โชติกเศรษฐี

Socail Like & Share

ครั้งนั้นยังมีเศรษฐีคนหนึ่ง มีนามว่าโชติกเศรษฐี อาศัยอยู่ในเมืองราชคฤห์ เขามีปราสาทสูง ๗ ชั้น ประดับตกแต่งด้วยแก้ว ๗ ประการ พื้นภายในบ้านเป็นแก้วผลึกอันสุกใสแวววาวงดงามยิ่ง เหมือนหน้าแว่นที่ขัด ๑,๐๐๐ ครั้ง บ้านนั้นล้อมรอบด้วยกำแพงแก้ว ๗ ชั้น ทำด้วยแก้ว โชติกเศรษฐี๗ ประการ ในระหว่างกำแพงนั้นมีต้นกัลปพฤกษ์เรียงรายเป็นแถวจรดถึงมุมปราสาททั้ง ๔ มุม และมีขุมทองอยู่มุมละ ๑ ขุม ซึ่งกว้าง ๘,๐๐๐ วา ๖,๐๐๐ วา ๔,๐๐๐ วา และ ๒,๐๐๐ วา ตามลำดับ ทั้ง ๔ ขุมนั้นลึก ๒๔๐,๐๐๐ โยชน์ ทุกขุมเต็มไปด้วยกองเงิน กองทองและกองแก้ว ๗ ประการ จนล้นปากขุมขึ้นมาเหมือนกองลูกตาลไว้ แม้จะตักสักเท่าใดก็ไม่มีวันพร่อง แก้วแหวนเงินทองที่อยู่ภายใต้ก็จะเกิดพอกพูน จนเต็มขุมดังเดิม เหมือนนํ้าไหลซึมออกมา ในมุมปราสาททั้ง ๔ มุมนั้น มีลำอ้อยทองลำใหญ่เท่าลำตาลขนาดใหญ่ ประจำอยู่มุมละ ๑ ลำ เป็นแก้วมณีทองคำล้วน ที่ปากทางเข้าออกประตูกำแพงทั้ง ๗ ชั้น มียักษ์ใหญ่ ๗ ตน พร้อมด้วยบริวารเฝ้าอยู่ที่ปากประตูชั้นนอกมียักษ์ชื่อยมโกลิพร้อมด้วยบริวาร ๑,๐๐๐ ตนเฝ้าอยู่ ที่ปากประตูถัดเข้าไปชั้นที่ ๒ มียักษ์อุปละพร้อมด้วยบริวาร ๒,๐๐๐ ตนเฝ้าอยู่ ที่ปากประตูชั้นที่ ๓ มียักษ์ทมิฬพร้อมด้วยบริวาร ๓,๐๐๐ ตนเฝ้าอยู่ ที่ปากประตูชั้นที่ ๔ มียักษ์วชิรวามะ พร้อมด้วยบริวาร ๔,๐๐๐ ตนเฝ้าอยู่ ที่ปากประตูชั้นที่ ๕ มียักษ์สกนะ พร้อมด้วยบริวาร ๕,๐๐๐ ตนเฝ้าอยู่ ที่ปากประตู ชั้นที่ ๖ มียักษ์กตารตะ พร้อมด้วยบริวาร ๖,๐๐๐ ตนเฝ้าอยู่ ที่ปากประตูกำแพง แก้วชั้นที่ ๗ มียักษ์ทิศาปาโมกข์ พร้อมด้วยบริวาร ๗,๐๐๐ ตนเฝ้าอยู่

สมบัติของโชติกเศรษฐีนั้นมีมากมายเหลือคณนา ชนทั้งหลายจึงนำ เรื่องของเขาขึ้นกราบบังคมทูลพระเจ้าพิมพิสารราชาผู้ครองนคร
ราชคฤห์ให้ทรงทราบ พระเจ้าพิมพิสารจึงทรงพระกรุณาให้นำเศวตฉัตรมาพระราชทานแก่โชติกเศรษฐี แล้วทรงสถาปนาให้เป็นเศรษฐีในเมืองราชคฤห์นั้น ภรรยาของโชติกเศรษฐีเป็นนางแก้วมาจากอุตตรกุรุทวีป นางได้นำหม้อข้าวหม้อแกงมาด้วยลูกหนึ่ง พร้อมด้วยก้อนเส้าเท่าลูกฟักมาด้วย ๓ ก้อน ก้อนเส้านี้ชื่อโชติปาสาณ และนำข้าวสารมาด้วย ๓ ทะนาน ข้าวสารพันธุ์ข้าวสาลี (สัญชาติสาลี) ๒ ทะนาน ข้าวนั้นมีกลิ่นหอมและรสอร่อยยิ่งนัก ข้าวสาร ๒ ทะนานหุงให้ โชติกเศรษฐีรับประทานได้ตลอดชั่วชีวิตก็ไม่มีวันหมดสิ้น เมื่อนำเอาข้าวสารมาใส่หม้อข้าวสารก็เต็มทะนานขึ้นมาเหมือนเดิมไม่หมดสิ้นไป หากจะตักออก ใส่เกวียนให้เต็ม ๑,๐๐๐ เล่มเกวียน ข้าวสาร ๒ ทะนานก็ไม่พร่อง ยังเต็มอยู่เหมือนเดิม เมื่อจะหุงข้าว นำข้าวสาร ๒ ทะนานใส่ลงในหม้อแก้วแล้วยกขึ้นตั้งบนก้อนเส้าแก้วโชติปาสาณ ชั่งเวลาไม่นาน ไฟจะลุกขึ้นที่ก้อนเส้าแก้วเอง เมื่อข้าวสุกไฟก็จะดับไปเองเช่นกัน เมื่อจะต้มแกงหรือทำขนมข้าวต้มของกินอย่างอื่นก็ทำเช่นเดียวกัน

บรรดาสิ่งของภายในปราสาทและบ้านเรือนของเศรษฐีรุ่งเรืองไปด้วย รัศมีแก้ว โดยไม่ต้องตามประทีปโคมไฟและจุดเทียน ความมั่งมีของโชติกเศรษฐีนี้เลื่องลือไปทั่วชมพูทวีป มหาชนทั้งหลายต่างพากันขึ้นยานคานหามมาดูสมบัติของโชติกเศรษฐี โชติกเศรษฐีจึงให้หุงข้าว ๒ ทะนานที่ภรรยานำมาจากอุตตรกุรุทวีปนั้น เลี้ยงดูผู้คนที่มาดูและเยี่ยมเยียนทั่วถึงทุกคน ให้นำเอาเครื่องถนิมพิมพาภรณ์จากต้นกัลปพฤกษ์มามอบให้ผู้มาดูโดยทั่วถึงทุกคน แล้วจึงเปิดขุมทองกว้าง ๒ วาออกให้ดูพร้อมกับกล่าวว่า ผู้ใดอยากได้แก้วแหวนเงินทองจำนวนเท่าใดจงเก็บเอาได้ตามใจชอบ ผู้คนในชมพูทวีปต่างมาตักเอาโกยเอาแก้วแหวนเงินทองในขุมทองขุมเดียวกันนั้น แก้วแหวนเงินทองก็จะไม่พร่องแม้เพียงฝ่ามือเดียว

ครั้งนั้น พระเจ้าพิมพิสารผู้เสวยราชสมบัติอยู่ในเมืองราชคฤห์ ทรงมีพระประสงค์ใคร่จะทอดพระเนตรสมบัติของโชติกเศรษฐี จึงเสด็จพร้อมด้วยข้าราชบริพาร เมื่อเสด็จถึงปากประตูกำแพงแก้วชั้นนอก ได้ทอดพระเนตรเห็นนางทาสีกำลังปัดกวาดบ้านอยู่ รูปสวยงามมาก นางได้ยื่นมือออกให้พระราชาทรงเหนี่ยวขึ้นที่ปากประตู ความงามของนางทำให้พระราชาทรงเข้าพระทัยว่านางเป็นภรรยาของเศรษฐี ทรงนึกเกรงใจและอาย จึงมิได้ทรงยื่นพระหัตถ์ออกไปจับแขนนางทาสีนั้น

บรรดาสตรีที่บัดกวาดอยู่ที่ปากประตูด้านนี้ พระราชาทรงเห็นงามทุกคน ทรงเข้าพระทัยว่าเป็นภรรยาของโชติกเศรษฐีทุกคน จึงมิทรงแตะต้องทาสีเหล่านั้นแม้แต่คนเดียว ต่อมา โชติกเศรษฐีจึงออกมารับเสด็จพระเจ้าพิมพิสารถึงปากประตูชั้นนอกปราสาท ทูลเชิญให้เสด็จนำหน้า ส่วนตนเดินตามเสด็จ เมื่อพระราชาทรงดำเนินเข้าไปในปราสาท ทอดพระเนตรเห็นพื้นปราสาทประดับด้วยแก้วมณีมีรัศมีรุ่งเรืองตลอดทะลุลงไปเบื้องตํ่า เหมือนหลุมที่ลึกลงไปถึง ๗ ช่วงตัว จึงทรงดำริว่าเศรษฐีนี้ขุดหลุมไว้ล่อให้พระองค์ตกลงไป จึงทรงหยุดยืนคอย ฝ่ายโชติกเศรษฐีเมื่อเห็นพระราชาทรงหยุดยืนเช่นนั้น จึงกราบทูลว่าอันนี้ไม่ใช่หลุมแต่เป็นแก้วมณี ขออัญเชิญพระองค์เสด็จตามมา กราบทูลดังนั้นแล้วเศรษฐีจึงนำเสด็จพระองค์ไป เศรษฐีเหยียบที่ใดพระราชา ทรงเหยียบตามที่นั้น ทรงดำเนินตามเศรษฐีทอดพระเนตรปราสาทตั้งแต่ชั้นล่างจนถึงชั้นบน

ครั้งนั้น พระเจ้าอชาตศัตรูทรงเกาะมือตามเสด็จพระราชบิดา ครั้นได้ทอดพระเนตรเห็นปราสาทงดงาม จึงทรงดำริว่าพระราชบิดาของเรานี้ยังไม่นับว่าเป็นใหญ่จริง เพราะยังประทับอยู่ในปราสาทไม้ แต่เศรษฐีคนนี้กลับได้อยู่ในปราสาทแก้ว ๗ ประการ ถ้าเราได้เป็นพระราชาเมื่อใดจะมายึดเอาปราสาทนี้ไปเป็นของเราให้จงได้

เมื่อพระเจ้าพิมพิสารเสด็จดำเนินทอดพระเนตรไปถึงชั้นสุดท้าย ได้ เวลาเสวยพระกระยาหารเช้าพอดี พระองค์จึงตรัสแก่เศรษฐีว่าฉันจะกินข้าวเช้าที่บ้านท่าน เศรษฐีกราบทูลรับว่ายินดี

เศรษฐีจึงอัญเชิญพระเจ้าพิมพิสารให้ทรงสรงนํ้าอันหอม แล้วอัญเชิญ เสด็จขึ้นประทับนั่งเหนือรัตนบัลลังก์ทองซึ่งตั้งอยู่บนบัลลังก์แก้ว ๗ ประการ อันเป็นบัลลังก์ที่เศรษฐีเคยนั่ง ฝ่ายคนครัวจัดเตรียมอาหารและข้าวกิลินปายาส (ข้าวปายาสอุ่น) ใส่เต็มตะไลมีค่าล้านตำลึง แล้วนำมาตั้งไว้เบื้องพระพักตร์ พระพิมพิสารทรงเข้าพระทัยว่าเป็นข้าวสำหรับเสวยจึงทรงล้างพระหัตถ์เพื่อเตรียมเสวย เศรษฐีเห็นดังนั้นจึงกราบทูลห้ามว่า ข้าวนี้ไม่ใช่พระกระยาหารเป็นข้าวกิลินปายาสที่จัดไว้เพื่อรองตะไลข้าวสำหรับเสวยอีกทีหนึ่ง ป้องกันมิให้ข้าวเย็น ครั้นกราบทูลดังนั้นแล้ว เศรษฐีจึงให้นำข้าวสารสำหรับเสวย ซึ่งหุงด้วยข้าวสารที่นำมาจากอุตตรกุรุทวีปใส่เต็มตะไลทอดอีกลูกหนึ่ง มาตั้งเหนือตะไลข้าวกิลินปายาสนั้น แล้วกราบทูลอัญเชิญพระราชาเสวย พระราชาเสวยแล้วได้รับรส โอชายิ่งนัก ไม่มีอาหารชนิดใดอร่อยเท่า เสวยเท่าใดๆ ก็ไม่ทรงรู้อิ่ม เศรษฐี เห็นดังนั้นจึงกราบทูลห้ามว่า เสวยมากแล้วขอได้โปรดเสวยแต่พอประมาณเถิด ถ้าเสวยมากอาจทำให้ทรงประชวร จะเป็นโทษแก่พระองค์ได้ พระเจ้าพิมพิสารตรัสตอบว่า เศรษฐีคิดเสียดายข้าวที่เรากิน กลัวว่าเราจะกินข้าวท่านหมดเปลืองไปมากหรือ เศรษฐีกราบทูลว่ามิได้คิดเสียดายกลัวจะหมดเปลือง เพราะเพียงข้าวและแกงหม้อเดียว หากรี้พลบ่าวไพร่ข้าไทของพระองค์จะมา รับประทานมากเท่าใด ข้าวและกับก็จะไม่พร่องจากหม้อเลย การที่กราบทูลห้ามไว้เพราะกลัวว่าพระองค์จะเสวยพระกระยาหารมากเกินประมาณ การที่พระองค์เสด็จมาเรือนของข้าพระพุทธเจ้า ถ้าทรงพระเกษมสำราญก็นับว่าเป็นโชคลาภ แต่ถ้าพระองค์ทรงมีอันเป็นไปในเรือนของข้าพระพุทธเจ้า ไพร่ฟ้า ข้าไททั้งหลายจะพากันตำหนิว่า การที่พระองค์ทรงมีอันเป็นไปนั้น สาเหตุมาจากการเสด็จไปบ้านของโชติกเศรษฐี ถูกเศรษฐีประทุษร้าย

พระเจ้าพิมพิสารจึงตรัสตอบว่าดีแล้ว ถ้าเป็นอย่างนั้นเราก็จะกินเพียง เท่านี้ แล้วพระองค์ทรงหยุดเสวยทันที หลังจากนั้นเศรษฐีจึงให้จัดหาอาหารมาเลี้ยงดูข้าราชบริพารที่ตามเสด็จให้อิ่มหนำสำราญกันทุกคน ตลอดทั้งชาวเมืองผู้มาเยี่ยมเยียน เศรษฐีก็เลี้ยงดูด้วยข้าวและแกงหม้อเดียว แม้จะตักออกเท่าใดก็ยังเต็มอยู่เหมือนเดิม ไม่มีหมดสิ้น

พระเจ้าพิมพิสารตรัสถามว่า ท่านเศรษฐีมีภรรยาไหม เศรษฐีทูลตอบ ว่ามี เป็นนางแก้วมาจากอุตตรกุรุทวีป พระราชาถามว่านางแก้วภรรยาท่านอยู่ที่ไหน เศรษฐีทูลตอบว่า นางนอนอยู่ในปราสาท ตอนแรกที่พระองค์เสด็จมาถึง ข้าพระพุทธเจ้ากำลังอยู่ในสุขสมบัติ จึงไม่ทราบว่าพระองค์เสด็จมา

เมื่อกราบทูลดังนั้นแล้ว เศรษฐีก็คิดว่าพระองค์ทรงมีพระประสงค์ใคร่จะทอดพระเนตรภรรยาของตน จึงกราบทูลว่าจะไปนำภรรยามาเฝ้า

จากนั้นจึงลุกไปหาภรรยาในปราสาท แล้วกล่าวกับนางว่า พระเจ้าพิมพิสารพระราชาแห่งราชคฤห์มหานครได้เสด็จมาถึงปราสาทของเราแล้ว ขณะนี้ประทับอยู่ห้องข้างนอก พี่ได้ถวายพระกระยาหารแล้ว เชิญเจ้าออกไปเฝ้าพระองค์เถิด นางจึงถามว่าพระราชาผู้นั้นเป็นใครจึงจะให้ออกไปถวายบังคม เศรษฐีกล่าวตอบว่าพระองค์ทรงเป็นใหญ่อยู่ในเมืองนี้ ทรงเป็นเจ้าเหนือหัวของพวกเราทุกคน ใครหรือจะไม่รู้จักพระองค์ นางจึงกล่าวว่าน้องอยู่มาทุกวันนี้ยังไม่รู้เลยว่ามีเจ้าเหนือหัวปกครองเราอยู่ เพิ่งมารู้วันนี้เอง บุญของเรามีถึงเพียงนี้นับว่ายังน้อยอยู่ จึงมีเจ้าเหนือหัวผู้ยิ่งใหญ่กว่าอาจเป็นเพราะ เราทำบุญแต่อดีตชาติปางก่อนมิได้ทำด้วยศรัทธา มาชาตินี้เราจึงมีเจ้าที่เหนือกว่า ถ้าเราทำบุญด้วยศรัทธาอันมั่นคงเราก็จะไม่มีเจ้าเหนือหัวมาปกครอง เพราะท่านจักได้เป็นเจ้าแห่งคนทั้งหลายเสียเอง เหมือนพระราชาพระองค์นี้ นางจึงถามต่อไปว่าเมื่อท่านจะให้ไปเฝ้าพระราชาควรจะให้ปฏิบัติอย่างไร วางตัวอย่างไร โปรดสั่งมาเถิด เศรษฐีจึงสั่งภรรยาว่าเมื่อเฝ้าแล้วจงนั่งถวายงานพัดเถิด นางออกไปเฝ้าพระราชาแล้วถือพัดใบตาลแก้วถวายงานพัดอยู่ ลมได้พัดเอากลิ่นธูปที่อบผ้าทรงและผ้าโพกศีรษะของพระราชามาเข้าตานาง ทำให้นางรู้สึกแสบตา นํ้าตาไหลพราก นางจึงยกผ้าขึ้นซับนํ้าตา พระราชาได้ทอดพระเนตรเห็นดังนั้น ทรงเข้าพระทัยว่านางร้องไห้ จึงตรัสแก่โชติกเศรษฐี ว่า ภรรยาของเจ้านี้ไม่น่ารัก นางเห็นเรามาบ้านคงนึกว่าเราจะมาแย่งชิงเอามหาสมบัติของนาง นางจึงร้องไห้ แต่เรามาคราวนี้หวังจะมาชมบุญของเจ้าต่างหาก เจ้าจงปลอบใจอย่าให้นางร้องไห้เลย

เศรษฐีกราบทูลว่า ข้าพระพุทธเจ้าทั้งสองเป็นผู้น้อย นางมิได้ร้องไห้ แต่เป็นเพราะไอกลิ่นธูปซึ่งอบเครื่องทรงของพระองค์มาเข้าตานาง เพราะอบด้วยไฟ ทำให้นางแสบตานํ้าตาไหล เพราะในปราสาทนี้จะหุงต้มหรืออบสิ่งใด ก็อาศัยแสงแก้วมณีรัตนะทั้งสิ้น ไม่เคยอาศัยไฟเลย แต่ในปราสาทของพระองค์อาศัยแต่แสงไฟ

เศรษฐีกราบทูลต่อไปว่า นับแต่นี้เป็นต้นไป พระองค์จะได้ทรงอาศัย แสงแก้วเลิกอาศัยแสงไฟ ครั้นกราบทูลดังนี้แล้ว เศรษฐีจึงถวายแก้วดวงหนึ่ง โตเท่าแตงโมลูกใหญ่ มีค่าเหลือคณนา

ครั้นพระเจ้าพิมพิสารได้ทอดพระเนตรมหาสมบัติของโชติกมหาเศรษฐี ซึ่งมีมากมายเหลือที่จะประมาณแล้ว ทรงมีพระราชหฤทัยชื่นชมโสมนัสยิ่ง เสด็จออกจากปราสาทของเศรษฐีกลับสู่พระราชมนเทียรพร้อมด้วยข้าราชบริพาร

พระเจ้าอชาตศัตรูกราบบังคมทูลพระเจ้าพิมพิสารผู้เป็นพระราชบิดา ว่า สมบัติมากมายมหาศาลของเศรษฐีนั้น ไม่เหมาะสมกับเศรษฐีผู้อาศัยอยู่ในเมืองของเรานี้ เราควรจะไปชิงเอามาเป็นราชสมบัติทั้งหมด พระเจ้าพิมพิสารตรัสว่าลูกจะชวนพ่อไปชิงเอาสมบัติของโชติกเศรษฐีนั้น เป็นการไม่ชอบธรรม เพราะสมบัติเหล่านั้นไม่ได้เกิดขึ้นด้วยบุญบารมีของเราทั้งสอง หากแต่สมบัตินั้นเกิดขึ้นด้วยอำนาจบุญบารมีของโชติกเศรษฐี เพราะได้เคยทำบุญมาแต่ชาติปางก่อน ดังนั้นพระวิษณุกรรมจึงเนรมิตให้มิใช่ได้มาด้วยเหตุอื่น การที่เราจะชิงเอามาเป็นราชสมบัตินั้นไม่สมควร

เมื่อกาลเวลาล่วงมา พระเจ้าอชาตศัตรูได้ทรงคุ้นเคยกับพระเทวทัต นับถือเป็นครู พระเทวทัตได้เสี้ยมสอนยุยงให้พระเจ้าอชาตศัตรูชิงเอาราชสมบัติ และฆ่าพระราชบิดาเสีย พระเจ้าอชาตศัตรูครั้นได้ราชสมบัติแล้ว ทรงรำพึงในพระทัยว่า คราวนี้จะไปชิงเอาปราสาทแก้วของโชติกเศรษฐีมาเป็นของเราเสีย ทรงดำริดังนั้นแล้วจึงคุมกองทหารออกไปล้อมบ้านโชติกเศรษฐีไว้ วันนั้น เป็นวันพระ โชติกเศรษฐีรับประทานอาหารแล้วก็ไปยังพระเวฬุวันมหาวิหาร เพื่อรักษาศีล ๘ และฟังพระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้า

ฝ่ายพระเจ้าอชาตศัตรูไม่ทรงทราบว่าเศรษฐีไปฟังธรรม ทรงเข้าพระทัยว่าเศรษฐีอยู่ในปราสาท จึงนำรี้พลไปล้อมกำแพงแก้วชั้นนอกไว้ ฝ่าย ทหาร ช้างม้าแลเห็นเงาของตนเองบนกำแพงแก้ว เข้าใจว่ามีกองทหารมากมายอยู่ภายในจะยกออกมาสู้รบกับพวกตน ตกใจกลัวไม่กล้าที่จะเข้าไปข้างใน ช้าง เอางาแทงปักลงดิน ไม่ยอมเข้าไปในกำแพงแก้วนั้นเลย

พระเจ้าอชาตศัตรูทรงเห็นดังนั้นจึงเร่งขับรี้พลให้เคลื่อนเข้าไป ในทันใดนั้นพระยายักษ์ตนหนึ่ง ชื่อยมโกลิยักษ์ เป็นยามอยู่เฝ้ากำแพงชั้นนอก พร้อมด้วยบริวารยักษ์หนึ่งพันตนเห็นพระเจ้าอชาตศัตรูพาบริวารเข้าไป จึงร้องถามว่าท่านมาที่นี่ด้วยเหตุผลอันใด ยมโกลิยักษ์และบริวารถือตะบองเหล็ก ประหนึ่งว่าจะเข้าตี แล้วร้องตวาดขับไล่พระเจ้าอชาตศัตรูและบริวารแตกหนีกระจัดกระจายไป

พระเจ้าอชาตศัตรูตกพระทัยเสด็จหนีเข้าไปในพระเวฬุวันที่ประทับของพระพุทธเจ้า โชติกเศรษฐีเห็นแล้วลุกขึ้นจากอาสนะมาทูลถามพระเจ้าอชาตศัตรูว่า วันนี้เหตุใดพระองค์จึงรีบเสด็จโดยด่วน พระเจ้าอชาตศัตรูจึงตรัสว่า ท่านเศรษฐีได้ใช้บริวารของท่านต่อต้านรุกรบกับพวกเรา จนพวกเราพ่ายแพ้ แต่ตัวท่านกลับหนีมาก่อน แกล้งทำทีนั่งฟังธรรมทำเป็นไม่รู้เรื่อง เศรษฐีทูลว่า พระองค์ยกทัพมาชิงเอาปราสาทของข้าพระพุทธเจ้าหรือ พระเจ้าอชาตศัตรูตรัสตอบว่าถูกต้องแล้ว เราต้องการชิงเอาปราสาทแก้วของท่าน เศรษฐีทูลว่าสมบัติใดๆ ขอข้าพระพุทธเจ้า แม้จะเป็นเพียงเศษด้ายที่หูกทอผ้า ถ้าข้าพระพุทธเจ้าไม่ยกให้ ผู้นั้นก็ไม่สามารถเอาไปได้ พระเจ้าอชาตศัตรูตรัสว่า เศรษฐีเจรจาโอหังเสมือนหนึ่งว่าตนเป็นพระเจ้าแผ่นดิน เศรษฐีทูลว่าหามิได้ ข้าพระพุทธเจ้าไม่ได้ทำตนเป็นพระเจ้าแผ่นดิน แต่เชื่อในกุศลกรรมที่เคยกระทำไว้นั้น สมบัติถ้าข้าพระพุทธเจ้ามิได้ถวายให้ อย่าว่าแต่พระราชาพระองค์เดียวเลย แม้พระราชาผู้มีอำนาจเช่นท่านสักพันพระองค์ก็มิอาจจะยึดเอาสมบัติแห่งข้าพระพุทธเจ้านี้ได้ เพราะว่าข้าพระพุทธเจ้ามิได้ให้ แต่ว่าเมื่อใดข้าพระพุทธเจ้ายกให้ เมื่อนั้นจึงเอาไปได้ ถ้าพระองค์ไม่ทรงเชื่อบุญของข้าพระพุทธเจ้า ข้าพระพุทธเจ้าก็จะทำให้พระองค์เชื่อดังนี้ แหวนทั้ง ๒๐ วงในมือข้าพระพุทธเจ้า ทั้ง ๑๐ นิ้วนี้ เมื่อข้าพระพุทธเจ้ามิได้ถวายแก่พระองค์ พระองค์ก็ไม่สามารถที่จะถอดแหวนออกจากนิ้วของข้าพระพุทธเจ้าได้ ถ้าพระองค์ไม่ทรงเชื่อก็ขอให้พระองค์โปรดทดลองถอดเอาเถิด

เมื่อพระเจ้าอชาตศัตรูได้สดับคำที่โชติกเศรษฐีกราบทูลเช่นนั้น ทรงพิโรธยิ่งนัก อุปมาดังพญานาคราชถูกค้อนเหล็กตีขนดหาง ขณะที่กำลังประทับนั่ง ทรงกระโดดขึ้นสูง ๑๘ ศอก แล้วเสด็จลงมาประทับยืนที่พื้น แล้วทรงกระโดดขึ้นอีกหนึ่งครั้ง สูง ๗๐ ศอก ทรงมีพละกำลังมากยิ่งนัก แล้วทรงบิดองค์ไปทางขวาเพื่อทรงถอดเอาแหวนในมือโชติกเศรษฐี ทรงล้มลุกคลุกคลาน พระเสโทไหลย้อยทั่วพระวรกาย แม้กระทำเช่นนั้น แต่ก็ไม่อาจแย่งชิงเอาแหวนออกจากนิ้วเศรษฐีได้ จึงประทับนั่งลงตามเดิม

เศรษฐีเห็นดังนั้นจึงกราบทูลว่า แหวนของข้าพระพุทธเจ้าทั้ง ๒๐ วงนี้ ขอน้อมถวายแด่พระองค์ ขอเชิญพระองค์ทรงนำภูษามารองรับเถิด พระเจ้าอชาตศัตรูจึงทรงปูผ้าฉลองพระพักตร์ลงบนพื้น โชติกเศรษฐีจึงยื่นมือออกไปเหนือผ้านั้นต่อพระพักตร์พระเจ้าอชาตศัตรู ทันใดนั้นแหวนทั้ง ๒๐ วงก็หลุดจากนิ้วมือตกลงบนผ้านั้น

โชติกเศรษฐีจึงกราบทูลพระเจ้าอชาตศัตรูว่า สมบัติของข้าพระพุทธเจ้า นี้ ถ้าข้าพระพุทธเจ้ายังมิได้ทูลถวายพระองค์ก็จะไม่สามารถนำไปได้ แต่ถ้าได้ถวายแล้วพระองค์จึงจะได้นำสมบัติของข้าพระพุทธเจ้า ดังที่พระองค์ได้ทรงทอดพระเนตรเห็นแล้ว เมื่อโชติกเศรษฐีกราบทูลเช่นนั้นแล้วก็รู้สึกสังเวชใจ จึงกราบทูลพระเจ้าอชาตศัตรูว่า ข้าพระพุทธเจ้าขอกราบทูลอำลาบวชเพื่อถวายพระราชกุศลแด่พระองค์ ขอพระองค์ทรงอนุญาต พระเจ้าอชาตศัตรูได้สดับดังนั้นทรงพอพระราชหฤทัยอย่างยิ่งและทรงพระราชดำริว่า ปราสาทนั้นจะตกเป็นของเรา จึงตรัสบอกโชติกเศรษฐีว่า ถ้าเศรษฐีจะบวช เราก็อนุญาตขอเศรษฐีจงบวชเถิด

ดังนั้นโชติกเศรษฐีจึงโกนผมเข้าบวชในพระพุทธศาสนาแล้วบรรลุธรรมสำเร็จเป็นพระอรหันต์พร้อมด้วยปฏิสัมภิทา มีสมณฉายาว่า
พระโชติกเถระ เมื่อบวชแล้วสมบัติทั้งหลายก็อันตรธานหายไปหมดสิ้น เป็นต้นว่านางแก้ว ซึ่งมีนามว่านางอตุลกายเทวีผู้เป็นภรรยา เทวดานำกลับคืนไปสู่อุตตรกุรุทวีปดังเดิม ปราสาท ๗ ชั้น ทำด้วยแก้ว ๗ ประการ กำแพง ๗ ชั้น อันล้อมรอบปราสาทแก้วนั้น ต้นกัลปพฤกษ์อันเรียงรายไปรอบทั้ง ๗ ชั้น ขุมเงินขุมทอง ๔ มุมปราสาท หม้อข้าวแก้วมณี สมบัติมากมายซึ่งเกิดมาด้วยบุญโชติกเศรษฐี ก็จมลงไปในแผ่นดินหมดสิ้น

คณะทำงานโครงการวรรณกรรมอาเซียน