มณีรัตนะ

Socail Like & Share

เจ้าหน้าที่พระราชวังและพวกโหราจารย์ได้เข้าเฝ้าพระยามหาจักร พรรดิราชเจ้า แล้วกราบทูลว่า เครื่องประดับพระบุญญาบารมีของพระองค์ยังมีไม่ครบถ้วน ขอจงทรงดำริถึงดวงแก้วคู่พระบารมีของพระองค์ด้วยเถิด พระยามหาจักรพรรดิราชครั้นได้ทรงสดับดังนั้น จึงทรงบำเพ็ญพระราชกุศลด้วยการทรงบริจาคทาน ทรงสมาทานรักษาศีล ๘ ตลอด ๗ วัน ครั้นแล้วทรงดำริ ถึงแก้วรัตนะพระบุญญาบารมีที่ได้เคยทรงบำเพ็ญมา และทรงดำริถึงธรรมที่ทรงหยั่งรู้มาก่อน แล้วทรงดำริถึงแก้วมณีซึ่งเคยเป็นแก้วคู่พระบารมีของพระยามหาจักรพรรดิราชมาก่อน

มณีรัตนะเป็นแก้วดวงหนึ่ง ยาว ๔ ศอก โตเท่าดุมเกวียนขนาดใหญ่ หัวแก้วทั้งสองด้านมีดอกบัวทองติดอยู่ด้านละสองดอก มีสายแก้วมุกดามากมาย ติดในกลางแก้ว มุกและดอกบัวทองนั้นขาวงามสดใสยิ่งนักเหมือนอยู่ในกลีบดอกบัวทองนั้น แก้วดวงนี้เป็นพระยาแก้วแห่งแก้ว ๘๔,๐๐๐ ชนิด แก้วเหล่านั้นแต่ละชนิดมีขนาดไม่เท่ากัน บางชนิดมีขนาดเท่าลูกฟัก บางชนิดเท่าลูกตาล บางชนิดเท่าลูกมะตูม บางชนิดเท่าลูกมะนาว บางชนิดเท่าลูกมะม่วง บางชนิดเท่าลูกมะขามป้อม บางชนิดเท่าลูกมะกลํ่า บางชนิดกลม บางชนิดเป็น ๔ เหลี่ยม สุกใส แวววาวยิ่งและมีสีต่างกัน เช่น สีแดง สีขาว สีเขียว สีอ่อน สีแดงกํ่า สีหม่น สีด่าง สีเหลือง ดูเปล่งปลั่งรุ่งเรือง แก้วเหล่านี้มาเป็นบริวารพระยาแก้วดวงนั้น เหมือนพระยาหงส์ทองมัทราช มีหมู่หงส์ ๘๔,๐๐๐ ตัว มาห้อมล้อมเป็นบริวารฉะนั้น

พระยาแก้วดวงวิเศษ สถิตอยู่บนยอดภูเขาพิบูลบรรพต พร้อมด้วยแก้วบริวาร ๘๔,๐๐๐ ชนิดนั้น ด้วยอำนาจพระบุญญาบารมีของพระยามหาจักรพรรดิราชดลบันดาลให้แก้วดวงนั้นไม่สามารถสถิตบนยอดภูเขาตลอดไปได้ จึงเหาะมาพร้อมด้วยแก้วบริวารทั้ง ๘๔,๐๐๐ ดวง รุ่งเรืองสว่างไสวทั่วท้องฟ้าทีเดียว ว่ากันว่าแก้วเหล่านี้จะออกมาเปล่งรัศมีแข่งกับรัศมีพระจันทร์ก็ต่อเมื่อ มีพระยามหาจักรพรรดิราชเสด็จอุบัติขึ้นเท่านั้น ครั้นเมื่อพระยามหาจักรพรรดิราชสวรรคตแล้ว แก้วนั้นพร้อมด้วยบริวารจะคืนกลับไปสถิตอยู่บนยอดภูเขาพิบูลบรรพตนั้นตามเดิมเป็นเวลาช้านาน มิได้ออกมาเปล่งรัศมีแข่งกับรัศมีพระจันทร์นั้นอีกเลย รอไปจนกว่าผู้มีบุญญาธิการจะมาเกิดเป็นพระยาจักรพรรดิราชในอนาคตภายหน้าอีก และเมื่อพระยามหาจักรพรรดิราชพระองค์นั้นทรงดำริถึง แก้วดวงนั้นพร้อมด้วยบริวารจะเหาะไปหาพระองค์แล้วเปล่งรัศมีแข่งกับรัศมีพระจันทร์อีก รัศมีแก้วเหล่านั้นสุกใสแวววาว เหมือนรัศมีพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ

ในขณะที่พระยาแก้วเหาะมา จะมีแก้วบริวารห้อมล้อมมาทั้ง ๔ ด้าน คือ ด้านหน้า ด้านหลัง ด้านซ้ายและด้านขวา แล้วเข้าไปในปราสาทแห่งพระยามหาจักรพรรดิราช พร้อมด้วยบริวารเปล่งรัศมีรุ่งเรืองงดงามยิ่ง เหมือนดวงดาวเปล่งรัศมีห้อมล้อมพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ พระยาแก้วนั้นล่องลอยเข้าไปหา พระยามหาจักรพรรดิราชถึงที่ประทับ เมื่อพระองค์ได้ทอดพระเนตรเห็นดังนั้น ทรงมีพระประสงค์ใคร่จะทรงทดลองอิทธิฤทธิ์ความศักดิ์สิทธิ์ของพระยาแก้ว มณีรัตน์นั้น จึงทรงมีรับสั่งให้ทำไม้ลำหนึ่งยาว ๑๖ ศอก พอกฉาบด้วยทอง โปรดให้ตีตะเครียวทองใส่พระยาแก้วมณีนั้น ทรงให้เอาสายทองคำผูกแขวนไว้กับปลายไม้ แล้วทรงให้เจ้าพนักงานยกไม้นั้นถือนำหน้าไปก่อน จะปรากฏแสงสว่างรุ่งเรืองส่องให้เห็นหนทางทุกหนทุกแห่ง แม้ในที่มืดทั้ง ๔ ประการ ก็สว่าง ไสวไปทั่ว คือมืดเดือนดับกลางคืน มืดป่าทึบรกชัฏ มืดฟ้ามืดฝน และมืดเที่ยงคืนยามดึกสงัด ความมืดเหล่านี้ เมื่อต้องรัศมีพระยาแก้วมณีจะเกิดความสว่างไสว รุ่งเรืองให้มองเห็นทางไปทุกหนทุกแห่ง ไม่ว่าพระยามหาจักรพรรดิราชพร้อมด้วยข้าราชบริพารและรี้พลโยธา จะเสด็จไปทางใดทรงมองเห็นทางเสด็จสว่างไสวเหมือนกลางวันทีเดียว ผู้คนทั้งหลายเห็นดังนั้นต่างออกไปทำธุรกิจของตนๆ เช่น ชาวไร่ชาวนาก็ออกไปทำไร่ไถนา พวกพ่อค้าแม่ค้าก็ออกไปค้าขาย พวกช่างไม้ช่างถากก็ออกไปตัดไม้ถากไม้ เป็นต้น ทำการงานได้ทุกอย่างเช่นเดียวกับที่ทำในเวลากลางวันนั้นเอง

การที่คนทั้งหลายได้รู้จักอิทธิฤทธิ์ความศักดิ์สิทธิ์ของพระยาแก้วมณีนั้น ก็ด้วยเดชอำนาจพระบุญญาบารมีของพระยามหาจักรพรรดิราช บ้านเมือง เกิดความร่มเย็นเป็นสุขยิ่ง เหล่าอาณาประชาราษฎร์จะมีความเป็นอยู่อย่างสุขสำราญปานประหนึ่งเทพยดาในสวรรค์ซั้นฟ้าทีเดียว

คณะทำงานโครงการวรรณกรรมอาเซียน