สมัยเยาว์วัยของมหาตมะคานธี

มหาตมะคานธี
สมัยเยาว์วัย เยาว์วัยของท่านมหาตมะคานธีได้ผ่านไปในโปรบันทร จนกระทั่งถึงอายุ ๗ ขวบ ในตอนนี้ท่านได้เข้าศึกษาอยู่ในโรงเรียนประถมศึกษาแห่งหนึ่ง การศึกษาที่ท่านได้รับมาจากโรงเรียนนี้ ไม่มีส่วนใดได้แผ่อานุภาพเข้าสู่จิตใจของท่านแม้แต่ประการใดประการหนึ่งเลย เรื่องราวอันเกี่ยวแก่โรงเรียนนี้ที่ท่านยังจำได้อยู่บ้างก็คือ ท่านกับพวกนักเรียนรุ่นเล็กๆ แต่งโคลงด่าครูกันเท่านั้นเอง เป็นความจริงที่ครูในโรงเรียนชั้นต่ำ มักจะไม่สามารถแผ่อานุภาพของตนไปยังชีวิตจิตใจของนักเรียนได้ ทั้งนี้คงได้แก่เหตุที่ครูโรงเรียนชั้นต่ำมักจะขาดการศึกษาชั้นสูงนั้นเอง จึงไม่สามารถจะดำเนินการศึกษาให้เป็นที่จับใจของเด็ก อย่างจริงจังได้

อย่างไรก็ดี เมื่อท่านอายุได้ ๗ ขวบบิดาของท่านได้เดินทางเข้ามารับราชการอยู่ในราชโกฐ  โดยรับตำแหน่งเป็นสมาชิก แห่งราชสำนักของนครราชสถาน เพราะเหตุนี้ครอบครัวของท่านจึงต้องยกตามมากับท่านด้วย เมื่อท่านบิดาของท่านได้มาอยู่ในราชโกฐเรียบร้อยแล้ว ได้ส่งให้ท่านมหาตมะคานธีบุตรชาย เข้าศึกษาวิชาต่อในโรงเรียนประถมศึกษาแห่งหนึ่ง ครั้นสำเร็จขั้นสูงสุดของประถมศึกษาแล้ว ได้เข้าศึกษาในโรงเรียนมัธยม (High School) อีก เมื่ออายุได้ ๑๒ ปี ในฐานะเป็นนักเรียนของท่านเกือบจะตลอดมา เป็นที่สังเกตได้ว่าท่านมหาตมะคานธี ไม่ใช่เด็กที่เฉลียวฉลาดปราดเปรื่องอะไรมากนัก และไม่เคยมีหลักฐานอันใดแสดงว่าท่านได้รับรางวัล ถึงแม้ว่าท่านได้รับทุนเล่าเรียนของรัฐบาล ๒ ครั้งก็จริง แต่นั่นเป็นเพราะเหตุที่เหล่านักเรียนที่สมัครเข้าแข่งขัน มีจำนวนน้อยประการหนึ่งและอีกประการหนึ่งนักเรียนเหล่านั้น มีปัญญาความรู้อ่อนด้วย

ถึงแม้ว่าในการเล่าเรียนท่านมหาตมะคานธีจะมิได้แสดงความเฉลียว
ฉลาดอะไรมากมายนัก็จริง แต่ข้อที่น่าสังเกตในสมัยเมื่อยังเป็นเด็กนักเรียนมีอยู่ว่า ท่านไม่เคยกล่าวคำเท็จล่อลวงใครๆ ทั้งเพื่อนนักเรียนและครูแม้แต่คราวเดียวที่จริงการดำเนินชีวิตในทางที่มิชอบด้วยความสัตย์จริง เคยเป็นการเหลือวิสัยของท่านมหาตมะคานธี ที่จะประพฤติตั้งแต่ยังเยาว์มา มีเรื่องเรื่องหนึ่ง ได้เกิดขึ้นในสมัยเมื่อท่านมหาตมะคานธียังเป็นนักเรียน ซึ่งเป็นเครื่องพิสูจน์ให้เห็นว่านิสัยมหาตมะคานธี ย่อมเป็นไปในทางที่ซื่อสัตย์สุจริตอยู่เสมอ กล่าวคือ ในปีแรกแห่งสมัยที่ท่านเข้ามาเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาชั้น ๓ มิสเตอรไยลล์ผู้ตรวจการศึกษา ได้เข้ามาเยี่ยมนักเรียนในโรงเรียน ท่านผู้นี้ได้เข้าไปในห้องที่มหาตมะคานธีเรียนอยู่ แล้วสั่งให้นักเรียนเขียนคำว่า Kettle ท่านมหาตมะคานธีเขียนคำนี้ไม่ถูก เมื่อครูประจำชั้นได้สังเกตเห็นมหาตมะคานธีเขียนผิด จึงได้ออกอุบายโดยเคาะพื้นเป็นเครื่องสัญญาณให้มหาตมะคานธีมองดูเพื่อนข้างหน้า ต่อมามหาตมะคานธีได้กล่าวเรื่องนี้ไว้ในอัตตประวัติว่า การที่ครูแนะแนวให้แอบดูของเพื่อนนักเรียนด้วยกันเพื่อเขียนให้ถูกนั้นมิได้เข้ามาสู่สมองของฉันเลย ฉันทราบว่าครูได้กล่าวหาว่าฉันเป็นคนโง่ แต่ความฉลาดของท่านครูผู้นี้ มิได้แสดงอานุภาพเหนือจิตใจของฉันแม้แต่น้อย การเขียนโดยแอบดูของเพื่อน หรือลอกของเพื่อนนั้นเป็นสิ่งที่ฉันกระทำมิได้เป็นอันขาด

ในโรงเรียนท่านไม่สู้จะมีเพื่อนฝูงมากมายนัก ท่านมีนิสัยชอบเข้าห้องเรียนตรงต่อเวลาเสียงระฆังรัวอยู่เสมอ และมีความหวาดกลัวอยู่เสมอด้วยว่า ถ้าขืนไปเกี่ยวข้องคลุกคลีกับเพื่อนมากเกินไป พวกเพื่อนเหล่านั้นอาจจะจูงไปในทางที่ผิดได้ จึงได้พยายามหาหนทางหลบหลีกพวกเพื่อนๆ อยู่เสมอ

ในสมัยเยาว์วัยนี้ เคยมีเรื่องบังเกิดขึ้นเรื่องหนึ่งและได้เป็นเรื่องที่มีอิทธิพลครอบเหนือชีวิตจิตใจของท่านมหาตมะคานธีตลอดมา กล่าวคือ เมื่อท่านมีอายุได้ ๑๒ ปีมีคณะละครคณะหนึ่ง เดินทางเข้ามาแสดงละครในนครราชโกฐ เรื่องแรกที่คณะละครได้แสดงคือ เรื่องท้าวหริศจันท เมื่อท่านดูละครมองเห็นการเสียสละของท้าวหริศจันท เพื่อทรงสงวนความสัตย์ไว้จึงได้ทรงเสียสละราชสมบัติพระมเหสีและราชโอรสทั้งสิ้น  เด็กคานธีได้เกิดความรำพึงรำพรรณขึ้นว่า เหตุไฉนหนอสรรพมนุษย์ชาติจึงไม่ดำรงมั่นอยู่ในคุณธรรม คือความสัจจริง ดังท้าวหริศจันทพระองค์นั้นเล่า อย่างไรก็ดี ในคืนวันนั้นเอง เด็กคานธีได้เกิดความเลื่อใสอย่างสูงสุด จนเกิดปฏิญาณขึ้นในใจของตนว่าตราบใดที่ฉันดำรงชีวิตอยู่บนพื้นพิภพนี้ ฉันจะดำรงมั่นอยู่ในสัจธรรมดังท้าวหริศจันทพระองค์นั้นได้เคยทรงดำรงมาแล้ว

ในสมัยต่อมา เมื่อยามท่านจำเป็นต้องเผชิญหน้ากับความโหดร้ายแห่งอสัจธรรม ท่านก็มิได้ยอมที่จะกระเถิบถอยหลังแม้แต่ชั่วก้าวหนึ่ง เป็นความจริงทีเดียวที่ท่านมหาตมะคานธีได้เคยกล่าวไว้ว่า “ตามแง่แห่งประวัติศาสตร์ท้าวหริศจันทคงไม่มีตัวจริง แต่ในดวงหทัยของฉัน พระองค์ท่านทรงดำรงพระชนม์ชีพอยู่เสมอโดยไม่รู้จักอวสาน

ที่มา : สวามี  สัตยานันทปุรี

มหาตมะคานธีผู้ปฏิวัติอินเดีย

มหาตมะคานธี
อุบัติกถา
เวลาเที่ยงวัน วันที่ ๑๘ มิถุนายน คริสตศก ๑๙๒๒ ดวงอาทิตย์ฤดูร้อนกำลังแผดแสง เผาผลาญแหล่งชมพูทวีปอยู่ทั่วทุกๆ ส่วนอย่างน่าสะพึงกลัวยิ่งนัก ร้อน-ร้อนผากจนแสบเนื้อแสบตัวทั่วสรรพางค์กาย ร้อนเสมือนว่าจะเผาผลาญดวงชีวิตสรรพพฤกษาลดาวัลลิ์ อันวสันตฤดูที่จะเพิ่งผ่านไปหยกๆ ได้ปรุงแต่งประดับประดาไว้ด้วยทิวทัศน์อันสดชื่นเขียวขจี และสรรพคณาสัตวจตุบาททวิบาทพร้อมทั้งอุรคชาติทั้งมวลที่อ้วนพี ให้ถึงความพินาศแปรผันไปในชั่วพริบตาเดียว เพราะความรุ่มร้อนแรงกล้าแห่งคิมหันตฤดูนั้นเทียว เหล่าสัตว์ต่างๆ ต่างพากันเที่ยวซอกซอนซ่อนเร้นแฝงแดดกำบังกาย และต่างต้องพากันหยุดชงักพักกายสัญจรแสวงหาเหยื่อลงชั่วมื้อ นอนฟุบทนหิวหอบฮั่กๆ อยู่ภายใต้สุมทุมพุ่มไม้อันหนาทึบที่มีใบไม้บังมิดชิด เพื่อแอบแฝงหนีความทารุณร้ายกาจแห่งดวงอาทิตย์ ณ วันนั้นทั้งสิ้น

ถึงกระนั้น ถ้าจะกล่าวถึงความรู้สึกนึกคิดของทวยนาครภารตวัส(อินเดีย) ซึ่งกำลังหลั่งไหลมานับจำนวนพันๆ ดูเหมือนว่าหาได้เอาใจใส่และรู้สึกถึงพิษความร้อนแห่งวันนั้นไม่ ทั่วหน้าต่างได้ยอมพลีศีรษะของเขาออกรับแสงแดด แม้จะร้อนเท่าร้อนก็ยินยอมให้แสงแดดแผดเผาทั่วเรือนกาย มิได้อนาทรร้อนใจถึงเลย ทุกเหล่าทุกเพศทุกชั้นวรรณะ ต่างรีบสาวเท้าดุ่มเดินหลั่งไหลเทมาไม่ขาดสาย พยับแดดเต้นเหมือนเปลวไฟ ร้อนจี๋แผ่ไปทั่วทุกถนนหนทาง แต่ก็หาอาจขัดขวางความตั้งใจให้ขาดสายได้ไม่ พวกเขาเดินฝ่าแดดมาเหมือนผ่านกองเพลิงใหญ่ในเวลาเที่ยงวัน บ้างก็เดินบ้างก็วิ่ง

นั่นเขาวิ่งไปไหนกันหนอ เขาหลังไหลฝ่าแดดกลางเที่ยงไปไหนกัน วิ่งไปสู่สนามหญ้าใหญ่หน้าศาลจังหวัดอาหัมมหวาท ทุกคนเดินและวิ่งไปโดยอาการรีบร้อนอย่างทุรนทุราย แต่ไม่ใช่เพราะพิษสงแห่งธรรมชาติแม้แต่นิดหนึ่ง เขารีบร้อนไปคอยสกัดดูและต้อนรับจำเลยคดีอาญาผู้เลอเกียรติของเขา เพื่อฟังคำพิพากษาของศาลอันจะมีในเพลาวันนั้นด้วย

ในทันใดที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายตำรวจ คุมตัวจำเลยมาสู่ศาลอาญาตามเวลาหมายกำหนดของศาล คือเวลาเที่ยงวัน คณะผู้รักษาบทพระอัยการพร้อมทั้งประชาชน ซึ่งกำลังนั่งคอยอยู่หน้าศาลและทั่วบริเวณศาล ต่างลุกขึ้นยืนแสดงความเคารพแก่จำเลยพร้อมกัน เมื่อจำเลยเดินเข้ามาในห้องศาลยุติธรรม แล้วท่านได้หยุดยืนนิ่งอยู่ชั่วขณะหนึ่ง แล้วหันหน้าอันยิ้มแย้มแจ่มใสไปรอบๆ ตัว พลางปราศัยขึ้นว่า “นี่ดูเหมือนมิใช่ศาล แท้จริงมันเป็นการชุมนุมแห่งญาติพี่น้องกันเองทั้งนั้น”

ในขณะต่อมา แทนที่จ่าศาลจะสั่งบังคับให้จำเลยเข้ายืนในคอกให้การ ตามระเบียบที่เคยปฏิบัติมาแล้วแก่จำเลยทั่วไป ศาลกลับเชิญให้จำเลยนั่งบนที่นั่งพิเศษที่ศาลได้จัดเตรียมไว้รับรองทางเบื้องขวาบัลลังก์  ครั้นการเรียบร้อยแล้วการพิจารณาคดีก็ได้เริ่มต้นขึ้น ซึ่งประวัติศาสตร์ของชาติๆ หนึ่ง ได้รวบรวมจารึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร อันใครๆ จะลบให้เลือนไปเสียมิได้ แม้แต่น้อยหนึ่ง

ในทันใดนั้น กระแสความคิดของปวงชน ก็ได้กลับหวลไปคำนึงถึงเรื่องการพิจารณาคดีอีกรายหนึ่งขึ้น กล่าวคือ สมัยเมื่อเยซูแห่งนาซารัตผู้ถูกหาเป็นจำเลยยืนอยู่เฉพาะหน้าไปเล็ต เป็นเรื่องที่ได้เกิดปรากฎขึ้นแล้ว เป็นเวลานานเกือบสองพันปี ขณะนั้นผู้ฟังคดีทั้งหลายต่างนิ่งหยุดถอนหายใจ เพื่อฟังคารมของศาลและจำเลย ครั้นท่านอธิบดีอัยการอ่านคำฟ้องกล่าวหาโทษจำเลย  ทุกข้อทุกประเด็นความจบลงแล้ว ท่านจำเลยผู้มีเกียรติก็ลุกขึ้นยืนโดยอาการสง่าผ่าเผยทันที พลางเปิดกระดาษขึ้นอ่านตอบข้อหาของศาลทุกๆ ข้อแล้ว และแถลงคารมปากเปล่าเพิ่มเติมอีกว่า “ฉันขอรับเอาข้อกล่าวโทษ ที่ท่านอธิบดีอัยการได้กล่าวมานั้น ทุกๆ ข้อ การก่อการเผยแผ่และการเพาะความเกลียดชังต่อระเบียบการของรัฐบาลปัจจุบันนี้ ได้กลายเป็นนิสัยสันดานอันแรงกล้าของฉันเสียแล้ว ฉันจะไม่ร้องขอความกรุณาและทั้งจะไม่ขอแก้คำกล่าวหานั้น แม้แต่ข้อใดข้อหนึ่งด้วย เพราะกิจการซึ่งกฎหมายเห็นว่าเป็นความผิดโดยเจตนา แต่ฉันกลับเห็นว่าเป็นหน้าที่อันสูงสุดของราษฎร เพราะเหตุแห่งการกระทำนั้น ฉันขอรับการลงโทษอย่างหนักที่สุด และขอมอบตัวให้ราชทัณฑ์ โดยประการทั้งปวง”

ครั้นจำเลยให้การต่อศาลสิ้นสุดสำนวนลงแล้ว ศาลได้พร้อมกันพิพากษาลงโทษจำเลย ในฐานเจตนากระทำการละเมิดกฎหมาย จึงให้ลงโทษจำเลยไว้ ๖ ปี โดยบทแถลงว่า “ย่อมเป็นการพ้นวิสัยเหลือเกิน ที่จะลืมเสียได้ว่า ท่านเป็นผู้ที่ต่างไปจากบุคคลที่ฉันได้เคยพิจารณาพิพากษาลงโทษมาแล้ว หรือแม้ที่จะต้องพิจารณาพิพากษาต่อไปภายหน้าอีกด้วย ย่อมเป็นการพ้นวิสัยเหลือเกินที่จะลืมเสียได้ว่า ในสายตาของประชาชนจำนวนแสนๆ ผู้ร่วมประเทศชาติของท่านต่างเห็นกันว่า ท่านเป็นบุรุษผู้รักชาติ และเป็นผู้นำที่ประเสริฐยิ่งนัก แม้ถึงผู้ที่มีความเห็นในทางแง่การเมืองที่แตกต่างไปจากท่านแล้ว ก็ยังต้องนับถือท่านในฐานเป็นบุคคลผู้มีอุดมคติอันสูงสุด และมีชีวิตจิตใจประเสริฐที่สุดดังผู้วิเศษที่ได้สำเร็จคุณวิเศษแล้วฉะนั้น แต่ฉันจำเป็นอย่างแท้จริงที่จะต้องพิจารณา และพิพากษาท่านแต่แง่เดียว คือพิจารณาและพิพากษาท่านในฐานะที่ท่านเป็นบุคคลภายใต้กฎหมาย ตามที่ท่านได้รับสารภาพแล้วว่าท่านเป็นผู้กระทำการละเมิดกฎหมายจริง สำหรับสามัญชนข้อนั้นนับว่า เป็นการผิดต่อรัฐอย่างใหญ่หลวงทีเดียว ถ้ากระแสเหตุการณ์ต่างๆ ของอินเดียเปลี่ยนแปลงได้ ถึงกับสามารถจะทำให้รัฐบาลดหย่อนผ่อนโทษลงมาให้น้อยและปล่อยท่านเป็นอิสระได้ จะไม่มีใครยินดีมากยิ่งไปกว่าฉัน”

เมื่อผู้พิพากษา อ่านคำพิพากษาให้จำเลยฟังจบลงแล้วจำเลยได้แสดงความขอบคุณผู้พิพากษา และผู้พิพากษาก็ได้แสดงความเคารพต่อจำเลย

ครั้นเสร็จเรื่องแล้ว นักโทษค่อยๆ เดินลงมาจากศาลในขณะนั้นคนจำนวนพันๆ ซึ่งกำลังฟายน้ำตาอยู่ต่างก็วิ่งพรูกันเข้าไปสัมผัสเท้าของนักโทษผู้มีเกียรติ ท่านต้อนรับประชาชนด้วยอาการยิ้มแย้มแจ่มใส พร้อมด้วยคำอวยพรอยู่ทั่วหน้า แล้วท่านก็หายวับเข้าไปในรถตำรวจ เพื่อดำรงชีวิตอยู่ในคุก ซึ่งได้กลายเป็นสำนักงานสร้างประวัติการณ์อันรุ่งเรืองของชาติ

ท่านนักโทษผู้นี้แหละ ที่โลกทั่วไปรู้จักกันในนามว่า โมหนจานท์ กรมจานท์ คานธี หรือมหาตมะคานธี

มหาตมะคานธี ได้อุบัติ ณ วันที่ ๑ เดือนตุลาคม ค.ศ.๑๘๖๙ ณ จังหวัดสุทามาปุรี ซึ่งบัดนี้เรียกว่า โปรบันทร ถึงแม้ว่ามหาตมะคานธี จะมีความบริสุทธิ์ และอำนาจธรรมเสมอด้วยพราหมณ์ก็จริง แต่ท่านจะได้อุบัติขึ้นในตระกูลพราหมณ์ก็หาไม่ ถึงแม้ว่ามหาตมะคานธี จะมีเดชพลอันมหึมาไพศาลเสมอด้วยกษัตริย์ก็จริง แต่ความจริงท่านมิได้อุบัติขึ้นในตระกูลกษัตริย์ ตระกูลวงศ์ของท่านเป็นตระกูลแพทย์  ดังที่ปรากฎอยู่ในนามสกุลของท่านว่าคานธี  ซึ่งแสดงอยู่ในตัวว่า ตระกูลนี้เคยมีอาชีพในทางการค้าขายเครื่องเทศ แต่ถ้าจะกล่าวเพียงชั้นปู่ของท่านลงมาถึงชั้นมหาตมะคานธีเอง เคยได้รับราชการเป็นนายกรัฐมนตรีในแคว้นกาลิยาวาท  ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของอินเดีย

ปู่ของท่านคานธี ชื่ออุตตะมะจานฺท์ คานธี มีภรรยา ๒ คน ภรรยาคนแรกมีบุตรด้วยกัน ๔ คน ภรรยาคนหลังมีบุตรด้วยกัน ๒ คน พี่น้องร่วมบิดา ๖ คน นี้ต่างมีความรักใคร่สนิทสนมกลมเกลียวกันจนใครๆ ที่ไม่ทราบเรื่องไม่อาจจะคาดคะเนได้ว่าเป็นพี่น้องต่างมารดากัน  ในระหว่างพี่น้อง ๖ คนนี้ คนที่ ๕ คือกรมฺจานท์ คานธี และคนที่ ๔ คือตุลสีทาส คานธี ทั้งสองคนนี้ ได้เคยครองตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีในแคว้นโปรบันทร

หลังจากเวลาที่กรมฺจานท์คานธี ได้ลาออกจากตำแหน่งดังว่านี้แล้ว ท่านได้เข้ารับตำแหน่งใหม่เป็นสมาชิกของสภาราชสถาน และในคราวนี้เองท่านได้รับแต่งตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรี ของแคว้นพิกานีย์อีกตำแหน่งหนึ่งด้วย ในที่สุดต่อมาท่านได้รับการแต่งตั้งให้เป็นข้าราชการในตำแหน่งขุนนางฝ่ายราชสำนัก แห่งราชสำนักเจ้าราชโกฐ และได้ดำรงอยู่ในตำแหน่งนี้จนตลอดชีพ

ท่านกรมฺจานท์คานธีผู้นี้ ปรากฎว่ามีภรรยาที่ได้ทำการสมรสและอยู่กินด้วยกัน ๔ คน ภรรยาคนแรกมีแต่บุตรหญิง ๒ คน ไม่มีบุตรชาย ฉะนั้นจึงเป็นเหตุให้ท่านจำต้องทำการสมรสใหม่อีก ๒ ครั้ง แต่บังเอิญภรรยาทั้ง ๒ คนนี้ได้กลายเป็นหญิงหมันไปเสียอีก โดยเกรงกลัวว่าจะไม่มีบุตรชายผู้สืบสกุล ดังนั้นถึงแม้ท่านจะมีอายุขัยผ่าน ๔๐ ปีล่วงมาแล้วก็ตาม แต่ท่านจำต้องทำการสมรสใหม่อีกหนหนึ่งกับนาง ปุตลี พาอี (อ่านว่าไบ) ซึ่งนับว่าเป็นครั้งสุดท้าย ภรรยาคนใหม่ คือ นางปุตลีไบนี้ มีบุตรด้วยกัน ๔ คน คือ บุตรหัวปีเป็นหญิง อีก ๓ คนเป็นชาย ท่านมหาตมะคานธี เป็นบุตรคนสุดท้อง ซึ่งคลอดจากนางปุตลีไบนี้

ตามหลักฐานดังกล่าวมานี้พอเห็นได้แล้วว่า ตั้งแต่ชั่วปู่ของท่านมหาตมะคานธีลงมา มีอาชีพในทางการเมืองตลอดมา อาศัยเหตุนี้มาในชั่วชีวิตของท่านมหาตมะคานธี จึงได้กลายเป็นส่วนสำคัญชิ้นส่วนหนึ่ง ถึงกับเป็นเหตุกระตุ้นเตือนให้เกิดการปฏิวัติ และเปลี่ยนแปลงประวัติการณ์ขึ้นในประเทศใหญ่ ๒ ประเทศคืออาฟริกาใต้และอินเดีย นอกจากงานในหน้าที่การเมืองเป็นงานประจำตระกูลแล้ว ยังมีคุณธรรมที่ท่านได้รับจากบิดาอีกคือ ความยึดมั่นอยู่ในทางธรรมเป็นหลัก และเกลียดชังสิ่งที่เป็นอธรรมอยู่เสมอ ซึ่งสามารถกล่าวได้ว่าท่านอาจจะพลีชีวิตเพื่อความเป็นธรรมอยู่เป็นเนืองนิจ  ในการคัดค้านสิ่งที่ไม่ชอบธรรม ในการต่อสู้ กับสิ่งที่ถือธรรมเป็นอำนาจ เหล่านี้ ท่านกรมฺจานท์คานธี ผู้บิดาของท่านมหาตมะคานธีไม่เคยถอยหลังและเบือนหน้าหนีเลย ครั้งหนึ่งเมื่อทูตอังกฤษประจำแคว้นราชโกฐ ได้แสดงความดูหมิ่นต่อเจ้าราชโกฐ ท่านกรมฺจานท์คานธี เมื่ได้เห็นพฤติการณ์อันเป็นไปในแง่อธรรมดังนั้นแล้ว ไม่สามารถที่จะเว้นเสียจากการคัดค้านการกระทำของทูตอังกฤษผู้นั้นได้ ผลซึ่งได้สืบเนื่องมาจากกรณีนั้น คือทูตอังกฤษได้สั่งให้จำขังกรมจานท์ไว้ในเรือนจำ จนกว่ากรมจานท์จะได้ขอขมาโทษต่อทูตอังกฤษแล้ว แต่ท่านผุ้นี้ยึดมั่นอยู่ในสิ่งที่ชอบด้วยธรรม จึงไม่ยอมขอขมาโทษทูตอังกฤษ ทูตจำต้องสั่งให้ปล่อยท่านออกจากที่คุมขังเป็นอิสระ โดยไม่ได้รับขอขมาโทษแม้แต่คำเดียว เหตุการณ์ข้อนี้ย่อมเป็นพยานให้เห็นประจักษ์แจ้งว่า กำลังแห่งต่อสู้อธรรม โดยความยึดมั่นอยู่ในอำนาจธรรมดังปรากฎชัดอยู่ในพฤติการณ์ของท่านมหาตมะคานธีนั้น ได้มีกระแสเดิมสืบเนื่องมาจากพฤติการณ์ของท่านบิดานั้นด้วย

คุณสมบัติของท่านมหาตมะคานธี อันนับว่าเป็นชิ้นสำคัญอีกชิ้นหนึ่ง คือสมรรถภาพในการอดอาหาร ซึ่งในหลักดำเนินการเมืองของท่าน ได้กลายมาเป็นอาวุธสำคัญยิ่งขึ้นประการหนึ่งนั้น ท่านได้รับมรดกตกทอดมาจากมารดาของท่าน มารดาของท่านมหาตมะคานธี เป็นสตรีผู้เคร่งครัดอยู่ในศาสนกิจอย่างแรงกล้า การเว้นจากอาหารแม้สองสามวันติดๆ กัน เช่นในวันอุโบสถเป็นต้นนั้นนับว่าเป็นเพียงวัดสมาทานเครื่องเล่น ตามปรกติวิสัยของท่าน ทุกๆ ปีในชีวิตของท่านเคยจำพรรษาตลอดมา ในระหว่างการจำพรรษานั้น ท่านได้ตั้งปฏิญาณว่า ก่อนแต่จะรับอาหารต้องได้เป็นพระอาทิตย์เสียก่อน จึงจะยอมรับ ในประเทศอินเดีย การเห็นพระอาทิตย์ในฤดูพรรษานับว่าเป็นการยากเย็นมาก เพราะตามธรรมดาดวงอาทิตย์จะถูกเมฆบังอยู่ตลอดวัน หรือบางครั้งแม้แต่แสดงพระอาทิตย์ก็ไม่มี เพราะเหตุนี้บางคราวมารดาของท่านมหาตมะคานธีจึงต้องอดอาหารติดๆ กันตลอดหลายๆ วัน โดยมิได้รับอะไรแม้แต่น้ำหยดเดียว ท่านมหาตมะคานธีได้เขียนไว้ในหนังสืออัตตประวัติว่า “พวกเราเด็กๆ กำลังคอยพระอาทิตย์อยู่ว่า เมื่อไรพระอาทิตย์จะได้โผล่ออกจากเมฆ มารดาจะได้รับอาหารเสียที ทันใดนั้นพระอาทิตย์ก็บังเอิญโผล่ออกมา พวกเราลูกๆ ได้ร้องขึ้นทันทีว่า คุณแม่พระอาทิตย์โผล่แล้ว แต่มารดาเดินออกมาดูไม่ทัน พระอาทิตย์ก็ลับหายเข้าไปเสียในหมู่เมฆอีก มารดายิ้มแล้วพูดว่า ไม่เป็นไรดอกลูก วันนี้เป็นวันที่พระเจ้าไม่ทรงปรารถนาจะให้แม่รับอาหาร พูดแล้วท่านก็กลับเข้าไปปฏิบัติงานของท่าน ประดุจว่าท่านได้รับอาหารแล้วอย่างสมบูรณ์” ความอดทนต่อความหิวนี้ ได้ถ่ายสืบเนื่องลงไปถึงบุตรของท่านปุตลีไบเป็นอย่างดี จนกลายเป็นอาวุธสำคัญขึ้นประการหนึ่ง ในการดัดแปลงกระแสประวัติแห่งชาติๆ หนึ่งในกาลข้างหน้า

ที่มา:สวามี  สัตยานันทปุรี