บายศรีสู่ขวัญนักเรียนใหม่
ชีวิตของคนไทยในอดีต มีความเกี่ยวกันกับเรื่อง “ขวัญ” ตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตายทีเดียว เด็กที่เกิดใหม่ก็ต้องมีการรับขวัญ เป็นการแสดงการต้อนรับและแสดงความยินดี รวมทั้งเป็นการปัดเป่าเสนียดจัญไรตลอดจนภูติผีปีศาจมิให้มารบกวนเด็ก พิเคราะห์จากคำกล่าวในพิธีที่ว่า
“สามวันเป็นลูกผี สี่วันเป็นลูกคน” แสดงว่าเป็นความเชื่ออย่างหนึ่งว่า เด็กจะมีชีวิตอยู่รอดตลอดไปหรือไม่อยู่ในเกณฑ์ ๓ วัน หากพ้น ๓ วันไปแล้ว เด็กมีสุขภาพดี ไม่เจ็บไข้ใด ๆ ก็เป็นที่หวังว่า เด็กจะมีชีวิตอยู่ดูโลกได้ต่อไปแน่
เมื่อเกิดได้ครบ ๑ เดือน ก็ต้องมีพิธีทำขวัญเดือนให้อีก ประหนึ่งเป็นการเฉลิมฉลองให้ และมุ่งหวังให้เด็กมีสุขภาพพลานามัยสมบูรณ์ โตวันโตคืนเป็นมิ่งขวัญแก่วงศ์ตระกูลสืบไป
เด็กแต่ก่อนนิยมการไว้จุกกันทุกคน เมื่อจะโกนจุก ก็ต้องทำพิธีให้ด้วย มีการนิมนต์พระมาเจริญพระพุทธมนต์และรับถวายภัตตาหารเพื่อเป็นสิริมงคลแก่เด็ก สำหรับลูกหลานของพระยามหากษัตริย์ มักจะทำกันเป็นพิธีโสกันต์”
เมื่อเด็กพลัดตกหกล้ม หรือประสบความตกอกตกใจ ผู้ใหญ่ก็มักจะเรียกขวัญ ด้วยคำกล่าวที่ว่า
“ขวัญเอย มาอยู่กับเนื้อกับตัวเถิดนะ”
พร้อมกับมีด้ายผูกข้อมือรับขวัญให้ด้วย
เมื่อจะบวชนาค ก็ต้องมีพิธีทำขวัญนาค เป็นการเตือนใจผู้ที่จะบวชให้ระลึกถึงพระคุณของพ่อแม่ จะได้ตั้งใจบำเพ็ญสมณกิจด้วยจิตใจมั่นคงและสงบเพื่อแผ่ส่วนบุญกุศลเป็นกตเวทิตาคุณแก่บุพการี
ตอนจะแต่งงานก็ต้องทำขวัญ เป็นการอบรมสั่งสอนให้คู่บ่าวสาวรู้จัการครองชีวิตคู่ว่ามีหลักต้องปฏิบัติอย่างไร พร้อมกับเปิดโอกาสให้ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายอวยชัยให้พรให้คู่สมรสอยู่ด้วยกันจนแก่จนเฒ่า ถือไม้เท้ายอดทอง ถือตะบองยอดเพชร อะไรทำนองนั้น
ในบางภาคของประเทศไทย มีการทำขวัญเวลาเจ็บป่วย เวลาหายป่วยหรือในกรณีเลี้ยงส่ง เลี้ยงต้อนรับ ก็มีพิธีทำขวัญให้ด้วย
ในบทละคร เรื่อง “อานุภาพพ่อขุนรามคำแหง” ของ หลวงวิจิตรวาทการ ตอนพ่อขุนรามคำแหงมหาราชจัดงานสมรสพระราชทานแก่ศามศรและหญิงเบญจมาศมีเพลงเชิญขวัญ ปรากฎเนื้อร้องดังต่อไปนี้
“ขวัญเจ้าเอย ขวัญเอย มาสู่องค์เอย ขอเชิญพระขวัญ เมื่อวันคืนเพ็ญ ให้อยู่ร่มเย็น อย่าหนีไปไหน ขวัญเจ้าเอย ขวัญเอย ขวัญเจ้าอย่าเลยไปไกล อย่าเที่ยวจนเพลิน อย่าระเหินระหก อย่ามัวชมนก อย่ามัวชมไม้ ขอเชิญขวัญเจ้า รีบเข้าสู่กาย อย่าลี้หนีหาย เลยขวัญเจ้าเอย”
เมื่อวันที่ ๒๓ มกราคม พ.ศ.๒๔๖๙ เจ้านายฝ่ายเหนือก็ได้เคยจัดพิธีบายศรีทูนพระขวัญถวายพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ ณ เมืองเชียงใหม่ เนื่องในวโรกาสเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมเยียนหัวเมืองเหนือ
และเมื่อวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๒๑ คณะข้าราชการ พ่อค้าและประชาชนจังหวัดเชียงใหม่ก็ได้จัดให้มีพิธีบายศรีทุนพระขวัญถวายแด่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ณ สนามกีฬาเทศบาลนครเชียงใหม่
สรุปแล้ว ชนชาติไทยได้มองเห็นคุณค่าและความสำคัญเรื่อง “ขวัญ” มาตั้งแต่นมนานกาเลก่อนที่ชาวตะวันตกจะมาฮือฮาเรื่องนี้ในภายหลังนานทีเดียว ทั้งนี้เพราะเหตุว่า พื้นฐานในทางวัฒนธรรมของคนไทยต่างก็ยึดมั่นในด้านจิตใจ ศีลธรรม และคุณธรรมเป็นพื้นฐานในการดำรงชีวิตตลอดมา ซึ่งต่างกว่าชาวตะวันตกซึ่งยึดมั่นในทางวัตถุยิ่งกว่า
โดยเหตุนี้ ผู้เขียนจึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไม่ชาวตะวันตกซึ่งมาเป็นอาจารย์สอนพิเศษที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒประสานมิตร สมัยที่ยังเป็นวิทยาลัยการศึกษาประสานมิตร จึงต้องหลั่งน้ำตาให้ เมื่อได้เห็นพิธีไหว้ครูอันศักดิ์สิทธิ์ ณ สถาบันการศึกษาแห่งนั้น พร้อมกับรำพันว่า เป็นพิธีที่ประทับใจอาจารย์ผู้นั้นมากที่สุด เท่าที่เคยพบมาและทำไมประเทศของเธอจึงไม่มีพิธีอย่างนี้บ้าง
อย่างไรก็ดี น่าสังเกตว่าในระยะหลังนี้ ความเชื่อเรื่อง “ขวัญ” ของคนไทยดูจะค่อย ๆ เสื่อมคลายลงไป เช่นเดียวกับวัฒนธรรมที่เป็นของไทยแท้ ๆ ด้านอื่น ๆ ทุกด้าน อาจเป็นเพราะว่า เราปล่อยให้วัฒนธรรมจากต่างประเทศเข้ามาครอบงำจิตใจคนไทยมากจนเกินไป และโดยไม่มีขอบเขต วันแล้ววันเล่า เดือนแล้วเดือนเล่า และปีแล้วปีเล่า แน่นอนที่สุดละ น้ำหยดทุกวันหินมันยังกร่อน นับประสาอะไรกับวัฒนธรรมไทยซึ่งถูกวัฒนธรรมต่างชาติตีกระหน่ำซ้ำซากอยู่ทุกวี่ทุกวัน ไฉนจะทนทานอยู่ได้
เพื่อให้นักเรียนใหม่เกิดความเลื่อมใสศรัทธาในพิธีนี้ จึงได้มีการสดชุมนุมเทวดา และน้ำด้ายที่ใช้ในการผูกข้อมือไปขอความเมตตาจากท่านเจ้าอาวาสวัดวิมลโภคารามช่วยปลุกเสกให้ ก่อนจะนำมาใช้ในพิธี
เพื่อให้เกิดการยอมรับพิธีนี้ทั้งสังคมภายนอกและสังคมภายใน จึงได้เชิญคณะกรรมการการศึกษาของโรงเรียนมาร่วมในพิธีด้วย
คาดว่า นักเรียนใหม่จะบังเกิดความรู้สึกว่า คณะครูอาจารย์ทุกท่านต่างยอมรับเขาไว้เป็นศิษย์แล้ว เพราะในพิธีไหว้ครูพวกเขาได้ขอฝากตัวเป็นศิษย์ด้วยการนำดอกไม้ธูปเทียมากราบไว้บูชามาครั้งนี้ ครูอาจารย์ก็จัดพิธีบายศรีสู่ขวัญพวกเขาด้วยการใช้ด้านผูกข้อมือ พร้อมทั้งให้ศีลให้พร แสดงถึงการยอมรับพวกเขาเป็นศิษย์แล้ว
ท่านผู้อ่านที่เคารพ ท่านได้กรุณาติดตามอ่านเรื่องนี้แต่ต้นมาจนจบผู้เขียนเชื่อว่า ท่านคงจะได้รับสาระประโยชน์จากเรื่องนี้บ้าง ไม่มากก็น้อย อย่างน้อยที่สุด เราก็พอจะทราบว่า ยังมีคนไทยบางกลุ่มบางพวกที่มีความหวังดีต่อประเทสชาติ มุ่งมั่นที่จะสร้างค่านิยมใหม่ให้แก่สังคมไทย แทนวิธีการรับน้องใหม่ที่ค่อนข้างจะป่าเถื่อนที่สถานศึกษาบางแห่งนำแบบอย่างมาจากต่างชาติ มีการทรมานน้องใหม่บ้าง มีการแกล้งต่าง ๆ นานา ให้ได้รับความอับอาย เหน็ดเหนื่อย และเจ็บปวดบ้าง ซึ่งรังแต่จะสร้างความอาฆาตแค้นให้รุ่นน้องไปไล่เบี้ยเอากับรุ่นต่อ ๆ ไปไม่มีที่สิ้นสุด ไม่ก่อผลในทางสร้างสรรค์ จิตใจให้เกิดความรักใคร่ สมัครสมานสามัคคีเหมือนพี่เหมือนน้อง เหมือนครูกับศิษย์ ตามวัฒนธรรมอันดีงามแบบไทย ๆ ดังที่ได้นำมาเล่าไว้ ณ ที่นี้
ท่านผู้ใดเห็นว่า การบายศรีสู่ขวัญนักเรียนใหม่เป็นเรื่องที่ดี สมควรนำไปเผยแพร่ต่อไป หรือนำไปปรับปรุงใหม่ให้ดียิ่งขึ้นเพื่อยึดถือปฏิบัติต่อ ๆ ไป อันจะเป็นผลดีต่อความมั่นคงของสังคมและประเทศชาติ ก็ขอได้ทำความคารวะอย่างจริงใจจากผู้เขียนมา ณ โอกาสนี้ด้วย
สุรพล ไชยเสนา