กนกวรรณ ทองตะโก
ตามที่สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก แห่งราชอาณาจักรภูฏาน โปรดให้อัญเชิญพระทันตธาตุของพระกัสสปะพุทธเจ้าที่ประดิษฐานในพระราชวังภูฏานมาประดิษฐานที่ประเทศไทยเป็นการชั่วคราว เพื่อร่วมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสที่ทรงเจริญพระชนมพรรษา ๘๔ พรรษา และเพื่อให้ประชาชนชาวไทยได้สักการะ โดยได้อัญเชิญพระทันตธาตุมาประดิษฐานไว้ที่สนามหลวงในงานกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สารานุกรมไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน กล่าวถึงพระกัสสปะพุทธเจ้าไว้ว่า
กัสสปะ เป็นนามพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๓ ในจำนวน ๕ องค์ ในภัทรกัลปนี้ (พระพุทธเจ้าโคดม เป็นองค์ที่ ๔) ในคัมภีร์พุทธวงศ์ ขุทกนิกาย สุตตันตปิฎก และในอรรถกถาชกตก ตอนทูเรนิทาน กล่าวต้องกันว่า พระกัสสปพุทธเจ้าเสด็จอุบัติในกรุงพาราณสีได้กำเนิดในสกุลพราหมณ์ เป็นโอรสของพรหมทัตพราหมณ์กับนางธนวดีพราหมณี ได้ครองฆราวาสอยู่ประมาณ ๒,๐๐๐ ปี มีปราสาท ๓ หลัง คือ
๑. หังสปราสาท
๒. ยสปราสาท
๓. สิรินันทปราสาท
มีสนมกำนัล ๔๘,๐๐๐ คน มีภริยาชื่อนางสุนันทา มีบุตรชื่อวิชิตเสน ได้เห็นเทวทูตทั้ง ๔ คือ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และพระสมณะ ได้เสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ (การเสด็จออกบรรพชาของพระพุทธเจ้า) ทรงบำเพ็ญมหาปธานจริยาอยู่ประมาณ ๗ วัน ก็ได้ตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ณ ควงไม้ไทรนิโครธ ทรงประกาศพระธรรมจักรที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน มีมหาสังฆสันนิบาตครั้งเดียว มีพระอรหันต์มาประชุมประมาณ ๒๐,๐๐๐ องค์ พระติสเถระเป็นอัครสาวกเบื้องขวา พระภารทวาชเถรเป็นอัครสาวกเบื้องซ้าย พระสรีรกายสูง ๒๐ ศอก พระชนมายุประมาณ ๒๐,๐๐๐ ปี ประดิษฐานพระศาสนาเท่าพระชนมายุ เสด็จนิพพานที่เสตพยคาม กรุงพาราณสี
พระทันตธาตุนี้ แม้แต่ประชาชนชาวภูฏานเองยังไม่มีโอกาสได้เข้าไปสักการะบ่อย ๆ เพราะทางการภูฏานเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี จะเปิดให้ประชาชนภูฏานสักการะได้เพียงปีละ ๑ ครั้งเท่านั้น คือในวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ของทุกปี ซึ่งเป็นวันดรากอนเยียร์ของภูฏาน จึงนับเป็นโอกาสอันดีที่ประชาชนชาวไทยจะได้สักการะพระทันตธาตุ และเป็นครั้งแรกในโลกที่ประเทศภูฏานยินดีให้อัญเชิญพระทันตธาตุออกนอกประเทศ