เมื่อหญิงชายมีอายุมากพอสมควรที่จะมีคู่ครอง แยกเรือนออกไปประกอบอาชีพตามลำพังและฝ่ายชายได้ผ่านการบวชเรียนมาแล้ว ในสมัยโบราณบิดามารดาหรือผู้ปกครองจะต้องเป็นผู้เสาะแสวงหา คู่ครองที่เหมาะสมแก่วงศ์ตระกูลให้แก่บุตรธิดาของตน เพราะเชื่อว่าผู้ใหญ่เป็นผู้ที่มองเห็นการณ์ไกล คู่ครองที่ผู้ใหญ่เลือกให้แก่บุตรธิดานั้นจะต้องได้รับการพิจารณาอย่างรอบคอบและถี่ถ้วนดีแล้วว่าเหมาะสมดี อยู่ด้วยกันแล้วจะมีความสุขความเจริญ เป็นที่พึงพอใจและเป็นที่ยินยอมของวงศ์ตระกูลทั้งสองฝ่ายแล้ว ในปัจจุบันหญิงชายมีโอกาสพบปะกันมากขึ้น มีสิทธิเสรีภาพในการเลือกคู่ครองได้อย่างเสรี ดังนั้นบิดามารดาหรือผู้ปกครองจึงไม่ค่อยมีบทบาทในการเลือกคู่ครองให้แก่บุตรธิดาของตน เพียงแต่คอยให้คำแนะนำที่เหมาะสมเท่านั้น แต่ยังคงทำหน้าที่เป็นผู้ใหญ่หรือเชิญผู้ใหญ่ไปสู่ขอคู่ครองให้บุตรตนอยู่เหมือนสมัยโบราณ
ประเพณีการสู่ขอในสมัยโบราณนั้น เมื่อบิดามารดาหรือผู้ปกครองของฝ่ายชายเห็นว่าบุตรีของบ้านใดตระกูลใดเหมาะที่จะเลือกให้เป็นคู่ครองแก่บุตรของตน ก็หาผู้ที่มีบรรดาศักดิ์ หรือผู้ที่มีอายุให้เป็นเถ้าแก่ไปพูดจาทาบทามต่อบิดามารดาหรือผู้ปกครองของฝ่ายหญิง ซึ่งทางฝ่ายหญิงมักจะขอวันเดือนปีเกิดของฝ่ายชายไว้ เพื่อให้โหรตรวจดูโชคชะตาราศีก่อนว่าจะถูกกันกับบุตรสาวหรือหลานสาวของตนได้หรือไม่ ซึ่งการทำเช่นนี้เป็นอุบายที่ดีเพราะถ้าฝ่ายหญิงรังเกียจในตัวฝ่ายชายจะได้นำเป็นข้ออ้างได้ว่าชะตาไม่ต้องกันอยู่ด้วยกันไม่ได้ ทำให้ไม่ต้องยกบุตรสาว หรือหลานสาวให้แก่คนที่ตนรังเกียจ แต่ถ้าในกรณีที่ผู้ใหญ่ฝ่ายหญิงพึงพอใจในตัวของฝ่ายชายก็จะนัดวันมาฟังว่าจะตกลงเรื่องสินสอดทองหมั้น และอื่นๆ เมื่อตกลงกันเรียบร้อยแล้วจึงนัดวันหมั้นต่อไป ในสมัยต่อมาสตรีได้รับสิทธิเสรีภาพในการเลือกคู่ครอง ดังนั้นเมื่อฝ่ายชายมาสู่ขอ พ่อแม่มักจะถามความสมัครใจของบุตรหลานตนเสียก่อนจึงให้คำตอบฝ่ายชาย เมือฝ่ายชายได้รับคำตอบตกลงยินยอมแล้ว จึงให้เถ้าแก่ทั้งสองฝ่ายพูดจาตกลงกำหนดทุนสินสอดทองหมั้นตามสมควรแก่ตระกูลแล้วจึงกำหนดฤกษ์ และวันมาหมั้นต่อไป
วันหมั้น บิดามารดาฝ่ายชายจะให้เถ้าแก่นำขันหมากหมั้นไปให้แก่บิดามารดาฝ่ายหญิง ซึ่งทางฝ่ายหญิงก็จัดหาเถ้าแก่ไว้คอยรับขันหมากหมั้นเช่นกัน ขันหมากหมั้นจะประกอบด้วยขันใส่หมากทั้งผล กับพลูในขันหนึ่ง และอีกขันหนึ่งจะเป็นขันทองหมั้นตามนํ้าหนักที่ตกลงกันไว้ พร้อมทั้งขนมนมเนยตามสมควร ขันหมากหมั้นนี้ในกรณีที่บิดามารดาหรือผู้ปกครองของทั้งสองฝ่ายชอบพอกันก็อาจไม่ต้องมีก็ได้ และในกรณีที่มีเหตุการณ์ทำให้ไม่สามารถแต่งงานกันได้ เช่นฝ่ายชายผิดสัญญาไปแต่งงานกับหญิงอื่น ฝ่ายชายจะต้องยกของหมั้นนั้นให้ฝ่ายหญิง และถ้าฝ่ายหญิงผิดสัญญา ก็ต้องคืนขันหมากและของหมั้นให้ฝ่ายชายไป
หลังจากประกอบการหมั้นแล้ว บิดามารดาของทั้งสองฝ่ายจะกำหนดวันเดือนที่จะทำการแต่งงานต่อไป ในสมัยโบราณ ฝ่ายชายจะต้องมาจัดปลูกเรือนหอในที่ของฝ่ายหญิงให้เสร็จเรียบร้อยก่อนวันแต่งงาน การปลูกเรือนหอฝ่ายชายจะต้องปรุงตัวไม้มาก่อนให้เรียบร้อย แล้วนำมาปลูกให้เสร็จในวันที่ได้ฤกษ์ดี ทางฝ่ายหญิงจะต้องเลี้ยงดูผู้ที่มาช่วยปลูกเรือนหอด้วย หรือจะช่วยออกเงินบ้างตามแต่จะตกลงกัน
พิธีแต่งงาน
เมื่อปลูกเรือนหอเสร็จแล้ว ก่อนถึงวันฤกษ์แต่งงานหรือที่เรียกว่าวันสุกดิบ บิดามารดาฝ่ายเจ้าบ่าวจะนำผ้าไหว้ และขันหมากไปยังบ้านเจ้าสาว ขันหมากที่ฝ่ายชายนำไปนั้นมี ๒ อย่างคือขันหมากเอก ซึ่งประกอบด้วยขันใส่ข้าวสาร หมากทั้งลูก พลูจีบจัดเรียงรอบปากขัน มีฉัตรระย้าปักเป็นยอด ตั้งขันไปบนพานแว่นฟ้า มีเตียบสำหรับใส่หมูต้ม หมากพลู ห่อหมก ขนมจีน มีฝาปิด แล้วหุ้มด้วยผ้าแพร ผ้าลาย ผ้าเกี้ยว หรือผ้าไหม จะใช้เตียบกี่คู่แล้วแต่จะตกลงกัน นอกจากนี้ยังมีต้นกล้วย ต้นอ้อย มะพร้าวอ่อน พานใส่เหล้า และถั่วงาอีกด้วย ส่วนอีกอย่างหนึ่งคือขันหมากโทหรือขันหมากเลว มีขนม ส้ม กล้วย ผลไม้ จะมีมากน้อยตามแต่จะตกลงกัน แต่ต้องเป็นจำนวนคู่เสมอ
ในตอนเย็นของวันสุกดิบจะมีการนิมนต์พระสงฆ์มาสวดมนต์ที่เรือนหอ เจ้าบ่าวแต่งตัวเต็มยศไปกับเพื่อนเจ้าบ่าว เพื่อฟังพระสวดมนต์ พระสงฆ์ที่นิมนต์มาสวดนี้ส่วนมากนิมนต์มาเป็นจำนวนคู่ คือ ๘ รูปบ้าง ๑๐ รูปบ้าง โดยฝ่ายเจ้าบ่าวนิมนต์มาครึ่งหนึ่ง เจ้าสาวนิมนต์อีกครึ่งหนึ่งเมื่อพระสวดจบแล้ว บิดามารดาฝ่ายเจ้าสาวจึงนำเจ้าสาวออกมาให้นั่งใกล้ๆ กับเจ้าบ่าวโดยมีเถ้าแก่ฝ่ายหญิงนั่งคั่นกลาง ประธานสงฆ์ที่มาสวดมนต์สวมมงคลแฝดให้เจ้าบ่าวเจ้าสาว แล้วเพื่อนเจ้าบ่าวนั่งเรียงต่อจากเจ้าบ่าวฝ่ายหนึ่ง เพื่อนเจ้าสาวก็นั่งเรียงต่อจากเจ้าสาวอีกฝ่ายหนึ่ง พระสงฆ์สวดชยันโตพร้อมกัน แล้วประธานสงฆ์ในที่นั้นก็ซัดนํ้าพระพุทธมนต์ให้เปียกทั่วกันทั้งพวกเจ้าบ่าวเจ้าสาว บรรดาเพื่อนเจ้าบ่าวเจ้าสาว ก็เบียดให้เจ้าบ่าวเจ้าสาวเข้าไปใกล้ชิดกันจนบางครั้งเถ้าแก่ที่นั่งอยู่ตรงกลางต้องถอยออกมา เจ้าบ่าว \ เจ้าสาวเข้าไปนั่งชิดกันจึงเสร็จพิธีรดนํ้า คืนนั้นเจ้าบ่าวจะต้องนอนเฝ้าหอหนึ่งคืน
ในวันรุ่งขึ้นซึ่งเป็นวันฤกษ์แต่งงาน เวลาเช้าบ่าวสาวตักบาตรพระสงฆ์ที่มาสวดมนต์ร่วมขันเดียวกัน ตักด้วยทัพพีเดียวกัน หลังจากพระสงฆ์ฉันเสร็จแล้ว บ่าวสาวถวายเครื่องไทยทาน และจตุปัจจัยเสร็จแล้ว บิดามารดาฝ่ายเจ้าสาวจึงให้จัดของคาวสำรับหนึ่ง ของหวานสำรับหนึ่งไปให้บิดามารดาฝ่ายเจ้าบ่าว เหมือนเป็นสัญญาณว่าเมื่อพระสงฆ์ฉันเสร็จแล้วให้ยกขบวนขันหมากไปยังบ้านเจ้าสาวได้
การแห่ขันหมากทางฝ่ายเจ้าบ่าวจะต้องเลือกสรรชายหญิงที่มี่รูปร่างหมดจด แต่งตัวตามตระกูล ยกทุนสินสอด (ใส่พาน) พานผ้าไหว้ ขันหมาก โดยจัดขบวนขันหมากดังนี้คือ มีฆ้องนำขันหมากหรือบางที่ก็มีเครื่องมโหรี หรือเครื่องดีดสีตีเป่าไปด้วย บางทีไปเงียบๆ ก็มี ต่อไปก็เป็นพานสินสอด ผ้าไหว้ ขันหมากเอกซึ่งทางฝ่ายเจ้าบ่าวจะต้องหาหญิงรุ่นสาวหน้าตาหมดจดสวยงาม แต่งตัวสมตระกูลยกไป ต่อจากขันหมากเอกจะเป็นเตียบซึ่งเจ้าภาพจะต้องจัดหญิงที่มีตระกูลมีสามีแล้วยกไปเป็นคู่ ๆ กัน ต่อจากเตียบเป็นพานผ้าไหว้ แล้วถึงเป็นขันหมากเลวซึ่งผู้ยกเป็นชาย เมื่อถึงบ้านฝ่ายเจ้าสาวทางบ้านเจ้าสาวจะตีฆ้องต้อนรับแล้วจัดผู้ใหญ่ให้นำเด็กแต่งตัวถือขันพานรองมีหมากพลูลงไปรับ เชิญขันหมากขึ้นบนเรือนหอ เถ้าแก่ฝ่ายเจ้าสาวออกมารับขันหมาก เชิญสามีภรรยาผู้มีตระกูลแต่งตัวเต็มยศ สตรีนุ่งจีบห่มผ้า ห่มนอน คลุมทั้ง ๒ บ่ามารับเปิดเตียบเป็นคู่ๆ เสร็จแล้วเถ้าแก่ฝ่ายหญิงยกเตียบกับขันใส่เหล้า มะพร้าวอ่อนและพานผ้าไหว้ผีเข้าไปไว้ในเรือน บิดามารดาฝ่ายหญิงเซ่นบอกผีปู่ย่าตายายตามประเพณีแล้ว เถ้า
แก่ฝ่ายชายเรียกทุนสินสอดจากฝ่ายหญิงมากองทุนกันตรวจนับ แล้วผู้ใหญ่จะให้เงินเถาบ้าง เงินสลึงบ้าง เฟื้องบ้าง ให้เป็นเศษเพิ่มขึ้นเพื่อเป็นเคล็ดให้ทุนทรัพย์นั้นงอกงามมีความเจริญมั่งคั่งสืบต่อไป เถ้าแก่ฝ่ายหญิงจึงนำเงินนั้นมารวมเคล้าด้วยถั่ว งา แป้ง และนํ้ามันหอมแล้วกอบให้บิดามารดาฝ่ายหญิงไว้เมื่อเคล้าเงินทุนเสร็จแล้ว ฝ่ายเจ้าสาวจะจัดสำรับสำหรับเลี้ยงเถ้าแก่ และผู้ที่ยกสินสอดผ้าไหว้ แล้วจัดสิ่งของต่างๆ เช่น เงิน ให้แก่ผู้ยกขันหมากเอก พานผ้าไหว้ ขันสินสอดและเถ้าแก่ตามสมควร โดยเฉพาะผู้ที่ยกขันสินสอดจะต้องให้เงินชั่งหนึ่งเป็นธรรมเนียม เถ้าแก่ฝ่ายเจ้าสาวจะจัดแบ่งขนมขันหมากออกเป็น ๒ ส่วน มอบให้ฝ่ายเจ้าบ่าวนำกลับไปส่วนหนึ่งเป็นอันเสร็จพิธีตอนเช้า
เวลาบ่าย เจ้าบ่าวกับเพื่อนก็จะกลับมายังบ้านเจ้าสาวอีกครั้งหนึ่ง เมื่อถึงบ้านเจ้าสาว บิดามารดาของเจ้าสาวจะให้ผู้ใหญ่พาเด็กแต่งตัวถือพานหมากเชิญเจ้าบ่าว ซึ่งเจ้าบ่าวจะต้องบำเหน็จให้แก่เด็กที่มาเชิญตามสมควร เช่น ๔ บาทบ้าง ๘ บาทบ้าง แล้วผู้ใหญ่ก็พาเด็กกลับขึ้นบ้านไป เจ้าบ่าวกับพวกตามขึ้นไปทีหลัง พวกเจ้าสาวจะถือผ้าแพรบ้าง สร้อย หรือเข็มขัดนากบ้าง เงินบ้าง ทองบ้าง คอยกั้นเป็นระยะๆ ไป ฝ่ายเจ้าบ่าวจะต้องถามว่าประตูอะไร ฝ่ายเจ้าสาวจะต้องว่าประตูเงิน ประตูทองตามลำดับ ฝ่ายเจ้าบ่าวจะต้องเสียเงินให้แก่ฝ่ายเจ้าสาวที่มากั้นประตูตามประเพณี เสร็จแล้วฝ่ายเจ้าสาวยกพานหมาก และนํ้าชา มาเลี้ยงพวกเจ้าบ่าว เวลาเย็นพระสงฆ์สวดพระพุทธมนต์ เจ้าบ่าวจะต้องนั่งฟังคนเดียว เมื่อพระสวดมนต์จบแล้วพักรออยู่ก่อน เถ้าแก่ฝ่ายเจ้าสาวพาเจ้าสาวออกมานั่งซ้ายมือของเจ้าบ่าวในม่านกั้นที่ทำเป็นที่สำหรับรดนํ้า แล้วผู้ที่มีบรรดาศักดิ์หรือผู้ที่บิดามารดาฝ่ายเจ้าบ่าวเจ้าสาวเชิญมาเป็นประธานในพิธีสวมมงคลแฝดให้แก่บ่าวสาว แล้วท่านผู้มีบรรดาศักดิ์ บิดามารดาและญาติผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่าย รดนํ้าพระพุทธมนต์แก่คู่บ่าวสาวด้วยสังข์ เรียกว่ารดนํ้าสังข์ ให้ศีลให้พร พระสงฆ์สวดชยันโตอีก ครั้งหนึ่ง บางครั้งเมื่อพระสงฆ์สวดมนต์เสร็จแล้วก็กลับเลยไม่อยู่จนถึงพิธีรดนํ้า เมื่อรดนํ้าเสร็จแล้ว เจ้าบ่าวจะต้องออกมาผลัดผ้านุ่งตามประเพณีเดิม เจ้าบ่าวจะต้องขอดเงินไว้กับชายผ้านุ่งตามสมควร เด็กฝ่ายเจ้าสาวต้องมารับไปซักตากเก็บไว้ ถ้าหากเจ้าบ่าวไม่ขอดเงินไว้ที่ชายพกผ้านั้นเด็กก็ไม่ต้องคืนให้เจ้าบ่าว แล้วจึงเลี้ยงดูแขกตามสมควร เมื่อแขกกลับไปแล้ว บิดามารดาเจ้าสาวเชิญเจ้าบ่าวเข้าไปในเรือน เอาผ้าขาว ๔ ศอกปูลงกลางเรือน ยกเตียบกับขวดเหล้า มะพร้าวอ่อน ผ้าไหว้ผีวางบนผ้าขาว เจ้าบ่าวจุดเทียนแฝดคู่ ๑ ธูปคู่ ๑ แล้วเถ้าแก่นำเจ้าสาวมาไหว้ผีปู่ย่าตายายพร้อมกับเจ้าบ่าวโดยให้เจ้าบ่าวยกมือขวาขึ้นมือหนึ่ง เจ้าสาวยกมือซ้ายขึ้นประนมประสานกับมือขวาของเจ้าบ่าว กราบลงพร้อมกัน ๓ ครั้ง เสร็จแล้วคู่บ่าวสาวจึงออกไปนำผ้าไปไหว้ญาติผู้ใหญ่ตามลำดับ โดยญาติผู้ใหญ่และบิดามารดาเจ้าบ่าวเจ้าสาวจะให้ศีลให้พรและเงินทองแก่บ่าวสาวตามสมควร
พิธีปูที่นอนและพิธีเรียงหมอน
เมื่อได้ฤกษ์ดีเถ้าแก่ฝ่ายเจ้าสาวก็จะจัดแจงที่นอนหมอนมุ้งที่เตรียมไว้ เชิญผู้ใหญ่ที่มีตระกูลทั้งสามีภรรยาซึ่งแต่งงานอยู่กินมายืนยาวและมีความเจริญรุ่งเรืองในชีวิตสมรส ชำระกายให้สะอาดแล้วเข้าไปปูที่นอน โดยเอาฟักเขียวผลหนึ่ง หม้อใหม่ใส่นํ้าหม้อหนึ่ง พานถั่วงาที่เหลือจากเคล้าเงินสินสอดและหินบดยา นำไปวางไว้ข้างที่นอน ซึ่งเป็นการอวยพรว่า ขอให้คู่บ่าวสาวมีนํ้าใจใสสะอาด อยู่เย็นเป็นสุข เหมือนฟักและนํ้า ให้มีใจหนักแน่นเหมือนศิลา และมีความเจริญงอกงามเหมือนถั่วงา แล้วเถ้าแก่วางหมอนหนุนศีรษะเรียงกันให้หญิงนอนซ้าย ชายนอนขวา ผู้ใหญ่ที่เป็นผู้ปูที่นอนจะนอนก่อนเป็นสังเขปแล้ว ให้ศีลให้พรตามสมควร
พิธีส่งตัว
พิธีส่งตัวเจ้าสาวให้แก่เจ้าบ่าวในเรือนหอนั้นต้องหาฤกษ์ยามอีกทีหนึ่ง บางครั้งอาจทำในคืนวันแต่งงานเลยก็ได้ เริ่มทำพิธีโดยมารดาของเจ้าสาวนำเจ้าสาวมาส่งให้แก่เจ้าบ่าวที่เรือนหอ แล้วแนะนำสั่งสอนให้เจ้าสาวเคารพนบนอบและยำเกรงเจ้าบ่าว เถ้าแก่ให้เจ้าสาวกราบเจ้าบ่าวแล้วพาคลานเลยเข้าไป ในม่าน เจ้าบ่าวทำความเคารพเถ้าแก่ แล้วเถ้าแก่จึงให้เจ้าบ่าวยื่นมือเข้าไปในม่าน ให้เจ้าสาวยื่นมือมาจับ เกี่ยวกันไว้ เป็นการแสดงว่าได้ยกทั้งสองให้เป็นสิทธิ์ขาดแก่กัน เสร็จแล้วเถ้าแก่สอนให้เจ้าสาวกราบหมอนเจ้าบ่าว แล้วให้นอนลงที่ด้านของเจ้าสาวก่อน เพื่อเป็นเคล็ดให้เจ้าบ่าวมีความยำเกรงเจ้าสาวและสอนให้เจ้าสาวกราบเท้าเจ้าบ่าวก่อนนอนทุกคืน เพื่อเป็นศรีและเป็นความเจริญต่อเจ้าสาวเอง เมื่อสอนเจ้าสาวเสร็จแล้วก็ไปสอนเจ้าบ่าวที่นั่งอยู่นอกม่านโดยฝากฝังเจ้าสาวไว้แก่เจ้าบ่าว เป็นอันเสร็จพิธี
การแต่งงานในสมัยปัจจุบัน
ปัจจุบันประเพณีการแต่งงานได้จัดรวบรัดให้เสร็จสิ้นในวันเดียวตามแต่สะดวกของแต่ละคน บิดามารดาหรือผู้ปกครองของทั้งสองฝ่ายได้ให้อิสระเสรีแก่บุตรหลานของตนอย่างเต็มที่ ดังนั้นหญิงชายที่จะแต่งงานกันจึงมีโอกาสศึกษาอุปนิสัยใจคอกันพอสมควรก่อนที่จะตัดสินใจ เมื่อหญิงชายคู่ใดตกลงใจที่จะแต่งงานกันแล้ว ฝ่ายชายจะบอกแก่ผู้ปกครองของตนเพื่อให้ไปสู่ขอต่อบิดามารดาหรือผู้ปกครองของหญิงคนรัก เมื่อตกลงกันแล้วก็จะกำหนดวันหมั้นหมายและหาฤกษ์แต่งงานต่อไป
พิธีหมั้น
พิธีหมั้นในปัจจุบันไม่นิยมการหมั้นด้วยทองเหมือนสมัยโบราณ แต่นิยมหมั้นด้วยแหวนเพชรตามแต่จะตกลงกันตามฐานะว่าต้องการเพชรหนักสักเท่าไร หรือตามแต่ฝ่ายชายจะหาให้ ฤกษ์หมั้นและฤกษ์ แต่งงานบางรายทำในวันเดียวกัน คือหมั้นตอนเช้าและแต่งงานในตอนบ่าย การหมั้นในปัจจุบันไม่ต้องมีขันหมากหมั้นแต่บางรายที่ยังถือตามประเพณีโบราณอยู่ก็จัดขันหมากหมั้นตามสมควรไม่เต็มที่เหมือน ในสมัยโบราณ โดยมีขันหมากขันหนึ่ง และพานใส่แหวนหมั้นพานหนึ่งเท่านั้น เมื่อได้ฤกษ์หมั้นเถ้าแก่ หรือบิดามารดาฝ่ายหญิงจะนำหญิงที่จะรับหมั้นเข้าไปยังห้องพิธีแล้วบิดามารดาหรือเถ้าแก่ฝ่ายชายจะหยิบแหวนจากพานแหวนหมั้นส่งให้ฝ่ายชายสวมลงบนนิ้วนางข้างซ้ายของฝ่ายหญิง เป็นอันเสร็จพิธี และหญิงที่รับหมั้นแล้วจะต้องสวมแหวนนี้ไว้เสมอ
พิธีแต่งงาน
เมื่อถึงกำหนดฤกษ์ดีเป็นวันแต่งงาน ฝ่ายชายจะพากันไปยังบ้านของเจ้าสาวในตอนเช้า เพื่อฟังพระเจริญพระพุทธมนต์และตักบาตรร่วมกับฝ่ายเจ้าสาว ซึ่งคล้ายคลึงกับประเพณีโบราณ เพียงแต่เจ้าสาวต้องออกมาฟังพระสวดมนต์พร้อมกับเจ้าบ่าวเท่านั้น และเมื่อพระสวดมนต์เสร็จแล้ว บ่าวสาวถวายอาหารแด่พระสงฆ์ เสร็จแล้วประธานสงฆ์ในที่นั้น ประพรมน้ำพระพุทธมนต์และอวยพรแก่คู่บ่าวสาว เป็นอันเสร็จพิธีสงฆ์ในตอนเช้า ต่อจากนั้นถ้ามีการยกขันหมากฝ่ายเจ้าบ่าวก็จะกลับไปยกขันหมากมายังบ้านของเจ้าสาว แต่จัดขันหมากไม่เต็มที่อย่างโบราณโดยจะมีเฉพาะขันหมากเอก ผ้าไหว้เท่านั้น ส่วนขันหมากเลวมักไม่มีหรือมีบ้างพอสังเขป เมื่อไปถึงบ้านเจ้าสาวแล้ว ผู้ใหญ่นำเด็กแต่งตัวถือพานหมาก มาเชิญเจ้าบ่าวเข้าบ้าน และต้องผ่านการกั้นประตูต่างๆ ตามอย่างโบราณ เถ้าแก่ฝ่ายเจ้าสาวตรวจสินสอด และทำพิธีเคล้าเงินทุนแล้ว จึงให้บ่าวสาวทำพิธีไหว้ผีปู่ย่าตายาย แล้วญาติผู้ใหญ่รดน้ำและคู่บ่าวสาวไหว้ญาติผู้ใหญ่เป็นเสร็จพิธีนับว่าเป็นพิธีภายในครอบครัว
แต่ในปัจจุบันมีแปลกออกไปอีกคือบ่าวสาวจะต้องมีฤกษ์รดนํ้าในตอนบ่ายอีกเพื่อให้ญาติและผู้ที่เคารพนับถือมารดนํ้าอวยพรอีกด้วย เสร็จแล้วจึงเป็นการเลี้ยงอาหารแก่ญาติมิตรและผู้มีเกียรติที่มาร่วมงาน
พิธีส่งตัว
เมื่อเลี้ยงอาหารแก่แขกผู้มีเกียรติที่มาร่วมงานแล้ว เมื่อถึงฤกษ์ส่งตัวเจ้าบ่าวเจ้าสาวจะต้องกลับไปทำพิธีส่งตัวที่เรือนหอ ส่วนมากในปัจจุบันไม่มีการสร้างเรือนหอแต่จะอยู่บ้านฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไปก่อน โดยปกติมักจะเป็นบ้านฝ่ายเจ้าสาว ในพิธีส่งตัวก็มีการปูที่นอนโดยเชิญผู้มีตระกูลที่อยู่กินกันมายืนยาวมาเป็นผู้ปูที่นอนและนอนเอาฤกษ์เอาชัย แล้วทำพิธีเรียงหมอนตามแบบโบราณ แต่ในพิธีนี้ไม่มีหม้อน้ำ หินบดยาและฟักฺ จะมีก็แต่ถั่วงา และดอกไม้เท่านั้น (แต่บางคู่ก็ไม่มีเลยแม้แต่อย่างเดียว) เสร็จแล้วเถ้าแก่ฝ่ายเจ้าสาวสอนวิธีครองเรือนให้แก่คู่บ่าวสาวเป็นอันเสร็จพิธีส่งตัวเพียงเท่านั้น
พิธีสมรสหมู่
เมื่อกล่าวถึงประเพณีการแต่งงานแล้ว สิ่งที่จะเว้นเสียมิได้คือเรื่องพิธีสมรสหมู่ซึ่งเริ่มมีมาตั้ง แต่สมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะช่วยคู่สมรสแบ่งเบาในภาระด้านการเงินในทางที่ถูกที่ควร
การสมรสหมู่เริ่มขึ้นเป็นครั้งแรก เมื่อ พ.ศ.๒๔๘๕ ที่ทำเนียบสามัคคีชัย หรือทำเนียบรัฐบาลในปัจจุบัน ต่อมาคุณหญิงสุนาวินวิวัฒน์ นายกสโมสรวัฒนธรรมหญิง ได้จัดขึ้นอีกเมื่อวันที่ ๒๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๐๖ มีคู่สมรสเข้าทำการสมรส ๖ คู่ โดยมีจอมพลเรือ หลวงยุทธศาสตร์โกศล เป็นประธาน สวมมงคล และพลเรือโท หลวงสุนาวินวิวัฒน์ เป็นประธานถอดมงคล
การสมรสหมู่นี้ได้จัดติดต่อกันมาโดยมีสโมสรวัฒนธรรมหญิงเป็นผู้ดำเนินการจนถึงปัจจุบัน โดยมีวัตถุประสงค์ดังนี้
๑. เพื่อรักษาไว้ซึ่งประเพณีและวัฒนธรรมไทย
๒. เพื่อให้คู่สมรสเป็นที่ถูกต้องตามกฎหมายและประเพณีนิยม
๓. เพื่อสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลเรื่องการประหยัดในทางที่ถูกที่ควร
๔. เพื่อให้หนุ่มสาวที่บรรลุนิติภาวะแล้วแต่ไม่สามารถครองเรือนได้ตามประเพณีนิยมสมรักตามประเพณี
ผู้ประสงค์จะเข้าร่วมในพิธีสมรสหมู่ต้องยื่นความจำนงและปฏิบัติตามระเบียบของสโมสรวัฒนธรรมหญิง ซึ่งจะประกาศรับสมัครในราวเดือนพฤษภาคมของทุกปี
ก่อนวันทำพิธีสมรส จะมีการอบรมคู่บ่าวสาวก่อน เช่น อบรมให้รู้จักปฏิบัติหน้าที่แม่บ้านการอนามัยและการครองเรือน เป็นต้น ในวันนี้ทางคณะกรรมการได้แจกบัตรเชิญให้คู่บ่าวสาวไปเชิญแขกของตนเองอีกด้วย
การแต่งกาย เจ้าบ่าวแต่งชุดสากล หรือเครื่องแบบ เจ้าสาวแต่งชุดไทยเรือนต้น
พิธีสมรส ก่อนเวลาประธานในพิธีมาถึง เจ้าหน้าที่จะเรียกคู่บ่าวสาวเข้าไปนั่งประจำที่โดยจัดไว้เป็นคู่ๆ เมื่อประธานในพิธีมาถึงแล้ว พิธีกรจะนำคู่บ่าวสาวกราบพระที่โต๊ะบูชาทีละคู่จนหมด ประธานในพิธีรดน้ำ ให้โอวาทแก่คู่บ่าวสาว หลังจากนั้น เชิญญาติและแขกของคู่บ่าวสาวแต่ละคู่รดนํ้าต่อไปจนหมดทุกคู่ เสร็จพิธีแล้ว คู่บ่าวสาวรับเงินก้นถุงจากประธานในพิธี เสร็จแล้วเลี้ยงนํ้าชาคู่สมรสและแขกที่มาร่วมงานเป็นเสร็จพิธี
ประเพณีการแต่งงานไม่ว่าจะเป็นประเพณีการแต่งงานที่จัดในรูปใด แบบใดหรือของชาติใดก็ตาม แสดงให้เห็นความมีวัฒนธรรมอันดีงามของชาติมาแต่โบราณ โดยเฉพาะประเพณีไทยได้แสดงถึงวัฒนธรรมและความเป็นเอกลักษณ์ของไทยแต่โบราณให้ประจักษ์ชัด และนับว่าเป็นนิมิตอันดีที่เราได้มีการฟื้นฟูประเพณีโบราณขึ้นมา และได้ย่นย่อตัดสิ่งที่ไม่จำเป็นออกไปเสียบ้างให้เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจและสังคมปัจจุบัน พิธีการส่วนใหญ่ดำเนินตามแบบแผนโบราณเพื่อจะได้ยึดถือปฏิบัติสืบต่อไป
ที่มา:กรมศิลปากร