พระเจ้าตนหลวง
พระเจ้าตนหลวงเป็นพระพุทธรูปขนาดใหญ่ที่สุดของจังหวัดพะเยามีขนาดหน้าตักกว้าง ๑๔ เมตร สูง ๑๖ เมตร
สร้างเมื่อปีระกา พ.ศ. ๒๐๓๔ ในรัชสมัยพญายี่ครองเมืองภูเยา(พะเยา) ตรงกับรัชสมัยพระยอดเชียงรายครองเมืองเชียงใหม่
ประกอบกับการที่ได้กล่าวมาแล้วถึงวิธีลากพระกับความเข้าใจของพลเมือง ถึงเรื่องการลากพระนี้ คือ พลเมืองเข้าใจว่า “เป็นลัทธิธรรมเนียมสืบมาแต่ครั้งโบราณ ครั้งเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จไปโปรดพระพุทธมารดาบนชั้นดาวดึงส์ และไปจำพรรษา พอออกพรรษาแล้วจึงได้เสด็จกลับลงมายังเมืองสังกัสสนคร ในสมัยนั้น ราษฎรพลเมืองที่เป็นพุทธศาสนิกชน ต่างก็เตรียมไปรับเสด็จ มีการทำบุญให้ทานกันมากเหลือประมาณ จนจะนำอาหารบิณฑบาตไปถวายให้ถึงพระองค์พระพุทธเจ้าไม่ได้ จึงคิดทำข้าวต้มซัดกันเข้าไป ธรรมเนียม อันนี้จึงสืบกันมาจนทุกวันนี้”
ดังนี้ คราวนี้ลองนึกว่าถ้าเป็นดังเช่นที่กล่าวมานี้จริง ข้อที่น่าสงสัยมาก คือ เพราะธรรมเนียมที่สืบมาทางพุทธศาสนาและพลเมืองทั่วไป ในประเทศสยามทั้งฝ่ายเหนือและใต้ นับถือพระพุทธศาสนามาแต่โบราณแล้วเหมือนกัน แต่ทำไมลัทธิธรรมเนียมนี้จึงมีแพร่หลายเฉพาะปักษ์ใต้ ทางฝ่ายเหนือไม่ปรากฎว่าเคยมี ข้อนี้จึงน่าคิดอีกอย่างหนึ่งว่าควรจะเป็นอย่างไรกันแน่ ข้าพเจ้าจึงได้รวบรวมเขียนขึ้น พอเป็นทางให้ท่านผู้รู้ทั้งหลายจะได้สันนิษฐานว่าความจริงเรื่องลัทธิการลากพระอย่างที่ข้าพเจ้าพรรณนามานี้เป็นมาอย่างไรแน่
เมื่อพระฉันเพลแล้ว พลเมืองมาจากไหนต่อไหนประชุมกันอยู่มากมาย พวกพ่อค้าแม่ค้าต่างก็นำขนมมาขายคล้าย ๆ กับขนมที่ตั้งขายในงานต่าง ๆในกรุงเทพฯ ลากพระหยุดพักอยู่จนเที่ยงวันไปแล้ว แล้วจึงลากพระกลับเรียกว่า “ลากพระกลับหลัง” พลเมืองนับถือเป็นคติกันมาว่า ฝนมักตก จนพูดติดปากกันมาว่า “พระให้หลังฝนตก” แต่ถ้าฝนตกก็หมดสนุกถ้าฝนไม่ตกเมื่อพระที่ลากมาหยุดรวมกัน ต่างก็แยกย้ายกันไปแล้ว ใครพอใจวัดไหนมากก็ตามไปลากพระวัดนั้น พอลากจากที่หยุดจนเวลาประมาณ ๑๔ นาฬิกา ก็หยุดเตรียมซัดข้าวต้มแข่งขันกัน ที่ซัดข้าวต้มถือเอาหน้ารถลากเป็นเวทีใช้เชือกลากเป็นเขต ของที่ใช้ซัดกันเรียกว่าลูกต้ม ห่อด้วยใบตาลโตนด ภายในบรรจุทรายหรือข้าวสุกที่แห้งแล้ว ซึ่งแช่น้ำให้พอง ลูกต้มนี้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ผู้จัดการลากพระจะต้องเตรียมทำมา
เมื่อตกลงคู่แข่งขันกันได้แล้ว แจกลูกต้มให้ข้างละ ๑๐ หรือมากกว่านั้น ฝูงคนมาห้อมล้อมกันมองดูเป็นการสนุกยืนห่างกันประมาณ ๕-๖ วา ข้างไหนมีฝีมือ ก็ซัดแม่นอาจจะถูกอีกฝ่ายหนึ่งได้ เป็นการมีชัย ถ้าทั้ง ๒ ฝ่ายมีฝีมือเหมือนๆ กัน ก็เสมอกันไป ลูกต้มที่ใช้ซัดกันนี้มีน้ำหนักพอกับกำลัง แต่พวกนักกีฬาจำพวกนี้แข็งแรง ทั้งซัดและรับมิให้ถูกตัวได้ด้วยความสามารถ เพราะต่างก็ได้ฝึกหัดมาจนกำลังแขนแข็งแรงมากแล้วทั้งนั้น
เมื่อซัดข้าวต้มกันพอเห็นฝีมือกันแล้ว ก็ลากพระต่อไป พอได้ระยะก็จัดคู่ซัดข้าวต้มใหม่ ลากไปซัดข้าวต้มไปเช่นนี้จนเกือบถึงวัดก็จวนเวลาย่ำค่ำ จึงเลิกซัดข้าวต้มกัน เป็นอันหมดวิธีลากพระบกเพียงนี้
ส่วนพระเรือก็ลากกลับวัดเหมือนการลากพระบก ตอนกลับนี้จะได้เห็นการแข่งเรือกันเรื่อย ๆ ไป จนจวนจะค่ำ ลากพระถึงวัดแล้วจึงหยุดการแข่งเรือ หมดวิธีลากพระเรือเพียงเท่านี้เหมือนกัน
ต่อจากนี้ เจ้าหน้าที่ก็เชิญพระลากจากรถลากไปไว้ที่เดิม ส่วนรถลากก็รื้อออก เก็บไว้สำหรับจะได้ใช้ลากในปีต่อไปอีก
นอกจากที่คนที่ไปทำบุญและช่วยกันลากพระให้ถึงที่หยุดแล้วยังมีพวกหนุ่ม ๆ สาว ๆ และเด็กตามไปทีหลังก็มี พวกเหล่านี้ย่อมแต่งตัวประกวดกัน ตามพื้นเมือง เพราะฉะนั้นตอนเช้า ๆ จึงมีคนน้อยตั้งแต่เที่ยงไปแล้ว จึงมีคนมาก นับเป็นวันสำคัญวันหนึ่ง ซึ่งทุก ๆ คนต้องไปจนได้ ในจำนวนที่ไปกันมาก ๆนี้ มีคนจำพวกหนึ่งเป็นนักซัดต้มแข่งขัน (ซัดข้าวต้ม) ต่างพวกต่างก็เตรียมกันไว้ หวังจะได้ซัดแข่งขันกันกับพวกอื่น ๆ นับเป็นการกีฬาพิเศษของพวกนี้ ที่ได้เตรียมกันไว้จะได้มาแสดงอวดฝีมือในทำนองซัดแม่นหรือไม่แม่น ซึ่งจะได้กล่าวต่อไป
ส่วนการลากพระเรือนั้น คนที่ไปทำบุญก็ต้องเป็นคนที่มีเรือ ช่วยกันลากเรือพระออกจากท่าหน้าวัดไปตามลำคลอง จนถึงที่หยุดพระเรือนี้ไม่เป็นการลำบากในเวลาลาก เพราะถึงไม่มีใครลากก็อาจนำไปได้ แล้วยังมีพวกที่ลงเรือแข่งอีก แต่งตัวเรียบร้อย ลำไหนแต่งตัวสีใดก็แต่งเหมือนกันหมด มีผู้หญิงบ้าง ผู้ชายบ้าง เรือเหล่านี้เตรียมไปแข่งขันกันเหมือนกัน
การไปทำบุญก็เหมือนกับการลากพระบก แต่คนไปไม่มาก เพราะถ้าคนที่ไม่มีเรือก็ไปไม่ได้ ทั้งพระบกและพระเรือมีกีฬาที่พลเมืองได้ดูทั้ง ๒ อย่าง คือ ไปลากพระบกได้ดูการชัดข้าวต้ม ไปลากพระเรือได้ดูการแข่งขันเรือ แต่การแข่งขันทั้งสองประการนี้ มักได้ลงมือแข่งกันเมื่อขณะที่ลากพระกลับวัด
ข้าพเจ้ากล่าวมาแล้วว่า เมื่อถึงวันลากพระพวกชาวบ้านต่างพากันไปลากพระและไปทำบุญ มีคนที่มีกำลังแข็งแรงประมาณ ๕๐ คน ช่วยกันลาก โห่ร้องเสียงเป็นทอด ๆ ส่วนกลองบนรถลากก็ตีส่งเสียงช่วยกันไป บางครั้งทางที่ลากไปต้องข้ามคันนาและข้ามคู พวกผู้หญิงไม่มีเลย มีแต่พวกผู้ชายที่มีกำลังลากวิ่งขึ้นลง
เพราะฉะนั้น การทำรถลากจึงทำกันแน่นหนา มิฉะนั้นอาจจะหลุดหรือหักเสียได้ ส่วนลากตามถนนนั้นเป็นการสะดวก เพราะไปตามทางเรียบ ๆ นอกจากพวกที่ลากแล้ว ยังมีพวกตามไปข้างหลังอีก เขาเรียกกันว่า “ตามเสด็จพระ” ถ้ามีคนน้อยลากพระไปไม่ได้เร็วเขาเอาไม้กลม ๆ ลองเพื่อจะได้ช่วยแรงให้เบา คล้ายเจ๊กลากไม้เข้าโรงเลื่อยฉะนั้น ถึงอย่างไรก็ดี การลากพระไปจากวัดเพื่อให้ถึงที่หยุดนี้เป็นการจำเป็นจริง มิฉะนั้นพระจะไม่ทันเวลาฉันเพล จึงต้องพยายามช่วยกันลากให้ถึงจนได้
ในคืนวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ ราษฎรพลเมืองก็เตรียมของทำบุญเรียกว่าทำต้ม (ทำข้าวต้ม) ทำวิธีต่าง ๆกัน คือ ทำต้มด้วยข้าวเหนียวห่อด้วยใบกะพ้อ และบางทีก็ห่อด้วยใบตาลโตนดหรือใบมะพร้าวแล้วแต่ใครจะทำอย่างไรก็ได้ แต่ผลที่สุดเป็นข้าวต้มก็แล้วกัน
พอวันรุ่งขึ้นซึ่งเป็นวันปวารณาออกพรรษาและวันลากพระ ชาวบ้านก็ทำบุญตักบาตรด้วยข้าวต้มนั้นเป็นพิธีครั้งที่ ๑ ในวันนั้น พอตักบาตรพระแล้ว ในวันนั้นหยุดงานหยุดการหมด ฤดูนี้บางจังหวัดถึงฤดูทำนา แต่ชาวบ้านหยุดทำนาในวันนั้น ต่างก็แต่งตัวอย่างเรียบร้อย หาลูกพาหลานไปลากพระตามวัดที่ใกล้ ๆ
พอประมาณ ๙ น. ชาวบ้านทั้งผู้หญิงผู้ชายมาช่วยลากพระจากวัดไปถึงที่หยุดซึ่งที่หยุดนั้นมักเป็นย่านกลางของวัดต่าง ๆ บางแห่งการลากไปรวมกันตั้ง ๓-๔ วัดก็มี เช่นนี้เป็นการสนุกสนานมาก ที่จะได้เห็นฝีมือการช่างทำรถลากด้วยฝีมืออันวิจิตร ทั้งยังได้ฟังเสียงกลองดังสนั่นประชันแข่งขันกันไปด้วย ราษฎรก็ต่างไปประชุมกันที่นั่นมาก พระภิกษุสามเณรก็ออกจากวัดตามรถลากหรือบางทีนั่งบนรถลากไปประชุมให้ชาวบ้านทำบุญที่ลากพระไปหยุดนั้นด้วย ที่พระไปหยุดบางแห่งมีศาลา บางแห่งไม่มีศาลา แต่ก็ได้อาศัยร่มไม้เป็นที่ทำบุญ เรียกตามความเข้าใจของพลเมือง การที่ลากพระมาหยุดกันนั้นเรียกว่ามา “สมโภช”
พอเวลา ๑๑ นาฬิกาลากพระมาถึงพร้อมกันที่หยุด ชาวบ้านก็ทำบุญตักบาตรถวายเข้าต้มพระอีกเป็นครั้งที่ ๒ และพระที่มาจากวัดก็มาฉันเพลที่นี้ด้วย
ระหว่างที่กำลังลากพระยังไม่ถึงที่หยุดนั้น ชาวบ้านที่เอาข้าวต้มไปถวายพระ ไม่ต้องการจะไปทำบุญตักบาตร ก็ทำเป็นพวงพากันไปแขวนไว้บนรถลาก พวกศิษย์วัดก็เอาจัดแจงใส่ที่ไว้สำหรับนำไปถวายพระต่อไป เรียกวิธีนี้ว่า “ต้มแขวนหน้าพระ”
ขณะที่กำลังฉันเพลนั้น กลองที่กำลังตีแข่งกันอยู่นั้นก็หยุดจนพระฉันเพลแล้วเสร็จจึงเริ่มตีต่อไป
พระที่เชิญขึ้นประดิษฐานบนรถลากนั้น โดยมากเป็นพระพุทธรูปยืนปางต่าง ๆ ขนาดสูงไม่เกิน ๑ เมตร พระที่เชิญขึ้นนี้ชาวบ้านมักถือเป็นลางต่าง ๆเสมอ เช่นปีนี้ถ้าพระพุทธรูปมีพระพักตร์ผ่องใส การลากพระจะเรียบร้อย ถ้าพระพุทธรูปมัวหมองจะเกิดวิวาทฟันแทงกัน หรืออาจลากรถไปทับคนก็ได้ การถือกันเช่นนี้มีมาแต่โบราณ มาสมัยนี้ไม่ค่อยมี พระพุทธรูปนี้เชิญขึ้นบนรถลากจวนใกล้รุ่งในวันแรม ๑ ค่ำ เมื่อเชิญพระขึ้นแล้ว กลองและเครื่องประโคมธงทิวก็พร้อมเสร็จ ชาวบ้านแถบใกล้ ๆ วัดนั้นต่างก็มาลากรถลากออกไปวางไว้หน้าวัด เมื่อเวลาสายขึ้นชาวบ้านมาจากที่ต่าง ๆ ก็ชวนกันลากพระต่อไปถึงที่หยุดซึ่งจะกล่าวต่อไป
ของเดิมที่ข้าพเจ้าเคยเห็นทำกันเช่นนี้คือ ตัดไม้มาทำเป็นรูปคล้ายเรือโกลน ๒ ท่อน ทำให้หัวท้ายสูงคล้ายเรือโกลนยาวประมาณ ๕-๖ เมตร แล้วเจาะที่ปักเสา สร้างเป็นรูปเหมือนรูปเวชยันต์ มี ๒ ชั้น ๆ ล่างใช้เชือกประกอบดึงกันด้วย ขันชะเนาะให้แน่น ตอกหลักปักเสาให้แข็งแรงกันมิให้หลุดได้ ส่วนชั้นบนนั้นเรียบด้วยกระดานหรือฟากทำด้วยไม้ไผ่ และมีพะนักหรือฝาล้อมรอบ สูงจากพื้นบนประมาณเสมอสะเอว ภายนอกทั้งชั้นล่างและชั้นบนมีฝาปิดมิดชิด เรียกว่าแผง แผงนี้มีการประกวดฝีมือ สานด้วยไม่ไผ่ให้มีลวดลายต่าง ๆ
บนชั้นบนมีสิ่งหนึ่งรูปเหมือนธรรมาสน์ที่พระนั่งเทศนา วางอยู่ส่วนหลัง ข้างบนมียอดรูปคล้ายยอดปราสาทชาวพื้นเมืองเรียกว่า “ยอดนม” ยอดนมนี้ทำประกวดกันมาก มีลวดลายและวิธีทำต่าง ๆกัน มักเลือกเอาฝีมือช่างที่ดี เพื่อเวลาลากพระไปเทียบกันหลาย ๆวัดจะได้ไม่น้อยหน้าวัดอื่น ๆ ภายในธรรมาสน์นี้เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปยืนในวันลากพระ ซึ่งจะได้กล่าวต่อไปตามข้าง ๆ โดยรอบของชั้นบนมีธง ๓ ชายปักไว้ มีสีต่าง ๆ กัน เมื่อถึงวันลากเอากลองใหญ่ ๑ ใบ (ตะโพน) บางที ๒ ใบ วางไว้ที่มุมข้างหน้า แล้วมีกลองเล็ก ๑ ใบ มีคนนั่งตีอยู่ข้างหน้าพระเป็นกลองนำ ตีคล้ายเวลาคุมพระ แล้วยังมีฉิ่งและระฆังเล็กอีกสำหรับเป็นเครื่องประโคมในวันลากนั้น กับางทียังมีโทนอีกซึ่งชาวพื้นเมืองเรียกว่า “ทับ” ตีเข้าจังหวะกับกลองก็น่าฟังอยู่บ้าง
ส่วนเรือโกลนซึ่งข้าพเจ้าได้กล่าวมาแล้วนั้น เป็นส่วนที่ติดกับพื้นดินทั้ง ๒ ข้าง สำหรับรองลาก คนพื้นเมืองเรียกว่า “หัวเรือ” ทำเป็น ๔ เหลี่ยม หัวท้ายสูงเป็นรูปงอนขึ้นไป ที่หัวเรือนี้ ถ้าที่ตัวทำเป็นรูปเกล็ดพระยานาค ที่หัวก็มีนาคแกะเป็นลวดลายสวยงามมาก บางทีทำเป็นหัวจระเข้ และหัวสัตว์ต่าง ๆ ตามที่คิดเห็นว่าตัวมันยาวให้สมกัน บางทีก็ทำโกลนไว้เฉย ๆ ให้หัวสูงเป็นแต่งอนขึ้นก็มีแต่ไม่สวยงาม ส่วนข้างหัวเป็นอย่างไร ท้ายมักเป็นหางของสิ่งนั้น เช่น หัวนาค หางก็เป็นหางของสิ่งนั้น เช่น หัวนาค หางก็เป็นหางนาคดังนี้ เป็นต้น
ส่วนเชือกที่ใช้ลาก ฟั่นด้วยหวาย โตประมาณเท่าข้อมือ ยาวประมาณ ๑๐ วา ผูกเข้ากับหัวเรือทั้ง ๒ ข้าง เชือกลากนี้ถ้ารวมเข้าแล้วคนหนึ่งแบกไม่ไหว ต้องให้หาม ๒ คน เครื่องประกอบจนเป็นรูปร่างขึ้นทั้งหมดนี้ ข้าพเจ้าขอเรียกว่า “รถลาก” ต่อไป (ชาวพื้นเมือง เรียกว่า ร้านม้า)
เครื่องประกอบทั้งหลายที่กล่าวมานี้ล้วนแต่ทำกันแข็งแรงแน่นหนา เพราะครั้งโบราณไม่มีถนน การลากพระต้องลากไปตามท้องนาและแนวทาง ต้องขึ้น ๆ ลง ๆ จะทำล้อลากไปเหมือนเวชยันต์นั้นไม่ได้ จึงต้องใช้เชือกและทำรถลากอย่างแข็งแรง มาสมัยนี้มีถนนหนทางไปมาสะดวกเข้า วัดที่ตั้งอยู่ริมถนนก็หาวิธีลากให้ได้เร็วและไม่ต้องใช้คนลากมาก จึงใช้ล้อแทนเป็นการเร็วและสะดวกดี
ส่วนลากทางเรือนั้น การประกอบอย่างอื่นก็คล้าย ๆกัน ผิดกันแต่ไม่ต้องมีแผงและหัวเรือ เพราะสิ่งทั้งหมดนั้นใช้เรือแทน เรือที่ใช้แทนนั้นถ้าเป็นแม่น้ำใหญ่ก็ใช้เรือใหญ่ ถ้าแม่น้ำเล็กก็ใช้เรือเล็ก ๆ ลงไปตามต้องการ แต่ข้าพเจ้าจะไม่กล่าวพิศดารสำหรับการลากพระเรือ
วันที่ทำกันมาแต่ครั้งโบราณนั้นคือ วันแรม ๑ ค่ำเดือน ๑๑ คือวันปวารณาออกพรรษาเสมอ ก่อนจะถึงวันลาก ๗ วัน คือตั้งแต่เดือน ๑๑ ขึ้น ๘ ค่ำ วัดไหนที่จะลากพระก็ตีกลองประจำให้มีเสียงดังคล้ายกับประกาศว่า วัดนี้จะมีการลากพระ ชาวบ้านจะได้ทราบวิธีเช่นนี้ คนพื้นเมืองเรียกว่า “การคุมพระ” วิธีที่ตีคุมพระนั้นคือใช้กลอง ๒ ใบ เล็กใบหนึ่งเรียกว่า “กลอง” ใหญ่ใบหนึ่งรูปคล้ายกลองเหมือนกันแต่คนพื้นเมืองเรียกว่า “โพน” (ตะโพน) ซึ่งไม่ผิดอะไรกับกลองเลย วิธีตีคือตีกลองใบเล็กเป็น ๑ คู่ มีคนตีกลองใหญ่ซ้ำอีก ๑ ที เป็นเช่นนี้สลับเรื่อย ๆ กันไป และบางครั้งตีรัวพร้อม ๆ กันไปตลอดวัน ที่ไหนมีวัดที่มีการลากพระมาก จะได้ยินแต่เสียงกลองสนั่นหวั่นไหววันยังค่ำ แถมในเวลากลางคืนพวกชาวบ้านและพวกศิษย์วัดนัดตีกลองแข่งขันกันว่าของใครจะดังมากกว่ากัน นัดแนะกันไปแข่งขันให้ไกลออกไปจากวัด การแข่งขันกันนี้เป็นเหตุให้ประกวดการสร้างกลองให้แข็งแรงและมีเสียงดัง จะได้มีชื่อว่า มีกลองดังชนะวัดนั้น ๆ ครั้งก่อน ๆมา ในการแข่งขันกันนี้มีวิธีแปลก ๆ มาก โดยหาวิธีจะทำให้กลองคู่แข่งขันทะลุ และยังเตรียมกลองหนา ๆ กันมาไว้อีก เพื่อเสียงแพ้แล้ว จะได้ชวนเอากลองโดนกันอีก เพื่อว่าของใครจะทนทานกว่ากันเป็นการสนุกมาก แต่บัดนี้วิธีเช่นนี้ไม่ค่อยจะมีเสียแล้ว เพราะทางบ้านเมืองห้าม กลัวจะเกิดวิวาทกันขึ้น บางอำเภอวัดไหนจะมีการลากพระต้องของอนุญาตต่ออำเภอ นายอำเภออนุญาตให้ลากจึงลากได้
ในระหว่างที่คุมพระอยู่นี้วัดที่มีการลากพระก็เตรียมการ คือทำที่สำหรับลากพระ
นอกจากแรม ๑ ค่ำเดือน ๑๑ แล้ว ยังมีการลากพระเดือน ๕ อีก เริ่มคุมพระแต่ขึ้น ๘ ค่ำเดือน ๕ จนถึงวันแรม ๑ ค่ำ ก็ถึงวันลาก พิธีคุมพระและอย่างอื่นเหมือนกันกับเดือน ๑๑
ส่วนลากพระทางเรือนั้นเดือน ๕ ไม่ค่อยมีเพราะน้ำแห้ง นานมา ๆ จนทุกวันนี้ บางแห่งลากพระทางบกก็ดี ลากพระทางเรือก็ดี ทำกันไมมีข้อยุติ ใครนึกจะลากเมื่อใดก็ลากกัน เป็นการทำเพื่อต้องการทำบุญและการรื่นเริง
การลากพระของชาวปักษ์ใต้
การลากพระนี้ ถ้าพิจารณาแล้วอาจกำหนดเขตได้ว่า มีเฉพาะแถบหัวเมืองปักษ์ใต้เท่านั้น ถึงแม้วัดนางชีในกรุงเทพฯ จะเคยปรากฎว่ามีการลากพระกันทุกปีก็จริง แต่ก็ไม่ถูกตามฤดูที่ควรจะนับว่าเป็นลัทธิที่ชาวปักษ์ใต้เขาทำกันมาก เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงของกล่าวว่าลัทธิธรรมเนียมนี้เห็นจะเป็นลัทธิที่เกิด ขึ้นในหัวเมืองปักษ์ใต้ก่อน ก็คงจะไม่คลาดเคลื่อนนัก เกิดขึ้นอย่างไรจะได้กล่าวต่อไป
ประเภทของการลากพระ มี ๒ ประเภท คือ
๑. การลากพระทางบก มักเป็นวัดซึ่งตั้งอยู่ที่ดอน ไม่มีแม่น้ำลำคลองก็ใช้วิธีลากทางบก การลากทางบกนี้มีมาก ลากกันชุกชุมและต้องทำตามฤดูกาล
๒. การลากพระทางเรือ มักเป็นวัดที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำลำคลอง ชาวบ้านแถบนั้นมีเรือมาก วิธีนี้เป็นการลากไม่ตรงตามฤดูกาลเสียโดยมาก เพราะจะต้องคอยให้ถึงฤดูน้ำมาก เพราะฉะนั้นการลากพระทางเรือนี้เพื่อต้องการทำบุญและรื่นเริงมากกว่าที่ทำ ให้ถูกต้องตามกาลที่ลัทธิธรรมเนียมเคยมีมา
ลัทธิธรรมเนียมการลากพระนี้มีมากในมณฑลนครศรธรรมราช และมณฑลภูเก็ต แต่เท่าที่ทำกันตรงตามฤดูกาลที่กำหนดก็มีที่จังหวัดตรัง ในมณฑลภูเก็ต จังหวัดนครศรีธรรมราช, จังหวัดสงขลา, และจังหวัดพัทลุง ซึ่งพอให้ข้าพเจ้าสืบมาได้และเคยเห็นมา หากว่า ถ้ามีที่อื่นอีกก็โปรดให้อภัยด้วย เพราะข้าพเจ้ารู้ไปไม่ถึง