นับตั้งแต่คนไทยรับนับถือพระพุทธศาสนาอย่างเป็นหลักฐาน ซึ่งรู้ได้ทางประวัติศาสตร์(ราว พ.ศ. ๖๑๒) ในสมัยอาณาจักรอ้ายลาว จนถึงปัจจุบัน คนไทยมิเคยทอดทิ้งพระพุทธศาสนาเลย ยังคงเคารพนับถือรักษาไว้ เป็นมรดกตกทอดมาจนบัดนี้ จนพระพุทธศาสนาแทรกซึมไปในส่วนต่างๆ ของชีวิต จนกลายเป็นโครงร่างของสังคมไทย พระพุทธศาสนาได้ให้ประโยชน์ต่อคนไทยเหลือประมาณ จนมีผู้รู้กล่าวว่า ถ้านำพระพุทธศาสนาออกจากคนไทยแล้ว คนไทยก็แทบไม่มีอะไรติดตัว คนไทยมีส่วนเกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาตั้งแต่ก่อนเกิดจนตาย เช่น ในการแต่งงานก็นิมนต์พระไปสวดมนต์ให้ศีลให้พร และสอนธรรมให้โอวาทแก่คู่บ่าวสาว เวลาตายก็นิมนต์พระไปสวดมนต์ และสอนธรรมให้แก่คนในครอบครัว ญาติ และเพื่อนของผู้ตาย ได้คลายความทุกข์ แม้ในคำไทยก็ปรากฏว่ามีภาทางศาสนาปะปนอยู่เป็นจำนวนมาก เช่น คำว่า สุข ทุกข์ อาหาร ภาษา ชาตะ มตะ รสนิยม เป็นต้น จนบางคนไม่รู้ว่าคำนั้นๆ เป็นภาษาต่างประเทศ แต่นึกว่าเป็นคำไทยแท้
แต่เมื่อกล่าวโดยเฉพาะส่วน ด้วยถือหลักวัฒนธรรมไทยทั้งสี่ คือ ทางคติธรรม เนติธรรม สหธรรม และวัตถุธรรมแล้ว ก็พอสรุปได้ว่า พระพุทธศาสนาได้ให้สิ่งต่างๆ แก่คนไทยดังต่อไปนี้
ทางคติธรรม
พระพุทธศาสนาได้ทำให้คนไทยมีคติประจำใจในการพึ่งตนเองบ้าง ในการแก้ความผิดหวังบ้าง ในการแก้ทุกข์กายใจอย่างหนัก เมื่อหมดวิธีแก้อย่างอื่นบ้าง ด้วยให้ยอมรับความจริงของชีวิตและรู้จักคิด เช่น คิดว่าเราต้องพึ่งตนเอง ต้องยืนอยู่บนขาของตัวเอง(มาจากพุทธภาษิตว่า อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเองเป็นที่พึ่งของตน) หรือว่าชีวิตไม่เที่ยงแท้แน่นอน ความรักคล้ายสายน้ำไหล ใดใดในโลกล้วน อนิจจัง(มาจากหลักไตรลักษณ์ คือ อนิจฺจํ ไม่เที่ยง ทุกฺขํ คงอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ อนตฺตา เป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจ เป็นต้น หรือหลักโลกธรรม ๘ ประการ มีความได้ความเสีย เป็นต้น อันเป็นธรรมดาของโลก หรือคิดว่านี่เป็นกรรมของเรา(มาจากหลักกรรมในพระพุทธศาสนา) เหล่านี้ เป็นต้น
การแก้ปัญหาชีวิตด้วยวิธีมีคติประจำใจดังกล่าวนี้ ทำให้คนไทยทั่วไปเป็นนักสู้ความจริง ยิ้มสู้อยู่เสมอ ที่นำมากล่าวนี้เป็นเพียงส่วนเล็กน้อยเท่านั้น ที่พระพุทธศาสนาได้ให้คติสำหรับคิดแก่คนไทย
ทางเนติธรรม
หลักการปกครอง หรือบริหารของไทยนั้น นักปกครองชาวไทยมีพระเจ้าแผ่นดิน เป็นต้น ย่อมประกอบด้วยธรรมหลายประการ เป็นต้นว่า ทศพิธราชธรรม ได้แก่
๑. ทาน คือให้การทะนุบำรุงให้ประชาราษฎร์มีความสุข เป็นต้น
๒. ศีล คือมีความประพฤติดี
๓. บริจาค คือเสียสละความสุขส่วนตัวเพื่อประชาราษฎร์
๔. อาชวะ คือ ซื่อตรงยุติธรรม
๕. มัทวะ คือสุภาพต่อประชาราษฎร์ เหมือนกับคนในครอบครัว
๖. ตปะ คือมีความบากบั่น
๗. อักโกธะ คือ ไม่ดุร้าย ไม่เจ้าอารมณ์
๘. อวิหิงสา คือ ไม่เบียดเบียนข่มเหง
๙. ขันติ คือความอดทน
๑๐. อวิโรธะ คือมั่นคงในธรรมสำหรับปกครอง
พระเจ้าแผ่นดินไทยนั้น ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก จะมีพระราชดำรัสแก่ประชาชนว่า “เราจักปกครองแผ่นดิน(ประชาชน) โดยธรรม”
และ จักรวรรดิวัตร ๑๐ ประการ คือ
๑. อันโตชน สงเคราะห์ชนภายใน
๒. พลกาย บำรุงกองทัพให้เจริญรุ่งเรือง
๓. ขัตติย สงเคราะห์ชนชั้นปกครองและนักรบ
๔. อนุยันต สงเคราะห์ข้าราชการ และเอื้อเฟื้อดูแลข้าราชบริพาร
๕. พราหมณคหปติก สงเคราะห์คฤหบดี
๖. เนคมชานปท สงเคราะห์ชาวนิคมและชาวชนบท คือประชาชน
๗. สมณพราหมณ อุปถัมภ์สมณชีพราหมณ์ คือ นักบวช
๘. มิคปักขี สงเคราะห์สัตว์
๙. มา อธมฺมกาโร ปวตฺติตฺถ ไม่ทำทุจริตผิดทำนองคลองธรรม
๑๐. ธนํ อนุปฺปทชฺเชยฺยาสิ จ่ายทรัพย์สงเคราะห์คนยากจน
และยังมี ราชสังคหธรรม ๔ ได้แก่
๑. สัสสเมธะ คือ ฉลาดในการเกษตรกรรม
๒. ปุริสเมธะ คือ ฉลาดในการปกครองทำนุบำรุงประชาราษฎร์ และรู้จักใช้คน
๓. สัมมาปาสะ คือ ฉลาดในการกระทำเพื่อยึดเหนี่ยวน้ำใจคน
๔. วาจาเปยยะ คือ เจรจาดีมีคุณค่า ให้เกิดความรักความสามัคคี เป็นต้น
หลักเว้นอคติ คือ ความลำเอียงเพราะชอบ ไม่ชอบ หลงไม่เข้าใจเรื่อง และเพราะกลัว
และหลัก นิคฺคยฺหิ นิคฺคยฺหารหํ เป็นอาทิ คือ ข่มลงโทษผู้ที่ควรข่มหรือลงโทษ ควรยกย่องผู้ที่ควรยกย่อง(อุ.ม.)
ไม่ว่าจะเป็นสมัยราชาธิปไตย หรือประชาธิปไตย ผู้ปกครองหรือผู้บริหารแผ่นดินไทยทุกท่าน ต่างใช้ธรรมดังกล่าวแล้วเป็นหลักปกครองบ้านเมือง และหลักธรรมดังกล่าวก็เป็นของพระพุทธศาสนา
ส่วนพื้นฐานแห่งกฎหมายนั้น ก็อาศัยธรรมดังกล่าวแล้ว และอาศัยศีล ๕(มีห้ามฆ่า ห้ามทำร้าย ห้ามลัก ห้ามโกง ห้ามทำผิดทางเพศ ห้ามปด ห้ามดื่มสุรายาเมา) เป็นหลัก
ทางสหธรรม
พระพุทธศาสนาทำให้คนไทยมีหลักสำหรับอยู่ร่วมกัน เช่น แสดงหน้าที่ของคนในสังคม ความสามัคคี และประเพณี เป็นต้นว่าประเพณีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือกัน ความมีน้ำใจต่อกัน ขอกันกินได้ มีความเกรงใจกัน ข้อนี้ก็มาจากสังคหวัตถุ(จตุ.อัง.) ความรู้บุญคุณคนก็มาจากเรื่องกตัญญูกตเวที(ทุก.อัง.) ประเพณีการทอดกฐินก็เนื่องด้วยพระพุทธศาสนาอีก(กฐิน.มหา.วิ.) และหน้าที่ของบุคคลในสังคมนั้นๆ ที่พึงปฏิบัติต่อกัน(ปาฏิ.ที.) เหล่านี้เป็นต้น แม้ประเพณีเผาศพก็ถือคติอย่างถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ
ทางวัตถุธรรม
วัตถุที่ได้มีขึ้นในประเทศไทยจากการสร้างของคน เพราะอิทธิพลของพระพุทธศาสนานั้นมีมากเหลือคณานับ เป็นต้นว่า
ด้านสถาปัตยกรรม เช่น การที่ชาติไทยมีโบสถ์ วิหาร ศาลา เรือสุพรรณหงส์ เจดีย์ เป็นต้น(เจดีย์ที่สูงที่สุดในโลกคือ พระปฐมเจดีย์ ซึ่งสูงประมาณ ๓๘๐ ฟุต) มีโบสถ์วัดพระแก้ว(บัดนี้ถือว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลก)
ด้านประติมากรรม เช่น มีพระพุทธรูป เป็นต้น(พระพุทธรูปนั่งที่ใหญ่ที่สุดในไทย คือ พระพุทธรูปที่วัดจันทรนิมิต อ.เมือง จ.ลพบุรี และพระพุทธรูปที่วัดเทพพิทักษ์ปุณณาราม อ.ปากช่อง จ. นครราชสีมา สุงประมาณ ๑๔๕ ฟุต และพระพุทธรูปที่งามที่สุดในโลก คือ พระพุทธชินราช จังหวัดพิษณุโลก พระพุทธรูปยืนที่สูงที่สุดอยู่ที่จังหวัดร้อยเอ็ด สูงกว่า ๑๐๑ ศอก พระแก้วมรกตเป็นพระพุทธรูปที่มีค่ามากที่สุดในโลก เป็นต้น)
ด้านวรรณกรรม เช่น มีหนังสือมหาชาติ สามัคคีเภทคำฉันท์ ไตรภูมิพระร่วง ปฐมสมโพธิกถา จันทโครพ และสังข์ทอง เป็นต้น
ด้านสังคีตศิลปะ เช่น มีเพลงพระเจ้าลอยถาด เพลงตวงพระธาตุ เป็นต้น
ด้านนาฏศิลปะ เช่น มีรำพุทธบูชา
ด้านจิตรกรรม เช่น มีจิตรกรรมฝาผนังเรื่องพระพุทธประวัติบ้าง ทศชาติบ้าง เหล่านี้ล้วนเกิดมีขึ้นเพราะพระพุทธศาสนา
นักการเมืองชั้นนำของอินเดียอย่าง นางวิชัยลักษมี บัณฑิต ได้มาเยี่ยมประเทศไทยเมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ. ๒๕๑๑ และได้ให้สัมภาษณ์แก่นักข่าวว่า ประเทศไทยสามารถรักษาเอกราชไว้ได้ ในขณะที่ประเทศใกล้เคียงได้เสียอิสรภาพแก่ต่างชาติ ทั้งนี้เป็นเพราะมีพระพุทธศาสนาอยู่
และ ดร.โจฮันสฺ ยู. โคเบอรฺ ผู้เชี่ยวชาญทางอาชญากรเด็ก แห่งเมืองฟิลลาเดลเฟียในอเมริกา ซึ่งกรมประชาสงเคราะห์ไทยได้จ้างมาทำการวิจัยเรื่องอาชญากรเด็กของไทย ได้วิจัยเสนอท่านอธิบดี และรัฐมนตรีมหาดไทยของไทย เมื่อราวเดือนตุลาคม ๒๕๐๔ ได้ให้สัมภาษณ์แก่นักหนังสือพิมพ์ที่เมืองฟิลลาเดลเฟียว่า ต้องขอบคุณอย่างยิ่งต่อพระพุทธศาสนาที่สอนเน้นถึงการเคารพเชื่อฟังผู้ใหญ่ จึงทำให้เมืองไทยมีอาชญากรเด็กต่ำกว่าในเมืองฟิลลาเดลเฟีย การเคารพเชื่อฟังผู้ใหญ่เป็นเหตุสำคัญเพื่อความมั่นคงของสังคมและเศรษฐกิจ
ดินดีที่ปลูกอะไรก็ขึ้นนั้นต้องเป็นดินปนทราย ถ้าเป็นดินแท้เช่นดินเหนียว หรือเป็นทรายแท้ย่อมไม่ดี ดังนั้น ทางวัดจึงจัดประเพณีขนทรายเข้าวัด ดินในวัดจึงเป็นดินปนทราย ที่ปลูกอะไรก็ขึ้น วัดให้ตัวอย่างสำหรับแก้ปัญหาเรื่องดินที่ปลูกอะไรไม่ค่อยขึ้นแก่ชาวบ้านอย่างนี้
การสร้างที่อยู่อาศัยเพื่อสุขภาพนั้นก็ต้องดูทิศทางตะวันและลม ทางวัดมักสร้างโบสถ์หันหน้าไปทางตะวันออก หันหลังโบสถ์ไปทางตะวันตก หันข้างรับลมเหนือลมใต้ คนอยู่ในโบสถ์ย่อมเย็นสบาย วัดให้ตัวอย่างสำหรับสร้างที่อยู่อาศัยเพื่อสุขภาพของคนอยู่อย่างนี้
และวัดเก่าแก่นั้นมักมีหอไตร(ไตรปิฎก) สร้างไว้ในสระน้ำ หอไตรนั้นคือห้องสมุด การสร้างหอไตรไว้ในน้ำนั้น คือวิธีรักษาหนังสือไม่ให้เกิดเสียหาย เช่น ถูกปลวกกิน มดขึ้น
กล่าวอย่างต่ำ ฐาน พระ(ส้วม) ตั้งแต่สมัยยังไม่มีส้วมซึมนั้น มีใต้ถุนสูง ลมอากาศถ่ายเทสะดวกจึงไม่ค่อยมีกลิ่น ที่ถ่ายก็ทำแยกช่องอุจจาระ จากท่อหรือรางสำหรับปัสสาวะ ไม่ให้รวมกัน(เพราะถ้ารวมกันแล้วกลิ่นแรงผิดปกติมาก) มีตุ่มน้ำสำหรับล้าง มีที่สำหรับเท้าเหยียบ วัดให้ตัวอย่างแก่บ้านแม้กระทั่งเรื่องส้วม
พระพุทธศาสนาได้ให้สิ่งต่างๆ แก่คนไทย กล่าวโดยสังเขปได้ดังนี้
คำสั่งสอนของพระพุทธศาสนาโดยย่อ
คำสั่งสอนของพระพุทธศาสนา แม้จะมีมากถึง ๘๔,๐๐๐ อย่าง แบ่งตามลักษณะเป็น ๙ อย่าง มีพระสูตรเป็นต้น แต่เมื่อกล่าวโดยสรุปแล้วมีอยู่ ๓ ประการ คือ ละชั่วทั้งปวง ทำดีให้บริบูรณ์ ทำใจให้บริสุทธิ์มีวิมุติเป็นสาระสำคัญ แต่แบ่งได้อีกเป็น ศีล(หมายถึงวินัยด้วย) อันเป็นคำสั่งหรือข้อบังคับมิให้ทำ กับธรรม คือคำสั่งสอนหรือข้อที่ควรทำ
ธรรมแม้มีมาก แต่ก็แบ่งได้เป็นสองคือ เป็นธรรมที่ควรละเว้น กับธรรมที่ควรบำเพ็ญ หรือเป็นธรรมที่ให้ผลทางโลกคือ ขั้นโลกียะ หรือขั้นพื้นฐานคือ ขั้นมนุษยสมบัติ และเทวะสมบัติแก่ผู้ปฏิบัติ ผู้มีภาวะอย่างคนทั่วๆ ไปในโลก กับให้ผลทางธรรม หรือขั้นสูง คือ โลกุตระ หรือนิพพานสมบัติ สำหรับผู้ต้องการพ้นจากภาวะอย่างคนทั่วๆ ไป
พระพุทธเจ้าทรงนำเรื่องที่รู้ๆ มาสอน
ได้กล่าวแล้วว่าพระพุทธเจ้าทรงนำเรื่องที่มีอยู่แล้วมาสอน บางคนเมื่อเริ่มศึกษาพระพุทธศาสนาเกิดความรู้สึกว่า พระพุทธเจ้าทรงนำเรื่องที่รู้ๆ กันอยู่มาสอน เลยไม่สนใจ เพราะนึกว่าตนรู้แล้วไม่อัศจรรย์อะไร คนอย่างนี้น่าจะได้รู้สึกว่า ยังมีเรื่องอื่นอีกมากที่ตนยังไม่รู้ที่พระพุทธเจ้าทรงนำมาสอน และที่ว่าตนรู้นั้นก็ได้แค่รู้ แต่ไม่ได้คิด หรือรู้ไม่จริง เช่น รู้ว่าฝนตกก็รู้เท่านี้ ไม่ได้คิดว่าจะมีหลักความคิดอะไรเกี่ยวกับฝนตก(ไม่เหมือนพระพุทธเจ้า เช่น ทรงแสดงเรื่องฝนไว้ ๔ ประเภท และทรงเปรียบเทียบกับพฤติกรรมของบุคคล ๔ ประเภท ดังในบาลีจตุกกนิบาต อังคุตตรนิกาย เป็นต้น) หรือรู้แต่ว่าคนเกิดแล้วตาย ก็แค่นั้น ไม่ได้คิด หรือคิดให้รู้จริงว่าก่อนตายควรทำอย่างไร หรือจะตายอย่างไรดี หรือจะมีวิธีแก้การตายอย่างไรบ้าง อย่างพระพุทธองค์ทรงคิด
และความรู้ในเรื่องนั้นๆ ที่ตนนึกว่ารู้แล้ว ก็มักเป็นความรู้ที่เกิดขึ้นภายหลังจากเริ่มการศึกษาพระพุทธศาสนาหรือเพิ่งคิดได้เมื่อศึกษาแล้ว แต่เรื่องนี้เมื่อได้ศึกษาไป ปฏิบัติไปมากๆ ความคิดว่าพระพุทธเจ้าไม่เท่าไรนั้น ก็จะค่อยหมดไป และจะยิ่งเกิดความอัศจรรย์ในพระพุทธเจ้ามากยิ่งขึ้น
ดังนั้น ผู้ศึกษาใหม่จะต้องระวังในเรื่องนี้อย่าให้ความฉลาดของตนทำลายตนเองจนกลายเป็นคนโง่ไป
ของจำเป็นสำหรับชีวิตทางพระพุทธศาสนา
ของจำเป็นสำหรับชีวิตมีมาก แต่ที่จำเป็นแท้ๆ นั้น คนในปัจจุบันนี้ได้กำหนดไว้ว่ามี ๕ อย่างคือ เครื่องนุ่งห่ม อาหาร ที่อยู่อาศัย ยาสำหรับบำบัดความเจ็บไข้ และการสืบพันธุ์ แต่พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงว่า ของจำเป็นสำหรับชีวิตอย่างแท้จริง ถ้าไม่มีแล้วเป็นอยู่ไม่ได้ หรือเป็นอยู่ยากนั้นมี ๔ อย่างคือ เครื่องนุ่งห่ม อาหาร ที่อยู่อาศัย และยา สำหรับข้อที่ ๕ นั้นไม่จำเป็นอย่างแท้จริงเพื่อความมีชีวิตอยู่ เพราะเด็กเล็กและนักบวช แม้ไม่ต้องใช้ก็มีชีวิตอยู่ได้ แต่ถ้าจะกล่าวถึงแง่ความคงมีอยู่แห่งพลโลกแล้วก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ยาของพระพุทธศาสนา
ยาอย่างจำกัดที่สุด หาง่ายที่สุด ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ คือ ยาดองด้วยน้ำปัสสาวะ และอีก ๔ อย่าง คือ ปัสสาวะ อุจจาระ(เผา) เถ้า และดิน ของ ๔ อย่างนี้ใช้เป็นยาได้ ชื่อว่า ยามหาวิกัต ข้อนี้แสดงว่าพระพุทธองค์ทรงรู้วิชาการแพทย์เป็นอย่างดี แม้แต่ของต่ำๆ ๔ อย่างนี้ ก็ทรงทราบว่าทำยาแก้ไข้ได้(พระกัมมัฏฐานมักใช้ยาสมอดองด้วยน้ำปัสสาวะใช้แก้ไข้ หมอบางคนทำยาแก้ไข้ผสมด้วยอุจจาระเผาเป็นเถ้าถ่าน) เมื่อเป็นอย่างนี้ยาสูงๆ พระองค์ก็ย่อมทรงทราบแน่นอน และการที่ทรงแสดงเรื่องอาการ ๓๒ คือ อวัยวะในร่างกาย ๓๒ ส่วน เริ่มตั้งแต่อวัยวะภายนอก คือ ผม ขน เล็บ เป็นต้น ภายในมี กระดูก หัวใจ ปอด ม้าม เป็นต้น จนถึงอุจจาระเป็นที่สุด ข้อนี้แสดงว่าทรงทราบเรื่องสรีรวิทยา และยังมีเรื่องอื่นๆ อีกที่แสดงว่าทรงทราบเรื่องวิชาการแพทย์อย่างกว้างขวาง
ปัญหาของคนไทยผู้เริ่มศึกษาพระพุทธศาสนา
คนไทยผู้เริ่มศึกษาพระพุทธศาสนาและเริ่มฟังเทศน์ มักประสบปัญหาคือ ไม่ค่อยรู้เรื่อง ทั้งนี้เพราะเหตุหลายอย่าง โดยเฉพาะเหตุคือ ศัพท์ทางพระพุทธศาสนา ที่นำมาใช้ในภาษาไทย ที่แปรความหมายไปจากภาษาเดิม เช่นคำว่า
เวทนา ของเดิมเป็นภาษามคธ แปลว่า รู้สึกว่าทุกข์ รู้สึกว่าสุข เป็นต้น ในภาษาไทยนำมาใช้ แต่แปลความหมายใหม่เป็นความสงสาร
สัญญา ภาษาเดิมแปลว่า ความจำ แต่ในภาษาไทยนำมาใช้และแปลความหมายไปจากเดิมว่า ทำข้อตกลงกัน เมื่อพระเทศน์ในความหมายเดิมว่า สัญญา ไม่เที่ยง บังคับไม่ได้ ผู้ฟังคิดในความหมายใหม่ก็นึกค้านว่า ทำไมจะไม่เที่ยง ทำไมจะบังคับไม่ได้เมื่อผิดสัญญา สัญญาก็อยู่ในตู้กันภัย ไปคนละเรื่องอย่างนี้ จึงไม่รู้เรื่องกัน พระเทศน์ใช้คำว่าสัญญา ในความหมายเดิมของภาษามคธ แต่ผู้ฟังๆ ด้วยใช้ความหมายใหม่จะฟังด้วยความหมายเดิมก็ไม่มีความรู้ และไม่รู้ด้วยว่าความหมายเดิมเป็นอย่างไร
ดังนั้น ผู้เริ่มศึกษาพระพุทธศาสนา และเริ่มอยากฟังเทศน์ที่เป็นคนไทย จึงควรศึกษาเรื่องนี้ก่อน ให้มีความรู้เป็นพื้นฐาน เพื่อประโยชน์แก่การศึกษาพระพุทธศาสนา และฟังเทศน์ให้รู้เรื่อง
ที่มา: จากหนังสือเรื่อง 1 ใน 84000 ของ สภาการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัย มหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนา