ในคืนวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ ราษฎรพลเมืองก็เตรียมของทำบุญเรียกว่าทำต้ม (ทำข้าวต้ม) ทำวิธีต่าง ๆกัน คือ ทำต้มด้วยข้าวเหนียวห่อด้วยใบกะพ้อ และบางทีก็ห่อด้วยใบตาลโตนดหรือใบมะพร้าวแล้วแต่ใครจะทำอย่างไรก็ได้ แต่ผลที่สุดเป็นข้าวต้มก็แล้วกัน
พอวันรุ่งขึ้นซึ่งเป็นวันปวารณาออกพรรษาและวันลากพระ ชาวบ้านก็ทำบุญตักบาตรด้วยข้าวต้มนั้นเป็นพิธีครั้งที่ ๑ ในวันนั้น พอตักบาตรพระแล้ว ในวันนั้นหยุดงานหยุดการหมด ฤดูนี้บางจังหวัดถึงฤดูทำนา แต่ชาวบ้านหยุดทำนาในวันนั้น ต่างก็แต่งตัวอย่างเรียบร้อย หาลูกพาหลานไปลากพระตามวัดที่ใกล้ ๆ
พอประมาณ ๙ น. ชาวบ้านทั้งผู้หญิงผู้ชายมาช่วยลากพระจากวัดไปถึงที่หยุดซึ่งที่หยุดนั้นมักเป็นย่านกลางของวัดต่าง ๆ บางแห่งการลากไปรวมกันตั้ง ๓-๔ วัดก็มี เช่นนี้เป็นการสนุกสนานมาก ที่จะได้เห็นฝีมือการช่างทำรถลากด้วยฝีมืออันวิจิตร ทั้งยังได้ฟังเสียงกลองดังสนั่นประชันแข่งขันกันไปด้วย ราษฎรก็ต่างไปประชุมกันที่นั่นมาก พระภิกษุสามเณรก็ออกจากวัดตามรถลากหรือบางทีนั่งบนรถลากไปประชุมให้ชาวบ้านทำบุญที่ลากพระไปหยุดนั้นด้วย ที่พระไปหยุดบางแห่งมีศาลา บางแห่งไม่มีศาลา แต่ก็ได้อาศัยร่มไม้เป็นที่ทำบุญ เรียกตามความเข้าใจของพลเมือง การที่ลากพระมาหยุดกันนั้นเรียกว่ามา “สมโภช”
พอเวลา ๑๑ นาฬิกาลากพระมาถึงพร้อมกันที่หยุด ชาวบ้านก็ทำบุญตักบาตรถวายเข้าต้มพระอีกเป็นครั้งที่ ๒ และพระที่มาจากวัดก็มาฉันเพลที่นี้ด้วย
ระหว่างที่กำลังลากพระยังไม่ถึงที่หยุดนั้น ชาวบ้านที่เอาข้าวต้มไปถวายพระ ไม่ต้องการจะไปทำบุญตักบาตร ก็ทำเป็นพวงพากันไปแขวนไว้บนรถลาก พวกศิษย์วัดก็เอาจัดแจงใส่ที่ไว้สำหรับนำไปถวายพระต่อไป เรียกวิธีนี้ว่า “ต้มแขวนหน้าพระ”
ขณะที่กำลังฉันเพลนั้น กลองที่กำลังตีแข่งกันอยู่นั้นก็หยุดจนพระฉันเพลแล้วเสร็จจึงเริ่มตีต่อไป
Leave a Reply