บุตรทั้งหลายที่เกิดมามี ๓ จำพวก คือ อภิชาตบุตร อนุชาตบุตร และ อวชาตบุตร
อภิชาตบุตร คือ บุตรที่ดียิ่งกว่าบิดามารดาทั้งในด้านเชาวน์ปัญญา รู้หลักนักปราชญ์ รูปงาม ทรัพย์ ยศฐาบรรดาศักดิ์
อนุชาตบุตร คือ บุตรที่เกิดมาฉลาด มีกำลังเรี่ยวแรงเสมอบิดามารดา ทุกประการ
อวชาตบุตร คือ บุตรที่เกิดมาด้อยกว่า เลวกว่าบิดามารดาทุกประการ
มนุษย์ทั้งหลายนี้มี ๔ จำพวก คือ มนุษย์นรก มนุษย์เปรต มนุษย์ เดรัจฉาน และมนุษย์คน
เหล่ามนุษย์ที่ฆ่าสัตว์มีชีวิต เมื่อบาปมาถึงตนและถูกผู้อื่นตัดมือตัดเท้า ได้รับความทุกข์โศก ลำบากมาก คือ มนุษย์นรก
มนุษย์จำพวกหนึ่ง ไม่เคยทำบุญในชาติก่อน จึงเกิดมาเป็นคนยากไร้ เข็ญใจ ไม่มีเสื้อผ้าจะนุ่งห่ม อดอยากยากแค้น ไม่มีอาหารจะกิน หิวกระหายมาก ขี้ริ้วขี้เหร่ มนุษย์เหล่านี้ คือ มนุษย์เปรต
บรรดามนุษย์ที่ไม่รู้จักบุญและบาป เจรจาหาความเมตตากรุณามิได้ มีใจแข็งกระด้าง ไม่ยำเกรงผู้อาวุโส ไม่รู้จักปรนนิบัติบิดามารดา และอุปัชฌาย์อาจารย์ ไม่รู้จักรักพี่รักน้อง กระทำบาปทุกเมื่อ มนุษย์เหล่านี้ คือ มนุษย์เดรัจฉาน
บรรดามนุษย์ที่รู้จักผิดและชอบ รู้จักบาปและบุญ รู้จักประโยชน์ในโลกนี้และโลกหน้า รู้จักกลัวและละอายแก่บาป ว่านอนสอนง่าย รู้จักรักพี่รักน้อง รู้จักเอ็นดูกรุณาต่อผู้ยากไร้เข็ญใจ รู้จักยำเกรงบิดามารดา ผู้อาวุโส สมณพราหมณาจารย์ที่ปฏิบัติในสิกขาบทของพระพุทธเจ้าทุกเมื่อ รู้จักคุณแก้ว ๓ ประการ มนุษย์เหล่านี้ คือ มนุษย์คน
มนุษย์คนมี ๔ จำพวก ได้แก่ พวกที่เกิดและอยู่ในชมพูทวีปนี้ พวกที่ เกิดและอยู่ในบุรพวิเทหทวีป อยู่ทางทิศตะวันออกของเรา พวกที่เกิดและอยู่ในอุตตรกุรุทวีป อยู่ทางทิศเหนือของเรา และพวกที่เกิดและอยู่ในอมรโคยานทวีป อยู่ทางทิศตะวันตกของเรา
มนุษย์ที่อยู่ในชมพูทวีปของเรานี้ มีหน้ารูปไข่เหมือนดุมเกวียน มนุษย์ ในบุรพวิเทหทวีป มีหน้ากลมเหมือนเดือนเพ็ญ กลมดังหน้าแว่น(แผ่นกระจกเงารูปกลม) มนุษย์ใน อุตตรกุรุทวีป มีหน้ารูป ๔ เหลี่ยม ดุจดังท่านตั้งใจบรรจงแต่งไว้ กว้างและยาวเท่ากัน มนุษย์ในอมรโคยานทวีป มีหน้าเหมือนเดือนแรม ๘ คํ่า
อายุของคนชาวชมพูทวีป อาจยาวหรือสั้น เพราะเหตุที่บางครั้ง มนุษย์ ทั้งหลายบางครั้งมีศีลธรรม บางคราวไม่มี ถ้ามนุษย์ทั้งหลายมีศีลธรรม ย่อมกระทำบุญและปฏิบัติธรรม ยำเกรงผู้อาวุโส บิดามารดา และสมณพราหมณาจารย์ อายุของมนุษย์เหล่านั้นจะยาวขึ้นๆ ส่วนมนุษย์ที่ไม่ได้จำศีล ไม่ได้ทำบุญ ไม่ยำเกรงผู้อาวุโส บิดามารดา สมณพราหมณ์ อุปัชฌาย์อาจารย์นั้น อายุของคนเหล่านั้นจะสั้นลงๆ เพราะเหตุดังกล่าว อายุของมนุษย์ในชมพูทวีปนี้ จึงกำหนดไม่ได้
มนุษย์ในบุรพวิเทหทวีป มีอายุยืนได้ ๑๐๐ ปี จึงตาย มนุษย์ในอมรโคยานทวีป มีอายุยืนได้ ๔๐๐ ปี จึงตาย ส่วนมนุษย์ในอุตตรกุรุทวีป มีอายุยืน ได้ ๑,๐๐๐ จึงตาย
อายุของมนุษย์ในทวีปทั้ง ๓ ไม่เคยมีเพิ่มขึ้นหรือลดลงเลย เพราะ มนุษย์เหล่านั้นตั้งอยู่ในเบญจศีลตลอดกาลไม่ได้ขาด ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ไม่ขโมยทรัพย์ไม่ว่ามากหรือน้อยของผู้อื่นมาเป็นของตน ไม่เป็นชู้กับภรรยาของผู้อื่น ส่วนผู้หญิงในทวีปเหล่านี้ก็ไม่ลอบเป็นชู้กับสามีผู้อื่น หญิงเหล่าอื่นก็ไม่เป็นชู้กับสามีของหญิงเหล่านี้ อนึ่ง มนุษย์เหล่านั้น ไม่พูดเท็จ เว้นจากการดื่มสุราของเมาต่าง ๆ และรู้จักยำเกรงผู้อาวุโส บิดามารดา รู้จักรักพี่รักน้อง มีใจอ่อนโยน อดทน มีความเอ็นดูกรุณาซึ่งกันและกัน ไม่อิจฉาริษยากัน เว้นจากการพูดส่อเสียด เว้นจากการพูดคำหยาบ เว้นจากการพูดเพ้อเจ้อ เว้นจากการทะเลาะเบาะแว้งทุ่มเถียงกัน ไม่ช่วงชิงหวงแหนเขตแดนและบ้านเรือนของกันและกัน ไม่ข่มเหงช่วงชิงเอาเงินทองแก้วแหวน บุตร ภรรยา ข้าว ไร่ นา โค ป่า ห้วยละหาน ธารนํ้า บ้านเรือน ที่สวน เผือกมัน หลักตอ ล้อเกวียน ไม่เบียดเบียนเรือแพ โค กระบือ ช้าง ม้า ข้าไท และสรรพทรัพย์สินสิ่งใดๆ เขาไม่แบ่งว่าเป็นของตนหรือของท่าน ดูเสมอกันทั้งสิ้นทุกแห่ง มนุษย์เหล่านั้นไม่ทำไร่ไถนาค้าขายเลย
แผ่นดินทางทิศตะวันตกเขาพระสุเมรุมีทวีปชื่อ อมรโคยานทวีป กว้าง ๗,๐๐๐ โยชน์ มีแผ่นดินล้อมรอบเป็นบริวาร บรรดามนุษย์ในอมรโคยานทวีป มีหน้าดังเดือนแรม ๘ คํ่า มีแม่นํ้าใหญ่และแม่นํ้าเล็ก มีภูเขา มีเมืองใหญ่เมืองน้อย (มนุษย์ในทวีปนั้นมีจำนวนมาก มีท้าวพระยาและมีนายบ้านนายเมือง)
แผ่นดินทางทิศตะวันออกภูเขาพระสุเมรุมีทวีปใหญ่ชื่อ บุรพวิเทหทวีป กว้างได้ ๗,๐๐๐ โยชน์ วัดโดยรอบได้ ๒๑,๐๐๐ โยชน์ มีทวีปเล็ก ๕๐๐ ทวีป ล้อมรอบเป็นบริวาร เหล่ามนุษย์ในบุรพวีเทหทวีปมีหน้ากลมดังเดือนเพ็ญ มีแม่น้ำใหญ่แม่นํ้าเล็ก มีภูเขา มีเมืองใหญ่เมืองน้อย เหล่ามนุษย์ที่อยู่ในทวีปนั้นมีมากนัก มีท้าวพระยาและนายบ้านนายเมือง
แผ่นดินทางทิศเหนือของภูเขาพระสุเมรุมีทวีปชื่อว่า อุตตรกุรุทวีป กว้าง ๘,๐๐๐ โยชน์ มีแผ่นดินเล็กๆ ๕๐๐ ล้อมรอบเป็นบริวาร มนุษย์ในทวีป นั้นมีหน้าเป็นรูปสี่เหลี่ยม มีภูเขาทองล้อมรอบทวีป มีคนทั้งหลายอาศัยอยู่ในทวีปนั้นมาก มีความเป็นอยู่ดีกว่าคนในทวีปอื่น เพราะบุญของเขา เพราะเขารักษาศีล
แผ่นดินอุตตรกุรุทวีปนั้น ราบเรียบเสมอกัน ไม่มีที่ลุ่มที่ดอนหรือที่ ขรุขระปรากฏให้เห็น และมีต้นไม้นานาพันธุ์ มีกิ่งก้านสาขางาม มีค่าคบใหญ่น้อยมากมาย เหมือนเขาตั้งใจสร้างไว้เป็นบ้านเรือนดูงามดั่งปราสาท เป็นที่อยู่อาศัยของคนในอุตตรกุรุทวีปนั้น ไม้นั้นไม่มีตัวแมลงตัวด้วง ไม่มีส่วนที่คด ที่งอ ที่กลวง ที่เป็นโพรง ต้นตรงกลมงามมาก ผลิดอกออกผลตลอดเวลาไม่เคยขาด ที่ใดที่เป็นบึง หนอง ตระพังจะดาดาษด้วยดอกบัวแดง บัวขาว บัวเขียว บัวหลวง และกุมุท อุบล จงกลนี นิลุบล บัวเผื่อน บัวขม เมื่อลมพัดต้องก็โชยกลิ่นหอมขจรขจายไปโดยรอบอยู่ทุกเวลา
ชาวอุตตรกุรุทวีป มีรูปร่างสมทรง ไม่สูงไม่ตํ่า ไม่อ้วนไม่ผอม ดูงามด้วยรูปทรงสมส่วน มีเรี่ยวแรงกำลังกายคงที่ไม่เสื่อมถอยไปตามวัย ตั้งแต่หนุ่มจนแก่ พวกเขาไม่มีความกังวลในเรื่องทำมาหากิน ไม่ต้องทำไร่ทำนา หรือซื้อขายกัน อนึ่ง ชาวอุตตรกุรุทวีป ไม่รู้สึกร้อนหรือหนาว ไม่มีภัยจากแมงมุม ริ้น ยุง งู สัตว์เลื้อยคลานและสัตว์ร้ายมีพิษนานาชนิด เป็นต้น ชาวอุตตรกุรุทวีปไม่มีภัยจากลมและฝน และแดดก็ไม่เผาไหม้เขา เขาไม่รู้จักความแตกต่างระหว่างกลางวันและกลางคืน ไม่มีความเดือดเนื้อร้อนใจสิ่งใด
ชาวอุตตรกุรุทวีปมีข้าวชนิดหนึ่งชื่อ สัญชาตสาลี คือ ข้าวที่เกิดเอง เขาไม่ต้องหว่านหรือไถดำ ข้าวนั้นเกิดเป็นต้นเป็นรวงเป็นข้าวสารเอง ข้าว นั้นหอม ไม่มีแกลบมีรำ ไม่ต้องตำ ไม่ต้องฝัด ขาวอุตตรกุรุทวีปชวนกันกินข้าวนั้นอยู่เป็นประจำ ในอุตตรกุรุทวีปยังมีหินชนิดหนึ่งชื่อ โชติปาสาณ คนเหล่านั้นจะเอาข้าวสารกรอกใส่หม้อทองเรืองงาม ยกไปตั้งบนแผ่นหิน โชติปาสาณนั้น ชั่วครู่หนึ่งจะเกิดเป็นไฟลุกขึ้นได้เอง เมื่อข้าวสุก ไฟจะดับเอง เมื่อเขาเห็นไฟดับก็รู้ว่าข้าวสุก จึงคดใส่ถาดและตะไลทองงาม สำหรับกับข้าวนั้นก็ไม่ต้องจัดหา เมื่อนึกว่าจะกินสิ่งใด ก็จะปรากฏขึ้นอยู่ใกล้ๆ เขาเอง คนเหล่านั้น เมื่อกินข้าวนั้นแล้ว จะไม่เกิดโรคต่างๆ เป็นต้นว่า โรคหิด โรคเรื้อน เกลื้อน กลาก โรคฝี โรคหนอง โรคผอมแห้ง และโรคลมบ้าหมู จะไม่เป็นโรคท้องอืด ท้องเฟ้อ ไม่เป็นง่อยเปลี้ยเพลียแรง ดวงตาไม่บอดไม่ฟาง หูไม่หนวกไม่ตึง จะไม่เจ็บไข้ได้ป่วย พิกลพิการดังกล่าวมานั้น ถ้าเขากำลังกินข้าวนั้นอยู่ เมื่อมีคนมาเยี่ยม เขาก็นำข้าวนั้นมารับรองด้วยความเต็มใจ และไม่รู้สึกเสียดาย
ในแผ่นดินอุตตรกุรุทวีปนั้น มีต้นกัลปพฤกษ์ต้นหนึ่ง สูง ๑๐๐ โยชน์ กว้าง ๑๐๐ โยชน์ วัดโดยรอบได้ ๓๐๐ โยชน์ ผู้ใดปรารถนาอยากจะได้ทรัพย์สินเงินทองหรือเครื่องประดับตกแต่งทั้งหลายเป็นต้นว่า เสื้อสร้อยถนิมพิมพาภรณ์ ผ้านุ่งผ้าแพรพรรณต่างๆ ก็ดี หรือเครื่องอุปโภคบริโภคต่างๆ สิ่งเหล่านั้น ย่อมบังเกิดขึ้นแต่ค่าคบของต้นกัลปพฤกษ์นั้น ให้สำเร็จสมตามความปรารถนา ทุกประการ
สตรีทั้งหลายที่อยู่ในแผ่นดินนั้น งามทุกคน รูปร่างไม่สูงไม่ตํ่าเกินไป ไม่ผอมไม่อ้วนเกินไป ไม่ขาวดำเกินไป มีรูปทรงสมส่วน ผิวพรรณงามดั่ง ทองสุกเหลือง เป็นที่พึงใจของชายทุกคน นิ้วมือนิ้วเท้ากลมกลึง มีเล็บสีแดง เหมือนนํ้าครั่งที่ทาแต้มไว้ แก้มใสนวลงามดั่งผัดแป้ง ใบหน้านั้นเกลี้ยงเกลา ปราศจากมลทินคือ ใฝ ฝ้า มีดวงหน้าดุจพระจันทร์วันเพ็ญ มีนัยน์ตาดำเหมือนนัยน์ตาของเนื้อทรายอายุ ๓ วัน ที่ขาวก็ขาวเหมือนสังข์ที่พึ่งขัดใหม่ มีริมฝีปากแดงดังลูกฟักข้าวที่สุกงอม มีลำแข้งขาเรียวงามขาวเหมือนลำกล้วยทองฝาแฝด มีท้องที่ราบเรียบเสมอลำตัวอ้อนแอ้นเกลี้ยงกลมงาม มีขนและเส้นผมละเอียด อ่อนยิ่งนัก เส้นผมของคนปัจจุบัน ๑ เส้น เท่ากับผม ๘ เส้นของนางโดยประมาณ ดำงามเหมือนปีกแมลงภู่ ยาวลงมาถึงริมบ่าเบื้องตํ่าทั้งสองแล้วตวัดปลายผมขึ้นเบื้องบน เมื่อเวลานางนั่งยืนอยู่ก็ดี เดินไปมาก็ดี ใบหน้าแจ่มใสเหมือนดังแย้มยิ้มตลอดเวลา มีขนคิ้วดำสนิทโก่งดังวาดไว้ เมื่อนางพูดจะมีนํ้าเสียงแจ่มใส ปราศจากเสมหะเขฬะทั้งปวง ที่คอประดับด้วยเครื่องอาภรณ์งามยิ่ง มีรูปโฉมโนมพรรณงามดังสาวน้อยอายุ ๑๖ ปี มีทรวดทรงคงที่ไม่แก่เฒ่าไปตามกาลเวลา ดูอ่อนเยาว์ตลอดชีวิตทุกคน
ชายทั้งหลายในอุตตรกุรุทวีป ก็มีรูปร่างผิวพรรณงามเหมือนหนุ่มน้อยอายุ ๒๐ ปี ไม่มีแก่เฒ่า เป็นหนุ่มอยู่ดังนั้นตลอดชีวิตทุกคน คนเหล่านั้น กินข้าวนํ้าและอาหารอย่างดี มีรสอันอร่อย เขาแต่งแต่ตัว เขาจะทากระแจะจันทน์นํ้ามันอย่างดี ทัดทรงดอกไม้หอมต่างๆ แล้วพากันไปเที่ยวเล่นตามสบาย บ้างก็ฟ้อนรำทำเพลงดุริยางคดนตรี บ้างก็ดีดสีตีเป่า ขับร้องกันสนุกสนานเป็นหมู่มากมาย มีเสียงฆ้อง กลอง แตรสังข์ กังสดาล มโหรทึกดังกึกก้อง มีการทำพิธี มีดอกไม้งามต่างๆ มีจวงจันทน์กฤษณา เหมือนดั่งเป็นเทวดาบนสวรรค์ เขาเล่นสนุกด้วยกันตลอดเวลา บางหมู่ก็ชวนกันไปเล่นในที่สวยงดงามที่สนุก และในสวนอันมีดอกไม้งามตระการตา มีจวงจันทน์กฤษณาคันธา ปาริชาต นาคพฤกษ์ ลำดวน จำปา โยธกา มาลุตี มนีชาตบุตรทั้งหลาย ซึ่งมีดอกงาม มีกลิ่นหอมฟุ้งขจรไป บางหมู่ก็ชวนกันไปเล่นในสวนผลไม้อันมีผลสุกงอม หอมหวาน เช่นว่า ขนุนบางผลนั้นใหญ่เท่าไห บางผลใหญ่เท่ากระออม หอม หวานมาก เขาชวนกันกินเล่นเป็นที่สนุกสนานเบิกบานใจในสวนนั้น บางหมู่ก็ชวนกันไปเล่นในแม่นํ้าใหญ่ ที่มีท่าราบเรียบปราศจากเปือกตม แล้วชวนกันเล่นแหวกว่ายไปตามแม่น้ำ เด็ดเอาดอกไม้ที่มีอยู่ในที่นั้น มาทัดทรงไว้ที่หูและหัว บางพวกก็พากันเล่นที่หาดทราย เมื่อจะพากันลงอาบนํ้านั้น พวกเขาจะถอดเครื่องประดับออกวางไว้ที่หาดทราย แล้วลงไปอาบ ว่ายเล่นกันในแม่นํ้า เมื่อผู้ใดขึ้นมาจากนํ้าก่อนจะเอาเครื่องประดับและผ้านุ่งผ้าห่มของใครมาประดับนุ่งห่มได้ไม่ว่ากัน ไม่โกรธกัน ไม่ด่าหรือถกเถียงกัน ถ้ามีต้นไม้อยู่ที่ใด ก็เข้า ไปอาศัยอยู่ในที่นั้นสถานที่นั้นก็จะพูนสูงขึ้นเป็นเสื่อสาดอาสนะ เป็นฟูกที่นอน หมอนอิง เป็นม่านและเพดานกั้นพวกเขาพากันสนุกสนานรื่นเริงใจตลอดเวลา
เมื่อเขาเจริญวัยขึ้นเป็นหนุ่มสาว เมื่อแรกรักกันจะอยู่ครองเรือนเป็น สามีภรรยากัน เขาจะร่วมรักกันเพียง ๗ วันเท่านั้น ต่อจากนั้นเขาจะไม่ร่วมรักกันเลย จะอยู่เย็นเป็นสุข ตราบเท่าสิ้นอายุ ๑,๐๐๐ ปีของพวกเขานั้น ไม่อาลัยอาวรณ์สิ่งใด ดังเป็นพระอรหันต์ผู้หมดกิเลสทั้งปวงแล้ว
ผู้หญิงชาวอุตตรกุรุทวีป เมื่อมีครรภ์และจะคลอดลูก นางจะไม่เจ็บท้องเลย และไม่ว่ามารดาจะอยู่ที่ใด ครั้นเมื่อจะคลอดจะเกิดมีแท่นที่นอนขึ้นมารองรับ นางจะไม่เจ็บท้องเวลาจะคลอดเลย และทารกที่คลอดออกมาก็ไม่มีเลือดฝาด และเมือกคาวเป็นมลทิน งามดังแท่งทองอันสุกใสปราศจากราคีต่างๆ มารดาไม่ต้องอาบนํ้า ให้ยา และไม่ต้องให้ทารกดื่มนมเลย เพียงเอาไปให้นอนหงาย วางทิ้งไว้ที่ริมทางที่มีหญ้าอ่อนดังสำลี เมื่อใครเดินไปมามองเห็นทารกนอนหงายอยู่อย่างนั้น ก็จะเอานิ้วมือเข้าไปป้อนในปากของทารก ด้วยบุญของทารกนั้น ก็จะบังเกิดเป็นนํ้านมไหลออกมาจากปลายนิ้วมือเข้าไปในลำคอ และยังเกิดเป็นกล้วยอ้อยของกิน เลี้ยงทารกนั้นทุกๆ วัน ครั้นทารกเติบโตขึ้นสามารถเดินไปมาได้แล้ว ถ้าหากเด็กนั้นเป็นผู้ชายก็จะไปอยู่รวมกลุ่ม กับเด็กผู้ชาย ถ้าเป็นหญิงก็จะไปอยู่รวมกลุ่มกับเด็กผู้หญิง เพราะฉะนั้น ลูกเขาจึงโตขึ้นเอง ลูกไม่รู้จักพ่อแม่ และพ่อแม่ก็ไม่รู้จักลูก เพราะคนเหล่านั้นมีรูปร่างงามสง่าเหมือนกันหมดทุกคน เมื่อพวกเขาเริ่มรักใคร่เป็นสามีภรรยากันแม่และลูกก็ดี พ่อและลูกก็ดี จะไม่อยู่ครองเรือนเป็นสามีภรรยากัน เพราะพวกเขานั้นมีบุญ เทวดาจึงบันดาลทุกสิ่งให้เป็นธรรมดา
เมื่อพวกเขาตายจากกันไป ก็มิได้มีความทุกข์เศร้าโศกเสียใจ ร้องไห้ ถึงกันเลย พวกเขาจะเอาศพนั่นอาบนํ้าแต่งตัวทากระแจะจันทน์นํ้ามันหอม นุ่งห่มผ้าให้ประดับด้วยอาภรณ์ทั้งปวงแล้วจึงเอาไปวางไว้ในที่แจ้ง ก็จะมีนกชนิดหนึ่งซึ่งบินทั่วไปในแผ่นดินอุตตรกุรุทวีปนั้น มาคาบเอาศพไปยังรังนกนั้น เพื่อมิให้สกปรกรกแผ่นดิน นกนั้นบางทีก็คาบเอาไปทิ้งไว้ในแผ่นดินอื่น หรือทิ้งที่ฝังทะเลหรือในชมพูทวีป นกนี้ต่างอาจารย์เรียกชื่อต่างกัน คือ นกหัสดีลิงค์ นกอินทรี นกกด ที่ว่าคาบเอาศพไปนั้น บางอาจารย์กล่าวว่า ไม่ได้คาบเอาศพ ไป แต่ใช้กรงเล็บคืบเอาไป
คนทั้งหลายในอุตตรคุรุทวีป เมื่อตายไปแล้ว ย่อมไม่ไปเกิดในจตุราบาย ทั้ง ๔ คือ นรก เปรต อสุรกาย และสัตว์เดรัจฉานนั้นเลย แต่พวกเขาจะไปเกิดในที่ดี คือ สวรรค์ชั้นฟ้า เพราะว่า พวกเขาทั้งหลายเป็นผู้ที่ตั้งมั่นอยู่ในศีล ๕ ตลอดเวลา เครื่องหมายคุณความดีของคนเหล่านั้น ก็ยังปรากฏอยู่ไม่มีที่สิ้นสุดบริบูรณ์อยู่ตราบจนบัดนี้
ในคัมภีร์ฉบับหนึ่งแสดงไว้ว่า แผ่นดินในอุตตรกุรุทวีปนั้น ราบเรียบ เสมอกัน งามมาก มิได้เป็นหลุมเป็นบ่อขรุขระ คนทั้งหลายที่อาศัยอยู่ในที่นั้น ไม่มีความทุกข์ ความเศร้าโศกเสียใจเลย และพวกสิงสาราสัตว์ทั้งหลาย อาทิ หมู หมี หมา และงู ตลอดจนสรรพสัตว์อันดุร้ายนานาชนิด ไม่มาเบียดเบียน ทำร้ายคนทั้งหลายที่อยู่ในที่นั้นเลย และยังมีหญ้าชนิดหนึ่ง ชื่อว่า ฉวินยา งอกขึ้นในแผ่นดินนั้น มีสีเขียวงาม ดำดังแววนกยูง ละเอียดอ่อนดังฟูกดังสำลี งอกขึ้นพ้นดิน ๔ นิ้ว และมีนํ้าใสเย็น สะอาด ดื่มกินมีรสอร่อย ไหลเซาะท่านํ้า แลดูงามล้วนไปด้วยทอง เงิน และแก้ว ๗ ประการ ไหลเสมอฝั่ง เมื่อนกกามาดื่มกิน ก็กินโดยไม่ต้องชะโงกหัวลงดื่ม คนทั้งหลายในที่นั้น บางคนมีรูปร่าง สูงเท่าคนในบุรพวิเทหทวีป และคนในอุตตรกุรุทวีปนั้น เขานุ่งห่มผ้าขาวที่เขานึกอธิษฐานเอาจากต้นกัลปพฤกษ์นั้น
ต้นกัลปพฤกษ์นั้น สูง ๑๐ วา ๒ ศอก กว้าง ๑๐ วา คนทั้งหลายในที่นั้น จะไม่เบียดเบียนหรือทำร้ายสัตว์ทั้งหลายที่มีชีวิต และไม่กินเนื้อสัตว์อีกด้วยถ้าคนใดคนหนึ่งตายไปแล้วเขาจะไม่นำซากศพไป แต่จะมีนกชนิดหนึ่งคือ นกอินทรีมาคาบเอาไปไว้เสียกลางป่า
หมู่ชนทั้งหลายที่เป็นหนุ่มสาวในอุตตรกุรุทวีปนั้น เมื่อรักกันชอบกัน ก็จะอยู่ร่วมกันเอง เป็นสามีภรรยากันโดยไม่ต้องเสียสิ่งหนึ่งสิ่งใด เมื่อเขารักกันเขาก็อยู่ด้วยกันเองตราบเท่าถึงไฟไหม้กัลป์ ดังสิ่งทั้ง ๔ นี้ อันได้แก่ ประการที่หนึ่ง รูปกระต่ายที่อยู่ในพระจันทร์หนึ่ง ประการที่สอง พระโพธิสัตว์ เมื่อมีชาติเป็นนกคุ้ม อยู่ในกองไฟแต่ไฟไม่ไหม้ตราบจนถึงหนึ่งกัลป์ ประการที่สามเรื่องพระโพธิสัตว์ที่ท่านรื้อหลังคาออกเพื่อมุงกุฎีพระสงฆ์ฝนไม่ตกรั่วเรืองที่รื้อออกเลย ตราบเท่าสิ้นกัลป์หนึ่ง และ ประการที่สี่ ไม้อ้อที่อยู่รอบริมสระนํ้าเมื่อพระโพธิสัตว์เป็นพระยาวานร และมีบริวาร ๘๐,๐๐๐ ตัว ท่านอธิษฐานว่า ให้ไม้อ้อนั้นกลวงอยู่ตราบเท่าสิ้นกัลป์หนึ่ง
คนเหล่านั้นตั้งแต่หนุ่มสาวจนถึงแก่เฒ่า เขาร่วมรักด้วยกันเพียง ๔ ครั้ง บางคราวก็มิได้ร่วมรักกันเลย คนเหล่านั้นกินข้าว แต่ไม่ต้องทำนา เขา จะเอาข้าวสารซึ่งเกิดได้เองนั้นมากิน และข้าวสารนั้นก็ขาวสะอาด ไม่ต้องตำ ไม่ต้องซ้อมข้าวเปลือกเลย
มีผลไม้ชนิดหนึ่งเรียกว่า ตุณหิรกะ มีรูปร่างเหมือนหม้อข้าว เขาจะเอา ข้าวนํ้าใส่แล้วตั้งบนก้อนหิน ที่เรียกว่า โชติปาสาณะ ซึ่งเกิดเป็นไฟลุกขึ้นได้เอง เมื่อข้าวนั้นสุกดีแล้วไฟนั้นจะดับไปเอง ข้าวที่พวกเขาคดมารับประทานนั้น มีรสอร่อยยิ่งนัก ชนชาวอุตตรกุรุทวีปไม่ได้สร้างบ้านเรือนอยู่อาศัย แต่มีไม้ชนิดหนึ่งที่งามเหมือนทองเรียกว่า มัญชุสถา เป็นเหมือนบ้านเรือนที่อยู่อาศัยของชนชาวแผ่นดินอุตตรกุรุทวีป
คณะทำงานโครงการวรรณกรรมอาเซียน