สมัยเยาว์วัย เยาว์วัยของท่านมหาตมะคานธีได้ผ่านไปในโปรบันทร จนกระทั่งถึงอายุ ๗ ขวบ ในตอนนี้ท่านได้เข้าศึกษาอยู่ในโรงเรียนประถมศึกษาแห่งหนึ่ง การศึกษาที่ท่านได้รับมาจากโรงเรียนนี้ ไม่มีส่วนใดได้แผ่อานุภาพเข้าสู่จิตใจของท่านแม้แต่ประการใดประการหนึ่งเลย เรื่องราวอันเกี่ยวแก่โรงเรียนนี้ที่ท่านยังจำได้อยู่บ้างก็คือ ท่านกับพวกนักเรียนรุ่นเล็กๆ แต่งโคลงด่าครูกันเท่านั้นเอง เป็นความจริงที่ครูในโรงเรียนชั้นต่ำ มักจะไม่สามารถแผ่อานุภาพของตนไปยังชีวิตจิตใจของนักเรียนได้ ทั้งนี้คงได้แก่เหตุที่ครูโรงเรียนชั้นต่ำมักจะขาดการศึกษาชั้นสูงนั้นเอง จึงไม่สามารถจะดำเนินการศึกษาให้เป็นที่จับใจของเด็ก อย่างจริงจังได้
อย่างไรก็ดี เมื่อท่านอายุได้ ๗ ขวบบิดาของท่านได้เดินทางเข้ามารับราชการอยู่ในราชโกฐ โดยรับตำแหน่งเป็นสมาชิก แห่งราชสำนักของนครราชสถาน เพราะเหตุนี้ครอบครัวของท่านจึงต้องยกตามมากับท่านด้วย เมื่อท่านบิดาของท่านได้มาอยู่ในราชโกฐเรียบร้อยแล้ว ได้ส่งให้ท่านมหาตมะคานธีบุตรชาย เข้าศึกษาวิชาต่อในโรงเรียนประถมศึกษาแห่งหนึ่ง ครั้นสำเร็จขั้นสูงสุดของประถมศึกษาแล้ว ได้เข้าศึกษาในโรงเรียนมัธยม (High School) อีก เมื่ออายุได้ ๑๒ ปี ในฐานะเป็นนักเรียนของท่านเกือบจะตลอดมา เป็นที่สังเกตได้ว่าท่านมหาตมะคานธี ไม่ใช่เด็กที่เฉลียวฉลาดปราดเปรื่องอะไรมากนัก และไม่เคยมีหลักฐานอันใดแสดงว่าท่านได้รับรางวัล ถึงแม้ว่าท่านได้รับทุนเล่าเรียนของรัฐบาล ๒ ครั้งก็จริง แต่นั่นเป็นเพราะเหตุที่เหล่านักเรียนที่สมัครเข้าแข่งขัน มีจำนวนน้อยประการหนึ่งและอีกประการหนึ่งนักเรียนเหล่านั้น มีปัญญาความรู้อ่อนด้วย
ถึงแม้ว่าในการเล่าเรียนท่านมหาตมะคานธีจะมิได้แสดงความเฉลียว
ในโรงเรียนท่านไม่สู้จะมีเพื่อนฝูงมากมายนัก ท่านมีนิสัยชอบเข้าห้องเรียนตรงต่อเวลาเสียงระฆังรัวอยู่เสมอ และมีความหวาดกลัวอยู่เสมอด้วยว่า ถ้าขืนไปเกี่ยวข้องคลุกคลีกับเพื่อนมากเกินไป พวกเพื่อนเหล่านั้นอาจจะจูงไปในทางที่ผิดได้ จึงได้พยายามหาหนทางหลบหลีกพวกเพื่อนๆ อยู่เสมอ
ในสมัยเยาว์วัยนี้ เคยมีเรื่องบังเกิดขึ้นเรื่องหนึ่งและได้เป็นเรื่องที่มีอิทธิพลครอบเหนือชีวิตจิตใจของท่านมหาตมะคานธีตลอดมา กล่าวคือ เมื่อท่านมีอายุได้ ๑๒ ปีมีคณะละครคณะหนึ่ง เดินทางเข้ามาแสดงละครในนครราชโกฐ เรื่องแรกที่คณะละครได้แสดงคือ เรื่องท้าวหริศจันท เมื่อท่านดูละครมองเห็นการเสียสละของท้าวหริศจันท เพื่อทรงสงวนความสัตย์ไว้จึงได้ทรงเสียสละราชสมบัติพระมเหสีและราชโอรสทั้งสิ้น เด็กคานธีได้เกิดความรำพึงรำพรรณขึ้นว่า เหตุไฉนหนอสรรพมนุษย์ชาติจึงไม่ดำรงมั่นอยู่ในคุณธรรม คือความสัจจริง ดังท้าวหริศจันทพระองค์นั้นเล่า อย่างไรก็ดี ในคืนวันนั้นเอง เด็กคานธีได้เกิดความเลื่อใสอย่างสูงสุด จนเกิดปฏิญาณขึ้นในใจของตนว่าตราบใดที่ฉันดำรงชีวิตอยู่บนพื้นพิภพนี้ ฉันจะดำรงมั่นอยู่ในสัจธรรมดังท้าวหริศจันทพระองค์นั้นได้เคยทรงดำรงมาแล้ว
ในสมัยต่อมา เมื่อยามท่านจำเป็นต้องเผชิญหน้ากับความโหดร้ายแห่งอสัจธรรม ท่านก็มิได้ยอมที่จะกระเถิบถอยหลังแม้แต่ชั่วก้าวหนึ่ง เป็นความจริงทีเดียวที่ท่านมหาตมะคานธีได้เคยกล่าวไว้ว่า “ตามแง่แห่งประวัติศาสตร์ท้าวหริศจันทคงไม่มีตัวจริง แต่ในดวงหทัยของฉัน พระองค์ท่านทรงดำรงพระชนม์ชีพอยู่เสมอโดยไม่รู้จักอวสาน
ที่มา : สวามี สัตยานันทปุรี