Monthly Archives: April 2011
บทประพันธ์:เพลงน้ำมาก
เพลงน้ำมาก
ฮา..เอ้อ..น้ำมาก เหอ ท่วมรากสาคู
ฉีกช่องจ้องมองดู เห็นปลายลำพูเมืองไกลลาศ
เกิดเจ้าทั้งหกและช้างม้า เกิดนางโนราผู้เป็นน้อง
เกิดภูเขาเงินภูเขาทอง ลอยล่องอยู่สี่มุมปราสาท
ให้ลูกครองเมืองไกลลาศ พลาดแม่ไปเมืองไกล..เอ้อ..เหอ
บทประพันธ์:เพลงโนรา
เพลงโนรา
ฮา..เอ้อ..นางโนรา เหอ นางโนรานารี
อาบน้ำในสระศรี ทั้งเจ็ดคนพี่น้อง
นายพรานจ้องแลเห็น ใช้นาคบาศลงคล้อง
ทั้งเจ็ดคนพี่น้อง คล้องได้แต่นางโนรา
โหมพี่ทั้งหกคน ขึ้นร่อนอยู่บนเวหา
คล้องได้แต่นางโนรา พรานป่าหมันพา เอ้อ..เหอ..ไป
โหม = หมู่,พวก นางโนรา = นางมโนห์ราในเรื่องพระศรีสุธน
แม่น้ำโพ อยู่ที่ไหน
แม่น้ำในเมืองไทยนั้นก็มักจะมีชื่อเรียกต่างๆกันตามท้องถิ่น ทั้งๆที่เป็นสายเดียวกัน ตัวอย่างที่ยังมีให้เห็นในปัจจุบัน เช่น แม่น้ำท่าจีน บางแห่งเรียก แม่น้ำนครชัยศรี บางแห่งเรียกแม่น้ำสุพรรณฯ บางแห่งเรียกคลองมะขามเฒ่า เป็นต้น
ดังนั้นที่แม่น้ำสายหนึ่งเรียกกันที่เชียงใหม่ว่าแม่น้ำปิง พอเลยมาเมืองตากลงมาเรียกแม่น้ำโพ ก็ไม่แปลกประหลาดอะไร พอไหลมาออกแม่น้ำเจ้าพระยา ก็เรียกตรงนั้นว่า ปากน้ำโพ ก็ยิ่งไม่แปลกอะไร ไม่ใช่หรือ
คำอธิบายเรื่องนี้มีมานานแล้ว อย่างน้อยก็ตั้งแต่ปี 2504 (ดูคำนำพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา เล่ม 1 องค์การค้าคุรุสภาจัดพิมพ์ พ.ศ. 2504 หน้า ค.)
หลักฐานที่ว่าแม่น้ำปิงช่วงจังหวัดตากถึงนครสวรรค์เคยเรียกว่าแม่น้ำโพนั้นมีเอกสารยืนยัน คือพระราชพงศาวดารสังเขป ฉบับกรมพระปรมานุชิโนรส ดังความตอนหนึ่งว่า “กวาดครอบครัวอพยพชาวเมืองเชียงรายหนีข้าศึกมายังแว่นแคว้นสยามประเทศนี้ ข้ามแม่น้ำโพ มาถึงเมืองแปป เป็นเมืองร้างอยู่คนละฟากฝั่งกับเมืองกำแพงเพชร” (ระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา เล่ม 2 องค์การค้าคุรุสภาจัดพิมพ์ พ.ศ. 2504 หน้า 281) แสดงว่าแม่น้ำหน้าเมืองกำแพงเพชรชื่อ แม่น้ำโพ (ปัจจุบันเรียกแม่น้ำปิง)
แผนที่ประเทศไทยในปัจจุบัน รวมไปถึงตำราภูมิศาสตร์ได้ทำแม่น้ำโพหายไป คงเหลือไว้เพียงปากน้ำโพเป็นหลักฐานไว้ ก็ตรงนั้นแม่น้ำโพไหลมาลงแม่น้ำเจ้าพระยานี่ครับ
ที่มา : คุณ ล้อม เพ็งแก้ว (วิทยาลัยครูเพชรบุรี เพชรบุรี)
บทประพันธ์:เพลงนางรจนา
ฮา..เอ้อ..นางรจนา เหอ แม่ช่างหาช่างได้
พ่อแม่จะหาให้ แม่ช่างไม่ชอบใจ
ไปเลือกเอาอ้ายเงาะ ฟันขาวเสยาะอ้ายเตาะไพร
แม่ช่างไม่ชอบใจ ไปไหว้หลวงยาย..เอ้อ..เหอ..เงาะ.
ฟันขาวเสยาะ = ฟันขาวแสยะ คือฟันทูนเยิ่นออกมา
อ้ายเตาะไพร = เป็นคำเก่าใช้เรียกคนบ้านป่า รูปร่างกำยำ
ดำม่อท้อ เหมือนกาบหลาวชะโอนป่าที่หล่นลงแช่น้ำนาน ๆ
ดำมิดหมี เรียกว่าอ้ายเตาะ หรืออ้ายต้อ
ตำนานนางนพมาศสมัยพระร่วง
สำหรับตำนานเรื่องประเพณีลอยกระทง เท่าที่ปรากฎในตำนานนางนพมาศครั้งสมัยพระร่วงเจ้านั้น กล่าวว่านางนพมาศเป็นธิดาของพระศรีมโหสถ มหาปุโรหิตราชครู ซึ่งเป็นผู้ที่มีความรู้เชี่ยวชาญในทางพระเวทย์วิทยาและศิลปวิยาการต่าง ๆ เป็นอันมาก
มหาปุโรหิตราชครู ได้ถ่ายเทความรู้ความสามารถต่าง ๆ ให้แก่นางนพมาศผู้เป็นธิดา จนนับได้ว่าเป็นสตรีที่ทรงภูมิรู้และมีปัญญาเฉียบแหลมผู้หนึ่ง นอกจากนั้น นางนพมาศยังเป็นหญิงที่มีความรู้สวยงามเป็นอันมาก กิติศัพท์ความงาม ความฉลาด และประกอบด้วยเป็นคนซึ่งมีความรู้ความสามารถดังกล่าว ได้ล่วงรู้ถึงพระกรรณของพระร่วงเจ้า จึงโปรดให้รับนางไปเป็นข้าบาทบริจาริกา จนกระทั่งได้เป็นที่ท้าวศรีจุฬาลักษณ์ ตำแหน่งพระสนมเอกในสมัยนั้น
ครั้นเมื่อถึงวันเพ็ญเดือน ๑๒ ชาวเมืองก็จัดให้มีประเพณีต่าง ๆ เช่น ประเพณีการแข่งเรือ, การเล่นเพลงเรือ และมีการทำพิธีจองเปรียงด้วย
ครั้งนั้น บรรดาพระสนมกำนัลต่างก็พากันประกวด ประขัน จัดแต่งโคมลอยและโคมแขวนกับตกแต่งกระทงให้เป็นรูปต่าง ๆ เพื่อประกวดประขันกัน และเพื่อให้พระร่วงเจ้าทรงทอดพระเนตรด้วย
ฝ่ายท้าวศรีจุฬาลักษณ์หรือนางนพมาศ ได้ประดิษฐ์กระทงเป็นรูปดอกกระมุทบานกลีบรับแสงจันทร์ ประมาณใหญ่เท่ากับกระแทะ ล้วนแต่ประดับด้วยดอกไม้สอดสลับสีเป็นลวดลายน่าชมยิ่งนัก แล้วนำเอาผลพฤกษชาติมาประดิษฐ์เป็นรูปนกยูงและนกต่าง ๆ ให้จับและจิกเกสรบุปผาชาติงดงามยิ่งการดังกล่าวทำให้พระร่วงเจ้าได้ทอดพระเนตรแล้วให้ทรงโปรดปรานยิ่งนัก
เรื่องนางนพมาศ มีบางคนเข้าใจว่า นางนพมาศเป็นผู้ริเริ่มประเพณีลอยกระทงนั้น เป็นการผิดจากความจริงเป็นอันมาก ความจริงประเพณีลอยกระทงและตาม(จุด)ประทีปนี้ ความจริงได้เกิดมีขึ้นในสมัยกรุงสุโขทัย(ภาคกลาง) และมีขึ้นทางภาคเหนือของประเทศไทยที่เรียกว่า “ลานนา” นับเป็นเวลาช้านานมาแล้ว แต่ต่อมาในสมัยพระร่วงเจ้า นางนพมาศเป็นผู้คิดตกแต่งและประดิษฐ์รูปกระทงให้ผิดแผกจากผู้ประดิษฐ์อื่น ๆ เท่านั้น
หมายเหตุ.-
หากท่านผู้อ่านสนใจจะค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่องนางนพมาศนี้แล้ว ขอให้ค้นคว้าในหนังสือชื่อ “ตำรับนางนพมาศ” หนังสือ “ตำนานโยนก” และหนังสือชื่อ “จามเทวีวงศ์” ก็จะสามารถทราบได้โดยละเอียดว่า ประเพณีลอยกระทงได้เกิดขึ้นในสมัยใด-ผู้เขียน
ข้อเขียนของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช
พิธีบายศรีสู่ขวัญนักเรียนใหม่
บายศรีสู่ขวัญนักเรียนใหม่
ชีวิตของคนไทยในอดีต มีความเกี่ยวกันกับเรื่อง “ขวัญ” ตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตายทีเดียว เด็กที่เกิดใหม่ก็ต้องมีการรับขวัญ เป็นการแสดงการต้อนรับและแสดงความยินดี รวมทั้งเป็นการปัดเป่าเสนียดจัญไรตลอดจนภูติผีปีศาจมิให้มารบกวนเด็ก พิเคราะห์จากคำกล่าวในพิธีที่ว่า
“สามวันเป็นลูกผี สี่วันเป็นลูกคน” แสดงว่าเป็นความเชื่ออย่างหนึ่งว่า เด็กจะมีชีวิตอยู่รอดตลอดไปหรือไม่อยู่ในเกณฑ์ ๓ วัน หากพ้น ๓ วันไปแล้ว เด็กมีสุขภาพดี ไม่เจ็บไข้ใด ๆ ก็เป็นที่หวังว่า เด็กจะมีชีวิตอยู่ดูโลกได้ต่อไปแน่
เมื่อเกิดได้ครบ ๑ เดือน ก็ต้องมีพิธีทำขวัญเดือนให้อีก ประหนึ่งเป็นการเฉลิมฉลองให้ และมุ่งหวังให้เด็กมีสุขภาพพลานามัยสมบูรณ์ โตวันโตคืนเป็นมิ่งขวัญแก่วงศ์ตระกูลสืบไป
เด็กแต่ก่อนนิยมการไว้จุกกันทุกคน เมื่อจะโกนจุก ก็ต้องทำพิธีให้ด้วย มีการนิมนต์พระมาเจริญพระพุทธมนต์และรับถวายภัตตาหารเพื่อเป็นสิริมงคลแก่เด็ก สำหรับลูกหลานของพระยามหากษัตริย์ มักจะทำกันเป็นพิธีโสกันต์”
เมื่อเด็กพลัดตกหกล้ม หรือประสบความตกอกตกใจ ผู้ใหญ่ก็มักจะเรียกขวัญ ด้วยคำกล่าวที่ว่า
“ขวัญเอย มาอยู่กับเนื้อกับตัวเถิดนะ”
พร้อมกับมีด้ายผูกข้อมือรับขวัญให้ด้วย
เมื่อจะบวชนาค ก็ต้องมีพิธีทำขวัญนาค เป็นการเตือนใจผู้ที่จะบวชให้ระลึกถึงพระคุณของพ่อแม่ จะได้ตั้งใจบำเพ็ญสมณกิจด้วยจิตใจมั่นคงและสงบเพื่อแผ่ส่วนบุญกุศลเป็นกตเวทิตาคุณแก่บุพการี
ตอนจะแต่งงานก็ต้องทำขวัญ เป็นการอบรมสั่งสอนให้คู่บ่าวสาวรู้จัการครองชีวิตคู่ว่ามีหลักต้องปฏิบัติอย่างไร พร้อมกับเปิดโอกาสให้ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายอวยชัยให้พรให้คู่สมรสอยู่ด้วยกันจนแก่จนเฒ่า ถือไม้เท้ายอดทอง ถือตะบองยอดเพชร อะไรทำนองนั้น
ในบางภาคของประเทศไทย มีการทำขวัญเวลาเจ็บป่วย เวลาหายป่วยหรือในกรณีเลี้ยงส่ง เลี้ยงต้อนรับ ก็มีพิธีทำขวัญให้ด้วย
ในบทละคร เรื่อง “อานุภาพพ่อขุนรามคำแหง” ของ หลวงวิจิตรวาทการ ตอนพ่อขุนรามคำแหงมหาราชจัดงานสมรสพระราชทานแก่ศามศรและหญิงเบญจมาศมีเพลงเชิญขวัญ ปรากฎเนื้อร้องดังต่อไปนี้
“ขวัญเจ้าเอย ขวัญเอย มาสู่องค์เอย ขอเชิญพระขวัญ เมื่อวันคืนเพ็ญ ให้อยู่ร่มเย็น อย่าหนีไปไหน ขวัญเจ้าเอย ขวัญเอย ขวัญเจ้าอย่าเลยไปไกล อย่าเที่ยวจนเพลิน อย่าระเหินระหก อย่ามัวชมนก อย่ามัวชมไม้ ขอเชิญขวัญเจ้า รีบเข้าสู่กาย อย่าลี้หนีหาย เลยขวัญเจ้าเอย”
เมื่อวันที่ ๒๓ มกราคม พ.ศ.๒๔๖๙ เจ้านายฝ่ายเหนือก็ได้เคยจัดพิธีบายศรีทูนพระขวัญถวายพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ ณ เมืองเชียงใหม่ เนื่องในวโรกาสเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมเยียนหัวเมืองเหนือ
และเมื่อวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๒๑ คณะข้าราชการ พ่อค้าและประชาชนจังหวัดเชียงใหม่ก็ได้จัดให้มีพิธีบายศรีทุนพระขวัญถวายแด่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ณ สนามกีฬาเทศบาลนครเชียงใหม่
สรุปแล้ว ชนชาติไทยได้มองเห็นคุณค่าและความสำคัญเรื่อง “ขวัญ” มาตั้งแต่นมนานกาเลก่อนที่ชาวตะวันตกจะมาฮือฮาเรื่องนี้ในภายหลังนานทีเดียว ทั้งนี้เพราะเหตุว่า พื้นฐานในทางวัฒนธรรมของคนไทยต่างก็ยึดมั่นในด้านจิตใจ ศีลธรรม และคุณธรรมเป็นพื้นฐานในการดำรงชีวิตตลอดมา ซึ่งต่างกว่าชาวตะวันตกซึ่งยึดมั่นในทางวัตถุยิ่งกว่า
โดยเหตุนี้ ผู้เขียนจึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไม่ชาวตะวันตกซึ่งมาเป็นอาจารย์สอนพิเศษที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒประสานมิตร สมัยที่ยังเป็นวิทยาลัยการศึกษาประสานมิตร จึงต้องหลั่งน้ำตาให้ เมื่อได้เห็นพิธีไหว้ครูอันศักดิ์สิทธิ์ ณ สถาบันการศึกษาแห่งนั้น พร้อมกับรำพันว่า เป็นพิธีที่ประทับใจอาจารย์ผู้นั้นมากที่สุด เท่าที่เคยพบมาและทำไมประเทศของเธอจึงไม่มีพิธีอย่างนี้บ้าง
อย่างไรก็ดี น่าสังเกตว่าในระยะหลังนี้ ความเชื่อเรื่อง “ขวัญ” ของคนไทยดูจะค่อย ๆ เสื่อมคลายลงไป เช่นเดียวกับวัฒนธรรมที่เป็นของไทยแท้ ๆ ด้านอื่น ๆ ทุกด้าน อาจเป็นเพราะว่า เราปล่อยให้วัฒนธรรมจากต่างประเทศเข้ามาครอบงำจิตใจคนไทยมากจนเกินไป และโดยไม่มีขอบเขต วันแล้ววันเล่า เดือนแล้วเดือนเล่า และปีแล้วปีเล่า แน่นอนที่สุดละ น้ำหยดทุกวันหินมันยังกร่อน นับประสาอะไรกับวัฒนธรรมไทยซึ่งถูกวัฒนธรรมต่างชาติตีกระหน่ำซ้ำซากอยู่ทุกวี่ทุกวัน ไฉนจะทนทานอยู่ได้
เพื่อให้นักเรียนใหม่เกิดความเลื่อมใสศรัทธาในพิธีนี้ จึงได้มีการสดชุมนุมเทวดา และน้ำด้ายที่ใช้ในการผูกข้อมือไปขอความเมตตาจากท่านเจ้าอาวาสวัดวิมลโภคารามช่วยปลุกเสกให้ ก่อนจะนำมาใช้ในพิธี
เพื่อให้เกิดการยอมรับพิธีนี้ทั้งสังคมภายนอกและสังคมภายใน จึงได้เชิญคณะกรรมการการศึกษาของโรงเรียนมาร่วมในพิธีด้วย
คาดว่า นักเรียนใหม่จะบังเกิดความรู้สึกว่า คณะครูอาจารย์ทุกท่านต่างยอมรับเขาไว้เป็นศิษย์แล้ว เพราะในพิธีไหว้ครูพวกเขาได้ขอฝากตัวเป็นศิษย์ด้วยการนำดอกไม้ธูปเทียมากราบไว้บูชามาครั้งนี้ ครูอาจารย์ก็จัดพิธีบายศรีสู่ขวัญพวกเขาด้วยการใช้ด้านผูกข้อมือ พร้อมทั้งให้ศีลให้พร แสดงถึงการยอมรับพวกเขาเป็นศิษย์แล้ว
ท่านผู้อ่านที่เคารพ ท่านได้กรุณาติดตามอ่านเรื่องนี้แต่ต้นมาจนจบผู้เขียนเชื่อว่า ท่านคงจะได้รับสาระประโยชน์จากเรื่องนี้บ้าง ไม่มากก็น้อย อย่างน้อยที่สุด เราก็พอจะทราบว่า ยังมีคนไทยบางกลุ่มบางพวกที่มีความหวังดีต่อประเทสชาติ มุ่งมั่นที่จะสร้างค่านิยมใหม่ให้แก่สังคมไทย แทนวิธีการรับน้องใหม่ที่ค่อนข้างจะป่าเถื่อนที่สถานศึกษาบางแห่งนำแบบอย่างมาจากต่างชาติ มีการทรมานน้องใหม่บ้าง มีการแกล้งต่าง ๆ นานา ให้ได้รับความอับอาย เหน็ดเหนื่อย และเจ็บปวดบ้าง ซึ่งรังแต่จะสร้างความอาฆาตแค้นให้รุ่นน้องไปไล่เบี้ยเอากับรุ่นต่อ ๆ ไปไม่มีที่สิ้นสุด ไม่ก่อผลในทางสร้างสรรค์ จิตใจให้เกิดความรักใคร่ สมัครสมานสามัคคีเหมือนพี่เหมือนน้อง เหมือนครูกับศิษย์ ตามวัฒนธรรมอันดีงามแบบไทย ๆ ดังที่ได้นำมาเล่าไว้ ณ ที่นี้
ท่านผู้ใดเห็นว่า การบายศรีสู่ขวัญนักเรียนใหม่เป็นเรื่องที่ดี สมควรนำไปเผยแพร่ต่อไป หรือนำไปปรับปรุงใหม่ให้ดียิ่งขึ้นเพื่อยึดถือปฏิบัติต่อ ๆ ไป อันจะเป็นผลดีต่อความมั่นคงของสังคมและประเทศชาติ ก็ขอได้ทำความคารวะอย่างจริงใจจากผู้เขียนมา ณ โอกาสนี้ด้วย
สุรพล ไชยเสนา
ประเพณีลูกหนู:ขนบธรรมเนียมประเพณีของชาวปทุมธานี
ประเพณีลูกหนู
๐ ทองคำ พันนัทธี
จังหวัดปทุมธานี มีประเพณีอีกอย่างหนึ่งที่เรียกว่า “ลูกหนู” ที่จังหวัดอื่นไม่มี ประเพณีการเล่นแข่งขันลูกหนูนี้ จะจัดให้มีในงานศพพระเท่านั้น ซึ่งชาวปทุมธานีถือเป็นขนบธรรมเนียมประเพณีสืบต่อกันมาช้านาน
คำว่า”ลูกหนู” ในที่นี้มิได้หมายถึงสัตว์สี่เท้าชนิดหนึ่งที่แมวชอบจับกินเป็นอาหาร แต่เป็นวัตถุที่ประกอบขึ้นด้วยกรรมวิธีที่ชำนาญของช่าง ด้วยใช้ดินระเบิดชนิดเดียวกับดอกไม้เพลิงทำเป็นรูปคล้ายจรวดหรือบ้องไฟของชาวตะวันออกเฉียงเหนือ
ตัวลูกหนูเขาทำด้วยลำไม้ไผ่ขนาดใหญ่ ยาวประมาณสองปล้องครึ่ง มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 12 เซนติเมตร หรือบางทีก็ทำด้วยไม้เนื้อแข็งกลึงเป็นรูปทรงกระบอก เจาะข้างในให้กลวง บางครั้งก็ใช้กระบอกเหล็ก แต่กระบอกเหล็กไม่ค่อยนิยมกันนักเพราะมีอันตราย ข้างในกระบอกอัดดินปืนเข้าไปให้แน่น แล้วอุดหัวอุดท้ายด้วยดินเหนียว และเจาะรูตรงกลางให้พอดี สำหรับติดสายชนวนไว้จุดไฟให้ลามเข้าไปไหม้ดินปืนในกระบอก ครั้นไฟกระทบดินปืนในกระบอกจะเกิดระเบิดเป็นเปลวเพลิงพุ่งออกมาจากรูท้ายกระบอก ดูคล้ายดอกไม้ไฟหรือไฟพะเนียงหรือผีพุ่งไต้ด้วยความแรงของดินระเบิด มันจะขับดันตัวกระบอกลูกหนูให้วิ่งไปข้างหน้า ตามลวดสลิงที่ขึงไว้โดยเร็ว เพราะตัวลูกหนูเขาผูกติดไว้กับลวดสลิง ระหว่างที่ลูกหนูวิ่งจะมีเสียงดังแซ็ด ๆ น่าตื่นเต้นเป็นที่น่าดูมาก เมื่อลูกหนูวิ่งไปสุดลวดสลิงมันจะพุ่งเข้าชนปราสาท ซึ่งตั้งอยู่ห่างประมาณ 40 เมตร ถ้าของใครถูกที่สำคัญของปราสาทตามที่คณะกรรมการกำหนดไว้ก็จะได้รับรางวัลอย่างงาม
ตามปกติการแข่งขันลูกหนู จะกระทำเฉพาะในงานประชุมเพลิงศพพระ หากวัดใดมีพระมรณภาพ เขาจะเก็บศพนั้นไว้ก่อน รอจนถึงหน้าแล้ง ชาวบ้านว่างจาการทำนาแล้ว ก็จะมาช่วยจัดงานประชุมเพลิงศพพระ แต่ก่อนที่จะถึงกำหนดวันงาน วัดที่เป็นเจ้าภาพจะประกาศให้วัดต่าง ๆ ทราบ และเชิญให้วัดทำลูกหนูมาเข้าแข่งขันด้วย เมื่อชาวบ้านเสร็จกิจจากการทำนา ก็จะช่วยกันทำลูกหนูเพื่อเตรียมไปแข่งขัน ลูกหนูที่จะนำไปแข่งขันนั้น จะต้องจัดตกแต่งภายนอกให้สวยงาม เพื่อประกวดกันด้วย เขาจะประดับประดาตกแต่งด้วยกระดาษสีต่าง ๆ จนดูสวยงาม ครั้นถึงวันกำหนดแต่ละวัดจะจัดขบวนแห่ลูกหนูคล้ายขบวนพาเหรดของนักกีฬา การแต่งกายของคนในขบวนก็จะต้องเหมือนกัน อาจจะจัดเป็นขบวนประเภทสวยงามหรือขบวนประเภทตลกขบขัน ก็แล้วแต่จะจัดมา เพราะขบวนเหล่านี้ คณะกรรมการเจ้าภาพจะจัดให้คะแนนไปด้วย ขบวนแห่ลูกหนู่จะนำด้วยกลองยาวหรือแตรวง และจะมีป้ายบอกชื่อคณะวัดนำหน้าขบวนแห่ และมีนางรำแต่งตัวสีฉูดฉาด เต้นรำตามจังหวะเพลงเรื่อยไป จนถึงบริเวณงาน
ส่วนทางวัดที่เป็นเจ้าภาพจะต้องจัดตั้งเมรุศพหลอก มีปราสาทยอดแหลมครอบเมรุไว้กลางทุ่งนาเด่นสูงตระหง่าน แล้วปักเสาขึงลวดสลิงให้ปลายลวดพุ่งตรงไปยังปราสาทที่เมรุศพนั้นตั้งอยู่ สายลวดสลิงที่จัดไว้นั้นจะต้องให้ครบตามจำนวนของวัดที่ส่งลูกหนูเข้าแข่ง เช่น มีลูกหนูเข้าแข่ง 10 วัด ก่อนจะทำการแข่งขัน คณะกรรมการจะให้หัวหน้าคณะวัดต่าง ๆ ที่นำลูกหนูมาจับฉลากเลือกสายกันก่อน ว่าใครจะได้สายหนึ่ง หรือสายสอง หรือสายที่สอบเมื่อจับหมายเลขได้แล้วจึงจะขึงลวดสลิงที่คณะเตรียมมาแล้วจึงจะนำลูกหนูเข้าประจำสายของตน โดยผูกลูกหนูติดกับสายลวดสลิงเตรียมไว้ทุกสาย แล้วให้จุดเรียงกันไปตามลำดับ เวียนกันอยู่เช่นนี้จนกว่าลูกหนูที่เตรียมมาแข่งขันจะหมด ตามที่คณะกรรมการกำหนดไว้ว่าจะแข่งขันกันกี่ลูก
วิธีจุดลูกหนูเขาใช้คบเพลิงไปจุดสายชนวนตรงท้ายตัวของลูกหนู เมื่อไฟลามเข้าไปถึงดินปืนก็จะเกิดระเบิดขับดันตัวลูกหนูให้วิ่งไปข้างหน้าอย่างแรง พอสุดลวดสลิงจะพุ่งเข้าชนปราสาททันที แล้วกรรมการจะให้คะแนนไว้ ของใครชนที่สำคัญก็จะได้คะแนนมาก และได้รับรางวัล ส่วนลูกหนูวัดใดแพ้ไม่ได้รางวัล เจ้าภาพก็จะมอบเงินให้เป็นค่าพาหนะเลี้ยงดูกันพอสมควร ไม่ต้องกลับมือเปล่า
ในขณะที่ลูกหนูวิ่งเข้าชนปราสาทกองเชียร์ของแต่ละคณะจะเชียร์กันดังกระหึ่ม จะร้องรำทำเพลงเต้นรำกันอย่างสนุกสนาน
การแข่งขันลูกหนูนาน ๆ จะมีครั้งหนึ่ง ถ้ามีศพพระจึงจะได้ชม ฉะนั้นบรรดาชาวบ้านไม่ว่าใกล้ไกลจะหอบลูกจูงหลานพากันไปชมอย่างล้นหลามแน่นขนัดแทบทุกงาน
โตเทพอัสดร:สัตว์ที่อยู่ในพวกเหมราอัสดร
โตเทพอัสดร
โตเทพอัสดร เป็นสัตว์อยู่ในพวกเหมราอัสดร คือ ตัวเป็นม้า
ผิดกันเฉพาะที่หัว โตเทพอัสดรมีหัวเป็นสิงโต
คำว่า โต ในภาษาไทย หมายถึง สิงโต ได้ด้วย
อย่างเช่นมีชื่อกลบทชนิดหนึ่ง เรียกว่า โตเล่นหาง ก็หมายถึง สิงโตเล่นหางนั่นเอง
ที่มีคำว่าเทพผสมเข้าไปด้วย ก็เห็นจะให้หมายว่าเป็นสัตว์เทวดานั่นเอง มีสัตว์หิมพานต์ลักษณะเดียวกันนี้ อีกแบบหนึ่ง เรียกกันว่า เทพีอัสดร
เรื่องการตั้งชื่อสัตว์ประหลาด ๆ เหล่านี้ พวกช่างเองก็คงจะอึดอัดคิดไม่ค่อยออกเหมือนกันว่าจะตั้งชื่อว่าอะไรดี
การตั้งชื่อจึงมีอยู่ ๒ ลักษณะ คือ
๑. เอาชื่อหรือลักษณะหรือประเภทของแต่ละชนิดมารวมกัน เช่น พานรปักษา, นาคปักษิณ, สกุนไกรสร ฯลฯ คือเอาลักษณะของนกมารวมกับสัตว์อื่น แล้วหาคำเปลี่ยนไปให้แปลก ๆดังจะเห็นว่า ปักษา, ปักษิน สกุน หมายถึง นกทั้งนั้น ชื่อเหล่านี้มักจะเป็นชื่อผสมขึ้นใหม่
๒. ชื่อเฉพาะชนิดเป็นชื่อเดิมที่เรียกกันมาแต่โบราณ จะว่าเป็นสัตว์หิมพานต์รุ่นแรกก็เห็นจะได้ เช่น กินรี, กิเลน, เหรา, ทัณฑิมา เป็นต้น
เรื่อง – “สวรรยา”
ภาพ – ประสงค์ พวงดอกไม้
ประเพณีการโล้ชิงช้า
โล้ชิงช้า
ตามคติพราหมณ์ ถือว่าพระอิศวรเป็นเจ้าเสด็จลงมาเยี่ยมโลกปีละครั้ง ครั้งหนึ่งกำหนด ๑๐ วัน วันเดือนอ้าย ขึ้น ๗ ค่ำ เป็นวันเสด็จลง แรมค่ำ ๑ เป็นวันเสด็จกลับ ในการรับรองพระอิศวรนั้นมีการโล้ชิงช้าถวายด้วย
ประเพณีโล้ชิงช้าได้ทำติดต่อกันมาหลายรัชกาล จนถึงรัชกาลที่ ๗ รัฐบาลในสมัยนั้นมีมติให้ยกเลิก
เขียนโดย : สมพงษ์ ทิมแจ่มใส