พระยามหาจักรพรรดิราช

สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงเทศนาดังนี้ว่า พระพุทธเจ้าก็ดี พระปัจเจกพุทธเจ้าก็ดี พระอัครสาวกก็ดี พระอรหันตขีณาสพก็ดี พระโพธิสัตว์ ซึ่งจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าก็ดี และพระยามหาจักรพรรดิราชก็ดี ท่านผู้มีบุญทั้งหลายเหล่านั้น ย่อมไม่ไปอุบัติในทวีปทั้ง ๓ นั้นพระยามหาจักรพรรดิราชเลย แต่มาอุบัติในแผ่นดินชมพูทวีปของเรานี้ เหล่าชนที่เกิดในแผ่นดินชมพูทวีปนี้ก็ไม่ไปเกิดในทวีปทั้ง ๓ นั้นเลย เหล่าชนที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินทั้ง ๓ นั้นก็ดี และเหล่าชนที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินเล็กๆ ทั้งสองพันนั้นก็ดี เมื่อใดมีพระยามหาจักรพรรดิราชเสด็จอุบัติขึ้น เมื่อนั้นชนเหล่านั้นก็พากันมาเฝ้าพระองค์ เหมือนคนทั้งหลายที่อยู่ในแผ่นดินของเรานี้พากันกราบไหว้ เคารพ ยำเกรง พระยามหาจักรพรรดิราชเจ้านั้น

ท่านผู้เป็นพระยามหาจักรพรรดิราชนั้น มียศมีศักดิ์ดังนี้ คือ ผู้ใดได้ สร้างสมบุญญาธิการมาแต่ปางก่อน คือ ได้ปฏิบัติบูชาพระรัตนตรัย รู้จักคุณ พระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ รักษาศีล เมตตาภาวนา ผู้นั้นครั้นตายไปก็ไปเกิดในสวรรค์ บางครั้งก็ไปเกิดเป็นท้าวเป็นพระยา ผู้ใหญ่ มียศ มีศักดิ์ มีบริวาร ได้ปราบทั่วทั้งจักรวาล ท่านผู้นั้น เมื่อกล่าวถ้อยคำหรือบังคับบัญชา ท่านย่อมกระทำด้วยความเป็นธรรมทุกประการ ท่านผู้นั้นเป็นพระยา ทรงพระนามว่า พระยามหาจักรพรรดิราช พระยานั้นมักชอบฟังพระธรรมเทศนา จากสำนักของสมณพราหมณาจารย์ และนักปราชญ์ผู้รู้ธรรมทั้งหลาย พระองค์ทรงบำเพ็ญศีล ๕ ทุกวันมิได้ขาด ในวันธรรมสวนะ ทรงบำเพ็ญศีล ๘ ใน วันเพ็ญ เวลาเช้า พระองค์รับสั่งให้นำราชทรัพย์ออกมากองไว้หน้าพระลานชัย แล้วแจกเป็นทานแก่คนผู้มาขอ ครั้นแจกทานเสร็จแล้ว จึงชำระสระพระเกศา แล้วสรงด้วยนํ้าอบด้วยเครื่องหอม ในกระออมทองคำครั้งละพันกระออมเสร็จ แล้วจึงทรงผ้าขาวซึ่งมีเนื้อละเอียด มีชื่อว่า สุกุลพัสตร์ มาห่มกายและพาดเหนือ อังสะ (บ่า) แล้วจึงสมาทานศีล ๘ ต่อจากนั้น จึงเสด็จลงไปประทับนั่ง ณ กลาง แผ่นดินทอง ประดับด้วยแก้วรุ่งเรืองงามดุจแสงอาทิตย์ ประกอบไปด้วยฟูก เมาะ เบาะแพรและหมอนทอง ส่วนแท่นประทับทองคำก็ประดับด้วยแก้ว ๗ ประการ อยู่ในปราสาทแก้ว อันรุ่งเรืองงดงามยิ่ง พระยามหาจักรพรรดิราชนั้น เมื่อรำพึงถึงทานที่พระราชทาน รำพึงถึงศีลที่บำเพ็ญ และรำพึงถึงธรรมที่ ทรงสดับแล้วทรงเจริญภาวนา ด้วยอำนาจบุญสมภารของพระองค์นั้น พระองค์จึงได้ปราบทั่วทั้งจักรวาล

คณะทำงานโครงการวรรณกรรมอาเซียน

ประเภทมนุษย์-สี่ทวีป

บุตรทั้งหลายที่เกิดมามี ๓ จำพวก คือ อภิชาตบุตร อนุชาตบุตร และ อวชาตบุตร

อภิชาตบุตร คือ บุตรที่ดียิ่งกว่าบิดามารดาทั้งในด้านเชาวน์ปัญญา รู้หลักนักปราชญ์ รูปงาม ทรัพย์ ยศฐาบรรดาศักดิ์

อนุชาตบุตร คือ บุตรที่เกิดมาฉลาด มีกำลังเรี่ยวแรงมนุษย์เสมอบิดามารดา ทุกประการ

อวชาตบุตร คือ บุตรที่เกิดมาด้อยกว่า เลวกว่าบิดามารดาทุกประการ

มนุษย์ทั้งหลายนี้มี ๔ จำพวก คือ มนุษย์นรก มนุษย์เปรต มนุษย์ เดรัจฉาน และมนุษย์คน

เหล่ามนุษย์ที่ฆ่าสัตว์มีชีวิต เมื่อบาปมาถึงตนและถูกผู้อื่นตัดมือตัดเท้า ได้รับความทุกข์โศก ลำบากมาก คือ มนุษย์นรก

มนุษย์จำพวกหนึ่ง ไม่เคยทำบุญในชาติก่อน จึงเกิดมาเป็นคนยากไร้ เข็ญใจ ไม่มีเสื้อผ้าจะนุ่งห่ม อดอยากยากแค้น ไม่มีอาหารจะกิน หิวกระหายมาก ขี้ริ้วขี้เหร่ มนุษย์เหล่านี้ คือ มนุษย์เปรต

บรรดามนุษย์ที่ไม่รู้จักบุญและบาป เจรจาหาความเมตตากรุณามิได้ มีใจแข็งกระด้าง ไม่ยำเกรงผู้อาวุโส ไม่รู้จักปรนนิบัติบิดามารดา และอุปัชฌาย์อาจารย์ ไม่รู้จักรักพี่รักน้อง กระทำบาปทุกเมื่อ มนุษย์เหล่านี้ คือ มนุษย์เดรัจฉาน

บรรดามนุษย์ที่รู้จักผิดและชอบ รู้จักบาปและบุญ รู้จักประโยชน์ในโลกนี้และโลกหน้า รู้จักกลัวและละอายแก่บาป ว่านอนสอนง่าย รู้จักรักพี่รักน้อง รู้จักเอ็นดูกรุณาต่อผู้ยากไร้เข็ญใจ รู้จักยำเกรงบิดามารดา ผู้อาวุโส สมณพราหมณาจารย์ที่ปฏิบัติในสิกขาบทของพระพุทธเจ้าทุกเมื่อ รู้จักคุณแก้ว ๓ ประการ มนุษย์เหล่านี้ คือ มนุษย์คน

มนุษย์คนมี ๔ จำพวก ได้แก่ พวกที่เกิดและอยู่ในชมพูทวีปนี้ พวกที่ เกิดและอยู่ในบุรพวิเทหทวีป อยู่ทางทิศตะวันออกของเรา พวกที่เกิดและอยู่ในอุตตรกุรุทวีป อยู่ทางทิศเหนือของเรา และพวกที่เกิดและอยู่ในอมรโคยานทวีป อยู่ทางทิศตะวันตกของเรา

มนุษย์ที่อยู่ในชมพูทวีปของเรานี้ มีหน้ารูปไข่เหมือนดุมเกวียน มนุษย์ ในบุรพวิเทหทวีป มีหน้ากลมเหมือนเดือนเพ็ญ กลมดังหน้าแว่น(แผ่นกระจกเงารูปกลม) มนุษย์ใน อุตตรกุรุทวีป มีหน้ารูป ๔ เหลี่ยม ดุจดังท่านตั้งใจบรรจงแต่งไว้ กว้างและยาวเท่ากัน มนุษย์ในอมรโคยานทวีป มีหน้าเหมือนเดือนแรม ๘ คํ่า

อายุของคนชาวชมพูทวีป อาจยาวหรือสั้น เพราะเหตุที่บางครั้ง มนุษย์ ทั้งหลายบางครั้งมีศีลธรรม บางคราวไม่มี ถ้ามนุษย์ทั้งหลายมีศีลธรรม ย่อมกระทำบุญและปฏิบัติธรรม ยำเกรงผู้อาวุโส บิดามารดา และสมณพราหมณาจารย์ อายุของมนุษย์เหล่านั้นจะยาวขึ้นๆ ส่วนมนุษย์ที่ไม่ได้จำศีล ไม่ได้ทำบุญ ไม่ยำเกรงผู้อาวุโส บิดามารดา สมณพราหมณ์ อุปัชฌาย์อาจารย์นั้น อายุของคนเหล่านั้นจะสั้นลงๆ เพราะเหตุดังกล่าว อายุของมนุษย์ในชมพูทวีปนี้ จึงกำหนดไม่ได้

มนุษย์ในบุรพวิเทหทวีป มีอายุยืนได้ ๑๐๐ ปี จึงตาย มนุษย์ในอมรโคยานทวีป มีอายุยืนได้ ๔๐๐ ปี จึงตาย ส่วนมนุษย์ในอุตตรกุรุทวีป มีอายุยืน ได้ ๑,๐๐๐ จึงตาย

อายุของมนุษย์ในทวีปทั้ง ๓ ไม่เคยมีเพิ่มขึ้นหรือลดลงเลย เพราะ มนุษย์เหล่านั้นตั้งอยู่ในเบญจศีลตลอดกาลไม่ได้ขาด ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ไม่ขโมยทรัพย์ไม่ว่ามากหรือน้อยของผู้อื่นมาเป็นของตน ไม่เป็นชู้กับภรรยาของผู้อื่น ส่วนผู้หญิงในทวีปเหล่านี้ก็ไม่ลอบเป็นชู้กับสามีผู้อื่น หญิงเหล่าอื่นก็ไม่เป็นชู้กับสามีของหญิงเหล่านี้ อนึ่ง มนุษย์เหล่านั้น ไม่พูดเท็จ เว้นจากการดื่มสุราของเมาต่าง ๆ และรู้จักยำเกรงผู้อาวุโส บิดามารดา รู้จักรักพี่รักน้อง มีใจอ่อนโยน อดทน มีความเอ็นดูกรุณาซึ่งกันและกัน ไม่อิจฉาริษยากัน เว้นจากการพูดส่อเสียด เว้นจากการพูดคำหยาบ เว้นจากการพูดเพ้อเจ้อ เว้นจากการทะเลาะเบาะแว้งทุ่มเถียงกัน ไม่ช่วงชิงหวงแหนเขตแดนและบ้านเรือนของกันและกัน ไม่ข่มเหงช่วงชิงเอาเงินทองแก้วแหวน บุตร ภรรยา ข้าว ไร่ นา โค ป่า ห้วยละหาน ธารนํ้า บ้านเรือน ที่สวน เผือกมัน หลักตอ ล้อเกวียน ไม่เบียดเบียนเรือแพ โค กระบือ ช้าง ม้า ข้าไท และสรรพทรัพย์สินสิ่งใดๆ เขาไม่แบ่งว่าเป็นของตนหรือของท่าน ดูเสมอกันทั้งสิ้นทุกแห่ง มนุษย์เหล่านั้นไม่ทำไร่ไถนาค้าขายเลย

แผ่นดินทางทิศตะวันตกเขาพระสุเมรุมีทวีปชื่อ อมรโคยานทวีป กว้าง ๗,๐๐๐ โยชน์ มีแผ่นดินล้อมรอบเป็นบริวาร บรรดามนุษย์ในอมรโคยานทวีป มีหน้าดังเดือนแรม ๘ คํ่า มีแม่นํ้าใหญ่และแม่นํ้าเล็ก มีภูเขา มีเมืองใหญ่เมืองน้อย (มนุษย์ในทวีปนั้นมีจำนวนมาก มีท้าวพระยาและมีนายบ้านนายเมือง)

แผ่นดินทางทิศตะวันออกภูเขาพระสุเมรุมีทวีปใหญ่ชื่อ บุรพวิเทหทวีป กว้างได้ ๗,๐๐๐ โยชน์ วัดโดยรอบได้ ๒๑,๐๐๐ โยชน์ มีทวีปเล็ก ๕๐๐ ทวีป ล้อมรอบเป็นบริวาร เหล่ามนุษย์ในบุรพวีเทหทวีปมีหน้ากลมดังเดือนเพ็ญ มีแม่น้ำใหญ่แม่นํ้าเล็ก มีภูเขา มีเมืองใหญ่เมืองน้อย เหล่ามนุษย์ที่อยู่ในทวีปนั้นมีมากนัก มีท้าวพระยาและนายบ้านนายเมือง

แผ่นดินทางทิศเหนือของภูเขาพระสุเมรุมีทวีปชื่อว่า อุตตรกุรุทวีป กว้าง ๘,๐๐๐ โยชน์ มีแผ่นดินเล็กๆ ๕๐๐ ล้อมรอบเป็นบริวาร มนุษย์ในทวีป นั้นมีหน้าเป็นรูปสี่เหลี่ยม มีภูเขาทองล้อมรอบทวีป มีคนทั้งหลายอาศัยอยู่ในทวีปนั้นมาก มีความเป็นอยู่ดีกว่าคนในทวีปอื่น เพราะบุญของเขา เพราะเขารักษาศีล

แผ่นดินอุตตรกุรุทวีปนั้น ราบเรียบเสมอกัน ไม่มีที่ลุ่มที่ดอนหรือที่ ขรุขระปรากฏให้เห็น และมีต้นไม้นานาพันธุ์ มีกิ่งก้านสาขางาม มีค่าคบใหญ่น้อยมากมาย เหมือนเขาตั้งใจสร้างไว้เป็นบ้านเรือนดูงามดั่งปราสาท เป็นที่อยู่อาศัยของคนในอุตตรกุรุทวีปนั้น ไม้นั้นไม่มีตัวแมลงตัวด้วง ไม่มีส่วนที่คด ที่งอ ที่กลวง ที่เป็นโพรง ต้นตรงกลมงามมาก ผลิดอกออกผลตลอดเวลาไม่เคยขาด ที่ใดที่เป็นบึง หนอง ตระพังจะดาดาษด้วยดอกบัวแดง บัวขาว บัวเขียว บัวหลวง และกุมุท อุบล จงกลนี นิลุบล บัวเผื่อน บัวขม เมื่อลมพัดต้องก็โชยกลิ่นหอมขจรขจายไปโดยรอบอยู่ทุกเวลา

ชาวอุตตรกุรุทวีป มีรูปร่างสมทรง ไม่สูงไม่ตํ่า ไม่อ้วนไม่ผอม ดูงามด้วยรูปทรงสมส่วน มีเรี่ยวแรงกำลังกายคงที่ไม่เสื่อมถอยไปตามวัย ตั้งแต่หนุ่มจนแก่ พวกเขาไม่มีความกังวลในเรื่องทำมาหากิน ไม่ต้องทำไร่ทำนา หรือซื้อขายกัน อนึ่ง ชาวอุตตรกุรุทวีป ไม่รู้สึกร้อนหรือหนาว ไม่มีภัยจากแมงมุม ริ้น ยุง งู สัตว์เลื้อยคลานและสัตว์ร้ายมีพิษนานาชนิด เป็นต้น ชาวอุตตรกุรุทวีปไม่มีภัยจากลมและฝน และแดดก็ไม่เผาไหม้เขา เขาไม่รู้จักความแตกต่างระหว่างกลางวันและกลางคืน ไม่มีความเดือดเนื้อร้อนใจสิ่งใด

ชาวอุตตรกุรุทวีปมีข้าวชนิดหนึ่งชื่อ สัญชาตสาลี คือ ข้าวที่เกิดเอง เขาไม่ต้องหว่านหรือไถดำ ข้าวนั้นเกิดเป็นต้นเป็นรวงเป็นข้าวสารเอง ข้าว นั้นหอม ไม่มีแกลบมีรำ ไม่ต้องตำ ไม่ต้องฝัด ขาวอุตตรกุรุทวีปชวนกันกินข้าวนั้นอยู่เป็นประจำ ในอุตตรกุรุทวีปยังมีหินชนิดหนึ่งชื่อ โชติปาสาณ คนเหล่านั้นจะเอาข้าวสารกรอกใส่หม้อทองเรืองงาม ยกไปตั้งบนแผ่นหิน โชติปาสาณนั้น ชั่วครู่หนึ่งจะเกิดเป็นไฟลุกขึ้นได้เอง เมื่อข้าวสุก ไฟจะดับเอง เมื่อเขาเห็นไฟดับก็รู้ว่าข้าวสุก จึงคดใส่ถาดและตะไลทองงาม สำหรับกับข้าวนั้นก็ไม่ต้องจัดหา เมื่อนึกว่าจะกินสิ่งใด ก็จะปรากฏขึ้นอยู่ใกล้ๆ เขาเอง คนเหล่านั้น เมื่อกินข้าวนั้นแล้ว จะไม่เกิดโรคต่างๆ เป็นต้นว่า โรคหิด โรคเรื้อน เกลื้อน กลาก โรคฝี โรคหนอง โรคผอมแห้ง และโรคลมบ้าหมู จะไม่เป็นโรคท้องอืด ท้องเฟ้อ ไม่เป็นง่อยเปลี้ยเพลียแรง ดวงตาไม่บอดไม่ฟาง หูไม่หนวกไม่ตึง จะไม่เจ็บไข้ได้ป่วย พิกลพิการดังกล่าวมานั้น ถ้าเขากำลังกินข้าวนั้นอยู่ เมื่อมีคนมาเยี่ยม เขาก็นำข้าวนั้นมารับรองด้วยความเต็มใจ และไม่รู้สึกเสียดาย

ในแผ่นดินอุตตรกุรุทวีปนั้น มีต้นกัลปพฤกษ์ต้นหนึ่ง สูง ๑๐๐ โยชน์ กว้าง ๑๐๐ โยชน์ วัดโดยรอบได้ ๓๐๐ โยชน์ ผู้ใดปรารถนาอยากจะได้ทรัพย์สินเงินทองหรือเครื่องประดับตกแต่งทั้งหลายเป็นต้นว่า เสื้อสร้อยถนิมพิมพาภรณ์ ผ้านุ่งผ้าแพรพรรณต่างๆ ก็ดี หรือเครื่องอุปโภคบริโภคต่างๆ สิ่งเหล่านั้น ย่อมบังเกิดขึ้นแต่ค่าคบของต้นกัลปพฤกษ์นั้น ให้สำเร็จสมตามความปรารถนา ทุกประการ

สตรีทั้งหลายที่อยู่ในแผ่นดินนั้น งามทุกคน รูปร่างไม่สูงไม่ตํ่าเกินไป ไม่ผอมไม่อ้วนเกินไป ไม่ขาวดำเกินไป มีรูปทรงสมส่วน ผิวพรรณงามดั่ง ทองสุกเหลือง เป็นที่พึงใจของชายทุกคน นิ้วมือนิ้วเท้ากลมกลึง มีเล็บสีแดง เหมือนนํ้าครั่งที่ทาแต้มไว้ แก้มใสนวลงามดั่งผัดแป้ง ใบหน้านั้นเกลี้ยงเกลา ปราศจากมลทินคือ ใฝ ฝ้า มีดวงหน้าดุจพระจันทร์วันเพ็ญ มีนัยน์ตาดำเหมือนนัยน์ตาของเนื้อทรายอายุ ๓ วัน ที่ขาวก็ขาวเหมือนสังข์ที่พึ่งขัดใหม่ มีริมฝีปากแดงดังลูกฟักข้าวที่สุกงอม มีลำแข้งขาเรียวงามขาวเหมือนลำกล้วยทองฝาแฝด มีท้องที่ราบเรียบเสมอลำตัวอ้อนแอ้นเกลี้ยงกลมงาม มีขนและเส้นผมละเอียด อ่อนยิ่งนัก เส้นผมของคนปัจจุบัน ๑ เส้น เท่ากับผม ๘ เส้นของนางโดยประมาณ ดำงามเหมือนปีกแมลงภู่ ยาวลงมาถึงริมบ่าเบื้องตํ่าทั้งสองแล้วตวัดปลายผมขึ้นเบื้องบน เมื่อเวลานางนั่งยืนอยู่ก็ดี เดินไปมาก็ดี ใบหน้าแจ่มใสเหมือนดังแย้มยิ้มตลอดเวลา มีขนคิ้วดำสนิทโก่งดังวาดไว้ เมื่อนางพูดจะมีนํ้าเสียงแจ่มใส ปราศจากเสมหะเขฬะทั้งปวง ที่คอประดับด้วยเครื่องอาภรณ์งามยิ่ง มีรูปโฉมโนมพรรณงามดังสาวน้อยอายุ ๑๖ ปี มีทรวดทรงคงที่ไม่แก่เฒ่าไปตามกาลเวลา ดูอ่อนเยาว์ตลอดชีวิตทุกคน

ชายทั้งหลายในอุตตรกุรุทวีป ก็มีรูปร่างผิวพรรณงามเหมือนหนุ่มน้อยอายุ ๒๐ ปี ไม่มีแก่เฒ่า เป็นหนุ่มอยู่ดังนั้นตลอดชีวิตทุกคน คนเหล่านั้น กินข้าวนํ้าและอาหารอย่างดี มีรสอันอร่อย เขาแต่งแต่ตัว เขาจะทากระแจะจันทน์นํ้ามันอย่างดี ทัดทรงดอกไม้หอมต่างๆ แล้วพากันไปเที่ยวเล่นตามสบาย บ้างก็ฟ้อนรำทำเพลงดุริยางคดนตรี บ้างก็ดีดสีตีเป่า ขับร้องกันสนุกสนานเป็นหมู่มากมาย มีเสียงฆ้อง กลอง แตรสังข์ กังสดาล มโหรทึกดังกึกก้อง มีการทำพิธี มีดอกไม้งามต่างๆ มีจวงจันทน์กฤษณา เหมือนดั่งเป็นเทวดาบนสวรรค์ เขาเล่นสนุกด้วยกันตลอดเวลา บางหมู่ก็ชวนกันไปเล่นในที่สวยงดงามที่สนุก และในสวนอันมีดอกไม้งามตระการตา มีจวงจันทน์กฤษณาคันธา ปาริชาต นาคพฤกษ์ ลำดวน จำปา โยธกา มาลุตี มนีชาตบุตรทั้งหลาย ซึ่งมีดอกงาม มีกลิ่นหอมฟุ้งขจรไป บางหมู่ก็ชวนกันไปเล่นในสวนผลไม้อันมีผลสุกงอม หอมหวาน เช่นว่า ขนุนบางผลนั้นใหญ่เท่าไห บางผลใหญ่เท่ากระออม หอม หวานมาก เขาชวนกันกินเล่นเป็นที่สนุกสนานเบิกบานใจในสวนนั้น บางหมู่ก็ชวนกันไปเล่นในแม่นํ้าใหญ่ ที่มีท่าราบเรียบปราศจากเปือกตม แล้วชวนกันเล่นแหวกว่ายไปตามแม่น้ำ เด็ดเอาดอกไม้ที่มีอยู่ในที่นั้น มาทัดทรงไว้ที่หูและหัว บางพวกก็พากันเล่นที่หาดทราย เมื่อจะพากันลงอาบนํ้านั้น พวกเขาจะถอดเครื่องประดับออกวางไว้ที่หาดทราย แล้วลงไปอาบ ว่ายเล่นกันในแม่นํ้า เมื่อผู้ใดขึ้นมาจากนํ้าก่อนจะเอาเครื่องประดับและผ้านุ่งผ้าห่มของใครมาประดับนุ่งห่มได้ไม่ว่ากัน ไม่โกรธกัน ไม่ด่าหรือถกเถียงกัน ถ้ามีต้นไม้อยู่ที่ใด ก็เข้า ไปอาศัยอยู่ในที่นั้นสถานที่นั้นก็จะพูนสูงขึ้นเป็นเสื่อสาดอาสนะ เป็นฟูกที่นอน หมอนอิง เป็นม่านและเพดานกั้นพวกเขาพากันสนุกสนานรื่นเริงใจตลอดเวลา

เมื่อเขาเจริญวัยขึ้นเป็นหนุ่มสาว เมื่อแรกรักกันจะอยู่ครองเรือนเป็น สามีภรรยากัน เขาจะร่วมรักกันเพียง ๗ วันเท่านั้น ต่อจากนั้นเขาจะไม่ร่วมรักกันเลย จะอยู่เย็นเป็นสุข ตราบเท่าสิ้นอายุ ๑,๐๐๐ ปีของพวกเขานั้น ไม่อาลัยอาวรณ์สิ่งใด ดังเป็นพระอรหันต์ผู้หมดกิเลสทั้งปวงแล้ว

ผู้หญิงชาวอุตตรกุรุทวีป เมื่อมีครรภ์และจะคลอดลูก นางจะไม่เจ็บท้องเลย และไม่ว่ามารดาจะอยู่ที่ใด ครั้นเมื่อจะคลอดจะเกิดมีแท่นที่นอนขึ้นมารองรับ นางจะไม่เจ็บท้องเวลาจะคลอดเลย และทารกที่คลอดออกมาก็ไม่มีเลือดฝาด และเมือกคาวเป็นมลทิน งามดังแท่งทองอันสุกใสปราศจากราคีต่างๆ มารดาไม่ต้องอาบนํ้า ให้ยา และไม่ต้องให้ทารกดื่มนมเลย เพียงเอาไปให้นอนหงาย วางทิ้งไว้ที่ริมทางที่มีหญ้าอ่อนดังสำลี เมื่อใครเดินไปมามองเห็นทารกนอนหงายอยู่อย่างนั้น ก็จะเอานิ้วมือเข้าไปป้อนในปากของทารก ด้วยบุญของทารกนั้น ก็จะบังเกิดเป็นนํ้านมไหลออกมาจากปลายนิ้วมือเข้าไปในลำคอ และยังเกิดเป็นกล้วยอ้อยของกิน เลี้ยงทารกนั้นทุกๆ วัน ครั้นทารกเติบโตขึ้นสามารถเดินไปมาได้แล้ว ถ้าหากเด็กนั้นเป็นผู้ชายก็จะไปอยู่รวมกลุ่ม กับเด็กผู้ชาย ถ้าเป็นหญิงก็จะไปอยู่รวมกลุ่มกับเด็กผู้หญิง เพราะฉะนั้น ลูกเขาจึงโตขึ้นเอง ลูกไม่รู้จักพ่อแม่ และพ่อแม่ก็ไม่รู้จักลูก เพราะคนเหล่านั้นมีรูปร่างงามสง่าเหมือนกันหมดทุกคน เมื่อพวกเขาเริ่มรักใคร่เป็นสามีภรรยากันแม่และลูกก็ดี พ่อและลูกก็ดี จะไม่อยู่ครองเรือนเป็นสามีภรรยากัน เพราะพวกเขานั้นมีบุญ เทวดาจึงบันดาลทุกสิ่งให้เป็นธรรมดา

เมื่อพวกเขาตายจากกันไป ก็มิได้มีความทุกข์เศร้าโศกเสียใจ ร้องไห้ ถึงกันเลย พวกเขาจะเอาศพนั่นอาบนํ้าแต่งตัวทากระแจะจันทน์นํ้ามันหอม นุ่งห่มผ้าให้ประดับด้วยอาภรณ์ทั้งปวงแล้วจึงเอาไปวางไว้ในที่แจ้ง ก็จะมีนกชนิดหนึ่งซึ่งบินทั่วไปในแผ่นดินอุตตรกุรุทวีปนั้น มาคาบเอาศพไปยังรังนกนั้น เพื่อมิให้สกปรกรกแผ่นดิน นกนั้นบางทีก็คาบเอาไปทิ้งไว้ในแผ่นดินอื่น หรือทิ้งที่ฝังทะเลหรือในชมพูทวีป นกนี้ต่างอาจารย์เรียกชื่อต่างกัน คือ นกหัสดีลิงค์ นกอินทรี นกกด ที่ว่าคาบเอาศพไปนั้น บางอาจารย์กล่าวว่า ไม่ได้คาบเอาศพ ไป แต่ใช้กรงเล็บคืบเอาไป

คนทั้งหลายในอุตตรคุรุทวีป เมื่อตายไปแล้ว ย่อมไม่ไปเกิดในจตุราบาย ทั้ง ๔ คือ นรก เปรต อสุรกาย และสัตว์เดรัจฉานนั้นเลย แต่พวกเขาจะไปเกิดในที่ดี คือ สวรรค์ชั้นฟ้า เพราะว่า พวกเขาทั้งหลายเป็นผู้ที่ตั้งมั่นอยู่ในศีล ๕ ตลอดเวลา เครื่องหมายคุณความดีของคนเหล่านั้น ก็ยังปรากฏอยู่ไม่มีที่สิ้นสุดบริบูรณ์อยู่ตราบจนบัดนี้

ในคัมภีร์ฉบับหนึ่งแสดงไว้ว่า แผ่นดินในอุตตรกุรุทวีปนั้น ราบเรียบ เสมอกัน งามมาก มิได้เป็นหลุมเป็นบ่อขรุขระ คนทั้งหลายที่อาศัยอยู่ในที่นั้น ไม่มีความทุกข์ ความเศร้าโศกเสียใจเลย และพวกสิงสาราสัตว์ทั้งหลาย อาทิ หมู หมี หมา และงู ตลอดจนสรรพสัตว์อันดุร้ายนานาชนิด ไม่มาเบียดเบียน ทำร้ายคนทั้งหลายที่อยู่ในที่นั้นเลย และยังมีหญ้าชนิดหนึ่ง ชื่อว่า ฉวินยา งอกขึ้นในแผ่นดินนั้น มีสีเขียวงาม ดำดังแววนกยูง ละเอียดอ่อนดังฟูกดังสำลี งอกขึ้นพ้นดิน ๔ นิ้ว และมีนํ้าใสเย็น สะอาด ดื่มกินมีรสอร่อย ไหลเซาะท่านํ้า แลดูงามล้วนไปด้วยทอง เงิน และแก้ว ๗ ประการ ไหลเสมอฝั่ง เมื่อนกกามาดื่มกิน ก็กินโดยไม่ต้องชะโงกหัวลงดื่ม คนทั้งหลายในที่นั้น บางคนมีรูปร่าง สูงเท่าคนในบุรพวิเทหทวีป และคนในอุตตรกุรุทวีปนั้น เขานุ่งห่มผ้าขาวที่เขานึกอธิษฐานเอาจากต้นกัลปพฤกษ์นั้น

ต้นกัลปพฤกษ์นั้น สูง ๑๐ วา ๒ ศอก กว้าง ๑๐ วา คนทั้งหลายในที่นั้น จะไม่เบียดเบียนหรือทำร้ายสัตว์ทั้งหลายที่มีชีวิต และไม่กินเนื้อสัตว์อีกด้วยถ้าคนใดคนหนึ่งตายไปแล้วเขาจะไม่นำซากศพไป แต่จะมีนกชนิดหนึ่งคือ นกอินทรีมาคาบเอาไปไว้เสียกลางป่า

หมู่ชนทั้งหลายที่เป็นหนุ่มสาวในอุตตรกุรุทวีปนั้น เมื่อรักกันชอบกัน ก็จะอยู่ร่วมกันเอง เป็นสามีภรรยากันโดยไม่ต้องเสียสิ่งหนึ่งสิ่งใด เมื่อเขารักกันเขาก็อยู่ด้วยกันเองตราบเท่าถึงไฟไหม้กัลป์ ดังสิ่งทั้ง ๔ นี้ อันได้แก่ ประการที่หนึ่ง รูปกระต่ายที่อยู่ในพระจันทร์หนึ่ง ประการที่สอง พระโพธิสัตว์ เมื่อมีชาติเป็นนกคุ้ม อยู่ในกองไฟแต่ไฟไม่ไหม้ตราบจนถึงหนึ่งกัลป์ ประการที่สามเรื่องพระโพธิสัตว์ที่ท่านรื้อหลังคาออกเพื่อมุงกุฎีพระสงฆ์ฝนไม่ตกรั่วเรืองที่รื้อออกเลย ตราบเท่าสิ้นกัลป์หนึ่ง และ ประการที่สี่ ไม้อ้อที่อยู่รอบริมสระนํ้าเมื่อพระโพธิสัตว์เป็นพระยาวานร และมีบริวาร ๘๐,๐๐๐ ตัว ท่านอธิษฐานว่า ให้ไม้อ้อนั้นกลวงอยู่ตราบเท่าสิ้นกัลป์หนึ่ง

คนเหล่านั้นตั้งแต่หนุ่มสาวจนถึงแก่เฒ่า เขาร่วมรักด้วยกันเพียง ๔ ครั้ง บางคราวก็มิได้ร่วมรักกันเลย คนเหล่านั้นกินข้าว แต่ไม่ต้องทำนา เขา จะเอาข้าวสารซึ่งเกิดได้เองนั้นมากิน และข้าวสารนั้นก็ขาวสะอาด ไม่ต้องตำ ไม่ต้องซ้อมข้าวเปลือกเลย

มีผลไม้ชนิดหนึ่งเรียกว่า ตุณหิรกะ มีรูปร่างเหมือนหม้อข้าว เขาจะเอา ข้าวนํ้าใส่แล้วตั้งบนก้อนหิน ที่เรียกว่า โชติปาสาณะ ซึ่งเกิดเป็นไฟลุกขึ้นได้เอง เมื่อข้าวนั้นสุกดีแล้วไฟนั้นจะดับไปเอง ข้าวที่พวกเขาคดมารับประทานนั้น มีรสอร่อยยิ่งนัก ชนชาวอุตตรกุรุทวีปไม่ได้สร้างบ้านเรือนอยู่อาศัย แต่มีไม้ชนิดหนึ่งที่งามเหมือนทองเรียกว่า มัญชุสถา เป็นเหมือนบ้านเรือนที่อยู่อาศัยของชนชาวแผ่นดินอุตตรกุรุทวีป

คณะทำงานโครงการวรรณกรรมอาเซียน

การกำเนิดจากครรภ์

แดนมนุษย์
กำเนิด ๔ ประเภท

บรรดาสัตว์ที่เกิดในโลกมนุษย์นี้ มีการเกิดด้วยกำเนิดทั้ง ๔ ประเภท กำเนิดในครรภ์มีมากกว่ากำเนิดประเภทอื่น การกำเนิด ๓ ประเภทมีปรากฏเป็นบางครั้งเท่านั้น การกำเนิดในครรภ์ของคนทั้งหลายมีดังนี้ หญิงสาวทั้งหลายที่ควรจะมีบุตร บริเวณใต้ท้องน้อยภายในที่จะมีผู้มาเกิดนั้น จะมีก้อนเลือดทารกก้อนหนึ่ง แดงอย่างลูกผักปลัง การกำเนิดมนุษย์เมื่อหญิงนั้นถึงระดูรอบเดือนและมีระดูไหลออกจากท้องแล้ว ต่อจากนั้นไปอีก ๗ วัน จึงนับได้ว่ามีครรภ์ ต่อจากนั้นระดูจะไม่ไหลอีกเลย หญิงยังไม่แก่ชรา อาจมีบุตรได้ทุกคน หญิงที่ไม่มีบุตรเป็นเพราะบาปกรรมของผู้มาเกิด ทำให้เกิดเป็นลมในครรภ์ ลมนั้นพัดถูกสัตว์ที่มาเกิดในครรภ์ทำให้แท้งตายไป บางครั้งมีตัวตืด พยาธิ ไส้เดือน ในครรภ์ ซึ่งกินสัตว์ผู้มาเกิด ทำให้หญิงนั้นไม่มีบุตร

สัตว์เกิดในครรภ์นั้น แรกทีเดียวมีขนาดเล็กมาก เรียกว่า ‘‘กลละ” ซึ่งมีขนาดเหมือนนำผมของมนุษย์มาผ่าออกเป็น ๘ ซีก แต่ละซีกมีขนาดเท่ากับผมของมนุษย์ ในอุตตรกุรุทวีป เมื่อนำเส้นผมของมนุษย์ชาวอุตตรกุรุทวีปเส้นหนึ่งมาชุบนํ้ามันงาอันใสงามมาสลัด ๗ ครั้งแล้วถือไว้ นํ้ามันที่ไหลย้อยลงปลายเส้นผมยังใหญ่กว่า กลละ นั้น หรือเทียบเหมือนขนของเนื้อทรายชื่ออุณาโลม ที่อยู่เชิงเขาหิมพานต์ เส้นขนของ เนื้อทรายนั้นเล็กกว่าเส้นผมชาวอุตตรกุรุทวีป เมื่อนำขนทรายอุณาโลมเส้นหนึ่งชุบนํ้ามันงาที่ใสสะอาดงาม สลัดทิ้ง ๗ ครั้งแล้วถือไว้ นํ้ามันที่หยดลงที่ปลายขนทรายนั้นจึงจะมีขนาดเท่ากลละนั้น

กลละนั้น ใสงามราวกับนํ้ามันงาที่ตักใหม่ งามดังนํ้ามันเปรียงใหม่ ต่อจากนั้นจึงมีธาตุลม ๕ อย่าง ก่อตัวขึ้นพร้อมกันอยู่ในกลละนั้น

เมื่อแรกเกิดเป็นกลละนั้น มีรูป ๘ รูป ได้แก่ รูปดิน รูปนํ้า รูปไฟ รูปลม รูปกายประสาท รูปหญิงหรือชาย รูปหัวใจ และชีวิตรูป (คือสิ่งที่ทำให้มีธาตุ ยืนอยู่ได้) ในบรรดารูปทั้งหมดนี้ เกิดมีชีวิต ๓ รูปก่อน ๓ รูปนี้คือรูปใดบ้าง คือ รูปกาย รูปหญิงหรือชาย และรูปหัวใจ รูปทั้งสามมีบริวารรูปละ ๙ องค์ ได้แก่ รูปใดบ้าง ได้แก่ ดิน นํ้า ไฟ ลม สี กลิ่น รส โอชา ถ้าเป็นบริวารของรูปกาย เมื่อรวมกับรูปกายจะรวมเป็น ๙ ถ้าเป็นบริวารของรูปหญิงหรือชาย เมื่อรวมกับรูปหญิงหรือชาย จะรวมเป็น ๙ และถ้าเป็นบริวารของรูปหัวใจเมื่อรวมกับรูปหัวใจ จะรวมเป็น ๙ กลุ่มองค์ ๙ ทั้ง ๓ กลุ่มนี้ รวมกับชีวิตรูป จะได้กลุ่มรูป ๑๐ จำนวน ๓ กลุ่ม เกิดมีขึ้นพร้อมกัน ตั้งแต่แรกมีการเกิดในครรภ์

บรรดาสัตว์ที่เกิดในครรภ์มารดา แรกทีเดียวมีขนาดดังกล่าวแล้ว ตา หู จมูก ลิ้น รวม ๔ รูปนี้ จึงเกิดเป็นลำดับต่อมา รูปเหล่านี้เกิดจากกรรม ต้องมีปฏิสนธิจึงเกิด (ต่อจากนั้นเกิดรูปอาหาร ต้องมีอาหารที่แม่กินจึงเกิด เกิดหลังจากเกิดรูป ๒ กลุ่ม ดังกล่าวแล้ว) เมื่อเกิดรูปใจซึ่งอาศัยจิตดวงที่ ๒ มาเกิด จะเกิดรูป ๘ รูป ชื่อ “กลุ่มรูปที่มีจิตเป็นสมุฏฐาน(ที่เกิด)” เมื่อเกิดรูปซึ่งเกิดจากฤดู เป็นรูปซึ่งอาศัยการดำรงอยู่ จะเกิดรูป ๘ รูปขึ้น ชื่อ “กลุ่มรูปที่มีฤดูเป็นสมุฏฐาน” เมื่อเกิดรูปอาหารซึ่งอาศัยโอชารสที่มารดากินข้าวนํ้านั้น จะเกิดรูป ๘ รูป ชื่อ “กลุ่มรูปที่มีอาหารเป็นสมุฏฐาน”

รูปที่จะเกิดเป็นชายก็ดี หญิงก็ดี เกิดตั้งแต่แรกเป็นกลละ แล้วโตขึ้น วันละเล็กละน้อย ครั้นถึง ๗ วัน เป็นดังนํ้าล้างเนื้อเรียกว่า “อัมพุทะ” อัมพุทะ โตขึ้นทุกวัน เมื่อถึง ๗ วัน ข้นดังตะกั่วเชื่อมอยู่ในหม้อเรียกว่า “เปสิ” เปสินั้นโตขึ้นทุกวัน เมื่อถึง ๗ วัน แข็งเป็นก้อนเหมือนไข่ไก่เรียกว่า “ฆนะ” ฆนะนั้น โตขึ้นทุกวัน เมื่อถึง ๗ วัน เป็นตุ่มออกได้ ๕ แห่งเหมือนหูดเรียกว่า “ปัญจสาขา” หูดนั้นเป็นมือ ๒ ข้าง เป็นเท้า ๒ ข้าง เป็นศีรษะอันหนึ่ง ต่อจากนั้นไปโตขึ้นทุกวัน เมื่อถึง ๗ วัน เป็นฝ่ามือ เป็นนิ้วมือ ต่อจากนั้นไปเมื่อถึง ๗ วัน ครบ ๔๒ วัน จึงเป็นผม เป็นขน เป็นเล็บมือ เล็บเท้า ครบอวัยวะเป็นมนุษย์ทุกประการ

รูปของสัตว์เกิดในครรภ์มี ๑๘๔ รูป คือ ส่วนกลาง (ตั้งแต่คอถึงสะดือ) มี ๕๐ รูป รูปส่วนบน (ตั้งแต่คอถึงศีรษะ) มี ๘๔ รูป รูปส่วนเบื้องตํ่า (ตั้งแต่สะดือถึงฝ่าเท้า) มี ๕๐ รูป สัตว์เกิดในครรภ์นั่งอยู่กลางท้องมารดาหันหลังมาติดหนังท้องมารดา อาหารที่มารดารับประทานเข้าไปก่อน จะอยู่ใต้สัตว์เกิดในครรภ์ ส่วนอาหารที่มารดารับประทานเข้าไปใหม่ จะอยู่บนสัตว์เกิดในครรภ์ สัตว์เกิดในครรภ์มีความลำบากอย่างยิ่ง น่าเกลียด น่าเบื่อหน่ายเหลือประมาณ ทั้งชื้นสกปรกมีกลิ่นเหม็น ตัวตืดและพยาธิไส้เดือน ๘๐ ตระกูลที่อาศัยปนกันอยู่ในท้องมารดา ถ่ายอุจจาระ ถ่ายปัสสาวะในท้องมารดานั้น ท้องมารดาของสัตว์ที่เกิดในครรภ์เป็นที่คลอดลูก เป็นที่เกิด เป็นที่แก่ เป็นที่ตาย เป็นป่าช้า ของพยาธิเหล่านั้น เหล่าตัวตืดและพยาธิไส้เดือนเหล่านั้นได้ชอนไชสัตว์เกิด ในครรภ์นั้นเหมือนหนอนที่อยู่ในปลาเน่า และในอาจมนั้น สายสะดือของสัตว์เกิดในครรภ์ กลวงดังสายบัวอุบล ปากสะดือกลวงขึ้นไปเบื้องบนติดหลังท้องมารดา ข้าว นํ้า อาหาร และโอชารสที่มารดากินเข้าไป เป็นนํ้าชุ่มซึมเข้าไปตามสายสะดือในท้องสัตว์ที่เกิดในครรภ์ทีละน้อยๆ สัตว์ที่เกิดในครรภ์ได้กินอาหารดังกล่าวทุกวัน ทุกเช้าเย็น อาหารเข้าไปอยู่เหนือศีรษะกับศีรษะสัตว์เกิดนั้น สัตว์เกิดนั้นได้รับทุกข์มากนัก สัตว์เกิดนั้นจะอยู่เหนืออาหารที่มารดากินเข้าไปก่อน เบื้องหลังสัตว์นั้นติดกับหนังท้องมารดา นั่งยองๆ อยู่ กำมือ ทั้ง ๒ ไว้ที่หัวเข่า คู้หัวเข่าทั้งสอง เอาศีรษะไว้เหนือหัวเข่า ขณะนั่งอยู่เลือด และน้ำเหลืองหยดลงเต็มตัวทีละหยดทุกเมื่อ เหมือนลิงเมื่อฝนตกนั่งกำมือซบเซาอยู่ในโพรงไม้นั้น ในท้องมารดานั้นร้อนรุมนักหนาดุจดังคนเอาใบตองไปจุด ไฟเผาและต้มนํ้าในหม้ออาหารทุกสิ่งที่มารดากินเข้าไปถูกเผาไหม้และย่อย ส่วนสัตว์ที่เกิดในครรภ์ ไฟธาตุไม่ไหม้ เพราะบุญของสัตว์ที่เกิดในครรภ์จะเกิดเป็นมนุษย์ จะไม่ไหม้และไม่ตายเพราะเหตุนั้น อนึ่ง สัตว์ที่เกิดในครรภ์ไม่หายใจเข้าหายใจออกเลย ไม่ได้เหยียดมือและเท้าออกเช่นเราท่านทั้งหลายนี้ แม้แต่ครั้งเดียว ต้องเจ็บปวดตนเหมือนถูกขังไว้ในไหที่คับแคบมาก คับแค้นใจ และเดือดร้อนใจอย่างยิ่ง ไม่ได้เหยียดมือและเท้าเหมือนถูกขังในที่แคบ เมื่อมารดาเดินก็ดี นอนก็ดี ลุกขึ้นก็ดี สัตว์ที่เกิดในครรภ์จะเจ็บปวดประหนึ่งว่าจะตายเหมือนลูกเนื้อทรายคลอดใหม่ตกอยู่ในมือคนเมาเหล้า ถ้าไม่เช่นนั้นก็เป็นเหมือนดังลูกงูที่หมองูเอาไปเล่น นับว่าได้รับความทุกข์ลำบากใจนักหนา ไม่ได้ลำบากเพียง ๒ วัน ๓ วัน แล้วจะพ้นความลำบาก ต้องอยู่ยากลำบาก ๗ เดือน บางคราว ๘ เดือน บางคราว ๙ เดือน บางคราว ๑๐ เดือน บางคน ๑๑ เดือน บางคนครบหนึ่งปีจึงคลอดก็มี

ผู้ที่อยู่ในท้องมารดาได้ ๖ เดือน และคลอดออกมา ไม่อาจจะมีชีวิตอยู่ได้ ผู้ที่อยู่ในท้องมารดา ๗ เดือน คลอดออกมา แม้ว่าจะเลี้ยงเป็นคนได้ ก็ไม่ได้เติบโตกล้าแข็งทนแดดทนฝนไม่ได้ ผู้ที่จากนรกมาเกิด เมื่อคลอดออกมาตัวร้อน เมื่อสัตว์นั้นอยู่ในท้องมารดาจะเดือดร้อนใจและหิวกระหาย เนื้อมารดานั้นก็พลอยร้อนไปด้วย ผู้ที่จากสวรรค์ลงมาเกิดเมื่อจะคลอดออก เนื้อตนสัตว์ที่เกิดนั้นเย็น เย็นกาย เย็นใจ เมื่ออยู่ในท้องมารดา ก็อยู่เย็นเป็นสุขสำราญบานใจ เนื้อกายมารดาก็เย็นด้วย เมื่อถึงเวลาจะคลอด จะมีลมในท้องมารดา พัดผันตน สัตว์ที่เกิดให้ขึ้นเบื้องบนให้ศีรษะลงเบื้องตํ่าสู่ที่จะคลอด เหมือนเหล่าสัตว์นรกถูกยมบาลจับเท้าหย่อนศีรษะลงในขุมนรกที่ลึกร้อยวา สัตว์ที่เกิดนั้น เมื่อจะคลอดออกจากท้องมารดาออกมายังไม่ทันหลุดพ้น ตัวจะเย็นเจ็บปวดยิ่งนัก ประดุจดังช้างสารที่คนชักเข็นออกจากประตูขนาดเล็กและคับแคบ ออกยากลำบากยิ่งนัก หรือเปรียบเหมือนดังสัตว์นรกถูกภูเขาคังไคยหีบบดขยี้นั่นเอง ครั้นคลอดออกจากท้องมารดาแล้ว ลมในท้องของสัตว์ที่เกิดนั้นจะพัดออกก่อน ลมภายนอกจึงพัดเข้า เมื่อพัดเข้าถึงลิ้นสัตว์ที่เกิดจึงหยุด เมื่อออกจากท้องมารดาแล้ว นับแต่นั้นไปสัตว์ที่เกิดจึงรู้จักหายใจเข้าออก ถ้าสัตว์ที่เกิดมาแต่นรก หรือมาจากเปรต จะคิดถึงความทุกข์ลำบาก เมื่อคลอดออกมาจะร้องไห้ ถ้าสัตว์ที่เกิดมาแต่สวรรค์ เมื่อคิดถึงความสุขในหนหลัง ครั้นคลอดออกมาแล้วจะหัวเราะก่อน แต่มนุษย์ผู้อยู่ในโลกนี้หรือในจักรวาลอื่นๆ เมื่อแรกเกิดในครรภ์มารดาก็ดี ระหว่างอยู่ในครรภ์มารดาก็ดี เมื่อคลอดออกจากครรภ์มารดาก็ดี ในกาลทั้ง ๓ นี้ จะหลงลืมไม่รู้ตัวในสิ่งใดสิ่งหนึ่งแม้แต่สิ่งเดียวเลย

ผู้จะมาเกิดเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าก็ดี เป็นพระอรหันตขีณาสพก็ดี และเป็นพระอัครสาวกก็ดี เมื่อแรกมาเกิดในครรภ์มารดาก็ดี ระหว่างอยู่ในครรภ์มารดาก็ดี ทั้ง ๒ ระยะย่อมไม่หลงและคำนึงรู้อยู่ทุกสิ่ง เมื่อจะคลอดจากครรภ์มารดา ถูกลมกรรมชวาต คือ ลมเบ่งพัดผันให้ศีรษะลงสู่ที่คลอดซึ่งเบียดตัวแอ่นยันมาสู่ที่จะคลอด ได้รับความเจ็บปวดตนลำบากนักดังกล่าวมาแต่ก่อน และพลิกศีรษะลงโดยไม่รู้สึกตัว ไม่เหมือนผู้จะมาเกิดเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า หรือผู้จะมาเกิดเป็นโอรสของพระพุทธเจ้า จะรู้สึกตน ไม่ลืมตน ในเวลาทั้ง ๒ นี้ คือเมื่อแรกเกิดในครรภ์มารดาและระหว่างอยู่ในครรภ์มารดา แต่เมื่อจะคลอดจากครรภ์มารดาจะหลงเหมือนมนุษย์ทั้งหลาย ส่วนมนุษย์ทั้งหลายนี้ จะหลงลืม ทั้ง ๓ กาล ฉะนั้น ควรเบื่อหน่ายสงสารนี้

พระโพธิสัตว์ ในชาติที่จะลงมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า เมื่อแรกกำเนิด ก็ดี ระหว่างอยู่ในพระครรภ์พระมารดาก็ดี และขณะจะประสูติจากพระครรภ์พระมารดาก็ดี จะไม่หลงลืมแม้ครั้งเดียว จะระลึกรู้ทุกประการ เมื่อพระโพธิสัตว์ประทับอยู่ในพระครรภ์พระมารดา จะไม่เหมือนมนุษย์ทั้งหลาย เบื้องหลังพระโพธิสัตว์ติดกับหลังพระครรภ์พระมารดาประทับนั่งสมาธิดังนักปราชญ์ผู้สง่างามนั่งแสดงธรรมบนธรรมาสน์ มีพระวรกายเรืองงามดังทอง เห็นแสงรังรองเหมือนกับจะเสด็จออกมาภายนอกพระครรภ์พระมารดา พระโพธิสัตว์ก็ดี มนุษย์อื่นๆ ก็ดี จะเห็นพระโพธิสัตว์รุ่งเรืองงามดังเอาไหมแดงมาร้อยแก้วขาวฉะนั้น เมื่อพระโพธิสัตว์จะเสด็จออกจากพระครรภ์พระมารดา ลมอันเป็นบุญมิได้พัดผันพระเศียรลงเบื้องตํ่า และพัดพระบาทขึ้นเบื้องบนเหมือนมนุษย์ ทั้งหลาย พระองค์ทรงเหยียดพระบาทออก และเมื่อจะเสด็จออกจากพระครรภ์ จะทรงลุกขึ้นแล้วจึงเสด็จออกจากพระครรภ์พระมารดา อนึ่ง เมื่อครั้งพระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นมนุษย์ในหลายๆ ชาติ จะเป็นประดุจครั้งเสวยพระชาติ เป็นพระโพธิสัตว์ในชาติสุดท้าย ซึ่งได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้านี้ ไม่เคยมีในชาติก่อนๆ ที่ล่วงมาแล้ว มีสภาพเป็นปกติธรรมดาเหมือนคนทั้งหลายทั้งปวง เมื่อพระโพธิสัตว์เสด็จเข้าสู่พระครรภ์พระมารดาก็ดี เมื่อประสูติก็ดีจะเกิดแผ่นดินไหวทั่วหมื่นจักรวาล นํ้าอันรองแผ่นดินก็ไหว นํ้าในมหาสมุทรเกิดคลื่นฟูมฟอง ภูเขาพระสุเมรุก็หวั่นไหวด้วยบุญญาธิการของพระโพธิสัตว์ พระผู้จะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้านั้น

มนุษย์ทั้งหลายในโลกนี้ก็ดี พระโพธิสัตว์ก็ดี สัตว์ดิรัจฉานทั้งหลายก็ดี ครั้นคลอดออกจากท้องของมารดาแล้ว จะได้ดูดกินโลหิตในอกมารดาที่กลายมาเป็นนํ้านมไหลออกจากอกมารดาด้วยความรักลูกนั้น สิ่งนี้เป็นธรรมดาวิสัยของโลกทั้งหลาย

มนุษย์ทั้งหลายเจริญวัยโดยลำดับโดยอาศัยบิดามารดา เมื่อบิดามารดา พูดภาษาใดๆ ก็ดี บุตรธิดาได้ยินบิดามารดาพูดภาษานั้นๆ ก็จะพูดภาษานั้นๆ ตามบิดามารดา ถ้าบุตรธิดาเจริญเติบโตใหญ่กล้าแข็งแรงไม่รู้ภาษาใดๆ เลย บุตรธิดาก็จะพูดภาษาบาลีตามที่ท่านว่าไว้ เมื่ออายุ ๑๖ ปี จึงหย่านม

คณะทำงานโครงการวรรณกรรมอาเซียน

แดนอสุรกาย

สัตว์ในแดนอสุรกาย มีการเกิดด้วยกำเนิด ๔ ประการ กล่าวคือ เกิดจากไข่ เกิดในนํ้า เกิดในไคล และเกิดผุดขึ้นเอง อสุรกายเหล่านี้มี ๒ จำพวก ได้แก่ กาลกัญชกาอสุรกาย และทิพยอสุรกาย

กาลกัญชกาอสุรกาย มีรูปร่างสูง ๑ คาพยุต หรือเท่ากับ ๒,๐๐๐ วา ผอมมาก ไม่มีเนื้อและเลือดเลยแม้แต่น้อย ตัวเหมือนต้นไม้แห้ง ตาเล็กเท่าตาปู ตาอยู่เหนือกระหม่อม อสุรกายปากเล็กเท่ารูเข็ม อยู่เหนือกระหม่อม เช่นเดียวกัน เวลาเห็นสิ่งใดและต้องการจะกินสิ่งนั้นจะปักหัวลง ยกเท้าขึ้นข้างบน จึงจะกินสิ่งนั้นได้ เขาถือสากไล่ตีกันตลอดเวลา

กาลกัญชกาอสุรกายนี้ ไม่มีความสุขเลย ลำบาก ยากแค้นมากกว่าอสุรกายจำพวกอื่น กาลกัญชกาอสุรกาย มี ๒ ประเภท ประเภทหนึ่งมีความทุกข์ยากยิ่งดังกล่าว แล้ว ส่วนอีกประเภทหนึ่งมีรูปร่างสูง ๑ คาพยุต เช่นเดียวกัน แต่มีรูปร่างต่างกัน มีหน้าไม่งามท้องยาน ปากใหญ่ เล็บมือเล็บเท้ารี ขอบตาตํ่าสูง หลังหัก จมูกเบี้ยว ใจกล้าหน้าเหี้ยม โกรธจัด โกรธง่าย ชอบทำลายเหมือนกาลกัญชกา อสุรกายเหล่านั้นมี ช้าง ม้า ข้าทาส บริวาร กว้างหมื่นโยชน์ ประกอบด้วยแผ่นทองคำงามเรืองรอง เป็นเมืองที่มีพระยาอสูรปกครองอยู่ นับจากโลกมนุษย์ถึงอสุรพิภพลึก ๘1๔๐๐ โยชน์ มีเมืองอสูรใหญ่ ๔ เมือง มีพระยาอสูรอยู่เมืองละ ๒ คน มีปราสาทราชมนเทียรประกอบด้วยทองและแก้ว ๗ ประการ มีกำแพงทองประดับแก้วมีค่า มีปราการประตูเมือง ๑,๐๐๐ ประตู ประกอบและประดับแก้วมีค่า มีคูล้อมรอบ ลึกเท่าความสูงของ ต้นตาล กลางเมืองมีสระทอง มีดอกบัวเบญจพรรณงามเรืองดั่งทองประดับแก้ว ๗ ประการ พระยาอสูรลงเล่นในสระดังเปรียบเหมือนนันทนโบกขรณีในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ นอกจากนั้นมีเมืองเล็กๆ และหมู่บ้านใหญ่น้อยล้อมรอบ มีมหาสมุทรกลางเมืองทำให้เมืองชุ่มชื้น กลางอสูรพิภพมีต้นไม้ต้นหนึ่งมีมาตั้งแต่แรกเกิดโลกขึ้น ต้นไม้นั้นใหญ่เท่าต้นปาริชาตในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ตั้งแต่ โคนต้นถึงค่าคบ สูง ๔๐ โยชน์ ตั้งแต่ค่าคบถึงยอดลำต้นสูง ๔๐ โยชน์ มีตารอบต้น แต่ละตายาว ๕๐ โยชน์ ใต้ต้นไม้นั้นมีแผ่นหิน ๔ แผ่น อยู่รอบโคนต้น แคฝอยทั้ง ๔ ทิศ แผ่นหินนั้นกว้างยาวด้านละ ๓ โยชน์ วันดีคืนดีพระยาอสูรทั้งหลายก็จะไปเล่นสนุก ณ ที่นั้น อสูรเหล่านั้นมีความเป็นอยู่ดีมาก มีปราสาทราชมนเทียรประดับด้วยเงินทองและแก้ว ๗ ประการ รุ่งเรืองงามยิ่งนัก แต่ ยังน้อยกว่าสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นิดหนึ่ง

เมืองทางทิศตะวันออกมีพระยาอสูร ๒ ตน ตนหนึ่งชื่อ เวปจิตราสูร(อีกตนหนึ่งชื่อสุจิตติอสูร) ซึ่งเป็นพระยาของอสูรทั้งหลายในบุรพวิเทหทวีปนั้น เมืองทางทิศใต้มีพระยาอสูร ๒ ตน คือ อสัพพระ และสุลิ พระยาอสูรทั้งสองเป็นพระยาของอสูรทั้งหลายในชมพูทวีป เมืองทางทิศตะวันตกมีพระยาอสูร ๒ ตน คือ เวราสูร และบริกาสูร เป็นพระยาของอสูรทั้งหลายในอมรโคยานทวีป เมืองทางทิศเหนือ มีพระยาอสูร ๒ ตน คือ พรหมทัตและราหู เป็นพระยาของอสูรทั้งหลายใน อุตตรกุรุทวีป

พระยาอสูรราหูนั้นมีอำนาจและกำลังมาก กล้าหาญกว่าพระยาอสูร ทั้งหลาย กายใหญ่กว่าเทวดาทั้งหลายในสวรรค์ สูง ๔,๘๐๐ โยชน์ รอบศีรษะใหญ่ ๙๐๐ โยชน์ หัวเข่ากว้าง ๑,๒๐๐ โยชน์ กว้างข้างละ ๖๐๐ โยชน์ หน้าผากกว้าง ๓๐๐ โยชน์ จมูกยาว ๓๐๐ โยชน์ หว่างคิ้วและหว่างตากว้าง ๕๐ โยชน์ หัวคิ้วถึงหางคิ้วยาว ๒๐๐ โยชน์ หัวตาถึงหางตายาว ๒๐๐ โยชน์ ปากกว้าง ๒๐๐ โยชน์ ลึก ๓๐๐ โยชน์ ฝ่ามือกว้าง ๒๐๐ โยชน์ ขนเท้าขนมือและขนยาว ๓๐ โยชน์ วันเดือนเพ็ญพระจันทร์งาม และวันเดือนดับพระอาทิตย์งาม ราหู เห็นพระอาทิตย์และพระจันทร์งามเช่นนั้นก็มีใจริษยา จึงขึ้นไปนั่งอยู่บนยอดเขายุคันธร คอยพระอาทิตย์ซึ่งอยู่ในปราสาทในเกวียนทองซึ่งเป็นพาหนะประดับ ด้วยแก้วอินทนิลมีรัศมีพันหนึ่งงามมาก มีม้าสินธพพันหนึ่งลากเกวียนทองนั้นลอยไปในอากาศ เลียบรอบเขาพระสุเมรุไปในระดับเสมอยอดเขายุคันธร พระจันทร์อยู่ในปราสาทในเกวียนแก้วมณี มีม้าสินธพ ๕๐๐ ตัว ลากไปในอากาศในระดับตํ่ากว่าแนวพระอาทิตย์โยชน์หนึ่ง เลียบรอบเขาพระสุเมรุ ดาษดาไปด้วยดาวทั้งหลาย ครั้นลอยไปถึงที่ราหูคอยอยู่ บางครั้งราหูจะอ้าปากอมพระอาทิตย์และพระจันทร์ไว้ บางครั้งจะเอานิ้วมือบังไว้ บางครั้งเอาไว้ใต้คาง บางครั้งเอาไว้ใต้รักแร้ เมื่อราหูกระทำอย่างนั้น รัศมีพระอาทิตย์ก็ดี พระจันทร์ก็ดี จะหมองไม่งดงาม และคนทั้งหลายจะกล่าวว่าเกิดสุริยคราสและจันทรคราส

จะกล่าวถึงพระพุทธศากยมุนีโคดมของเราทั้งหลาย เมื่อพระองค์ยัง ทรงพระชนม์อยู่ในโลกนี้ ยังไม่เสด็จเข้าสู่นิพพาน ครั้งหนึ่ง พระองค์ประทับอยู่ในเชตวันมหาวิหารอันเป็นอารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐีในเมืองสาวัตถี ครั้นถึงวันเพ็ญวันหนึ่งเกิดจันทรคราส พระจันทร์เทพบุตรก็ระลึกถึงพระพุทธเจ้าจึงนมัสการพระพุทธเจ้า และกล่าวว่า “ข้าพระพุทธเจ้าผู้ประกอบด้วยความเพียร ข้าขอถวายบังคมพระบาทพระผู้มีพระภาคพระองค์พ้นจากกิเลสทั้งปวง บัดนี้ข้าพระพุทธเจ้าได้รับอันตรายเดือดร้อนทรมานนักหนา ขอพระองค์จงเป็นที่พึ่งแก่ข้าๆ และโปรดช่วยปลงทุกข์ให้แก่ข้าฯ ด้วยเกิด ในกาลนั้น พระสัพพัญญูเจ้าผู้รู้แจ้งสรรพสิ่งในโลกทรงทราบเรื่องดังนั้น ก็มีใจกรุณาแก่พระจันทร์เทพบุตร จึงตรัสแก่อสูรราหูด้วยพระคาถาดังนี้

ตถาคตํ อรหนฺตํ            จนฺทิมา สรณํ คโต
ราหุ จนทํ ปมุณญฺจสฺสุ     พุทฺธา โลกานุกมฺปกาติ

“ดูก่อนราหู พระจันทร์เทพบุตรยอมรับพระตถาคต อรหันต์เป็นที่พึ่งแล้ว ตถาคตขอให้ราหูจงปล่อยพระจันทร์เทพบุตรเสียเถิด เพราะพระพุทธเจ้าทั้งหลายย่อมมีพระกรุณาอนุเคราะห์แก่สัตว์โลกทั้งหลาย”

ครั้นอสูรราหู ได้ยินพระพุทธเจ้าตรัสดังนั้นจึงปล่อยพระจันทร์เทพบุตร แล้วรีบหนีไปหาพระยาไพจิตราสูร ราหูตกใจมากขนลุกขนพอง จึงยืนอยู่ในที่หนึ่ง ไพจิตราสูรจึงถามราหูว่าดังนี้ ‘‘ดูก่อนราหู ท่านเป็นอะไร ทำไมจึงวางพระจันทร์เทพบุตรและรีบหนีมา มายืนตกใจกลัวมากดังนี้”

ราหูตอบไพจิตราสูรว่า “ข้าแต่มหาราชเจ้า ข้ากลัวคาถาที่พระพุทธเจ้า ตรัสจงปล่อยพระจันทร์เพราะเหตุนั้น ถ้าข้าไม่ปล่อยพระจันทร์เทพบุตร ศีรษะข้าพเจ้าจะแตกเป็น ๗ เสี่ยง แม้ว่าศีรษะไม่แตก ไม่ถึงแก่ความตาย มีชีวิตอยู่ แต่ก็หาความสงบมิได้

กาลครั้งหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่ในเชตวันมหาวิหารอันเป็นอาราม ที่อนาถบิณฑิกมหาเศรษฐีสร้างถวายในเมืองสาวัตถี ในวันเข้าพรรษาเกิดสุริยคราส สุริยเทพบุตรสะดุ้งตกใจกลัวมาก ระลึกถีงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง จึงกราบทูลพระพุทธเจ้าว่า “ข้าแต่พระพุทธเจ้าผู้ประกอบด้วยความเพียร พระองค์ทรงพ้นจากกิเลสทั้งปวงแล้ว บัดนี้ ข้าพระพุทธเจ้าเกิดความทุกข์เดือดร้อนยิ่ง ขอพระองค์จงทรงเป็นที่พึ่งแก่ข้าพระพุทธเจ้าด้วยเถิด”

พระสัพพัญญูพุทธเจ้าผู้รู้แจ้งสรรพสิ่งในโลก ทรงทราบเรื่องทั้งปวง แล้วทรงพระกรุณาแก่พระสุริยเทพบุตร จึงตรัสกับราหูว่า “ดูก่อนอสุรินทราหู สุริยเทพบุตรนี้ ได้ระลึกถึงตถาคตผู้บำบัดกิเลสทั้งปวงเป็นที่พึ่งขอท่านจงปล่อยสุริยเทพบุตรเสีย เพราะพระพุทธเจ้าทั้งหลายย่อมทรงอนุเคราะห์แก่สัตว์โลกทั้งหลาย ดูก่อนราหู พระอาทิตย์มีรัศมีรุ่งเรืองและบรรเทาความมืดมน อนธการทั้งหลาย ดูก่อนราหู ท่านอย่าได้กลืนพระอาทิตย์เทพบุตร จงรีบปล่อยพระอาทิตย์เทพบุตรผู้นับถือตถาคตเป็นที่พึ่งเสียเถิด”

ครั้งราหูได้ยินพระพุทธเจ้าตรัสดังนั้น จึงปล่อยพระอาทิตย์เทพบุตร แล้ววิ่งไปหาพระไพจิตราสูร ราหูมีใจสะดุ้งกลัวมากขนลุกหนังหัวพอง แล้วยืนอยู่ที่สมควรข้างหนึ่ง พระไพจิตราสูร จึงตรัสถามราหูว่า “ดูก่อนอสุรินทราหู เพราะเหตุใดท่านจึงปล่อยพระอาทิตย์เทพบุตรเสีย และวิ่งมาด้วยความสะดุ้งหวาดกลัวมาก และมายืนอยู่ดังนี้’’ ราหูจึงทูลตอบพระยาไพจิตราสูรว่า “ข้าแต่มหาราช บัดนี้ข้ากลัวพระดำรัสพระพุทธเจ้า จึงปล่อยพระอาทิตย์เทพบุตรเสีย หากข้าไม่ปล่อยพระอาทิตย์เทพบุตร ศีรษะข้าพเจ้าจะแตกเป็น ๗ เสี่ยง หากข้าไม่ตายยังมีชีวิตอยู่ ข้าจะมีความสุขได้อย่างไร” ราหูมีอำนาจมาก เป็นพระยาของเหล่าทิพยอสุรกายที่อยู่ทิศเหนือ เป็นใหญ่กว่าพวกกาลกัญชกาสูรทั้งสองจำพวกดังกล่าวมา

แดนทั้ง ๔ คือ แดนนรก แดนสัตว์เดียรฉาน แดนเปรตและแดนอสูร

แดนทั้ง ๔ รวม เรียกว่า จตุราบายภูมิ หรือทุติภูมิ แดนทั้ง ๔ นี้ ถ้ารวมกับแดนมนุษย์และฉกามาพจรภูมิ นับเนื่องเข้าด้วยกันแล้ว อยู่ในกามภูมิ

คณะทำงานโครงการวรรณกรรมอาเซียน

แดนเปรต

เปรตมีการเกิด ๔ แบบ ดังกล่าวแล้ว เปรตเหล่านี้ อยู่รอบๆ เมืองราชคฤห์ ภายนอกเมืองราชคฤห์เป็นถิ่นที่อยู่ของพวกเปรต เรียก เปรตยมโลก ซึ่งมีเปรตอยู่มาก นอกจากนั้นเปรตบางจำพวกอยู่ในมหาสมุทร บางจำพวกอยู่บนยอดเขา บางจำพวกอยู่ตามไหล่เขา เปรต ๓ จำพวก นี้ได้แก่ เปรตที่ถือกำเนิดจากเหตุ ๒ (อโลภเหตุ อโทสแดนเปรตเหตุ) เปรตที่ถือกำเนิด ด้วยเหตุ ๓(อโลภเหตุ อโทสเหตุ อโมหเหตุ) และเปรตที่ถือกำเนิดโดยไม่มีเหตุ(ปราศจากเหตุทั้ง ๓ นั้น) เปรตบางจำพวกโชคดีได้อยู่ปราสาทแก้ว มีกำแพงแก้วและคูแก้วล้อมรอบ ดูงามมาก เปรตบางจำพวกมีช้างม้าข้าทาส มียวดยานคานหามทองขี่เที่ยวไปในอากาศ แต่เปรตเหล่านี้ แม้จะโชคดีมียศศักดิ์เพียงใดก็ไม่อาจเทียบกับเทวดาใน สวรรค์ได้ เปรตบางจำพวกมีลักษณะดังกล่าวมานานนักแล้ว

เปรตบางจำพวกเวลาข้างแรมเป็นเปรต เวลาข้างขึ้นเป็นเทวดา เปรต บางจำพวกเวลาข้างขึ้นเป็นเปรตเวลาข้างแรมเป็นเทวดา เปรตบางจำพวกเป็นเปรตตลอดกาลนาน ชั่วระยะเวลาที่โลกไม่มีพระพุทธเจ้ามาเกิด เปรตที่ถือกำเนิดด้วยเหตุ ๓ สามารถรู้อริยสัจ ๔ เปรตบางจำพวกสิงอยู่ในต้นไม้ใหญ่ เปรตบางจำพวกอยู่บริเวณที่ราบ และกินอาหารแถวที่ราบเลี้ยงชีวิต เปรตบางจำพวกอยู่ปราสาททิพย์ มีอาหารทิพย์กินเหมือนเป็นเทวดา

ผีเสื้อบางจำพวกอยู่ในต้นไม้และกินข้าวเป็นอาหาร บรรดาผีเสื้อที่ถือกำเนิดด้วยเหตุ ๓ สามารถรู้อริยสัจ ๔ และฝูงผีปีศาจซ่อนตนอยู่ในแผ่นดิน แม้ว่ามันแอบอยู่หลังต้นไม้แม้ต้นเล็กนิดเดียว คนทั้งหลายก็จะมองไม่เห็นมัน

ฝูงเปรตและฝูงผีเสื้อทั้งหลาย เมื่อตายแล้วจะเกิดเป็นมดตะนอยดำ บางครั้งเป็นตะเข็บ แมลงป่อง และแมงเม่า บางครั้งเป็นตั๊กแตน เป็นหนอน บางครั้งเป็นเนื้อเป็นนกเล็กน้อย เช่น นกกระจิบ นกกระจาบ บางครั้งเกิดเป็นเนื้อป่า ถ้ามันตายไป มันจะเกิดเป็นดังนั้นทุกครั้ง

เปรตบางจำพวกอายุยืน ๑๐๐ ปี บางจำพวก ๑,๐๐๐ ปี บางจำพวกชั่ว พุทธันดรกัลป์หนึ่ง แม้ข้าวสักเม็ดหนึ่ง นํ้าสักหยดหนึ่งจะเข้าถึงปากถึงคอมันเป็นอันไม่มีเลย

เปรตบางจำพวกตัวใหญ่ แต่ปากเล็กเท่ารูเข็ม บางจำพวกผอมมาก เพราะหาอาหารกินไม่ได้ แม้จะขอดเอาเนื้อน้อยหนึ่งก็ดี เลือดหยดหนึ่งก็ดี ก็ไม่ได้เลย มีแต่กระดูกและหนังหุ้มกระดูกอยู่เท่านั้น หนังที่อกเหี่ยวอยู่ติดกระดูกสันหลัง ตาลึกและกลวงเหมือนถูกควักออก ผมยุ่งรุ่ยร่ายลงมาคลุมปาก แม้ผ้าขี้ริ้วผืนน้อย ก็ไม่มีปิดกาย เปรตจำพวกนี้เปลือยกายอยู่ตลอดชีวิต ตัวเหม็นสาบน่าเกลียด มีทุกข์ระทมทั้งกายใจ ร้องไห้ครํ่าครวญตลอดเวลาด้วยความหิว เปรตเหล่านี้ไม่มีเรี่ยวแรง จึงนอนหงายอยู่ มักจะได้ยินเสียงเหมือนคนมาร้องเรียกว่า เจ้าทั้งหลาย เอ๋ยจงมากินข้าว กินน้ำ เมื่อได้ยินดังนั้น เปรตทั้งหลายก็คิดว่ามีข้าวและนํ้าให้กิน จึงลุกขึ้นไปกิน แต่ไม่มีแรง ช่วยกันลุกขึ้น แล้วต่างก็ล้มลง บ้างล้มควํ่า บ้างล้มหงาย ทนทุกข์อยู่เช่นนั้นเป็นเวลานาน เปรตเหล่านี้ล้มกลิ้งไปมากว่าจะลุกขึ้น ได้และได้ยินเสียงเรียกซํ้าซากนั้นนานนับพันปี ตราบเท่าที่มีชีวิตอยู่ หูย่อมได้ยินเสียงเรียกดังนั้น พอลุกขึ้นได้แล้วก็จะเอามือพาดเหนือหัววิ่งไปตามเสียงเรียกนั้น ด้วยความดีใจ รีบไปหาข้าวและนํ้าตามที่ต่างๆ แต่ไม่พบ จึงร้องไห้รำพันเสียงดัง เป็นทุกข์ยิ่งนัก แล้วล้มลงนอนบนพื้น เปรตเหล่านี้สามารถวิ่งได้ไกลมาก เมื่อเกิดเป็นคนมักอิจฉาริษยาผู้อื่น เห็นผู้อื่นมั่งมีจะทนไม่ได้ เห็นผู้อื่นยากไร้จะ ดูแคลน เห็นผู้อื่นมั่งมีก็อยากจะได้ทรัพย์สินของเขา มักจะคิดหากลอุบายที่จะเอาทรัพย์สินผู้อื่นมาเป็นของตน เป็นคนตระหนี่ไม่ให้ทาน เมื่อเห็นผู้อื่นจะให้ทานก็ห้ามปราม นอกจากนี้ยังโกงทรัพย์สินของสงฆ์มาไว้เป็นประโยชน์ของตน คนจำพวกนี้เมื่อตายไปแล้วจะเกิดเป็นเปรตร้าย

เปรตจำพวกหนึ่งมีกายดังท้าวมหาพรหม และงามดั่งทอง แต่มีปาก เหมือนปากหมู อดอยากนักหนาหาอะไรกินไม่ได้เลยสักสิ่งเดียว เขามีกายงามดังทองเพราะเหตุใด เพราะชาติก่อนเขาได้บวชเป็นชีถือศีลบริสุทธิ์ แต่มีปาก เหมือนปากหมูเพราะเขาดูถูกและกล่าวร้าย ติเตียนครูบาอาจารย์และพระสงฆ์ ผู้มีศีล เปรตจำพวกหนึ่งมีกายงามดังทอง แต่ปากเหม็นนักหนา มีหนอนเต็มปาก หนอนนั้นเจาะกินปากเขาอยู่ เจาะกินหน้าตาเขาอยู่ เหตุที่เขามีกายงามดังทองนั้น เพราะเขาได้รักษาศีลในชาติปางก่อน แต่ที่ปากเขาเหม็นมีหนอนเจาะกินอยู่ เพราะเขาติเตียนยุยงพระสงฆ์ให้ผิดใจกัน

เปรตผู้หญิงจำพวกหนึ่งเปลือยกายตลอดเวลา และตัวเหม็นมาก มี แมลงวันตอมจำนวนมากกินตัว ร่างกายผอมหาเนื้อไม่ได้เลยสักนิด มีแต่เอ็นและหนังหุ้มกระดูกอยู่ เปรตเหล่านี้อดอยากมาก หาอะไรกินไม่ได้เลย และเมื่อเปรตผู้หญิงจะคลอดลูก มักจะคลอดครั้งละ ๗ ตน แล้วกินเนื้อลูกตน แต่ก็ไม่อิ่มเป็นอยู่เช่นนี้ซ้ำๆ กัน เหตุที่เขากินเนื้อลูกตนเองนั้น เพราะอยากกินมากอดใจไม่ได้ เปรตจำพวกนี้เมื่อเป็นคน เคยให้ยาแก่ผู้หญิงมีครรภ์กิน เพื่อให้แท้งลูก และได้สาบานว่าถ้าฉันให้ยาผู้หญิงกินและทำให้แท้งลูก ขอให้ฉันเป็นเปรตมีเนื้อตัวเหม็น มีแมลงวันตอมเจาะกินอยู่ตลอดเวลา ให้ฉันคลอดลูกเช้า ๗ คน (เย็น ๗ คน) ทุกวัน แล้วให้ฉันกินเนื้อลูกตัวเองทุกวันตลอดไป เพราะบาปเกิดจากการที่เขาให้ยาผู้หญิงมีครรภ์กิน และทำให้แท้งลูก และได้สบถสาบานไว้ ดังนั้น เขาจึงต้องเปลือยกายอยู่และมีแมลงวันตอมเจาะกินตัว เขาผอมมากไม่มีเนื้อเลย และจิกกินเนื้อลูกของตนทุกวัน วันละ ๑๔ ตน ตลอดเวลา เพราะเหตุนั้น

เปรตผู้หญิงจำพวกนี้เปลือยกายตลอดเวลา ไม่งามสักแห่ง อดอยาก ยากไร้มากเมื่อเห็นข้าวและนํ้าอยู่ตรงหน้า ก็จะหยิบมากิน แต่ข้าวและนํ้านั้นจะกลายเป็นอาจมเป็นเลือดเป็นหนอง เมื่อเขาเห็นผ้าอยู่ตรงหน้าก็จะเอาผ้านั้นมาห่ม แต่ผ้านั้นจะกลายเป็นแผ่นเหล็กแดงลุกไหม้ตลอดตัว เปรตจำพวกนี้เมื่อสามีของเขาให้ข้าว นํ้า และผ้าเป็นทานแก่สงฆ์ กลับโกรธเคืองด่าทอสามีว่ามึงทำบุญให้ทานข้าว นํ้า ผ้าผ่อน ทั้งหมดนี้แก่พระสงฆ์ จงกลายเป็นลามกอาจม เป็นเลือด เป็นหนอง ให้มึงกินทุกคำเถิด และผ้าผ่อนนั้นจงกลายเป็นเหล็กแดงไหม้ มึงทุกแห่งเถิด เพราะบาปกรรมที่เขาได้ด่าว่าสาปแช่งสามีเขาดังนั้น ทำให้เขา เป็นเปรต เพราะเหตุนั้น

เปรตจำพวกหนึ่งมีร่างกายสูงใหญ่เท่าต้นตาล เส้นผมหยาบมาก ตัว เหม็นมากหาที่ดีไม่ได้สักแห่ง อดอยากยากไร้นักหนา แม้ข้าวเมล็ดหนึ่ง นํ้าหยดหนึ่งก็มิได้ตกถึงท้องเขาเลย เปรตจำพวกนี้ในชาติก่อนเป็นคนตระหนี่มากไม่เคยทำบุญให้ทานเลย เห็นผู้อื่นทำบุญให้ทานห้ามปรามด้วยบาปกรรมที่เขาตระหนี่ และไม่เคยทำบุญให้ทานเลยดังกล่าวนั้นทำให้เขาเป็นเปรตอดอยากนักหนา หาอาหารกินไม่ได้เลย เพราะบาปกรรมที่เขาได้ทำไม่ดีนั้น

เปรตจำพวกหนึ่งเขาย่อมเอาสองมือกอบเอาข้าวลืบลุกเป็นไฟมาใส่ ศีรษะตนเองตลอดเวลา เปรตจำพวกนี้เมื่อเขาเกิดในปางก่อน เขาเอาข้าวลีบปนข้าวดีแล้วเอาไปหลอกขาย ด้วยบาปกรรมดังกล่าว เขาจึงเอามือกอบข้าวลีบลุกเป็นไฟใส่ศีรษะเขาเอง และไฟไหม้ศีรษะเขาตลอดเวลา เพราะบาปกรรมที่เขาได้กระทำ เขาจึงทนทุกข์ทรมานดังนี้อยู่เช่นนี้

เปรตจำพวกหนึ่ง เอาค้อนเหล็กแดงตีตัวเองตลอดเวลา เปรตจำพวกนี้ เมื่อชาติก่อน เขาเคยตีศีรษะบิดามารดาเขาด้วยมือ หรือด้วยไม้ หรือด้วยเชือก เพราะบาปกรรมดังกล่าวจึงทำให้เขาเอาค้อนเหล็กแดงตีศีรษะตัวเองตลอดเวลา

เปรตจำพวกหนึ่ง อดอยากมาก เห็นข้าวและนํ้าที่มีรสอร่อยจึงเอามากิน เมื่อกินแล้ว ข้าวนั้นก็กลายเป็นลามกอาจม เน่าเป็นหนอน เหม็นมากอยู่ตลอดเวลา แต่ด้วยบาปกรรมของเขาเอง เมื่อชาติก่อนเมื่อมีคนมาขอทานข้าว เขามีข้าวอยู่ แต่หลอกว่าไม่มี คนขอทานขอซ้ำอีกแต่ก็ไม่ให้และสาบานว่า ถ้าฉันมีข้าว แต่บอกว่าไม่มีก็ขอให้ฉันกินลามกอาจมที่เน่าหนอนเหม็นนักหนานั้นเถิด ด้วยบาปกรรมดังกล่าว เมื่อตายแล้วเขาก็เกิดเป็นเปรต ทนทุกข์ทรมานกินแต่ลามก อาจมปนหนอนเน่าเหม็นนักหนาอยู่เช่นนี้ตลอดเวลา

เปรตผู้หญิงจำพวกหนึ่งมีเล็บมือใหญ่ยาวคมดั่งมีดกรด ขุดเนื้อและหนังตัวเองกินตลอดเวลา เปรตฝูงนี้ในชาติก่อน เขาขโมยเนื้อของคนอื่นมากิน เมื่อเจ้าของถามเขาไม่รับ พูดแต่ว่าไม่ได้ขโมยของท่าน เขาสบถสาบานว่า ถ้าข้าได้ขโมยเนื้อของท่านกินจริงๆ ก็ขอให้ข้าเอาเล็บมือขูดเนื้อหนังของข้ากินเองเถิด เพราะบาปกรรมดังกล่าวเมื่อเขาตายไป จึงเกิดเป็นเปรตเอาเล็บมือขูดเนื้อหนังตัวเองกินตลอดเวลา

เปรตจำพวกหนึ่ง เวลากลางวันเขาถูกยิง ตี ฆ่า และแทง แล้วยังมีหมา ตัวใหญ่เท่าช้าง ไล่กัดกินเนื้อเขา ทนทุกข์เวทนาดังนี้ตลอดเวลา เวลากลางคืน เขาเป็นเทวดามีนางฟ้าจำนวนมากเป็นบริวาร และได้เสวยสมบัติทิพย์ดังเทวดา เขาเป็นดังนี้ทุกวันทุกเดือนจนสิ้นบาปกรรม เปรตฝูงนี้ ในชาติก่อนเป็นพราน กลางวันเข้าป่าล่าเนื้อ กลางคืนรักษาศีล ด้วยบาปกรรมดังกล่าว เขาจึงถูกฆ่า ตี แทง และถูกหมาตัวเท่าช้างไล่กัดกินเนื้อเขา เพราะเปรตพวกนี้ทำบาปไว้เวลากลางวัน เขาจึงทนทุกข์เฉพาะเวลากลางวัน และด้วยผลบุญที่เขารักษาศีลเวลากลางคืน เขาจึงได้เกิดเป็นเทวดา มีนางฟ้ามากมายเป็นบริวารเสวยสมบัติเวลา กลางคืนทุกคืน

เปรตจำพวกหนึ่งมีวิมานเหมือนเทวดา มีเครื่องประดับทำด้วยเงิน ทอง แก้ว เครื่องประดับบางอย่างเป็นแก้ว ๗ ประการ มีนางฟ้าหมื่นหนึ่งห้อมล้อมเป็นบริวาร แต่ได้รับความลำบากเพราะไม่มีอาหารจะกิน จึงเอาเล็บมือคมดังมีดกรดข่วนขูดเนื้อหนังตัวเองกินต่างอาหาร เปรตจำพวกนี้ ในชาติก่อนเขาเกิดเป็นนายเมือง ตัดสินความราษฎรโดยกินสินบน คนถูกเขาตัดสินว่าผิด คนผิดเขาตัดสินว่าถูก เขาไม่ตัดสินตามทำนองคลองธรรม หาความยุติธรรมมิได้

วันหนึ่ง เป็นวันรักษาศีล พระยาผู้เป็นเจ้าเมืองทรงรักษาศีล ๘ พร้อม ทั้งบรรดาขุนนางทั้งหลาย ส่วนนายเมืองนั้นไม่รักษาศีล ขณะเข้าเฝ้าพระยาผู้เป็นเจ้าเมืองได้ตรัสถามว่าเจ้ารักษาศีลหรือไม่ นายเมืองนั้นไม่ได้รักษาศีล รู้สึกละอายคนทั้งหลาย จึงกราบทูลพระยาว่าข้าพเจ้ารักษาศีลอยู่ เพื่อนของเขาคนหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้ๆ รู้ว่าเขาไม่ได้รักษาศีล ไม่ทำบุญ ไม่ปฏิบัติธรรม จึงค่อยเลียบเคียงถามเขาว่า เพื่อนเอ๋ย เพื่อนจำศีลหรือ เขาบอกเพื่อนตามจริงว่าข้าโกหก เพื่อนเขาจึงบอกเขาว่า ถ้าเช่นนั้น ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ตอนกลางคืน ท่านอย่ากินข้าวเย็นเลย ท่านจงอดข้าวเย็นจนถึงรุ่งเช้าแล้วจึงกิน แล้วจะได้บุญ นอกจากนี้ท่านก็ได้กราบทูลพระยาแล้วว่าท่านได้รักษาศีลเหมือนคนทั้งหลาย คนทั้งหลาย จะว่าท่านว่าหลอกลวงเจ้านาย นายเมืองเห็นด้วยกับความที่เพื่อนบอก คืนวันนั้น เขาจึงเริ่มอดข้าวเย็น แต่เพราะเขามิเคยอดข้าวเย็นมาก่อน เมื่อเข้านอนก็เป็นลมตายในคืนนั้นเอง เพราะบาปกรรมของเขาขณะที่เป็นนายเมือง กินสินบนและตัดสินความโดยไม่เป็นธรรม เขาจึงเกิดเป็นเปรตลำบากยากไร้นักหนา อาหารกินไม่ได้เลยสักนิดเดียว และเอาเล็บมือคมดังมีดกรดแล่ขูดเนื้อหนังตัวเองกินตลอดเวลา แต่เพราะผลบุญที่ได้ฟังคำตักเตือนของเพื่อน ได้รักษาศีลและอดข้าวเย็นจนตาย ดังนั้น เขาจึงมีวิมานและเครื่องประดับทำด้วยแก้ว ๗ ประการ มีนางฟ้าหมื่นหนึ่งเป็นบริวาร

เปรตจำพวกหนึ่งกินเสลด อาหารที่อาเจียนออกมา นํ้าลาย เหงื่อไคล นํ้าเน่า นํ้าหนอง และลามกอาจมเน่าเหม็นตลอดเวลา เปรตจำพวกนี้ในชาติก่อน ได้เอาข้าวนํ้าและอาหารที่เหลือเดนถวายพระสงฆ์ผู้ทรงศีล ด้วยบาปกรรมดังกล่าว เมื่อเขาตายไปจึงเกิดเป็นเปรตกินแต่เสลด อาหารที่อาเจียนออกมา นํ้าลาย นํ้าเน่า นํ้าหนองลามกอาจมเน่าเหม็นเป็นอาหารตลอดเวลา

เปรตจำพวกหนึ่ง กินแต่นํ้าหนองและหมาเน่าขึ้นอืดพองที่เขาทิ้งในป่าช้าตลอดเวลา เปรตจำพวกนี้ในชาติก่อนได้ปิดบังอำพรางเอาเนื้อช้าง เนื้อหมา และเนื้อสัตว์ทั้งหลายทั้งที่มีเล็บและไม่มีเล็บ ซึ่งในพระวินัยพระพุทธเจ้าบัญญัติไว้มิให้พระสงฆ์ฉัน ไปให้พระสงฆ์ฉัน ครั้นตายไปจึงเกิดเป็นเปรตจำพวกนี้ เพราะบาปกรรมดังกล่าว เขาจึงกินแต่น้ำเลือด นํ้าหนอง หมาเน่าขึ้นอืดพองเป็นอาหารตลอดเวลา

เปรตจำพวกหนึ่ง มีเปลวไฟพุ่งออกจากอก ลิ้น ปาก แล้วลามไหม้ตัวเอง ทุกแห่ง เปรตจำพวกนี้ในชาติก่อนได้ด่าสบประมาท และกล่าวคำเท็จต่อพระสงฆ์ ผู้ใหญ่ผู้มีศีล เมื่อตายไปจึงเกิดเป็นเปรต เพราะบาปกรรมดังกล่าว จึงมีเปลวไฟพุ่งออกจากอก ปาก และลิ้นของเขาและไหม้ลามทั่วตัวเขา

เปรตจำพวกหนึ่งน่าเกลียดมาก หาน้ำดื่มไม่ได้สักหยด กระหายนํ้ามาก ราวจะขาดใจ จึงวิ่งไปทางซ้ายทางขวาเพื่อจะหานํ้าดื่ม เมื่อเห็นนํ้าใสสะอาด ก็เอามือกอบนํ้านั้นมาดื่ม นํ้านั้นกลายเป็นไฟไหม้เขาทั้งตัว เขาเกลือกไปเกลือกมา และตายในไฟนั้นเป็นเช่นนี้เป็นเวลานาน เปรตจำพวกนี้ในชาติก่อน เคยข่มเหงคนยากไร้เข็ญใจไม่มีความกรุณาปรานี อยากได้สิ่งของและทรัพย์สินของผู้อื่น มาเป็นของตน ใส่ความผู้ไม่มีความผิด ครั้นตายไปจึงเกิดเป็นเปรตอยู่เป็นเวลานาน เพราะบาปกรรมดังกล่าว เปรตพวกนั้นผอมบางน่าเกลียดมาก หาอะไรกินไม่ได้เลย อดอยากมากเหมือนใจจะขาด เมื่อเขาเห็นน้ำใสและกอบจะเอามากิน นํ้านั้นจะกลายเป็นไฟไหม้เขาทั้งตัว เขาก็กลิ้งเกลือกตายในไฟนั้นเป็นเวลานานมาก

เปรตจำพวกหนึ่ง มีตัวเปื่อยเน่าและผอมมาก หลังโกง มือเน่า ตีนเปื่อย เขาเอาไฟคลอกตัวเองตลอดเวลา ตัวเขาเหมือนขอนไม้กลิ้งอยู่กลางไร่ เขากลิ้งไปกลิ้งมาทนทุกข์เวทนาเช่นนั้นเป็นเวลานานมาก เปรตพวกนี้ในชาติก่อนเขาเผาป่า สรรพสัตว์ที่หนีไม่ทันจึงถูกไฟคลอกตาย

เปรตจำพวกหนึ่ง ตัวใหญ่เท่าภูเขา มีขนยาวแหลมมาก เล็บตีนเล็บมือ ใหญ่ เล็บนั้นคมดังมีดกรดและหอกดาบ เมื่อเล็บตีนเล็บมือและขนของเขากระทบกันเมื่อใด จะเกิดเสียงดังเหมือนฟ้าผ่า เกิดเป็นไฟลุกไหม้ตัวเอง และบาดตัวเหมือนดังขวานฟ้าผ่าตัวเขาทุกแห่ง เปรตฝูงนี้ในชาติก่อนเกิดเป็นนายเมือง และตัดสินความโดยไม่ชอบธรรม เห็นแก่สินบนไม่วางตัวเป็นกลาง คนถูกว่าผิด คนผิดว่าถูก เพราะบาปกรรมดังกล่าวตัดสิน เมื่อตายไปจึงเกิดเป็นเปรต มีตัวใหญ่เท่าภูเขา มีขน เล็บตีน เล็บมือใหญ่ยาว คมดั่งมีดกรดและหอกดาบ เมื่อกระทบกันจะเกิดเสียงเหมือนฟ้าผ่า ขนและเล็บตีนเล็บมือเขาจะลุกเป็นเปลวไฟแทงตัวเขาตลอดเวลา

คณะทำงานโครงการวรรณกรรมอาเซียน