“มัจฉาณุ”คือใคร

มัจฉาณุ


มัจฉาณุไม่ใช่สัตว์หิมพานต์

แต่มีอะไรพิเศษกระเดียดไปทางสัตว์หิมพานต์อยู่เหมือนกัน คือ ตัวเป็นลิง  แต่มีหางเป็นปลา

ต้นเรื่องเกิดขึ้นเมื่อครั้งพระรามจองถนนข้ามไปกรุงลงกา  การจองถนนต้องใช้ก้อนหินถม  แต่ถมเท่าไรก็ไม่เต็ม  เพราะพวกรักษาท้องน้ำของทศกัณฐ์ ให้พวกปลามาขนเอาไปหมด  เรื่องก็เดือดร้อนถึงหนุมานต้องแผลงฤทธิ์ลงไปดูเหตุการณ์ใต้ท้องทะเล  ปราบพวกก่อการร้ายทำลายถนนเสียราบ

แต่มีอยู่รายหนึ่งที่ไม่ใช้อาวุธรุนแรงประหาร

ก็ไม่ใช่ใคร นางสุวรรณมัจฉา ลูกสาวของทศกัณฐ์นั่นเอง  หนุมานใช้ศิลปะของการเจรจาจนผูกใจนางสุวรรณมัจฉาไว้ได้และยอมมอบตัวแต่โดยดี  นางให้พวกปลานำก้อนหินกลับมาถมจนสำเร็จเป็นถนน

หนุมานเกลี้ยกล่อมผู้ก่อการร้ายทำลายถนนสำเร็จ  และยังได้ผลผลิตติดตามมา คือ

มัจฉาณุ  ซึ่งเกิดแต่นางสุวรรณมัจฉา

ประเพณีเมืองเหนือ”การเสียผี”

การเสียผีมี  ๒  อย่าง


ก่อนที่จะว่ากันถึงเรื่องอื่นจะขอกล่าวถึงเรื่องการ “ผิดผี” เสียก่อน  คือ  การ “ผิดผี” หรือ “ผิ๊ดผี”  นั้นมีอยู่  ๒  อย่าง คือ

๑.  ฝ่ายหนุ่มได้กระทำการ “ผิ๊ดผี” ตามลักษณะที่ได้หมายเหตุไว้แล้ว  โดยฝ่ายหญิงยินยอมล่มหัวจมท้าย  คือ  ยินยอมที่จะแต่งงานตามประเพณีเพื่อร่วมชีวิตด้วย  ข้อนี้เมื่อฝ่ายผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่ายได้ทำการตกลงกันโดย  “สันติวิธี”  คือทั้งสองฝ่าย (ผู้ใหญ่)  ยินยอมให้ทั้งสองฝ่าย (หนุ่มสาว) แต่งงานอยู่กินด้วยกันตามประเพณี  ก็จัดให้มีการ  “เสียผี”  ในแบบที่เรียกว่าเสียเอาหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า  “ใส่เอา”  คือการใส่ผีแบบยินยอมที่จะแต่งงานกันตามประเพณีดังกล่าวแล้ว

๒.  เมื่อฝ่ายหนุ่มได้กระทำการ “ผิ๊ดผี” ไปแล้วแต่ว่า “ฝ่ายหญิง” หรือ “ฝ่ายชาย” ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ชอบในตัวชาย หรือหญิง  คือไม่มีความอาลัยไยดีและไม่ยินยอมที่จะแต่งงานด้วยกัน(เป็นการผิ๊ดผีแต่ภายนอกแบบนี้จะต้องมีการ  เสียผี  เหมือนกับการ “เสียผี” หรือ “ใส่ผี”  แบบที่เรียกกันว่า  “ใส่ไม่เอา”  (คือยินยอมใส่ผีหรือเสียผีเหมือนกันแต่เมื่อใส่หรือเสียไปแล้วก็ไม่ต้องมีการแต่งงานกัน) แบบนี้หนักหน่อย  คือต้องเสียทั้งผีและต้องเสียทั้งค่าทำขวัญด้วย  หรือบางที ดีไม่ดีก็ต้องตกเป็นผู้ต้องหาในข้อหาฐานกระทำการอนาจารอีกกระทงหนึ่งด้วย

มี  “เจ้าหนุ่ม”  หรือบางที  “ก็ไม่หนุ่ม”  แต่เป็นคนมาจากท้องถิ่นอื่นซึ่งไม่ใช่  “ภาคเหนือ” และเป็นคน “รู้ไม่จริง”  เกี่ยวกับเรื่องการ  “ผิ๊ดผี” นี้  เห็นว่าการใส่ผีหรือเสียผีในราคาถูกเมื่อได้โอกาสก็ทำการลวนลามเอาด้วยความโง่เขลาปรากฎว่าเจ้าหนุ่มผู้นั้นได้ถูก “หนุ่มเจ้าถิ่น”  หรือบางทีก็มีแก่ ๆ ด้วย  รุมซ้อมเอาเสียอาน  ต้องนอนหยอดข้าวต้มกันเป็นเวลาไม่ใช่น้อย ๆ เลย  นอกจากนี้ยังถูกจับดำเนินคดีด้วย  ทั้งนี้  เพราะเหตุว่า  “ฝ่ายเจ้าถิ่น”  เขาถือว่า “ฝ่ายต่างถิ่น” กระทำการดูถูกดูแคลนและทำให้จารีตประเพณีอันดีงามของเขาเสียไป  “ฝ่ายเจ้าถิ่น”  ซึ่งเป็นคนรักถิ่นเกิดจะไม่ยอมให้ใครมาดูถูกดูแคลนได้ง่าย ๆ  บางทีก็อาจจะมีการจัดการลงโทษ  “ฝ่ายต่างถิ่น”  กันอย่างรุนแรงจึงถึงกับแอบ “ยิง”  เอาจนถึงกับสิ้นชีวิตไปก็เคยมี  หากไม่ตาย  “ก็ถูกจับตัวส่งตำรวจเพื่อจัดการลงโทษตามกฎหมาย  ท่านก็ยังอาจจะต้องเสียเงินเสียทองอย่างมากมายอย่างไม่น่าจะเป็นไปได้เลย  ทั้งนี้เพราะเหตุว่า  “กฎหมายต้องอนุโลมให้เป็นไปตามประเพณี”  อีกด้วย

การ  “ผิ๊ดผี”  นั้น  จะกระทำได้ก็ต่อเมื่อฝ่ายหญิงเขายินยอมพร้อมใจ   ยินยอมเอออวยด้วยอย่างดี  ไม่ใช่เป็นการ “ผิ๊ดผี”  ด้วยการข่มขืนใจกัน  และไม่ได้หมายถึงการได้เสียซึ่งกันและกันแต่เพียงอย่างเดียว  แม้แต่การถูกเนื้อต้องตัว  จับมือถือแขนหรือฝ่ายชายรุกล้ำเข้าไปในเขตหวงห้ามย่อมเป็นการ  “ผิ๊ดผี”  ทั้งสิ้น  ยกตัวอย่าง เช่น

“ฝ่ายชาย”  ท่านไม่ได้ไปจับมือถือแขนหรือมีความใคร่จะถูกเนื้อต้องตัวแต่อย่างใด  เพียงแต่ว่าท่านไม่รู้จักกับขนบธรรมเนียมประเพณีของภาคเหนือ  เพียงแต่  “ฝ่ายชาย”  เดิน  “ล้ำเส้น”  คือการล่วงล้ำเข้าไปในเขตที่เขาหวงห้ามสำหรับผู้ที่ไม่ใช่สมาชิกในครอบครัว เช่น  การล่วงล้ำเข้าไปในเขตหวงห้ามของเขาซึ่งมี  “ข่มประตู”  คือไม้คล้าย ๆ เป็นวงกบประตูด้านล่างซึ่งเราใช้ข้ามมาเท่านั้น  ก็นับว่าเป็นการ “ผิ๊ดผี”  ซึ่ง “ฝ่ายชาย”  หรือผู้ที่ล่วงล้ำเข้าไปจะต้องทำการขอขมาและมีการ “ใส่ผี”  หรือ “เสียผี”  ให้ทั้งสิ้น  และการที่  “ฝ่ายชาย”  ได้ทำการ  “เสียผี”  หรือ  “ใส่ผี”  ไปแล้วจะได้ฝ่ายหญิงมาเป็นภรรยาก็หาไม่  ทั้งนี้เพราะเหตุว่าการ  “เสียผี”  หรือการ  “ใส่ผี” นั้นไม่ได้หมายถึงการแต่งงาน  เพราะการแต่งงานเพื่ออยู่กินด้วยกันฉันท์สามีภรรยาจะเกิดขึ้นได้  ก็ด้วยการยินยอม ตกลงปลงใจของทั้งสองฝ่าย  รวมทั้งการเห็นดีเห็นชอบของญาติผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่ายเท่านั้น

ในตอนต้นได้กล่าวถึงการ  “ผิ๊ดผี”  เฉพาะภายนอกของ  “ฝ่ายหญิง”  เท่านั้น  แต่ถ้ามีการ “ผิ๊ดผี”  จนถึงกับมีการล่วงล้ำอธิปไตยกันจนถึง  “ภายใน”  แล้ว  และทั้งสองฝ่ายตกลงจะไม่ยอมแต่งงานอยู่กินด้วยกันแล้ว  อย่างนี้หนักเพราะเหตุว่า  นอกจากจะมีการให้  “ใส่ผี”  หรือ  “เสียผี”  กันตามประเพณีแล้วก็อย่างว่าในตอนก่อน ๆ คืออาจจะถูก “ฝ่ายเจ้าถิ่น”  ลงโทษเอาอย่างรุนแรงดังได้กล่าวมาแล้ว  ก็จะต้องถูกจับตัวไปดำเนินคดีกันตามกฎหมายด้วย

แต่ก็มีข้อยกเว้น  กล่าวคือถ้าหากปรากฎว่า “ฝ่ายชาย” เป็นคนดี  มีการมีงานทำเป็นหลักอยู่ หรือถ้าหากไม่มีงานมีการทำเป็นหลักฐาน  แต่ก็ขยันขันแข็งในการทำมาหาเลี้ยงชีพ  และได้กระทำด้วยกันอย่างถูกต้องตามประเพณี  และถ้าหาก “ฝ่ายชาย” เป็นคนจน  ฝ่ายหญิงอาจจะไม่เอาอะไรเลย หรือเพียงแต่จัดการเสียผีไปเป็นเงินเพียงไม่กี่บาทเท่านั้น

ประเพณี  “เสียผี”  นี้  นับวันก็จะเสื่อมสูญไปจากภาคเหนือ  เพราะอารยธรรมแผนใหม่เข้าไปมีบทบาทมาก  ท่านผู้อ่านก็ลองเปรียบเทียบกันเอาเองก็แล้วกันว่า หนุ่ม-สาว  หากให้การเชื่อฟังคำสั่งสอนของผู้ใหญ่แบบประเพณี “เสียผี”  ของเมืองเหนือ  กับหนุ่มสาวที่นิยมเรียกตัวเองเสียอย่างโก้ว่า  อารยธรรมแผนใหม่  ฝ่ายไหนได้รับความผิดหวังในชีวิตมากกว่ากัน  สำหรับผมนั้น  ก็เลือกทำตามประเพณีเต็มประตู  เพราะประเพณีได้ให้ความสำเร็จแก่ผู้เขียนมาแล้ว

ตำนานเรื่องฤาษีตาวัว – ฤาษีตาไฟ

ฤาษีตาวัว – ฤาษีตาไฟ


แต่กาลก่อนทางภาคพื้นประเทศไทยเรามีฤาษีอยู่มาก  โดยเฉพาะฤาษีตาวัวกับฤาษีตาไฟ ติดปากคนมากกว่าฤาษีอื่น ๆ  และประวัติก็มีมากกว่า  เท่าที่ทราบพอจะรวบรวมต่อจากที่เล่ามาแล้วข้างต้นได้ดังต่อไปนี้

ฤาษีตาวัวนั้นเดิมทีเป็นสงฆ์ตาบอดทั้งสองข้าง  แต่ชอบเล่นแร่แปรธาตุจนสามารถทำให้ปรอทแข็งได้  แต่ยังไม่ทันใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างไรก็เอาไปทำหล่นตกถาน (ส้วมของพระตามวัด) เสียจะหยิบเอามาก็ไม่ได้เพราะตามองไม่เห็น  เก็บความเงียบไว้ไม่กล้าบอกใคร  จนกระทั่งวันหนึ่งลูกศิษย์ไปถานแลเห็นแสงเรือง ๆ จมอยู่ใต้ถาน  ก็กลับมาเล่าให้อาจารย์ฟัง  หลวงตาดีใจบอกให้ศิษย์พาไป  ถ้าเห็นแสงเรืองตรงไหนให้จับมือจุ่มลงไปตรงนั้น  จะเลอะเทอะสกปรกอย่างไรช่างมัน  ศิษย์กลั้นใจทำตาม  หลวงตาก็ควักเอาปรอทกลับคืนมาได้  จัดแจงล้างน้ำให้สะอาดดีแล้วก็เอาแช่ไว้ในโถน้ำผึ้งที่ท่านฉัน ไม่เอาติดตัวไปไหนอีก  เพราะกลัวจะหล่นหาย

อยู่มาวันหนึ่งท่านก็มารำพึงถึงสังขาร  ว่าเราจะมานั่งตาบอดอยู่ทำไม  มีของดีของวิเศษอย่างนี้แล้วก็น่าจะลองดู  จึงให้ศิษย์ไปหาศพคนตายใหม่ ๆ เพื่อจะควักเอาลูกตา  แต่ศิษย์หาศพใหม่ๆ ไม่ได้  ไปพบวัวนอนตายอยู่ตัวหนึ่งเข้าที่ดีก็เลยควักลูกตาวัวมาแทน  หลวงตาจึงเอาปรอทที่แช่น้ำผึ้งไว้มาคลึงที่ตา  แล้วควักเอาตาที่เสียออก  เอาตาวัวใส่แทนแล้วเอาปรอทคลึงตามหนังตา  ไม่ช้าตาทั้งสองข้างก็กลับเห็นดีดังธรรมดา  แล้วหลวงตาก็สึกจากพระเข้าถือเพศเป็นฤาษี  จึงได้เรียกกันว่าฤาษีตาวัวมาตั้งแต่ครั้งนั้น

ส่วนฤาษีตาไฟนั้นยังไม่พบต้นเรื่องว่าทำไมจึงเรียกว่าฤาษีตาไฟ  บางทีตาของท่านจะแดงก่ำหรือมีอำนาจแรงร้อนเป็นไฟแบบตาที่สามของพระอิศวรกระมัง  ได้ฟังจากนักเลงพระเครื่อง  เขาว่าพระท่ากระดานนั้นฤาษีตาไฟเป็นประธานในการสร้าง  ท่านมีวิชาอาคมแก่กล้ามาก  ท่านเพ่งกสิณจนทำให้ตะกั่วละลายโดยไม่ต้องใช้ไฟหลอม  แต่ท่านผู้เล่าก็ไม่ได้ชี้แจงแสดงหลักฐานอะไร  อย่างไรก็ตามท่านทั้งสองคือฤาษีตาวัวกับฤาษีตาไฟนั้นเป็นเพื่อนเกลอกัน  ตามเรื่องว่าฤาษีสององค์นี้สร้างกุฏีอยู่ใกล้กันบนเขาใกล้เมืองศรีเทพ  ศิษย์ของฤาษีตาไฟเป็นลูกเจ้าเมืองศรีเทพ  ท่านออกจะรักและโปรดมากมีอะไรก็บอกให้รู้ไม่ปิดบัง  วันหนึ่งฤาษีตาไฟได้เล่าให้ศิษย์ฟังว่า  น้ำในบ่อสองบ่อที่อยู่ใกล้กันนั้นมีฤทธิ์อำนาจไม่เหมือนกัน  น้ำในบ่อหนึ่งเมื่อใครเอามาอาบก็จะตาย  และถ้าเอาน้ำอีกบ่อหนึ่งมารดก็จะฟื้นขึ้นมาได้อีก  ศิษย์ไม่เชื่อว่าจะเป็นไปได้  ฤาษีตาไฟจึงบอกว่าจะทดลองให้ดูก็ได้  แต่ต้องให้สัญญาว่าถ้าคนตายไปแล้ว  ต้องเอาน้ำอีกบ่อหนึ่งมารดให้คืนชีวิตขึ้นใหม่  ศิษย์ก็รับคำ  ฤาษีตาไฟจึงเอาน้ำในบ่อตายมาอาบ ฤาษีก็ตายจริง ๆ  ฝ่ายศิษย์เห็นเช่นนั้นแทนที่จะทำตามสัญญา  กลับวิ่งหนีเข้าเมืองไปเสีย

กล่าวฝ่ายฤาษีตาวัว  ซึ่งเคยไปมาหาสู่ฤาษีตาไฟอยู่เสมอ  เมื่อเห็นฤาษีตาไฟหายไปผิดสังเกตุเช่นนั้นก็ชักสงสัย  จึงออกจากกุฏีมาตาม  เมื่อเดินผ่านบ่อน้ำตายเห็นน้ำในบ่อเดือดก็รู้ว่าเกิดเหตุร้ายขึ้นแล้ว  เดินต่อไปอีกก็พบซากศพของฤาษีตาไฟ  ฤาษีตาวัวจึงตักน้ำอีกบ่อหนึ่งมาราดรด  ฤาษีตาไฟก็ฟื้นคืนชีพขึ้นมา  แล้วเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฤาษีตาวัวฟังแล้วว่าจะต้องแก้แค้นศิษย์ลูกเจ้าเมือง  ตลอดจนประชาชนพลเมืองทั้งหมดอีกด้วย  ฤาษีตาวัวก็ปลอบว่าอย่าให้มันรุนแรงถึงอย่างนั้นเลย  ฤาษีตาไฟก็ไม่เชื่อฟัง  ได้เนรมิตวัวขึ้นตัวหนึ่ง  เอาพิษร้ายบรรจุไว้ในท้องวัวจนเต็ม  แล้วปล่อยวัวกายสิทธิ์ให้เดินขู่คำรามด้วยเสียงกึกก้องทั้งกลางวันกลางคืน  แต่เข้าเมืองไม่ได้เพราะทหารรักษาประตูปิดประตูไว้  พอถึงวันที่เจ็ดเจ้าเมืองเห็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็สั่งให้เปิด  วัวกายสิทธิ์คอยทีอยู่แล้ว  ก็วิ่งปราดเข้าเมือง  ทันทีนั้นท้องวัวก็ระเบิดออก  พิษร้ายก็กระจายพุ่งออกมาทำลายผู้คนพลเมืองตายหมด  เมืองศรีเทพก็เลยร้างมาแต่ครั้งนั้น

ถ้าว่าตามเรื่องที่เล่ามานี้  ฤาษีตาวัวก็ดูจะใจดีกว่าฤาษีตาไฟ  และคงจะเป็นด้วยฤาษีตาวัวเป็นผู้ช่วยให้ฤาษีตาไฟฟื้นคืนชีพขึ้นมานั่นเองกระมัง  ทางฝ่ายแพทย์แผนโบราณจึงได้ถือเป็นครู ส่วนทางฝ่ายทหารออกจะยกย่องฤาษีตาไฟดังมีมนต์บทหนึ่งกล่าวไว้ในตำราพิชัยสงคราม “ขอพระศรีสุทัศน์เข้ามาเป็นดวงใจ  พระฤาษีตาไฟเข้ามาเป็นดวงตา”  ดังนี้

ในตำราเกี่ยวกับเวทย์มนต์คาถาว่าพระฤาษีตาไฟได้ให้ยันต์ไว้  เรียกกันว่ายันต์พระฤาษีตาไฟ  ถ้าผู้ใดได้พบจะมิรู้ยากรู้จนเลย  ตีราคาไว้ชั่งทอง ๑  ว่าให้ทำยันต์นั้นใส่ลงในตลับขี้ผึ้งก็ได้  แต่ถ้าจะให้ผู้หญิงรักให้เอาใบรักซ้อนห่อรูปไปฝังไว้ในป่าช้า ๓ วัน ๗ คืน  ท่านว่าหญิงนั้นจะเฉยอยู่มิได้  พระฤาษีตาไฟท่านให้ไว้เป็นทานแก่คนทั้งหลาย  ถ้าจะให้ขุนนางรัก  ท่านให้ลงใส่ในใบรักซ้อน แล้วเอามะกรูดส้มป่อยใส่ลงในขันสำริดเสก ๑๕ คาบ ไปหาขุนนางท่านรักนัก ยันต์นี้เสกด้วยคาถา”จิปีปีเสคิจด เสคิจิปิ คิจิปิเส” ในยันต์ก็ลงด้วยคาถานี้เหมือนกัน  ดังนี้จะเห็นว่าฤาษีตาไฟมาเกี่ยวข้องกับเวทมนต์คาถาและความเชื่อถือของไทยอยู่ไม่น้อย

“ซอสามสาย” สุดยอดแห่งซอ

ซอสามสาย


ในกระบวนซอของไทย   ซอสามสายนับว่าเป็นยอดของซอ  เพราะนอกจากจะสียากแล้ว  การทำซอก็ยาก  โดยเฉพาะกระโหลกซอต้องหาชนิดที่มีลักษณะพิเศษ

พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยโปรดซอสามสายมาก   ได้ทรงประดิษฐ์ขึ้นคันหนึ่งพระราชทานนามว่า “สายฟ้าฟาด”  สวนของผู้ใดมีมะพร้าวที่ใช้ทำกระโหลกซอสามสายได้  ก็โปรดพระราชทานตราภูมิคุ้มห้ามไม่ต้องเสียภาษี

 

วีรสตรีไทย”ท้าวสุรนารี”

ท้าวสุรนารี มีนามเดิมว่า “โม”  เข้าใจว่าเกิดเมื่อปีเถาะ พ.ศ. ๒๓๑๔  เป็นภรรยาพระยาสุริยเดชวิเศษฤทธิ์ทศทิศวิชัย(ทองคำ) ปลัดเมืองนครราชสีมา

ครั้นถึงรัชกาลที่ ๓ เจ้าอนุวงศ์เมืองเวียงจันทน์เป็นกบฎ  ยกกองทัพมายึดเมืองนครราชสีมา  กวาดต้อนชาวเมืองจะเอาไปไว้เมืองเวียงจันทน์  คุณหญิงโมได้คิดกลอุบายกำจัดหัวหน้าควบคุมได้สำเร็จ

รัชกาลที่ ๓ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งคุณหญิงโมเป็นท้าวสุรนารี  ปัจจุบันมีการฉลองสมโภชอนุสาวรีย์ในเดือนมีนาคม

เก็บความจาก  “สารานุกรมประวัติศาสตร์ไทย”  โดย  ส.พลายน้อย

สถาปัตยกรรมสมัยสุโขทัย”วัดเจดีย์ยอดทอง”

วัดเจดีย์ยอดทอง เป็นวัตถุที่ตั้งอยู่นอกกำแพงเมืองพิษณุโลก  โดยมีถนนพญาเสือ ผ่านไปทางเดียวกับวัดอรัญญิก  วัดเจดีย์ยอดทองในปัจจุบัน  เหลือเจดีย์ทรงดอกบัวตูมเพียงองค์เดียว  ที่เป็นศิลปะสมัยสุโขทัย  ฐานกว้างประมาณ  ๙  เมตร  สูง  ๒๐ เมตร  เฉพาะยอดทรงดอกบัวตูมนั้นได้เห็นรอยกระเทาะปูน  ทำให้แลเห็นการเสริมยอดโดยการพอกปูนเพิ่มที่ยอดตอนแหลมของดอกบัวตูม

โบราณวัตถุสถาน“พระปรางค์วัดจุฬามณี”

“พระปรางค์วัดจุฬามณี”

จากโบราณวัตถุสถานที่เก่าแก่ที่สุดที่เหลืออยู่ที่วัดจุฬามณี  คือ  ซากพระปรางค์ติดกับวิหารซึ่งก่อสร้างด้วยศิลาแลง  ทั้งยังก่อศิลาแลงดังกล่าวโดยไม่ใช้ปูนสออีกด้วย  น่าเชื่อได้อีกอย่างหนึ่งว่า โบราณสถานแห่งนี้คงจะสร้างขึ้นในสมัยลพบุรี  ราว พ.ศ. ๑๕๐๐-๑๗๐๐  และคงจะเป็นฝีมือของพวกขอมเหมือนกับพระปรางค์ที่ลพบุรีและที่อื่น ๆ ที่เข้าใจกัน  ว่าขอมได้สร้างไว้สำหรับบริเวณวัดจุฬามณีนี้  คงจะเป็นเมืองเมืองหนึ่งในสมัยนั้นด้วยก็ได้  และคงเป็นเมืองเล็ก ๆ  ไม่ใหญ่โตมากนัก  อาจกล่าวได้ว่าเป็นเมืองเก่าแก่ที่สุดของเมืองพิษณุโลกก็ได้  และอาจมีชื่อว่าเมืองสองแคว  ตั้งแต่ตอนนั้นก็อาจเป็นได้เช่นกัน

สมเด็จฯ  กรมพระยาดำรงเดชานุภาพ ได้ทรงนิพนธ์ไว้ในหนังสือเที่ยวตามทางรถไฟตอนหนึ่งขอคัดมาลงไว้  ซึ่งมีข้อความดังนี้

“เรื่องตำนานเมืองพิษณุโลก  ตอนก่อนสร้างพระนครศรีอยุธยานั้น  มีหลักฐานปรากฎว่าเมืองพิษณุโลกนี้พวกขอมสร้าง  แต่ในชั้นเดิมจะเรียกว่าเมืองอะไรหาทราบ  ไม่ปรากฎหลักฐาน  แต่ว่าเมืองเดิมอยู่ริมน้ำข้างฝั่งตะวันออกที่ตรงวัดจุฬามณีใต้เมืองเดี๋ยวนี้ลงไปทางลำน้ำ ประมาณ  ๘  กิโลเมตร  เพราะยังมีเทวสถานของขอม  ซึ่งแก้ไขแปลงเป็นพระปรางค์ขนาดย่อมยอดเดียว    ส่อให้เห็นว่าเมืองพิษณุโลก  เมื่อครั้งขอมเป็นแต่เมืองน้อย  คงเป็นเพราะในสมัยนั้นที่แผ่นดินยังเป็นลุ่มเป็นทะเลอยู่มาก  ตรงที่สร้างเมืองเห็นจะเป็นชายทะเลทางข้างตะวันออก”

“มารยาทไทย การส่งและรับของ”

“มารยาทไทย  การส่งและรับของ”

ก.  ส่ง-รับของให้ผู้ใหญ่ที่นั่งกับพื้น  เดินเข้าไปในระยะพอควร  แล้วเดินเข่าเข้าไปนั่งพับเพียบ(เก็บเท้า) วางของลงทางขวามือ กราบหรือไหว้ผู้ใหญ่(ดูตามอาวุโส) แล้วส่งของให้ผู้ใหญ่  กราบหรือไหว้อีกครั้งหนึ่งเพื่อลากลับ  วิธีรับของจากผู้ใหญ่  ทำเหมือนกับการส่ง  ต่างกันที่กราบหรือไหว้ก่อนแล้วจึงรับของ วางของทางขวามือ กราบหรือไหว้อีกครั้งหนึ่ง

ถ้าเป็นผู้มีอาวุโสมาก  เมื่อเข้าไปใกล้แล้วควรนั่งลงวางของแล้วกราบเสียก่อน  แล้วจึงส่งให้ เมื่อจะกลับก็กราบเป็นการลาเสียก่อน  การส่งของควรน้อมตัวส่งสองมือ  ถ้าส่งมือเดียว  ควรลงศอกแขนซ้าย  หันหน้าไปทางผู้รับเสมอ

ข.  ส่ง-รับของให้ผู้ใหญ่ที่นั่งบนเก้าอี้  ผู้ส่งเดินเข้าไปใกล้ ย่อตัวหรือลงเข่า  โดยทิ้งเข่าซ้ายถึงพื้น เข่าขวาตั้ง(ถ้าพื้นสะอาด) ส่งของให้ผู้ใหญ่ เสร็จแล้วถึงไหว้

ถ้าเข้าไปรับของ เมื่อเข้าไปใกล้ใช้วิธีย่อตัวหรือลงเข่าแบบเดียวกันกับการส่งของ  แต่ต่างกันที่ให้ผู้รับไหว้เสียก่อนแล้วจึงยื่นมือรับของ