเลย แก้วแหวนเงินทองทั้งหลายก็มีใจรักกงจักรแก้วมาก จึงชวนกันมาส่งกงจักรแก้ว ถึงฝั่งมหาสมุทร เมื่อกงจักรแก้วขึ้นมาจากมหาสมุทรแล้ว นํ้ามหาสมุทรก็เต็มดังเดิม

เมื่อพระยามหาจักรพรรดิราช ปราบบุรพวิเทหทวีป ซึ่งอยู่ทางทิศตะวัน ออก ได้เอามหาสมุทรและเชิงเขากำแพงจักรวาลเป็นเขตแดนเบื้องตะวันออก และประสงค์จะมาปราบชมพูทวีป ซึ่งมีมหาสมุทรกั้นอยู่ จึงเสด็จทางอากาศ กงจักรแก้วนำพระองค์มาทางอากาศ ดังได้ปฏิบัติมาแต่ก่อน แล้วจึงมาทางแผ่นดินชมพูทวีปที่เราอาศัยอยู่นี้

พระราชาทั้งหลายในชมพูทวีปต่างก็มาถวายบังคมและถวายเครื่อง ราชบรรณาการแด่พระยามหาจักรพรรดิราช พระยามหาจักรพรรดิราชก็ทรงสั่งสอนพระราชาทั้งหลายด้วยธรรมชื่อ ชัยวาทสาสน์ แล้วเสด็จไปยังมหาสมุทร นํ้าในมหาสมุทรก็แยกออกเป็นทางดังกล่าวมาแล้ว รี้พลทั้งหลายก็เก็บแก้วแหวนเงินทองในมหาสมุทรตามต้องการ เมื่อเก็บได้เต็มที่แล้วก็ไปถึงกำแพงจักรวาลด้านใต้ พระยามหาจักรพรรดิราชจึงหลลั่งนํ้าจากหม้อทอง ประกาศว่าดินแดนนี้ และอาณาประชาราษฎร์ในดินแดนนี้เป็นของเรา แล้วจึงเสด็จกลับตามทางเดินในมหาสมุทรนั้น เมื่อเสด็จขึ้นจากนํ้า นํ้ามหาสมุทรก็เต็มดังเดิม

เมื่อพระยามหาจักรพรรดิราช ปราบดินแดนทางด้านทิศตะวันออกและ ชมพูทวีปอันกว้างได้ ๑๐,๐๐๐ โยชน์แล้ว ก็ประสงค์จะไปปราบดินแดนทางทิศตะวันตก ซึ่งกว้างได้ ๑,๐๐๐ โยชน์ ชื่อ อมรโคยานี ซึ่งมีมหาสมุทรเป็นเขตแดนกั้นอยู่ พระองค์ซึ่งเสด็จไปยังมหาสมุทรทางทิศตะวันตก ปราบแผ่นดินอมรโคยานี และสั่งสอนพระราชาทั้งหลายในทวีปนั้นดังกล่าวมาแล้ว แล้วข้ามมหาสมุทรไปถึงเขตกำแพงจักรวาลทิศตะวันตก พระยามหาจักรพรรดิราชจึงหลั่งนํ้าจากหม้อทอง แล้วประกาศว่า ดินแดนนี้และอาณาประชาราษฎร์ในดินแดนนี้เป็นของเรา แล้ว จึงเสด็จกลับ พระยามหาจักรพรรดิราชประสงค์จะปราบแผ่นดินอุตรกุรุ ซึ่งกว้าง ๘,๐๐๐ โยชน์ บรรดาพระราชาทั้งหลายได้มาถวายบังคมพระยามหาจักรพรรดิราช พระองค์ได้สั่งสอนพระราชาทั้งหลายแล้วข้ามมหาสมุทรไปถึงกำแพงจักรวาลทางทิศเหนือ แล้วจึงหลั่งนํ้าจากหม้อทอง และประกาศว่าตั้งแต่นี้ไป ดินแดนนี้ อาณาประชาราษฎร์ในเมืองนี้เป็นของเรา แล้วเสด็จกลับตามทางเดิมในมหาสมุทร ดังกล่าวมาแล้ว เมื่อพระองค์เสด็จขึ้นจากมหาสมุทรแล้ว น้ำในมหาสมุทรก็เต็ม ดังเดิม

บรรดาพระราชาทั้งหลายในแผ่นดินน้อยใหญ่จำนวน ๒,๐๐๐ ซึ่งรวม บริวารของทวีปทั้ง ๔ ทวีปละ ๕๐๐ ก็ได้มาเฝ้ามาถวายบังคมพระยามหาจักรพรรดิราชเอง พระยามหาจักรพรรดิราชไม่ต้องเสด็จไปปราบ ทรัพย์สมบัติทั้งหลายในแผ่นดิน ในจักรวาลและในมหาสมุทรทั้ง ๔ ในส่วนที่รัศมีดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ส่องไปถึง ย่อมเป็นพระราชทรัพย์ของพระยามหาจักรพรรดิราชทั้งสิ้น มีจำนวนมากมายยิ่ง เหมือนดังกงจักรราชรถของพระอินทร์ผู้เป็นเจ้าครองสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เมื่อพระยามหาจักรพรรดิราชปราบได้ทั่วทุกทวีปและจักรวาลแล้วประสงค์จะทอดพระเนตรมหาสมบัติของพระองค์ กงจักรแก้วเหมือนจะรู้พระทัย จึงหมุนเหาะขึ้นไปในอากาศ มีรัศมีดั่งดวงจันทร์ หมุนรอบเขาพระสุเมรุนั้นสว่างดังพระอาทิตย์ขึ้นพร้อมกัน ๒ ดวง คนทั้งหลายเห็นแสงสว่างรุ่งเรืองดังนั้นคิดว่าเป็นพระอาทิตย์ ๒ ดวง เมื่อพระยามหาจักรพรรดิราชและรี้พลทั้งหลายที่ตามเสด็จลอยขึ้นไปในอากาศด้วยอำนาจของกงจักรแก้วนั้น ก็แลเห็นทั่วทุกแห่ง เห็นเขาพระสุเมรุอยู่ตรงกลาง เห็นแผ่นดินใหญ่อยู่รอบเขาพระสุเมรุ ๔ ทิศ เห็นแผ่นดินน้อยซึ่งเป็นบริวารของแผ่นดินใหญ่จำนวน ๒,๐๐๐ เห็นพระมหาสมุทรทั้ง ๔ ซึ่ง เป็นเขตแดนขวางกั้นอยู่ เห็นแม่นํ้าใหญ่น้อยทั้งหลาย เห็นยอดเขาใหญ่ เห็นป่า ใหญ่บนทั้ง ๔ ทวีป เห็นเมืองน้อยใหญ่ เห็นถิ่นฐานชนบทนับไม่ถ้วน

คนทั้งหลายเห็น ห้วย หนอง คลอง บึง และสระที่มีดอกบัวนานาพรรณ มีดอกและรากเหง้างามตระการ กงจักรแก้วนั้นบันดาลให้พระยามหาจักรพรรดิราชเห็นถ้วนทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว จึงนำเสด็จลงสู่แผ่นดินและเมืองที่พระยามหาจักรพรรดิราชประทับอยู่ เมื่อกงจักรแก้วมาถึงประตูพระราชวังของพระยามหาจักรพรรดิราช ก็ลอยอยู่กลางอากาศในระยะสูงพอสมควร คนทั้งหลายนำข้าวตอกดอกไม้มากราบไหว้บูชา เมื่อพระยามหาจักรพรรดิราชมาถึงเรือนหลวงแล้ว จึงสั่งให้ปลูกมณฑปแก้วขึ้น มีแก้ว ๗ ประการเป็นเครื่องประดับมณฑปเขาแก้วนั้นมีประตูทำด้วยแก้วและทองดูรุ่งเรืองงามมาก แล้วจึงให้กงจักรแก้ว มาอยู่ที่มณฑปนั้น คนทั้งหลายจึงนำข้าวตอกดอกไม้มาเคารพบูชา ขณะที่กงจักรแก้วอยู่ในมณฑปแก้วนั้น ปราสาทของพระยามหาจักรพรรดิราชไม่ต้องจุดประทีปโคมไฟเลย เพราะรัศมีกงจักรแก้วนั้นส่องไปให้รุ่งเรืองทั่วทุกแห่งกลางคืนก็เหมือนกลางวัน แต่ถ้าใครต้องการให้มืด ก็จะรู้สึกมืดด้วยใจของผู้นั้น

คณะทำงานโครงการวรรณกรรมอาเซียน