เมื่อพระฉันเพลแล้ว พลเมืองมาจากไหนต่อไหนประชุมกันอยู่มากมาย พวกพ่อค้าแม่ค้าต่างก็นำขนมมาขายคล้าย ๆ กับขนมที่ตั้งขายในงานต่าง ๆในกรุงเทพฯ ลากพระหยุดพักอยู่จนเที่ยงวันไปแล้ว แล้วจึงลากพระกลับเรียกว่า “ลากพระกลับหลัง” พลเมืองนับถือเป็นคติกันมาว่า ฝนมักตก จนพูดติดปากกันมาว่า “พระให้หลังฝนตก” แต่ถ้าฝนตกก็หมดสนุกถ้าฝนไม่ตกเมื่อพระที่ลากมาหยุดรวมกัน ต่างก็แยกย้ายกันไปแล้ว ใครพอใจวัดไหนมากก็ตามไปลากพระวัดนั้น พอลากจากที่หยุดจนเวลาประมาณ ๑๔ นาฬิกา ก็หยุดเตรียมซัดข้าวต้มแข่งขันกัน ที่ซัดข้าวต้มถือเอาหน้ารถลากเป็นเวทีใช้เชือกลากเป็นเขต ของที่ใช้ซัดกันเรียกว่าลูกต้ม ห่อด้วยใบตาลโตนด ภายในบรรจุทรายหรือข้าวสุกที่แห้งแล้ว ซึ่งแช่น้ำให้พอง ลูกต้มนี้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ผู้จัดการลากพระจะต้องเตรียมทำมา
เมื่อตกลงคู่แข่งขันกันได้แล้ว แจกลูกต้มให้ข้างละ ๑๐ หรือมากกว่านั้น ฝูงคนมาห้อมล้อมกันมองดูเป็นการสนุกยืนห่างกันประมาณ ๕-๖ วา ข้างไหนมีฝีมือ ก็ซัดแม่นอาจจะถูกอีกฝ่ายหนึ่งได้ เป็นการมีชัย ถ้าทั้ง ๒ ฝ่ายมีฝีมือเหมือนๆ กัน ก็เสมอกันไป ลูกต้มที่ใช้ซัดกันนี้มีน้ำหนักพอกับกำลัง แต่พวกนักกีฬาจำพวกนี้แข็งแรง ทั้งซัดและรับมิให้ถูกตัวได้ด้วยความสามารถ เพราะต่างก็ได้ฝึกหัดมาจนกำลังแขนแข็งแรงมากแล้วทั้งนั้น
เมื่อซัดข้าวต้มกันพอเห็นฝีมือกันแล้ว ก็ลากพระต่อไป พอได้ระยะก็จัดคู่ซัดข้าวต้มใหม่ ลากไปซัดข้าวต้มไปเช่นนี้จนเกือบถึงวัดก็จวนเวลาย่ำค่ำ จึงเลิกซัดข้าวต้มกัน เป็นอันหมดวิธีลากพระบกเพียงนี้
ส่วนพระเรือก็ลากกลับวัดเหมือนการลากพระบก ตอนกลับนี้จะได้เห็นการแข่งเรือกันเรื่อย ๆ ไป จนจวนจะค่ำ ลากพระถึงวัดแล้วจึงหยุดการแข่งเรือ หมดวิธีลากพระเรือเพียงเท่านี้เหมือนกัน
ต่อจากนี้ เจ้าหน้าที่ก็เชิญพระลากจากรถลากไปไว้ที่เดิม ส่วนรถลากก็รื้อออก เก็บไว้สำหรับจะได้ใช้ลากในปีต่อไปอีก