วันที่ทำกันมาแต่ครั้งโบราณนั้นคือ วันแรม ๑ ค่ำเดือน ๑๑ คือวันปวารณาออกพรรษาเสมอ ก่อนจะถึงวันลาก ๗ วัน คือตั้งแต่เดือน ๑๑ ขึ้น ๘ ค่ำ วัดไหนที่จะลากพระก็ตีกลองประจำให้มีเสียงดังคล้ายกับประกาศว่า วัดนี้จะมีการลากพระ ชาวบ้านจะได้ทราบวิธีเช่นนี้ คนพื้นเมืองเรียกว่า “การคุมพระ” วิธีที่ตีคุมพระนั้นคือใช้กลอง ๒ ใบ เล็กใบหนึ่งเรียกว่า “กลอง” ใหญ่ใบหนึ่งรูปคล้ายกลองเหมือนกันแต่คนพื้นเมืองเรียกว่า “โพน” (ตะโพน) ซึ่งไม่ผิดอะไรกับกลองเลย วิธีตีคือตีกลองใบเล็กเป็น ๑ คู่ มีคนตีกลองใหญ่ซ้ำอีก ๑ ที เป็นเช่นนี้สลับเรื่อย ๆ กันไป และบางครั้งตีรัวพร้อม ๆ กันไปตลอดวัน ที่ไหนมีวัดที่มีการลากพระมาก จะได้ยินแต่เสียงกลองสนั่นหวั่นไหววันยังค่ำ แถมในเวลากลางคืนพวกชาวบ้านและพวกศิษย์วัดนัดตีกลองแข่งขันกันว่าของใครจะดังมากกว่ากัน นัดแนะกันไปแข่งขันให้ไกลออกไปจากวัด การแข่งขันกันนี้เป็นเหตุให้ประกวดการสร้างกลองให้แข็งแรงและมีเสียงดัง จะได้มีชื่อว่า มีกลองดังชนะวัดนั้น ๆ ครั้งก่อน ๆมา ในการแข่งขันกันนี้มีวิธีแปลก ๆ มาก โดยหาวิธีจะทำให้กลองคู่แข่งขันทะลุ และยังเตรียมกลองหนา ๆ กันมาไว้อีก เพื่อเสียงแพ้แล้ว จะได้ชวนเอากลองโดนกันอีก เพื่อว่าของใครจะทนทานกว่ากันเป็นการสนุกมาก แต่บัดนี้วิธีเช่นนี้ไม่ค่อยจะมีเสียแล้ว เพราะทางบ้านเมืองห้าม กลัวจะเกิดวิวาทกันขึ้น บางอำเภอวัดไหนจะมีการลากพระต้องของอนุญาตต่ออำเภอ นายอำเภออนุญาตให้ลากจึงลากได้
ในระหว่างที่คุมพระอยู่นี้วัดที่มีการลากพระก็เตรียมการ คือทำที่สำหรับลากพระ
นอกจากแรม ๑ ค่ำเดือน ๑๑ แล้ว ยังมีการลากพระเดือน ๕ อีก เริ่มคุมพระแต่ขึ้น ๘ ค่ำเดือน ๕ จนถึงวันแรม ๑ ค่ำ ก็ถึงวันลาก พิธีคุมพระและอย่างอื่นเหมือนกันกับเดือน ๑๑
ส่วนลากพระทางเรือนั้นเดือน ๕ ไม่ค่อยมีเพราะน้ำแห้ง นานมา ๆ จนทุกวันนี้ บางแห่งลากพระทางบกก็ดี ลากพระทางเรือก็ดี ทำกันไมมีข้อยุติ ใครนึกจะลากเมื่อใดก็ลากกัน เป็นการทำเพื่อต้องการทำบุญและการรื่นเริง