ของเดิมที่ข้าพเจ้าเคยเห็นทำกันเช่นนี้คือ ตัดไม้มาทำเป็นรูปคล้ายเรือโกลน ๒ ท่อน ทำให้หัวท้ายสูงคล้ายเรือโกลนยาวประมาณ ๕-๖ เมตร แล้วเจาะที่ปักเสา สร้างเป็นรูปเหมือนรูปเวชยันต์ มี ๒ ชั้น ๆ ล่างใช้เชือกประกอบดึงกันด้วย ขันชะเนาะให้แน่น ตอกหลักปักเสาให้แข็งแรงกันมิให้หลุดได้ ส่วนชั้นบนนั้นเรียบด้วยกระดานหรือฟากทำด้วยไม้ไผ่ และมีพะนักหรือฝาล้อมรอบ สูงจากพื้นบนประมาณเสมอสะเอว ภายนอกทั้งชั้นล่างและชั้นบนมีฝาปิดมิดชิด เรียกว่าแผง แผงนี้มีการประกวดฝีมือ สานด้วยไม่ไผ่ให้มีลวดลายต่าง ๆ
บนชั้นบนมีสิ่งหนึ่งรูปเหมือนธรรมาสน์ที่พระนั่งเทศนา วางอยู่ส่วนหลัง ข้างบนมียอดรูปคล้ายยอดปราสาทชาวพื้นเมืองเรียกว่า “ยอดนม” ยอดนมนี้ทำประกวดกันมาก มีลวดลายและวิธีทำต่าง ๆกัน มักเลือกเอาฝีมือช่างที่ดี เพื่อเวลาลากพระไปเทียบกันหลาย ๆวัดจะได้ไม่น้อยหน้าวัดอื่น ๆ ภายในธรรมาสน์นี้เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปยืนในวันลากพระ ซึ่งจะได้กล่าวต่อไปตามข้าง ๆ โดยรอบของชั้นบนมีธง ๓ ชายปักไว้ มีสีต่าง ๆ กัน เมื่อถึงวันลากเอากลองใหญ่ ๑ ใบ (ตะโพน) บางที ๒ ใบ วางไว้ที่มุมข้างหน้า แล้วมีกลองเล็ก ๑ ใบ มีคนนั่งตีอยู่ข้างหน้าพระเป็นกลองนำ ตีคล้ายเวลาคุมพระ แล้วยังมีฉิ่งและระฆังเล็กอีกสำหรับเป็นเครื่องประโคมในวันลากนั้น กับางทียังมีโทนอีกซึ่งชาวพื้นเมืองเรียกว่า “ทับ” ตีเข้าจังหวะกับกลองก็น่าฟังอยู่บ้าง
ส่วนเรือโกลนซึ่งข้าพเจ้าได้กล่าวมาแล้วนั้น เป็นส่วนที่ติดกับพื้นดินทั้ง ๒ ข้าง สำหรับรองลาก คนพื้นเมืองเรียกว่า “หัวเรือ” ทำเป็น ๔ เหลี่ยม หัวท้ายสูงเป็นรูปงอนขึ้นไป ที่หัวเรือนี้ ถ้าที่ตัวทำเป็นรูปเกล็ดพระยานาค ที่หัวก็มีนาคแกะเป็นลวดลายสวยงามมาก บางทีทำเป็นหัวจระเข้ และหัวสัตว์ต่าง ๆ ตามที่คิดเห็นว่าตัวมันยาวให้สมกัน บางทีก็ทำโกลนไว้เฉย ๆ ให้หัวสูงเป็นแต่งอนขึ้นก็มีแต่ไม่สวยงาม ส่วนข้างหัวเป็นอย่างไร ท้ายมักเป็นหางของสิ่งนั้น เช่น หัวนาค หางก็เป็นหางของสิ่งนั้น เช่น หัวนาค หางก็เป็นหางนาคดังนี้ เป็นต้น
ส่วนเชือกที่ใช้ลาก ฟั่นด้วยหวาย โตประมาณเท่าข้อมือ ยาวประมาณ ๑๐ วา ผูกเข้ากับหัวเรือทั้ง ๒ ข้าง เชือกลากนี้ถ้ารวมเข้าแล้วคนหนึ่งแบกไม่ไหว ต้องให้หาม ๒ คน เครื่องประกอบจนเป็นรูปร่างขึ้นทั้งหมดนี้ ข้าพเจ้าขอเรียกว่า “รถลาก” ต่อไป (ชาวพื้นเมือง เรียกว่า ร้านม้า)
เครื่องประกอบทั้งหลายที่กล่าวมานี้ล้วนแต่ทำกันแข็งแรงแน่นหนา เพราะครั้งโบราณไม่มีถนน การลากพระต้องลากไปตามท้องนาและแนวทาง ต้องขึ้น ๆ ลง ๆ จะทำล้อลากไปเหมือนเวชยันต์นั้นไม่ได้ จึงต้องใช้เชือกและทำรถลากอย่างแข็งแรง มาสมัยนี้มีถนนหนทางไปมาสะดวกเข้า วัดที่ตั้งอยู่ริมถนนก็หาวิธีลากให้ได้เร็วและไม่ต้องใช้คนลากมาก จึงใช้ล้อแทนเป็นการเร็วและสะดวกดี
ส่วนลากทางเรือนั้น การประกอบอย่างอื่นก็คล้าย ๆกัน ผิดกันแต่ไม่ต้องมีแผงและหัวเรือ เพราะสิ่งทั้งหมดนั้นใช้เรือแทน เรือที่ใช้แทนนั้นถ้าเป็นแม่น้ำใหญ่ก็ใช้เรือใหญ่ ถ้าแม่น้ำเล็กก็ใช้เรือเล็ก ๆ ลงไปตามต้องการ แต่ข้าพเจ้าจะไม่กล่าวพิศดารสำหรับการลากพระเรือ
Leave a Reply