วิธีสอนให้ใช้พลังจิตที่ได้ผลดีได้ผลเร็ว

Socail Like & Share

พลังจิตทุกคนเรียนรู้สมาธิและรักษาโรคเอดส์-มะเร็งได้ในวันเดียว
พ.อ.ชม สุคันธรัต วิทยาศาสตร์บัณฑิต ทบ. ได้สอนตามคำสอนของพระอาจารย์ในดง ซึ่งตรงตามพระไตรปิฎก สอนเพียงวันเดียวทุกคนก็ทำสมาธิถูกต้อง และสามารถรักษาโรคเอดส์,โรคมะเร็ง,วัณโรค ดื้อยา,ไซนัส,เบาหวาน, หืด, ทอนซิลอักเสบ, ไวรัสบางชนิด, เรื้อนกวางแบบแห้ง, งูสวัด, เริม, พิษสุนัขบ้าที่มีอาการแล้ว, นิ่วในไตในดี, ต่อมลูกหมากโต และโรคที่ฝรั่งยังไม่มียารักษาที่ได้ผลดี

ยาทุกขนานเป็น “ยาปลุกเสก” ด้วยพลังคุณพระ

พ.อ.ชม ได้สอนและค้นคว้าทดลองมากว่า ๔๐ ปี จึงมีการบันทึกและจดจำระยะเวลาที่โรคจะหาย โดยเฉลี่ยจากผลการรักษาของแพทย์แผนโบราณที่รักษาได้ผลจริง ไม่ได้เขียนหรือพูดว่าตนเอง (พ.อ.ชม) รักษาหาย แต่บอกว่าสอนได้

สอนให้ทำได้ผลโดยประมาณ ดังนี้ ผู้ป่วยยังกินข้าวได้ เดินได้

โรคเอดส์, มะเร็ง, ไวรัสบี, ไวรัสที่ตับ ใช้เวลารักษาให้หายภายใน ๔ เดือน อาการดีขึ้นมากภายใน ๓ วัน หรือ ๕ วัน คือ นอนหลับยาวขึ้น อ่อนเพลียน้อยลง กินอาหารได้มากขึ้น อาการปวดลดลงมากหรือหายปวด

เรื้อนกวางชนิดดื้อยา ริดสีดวงทวาร, ไซนัส วัณโรคดื้อยา รักษาให้หาย ภายใน ๑ เดือน

เริม, งูสวัด รักษาให้หายได้ภายใน ๕ วัน

นิ่วในไต นิ่วในดี รักษาให้หายขาดโดยกินยา ไม่เกิน ๓ ครั้ง

ต่อมลูกหมากโต ปัสสาวะบ่อยๆ ภูมิแพ้ ไอ

เจ็บคอ รักษาให้หายได้ภายใน ๑ เดือน

ทั้งนี้รักษาด้วยยา และใช้ยาประกอบกับพลังจิต และให้งดของแสลงเป็นเรื่องสำคัญทุกคนเรียนได้รักษาโรคได้ผลในระยะเวลาดังกล่าว สอนโดยไม่คิดค่าสอน

“สิบรู้ไม่เท่าตาเห็น สิบตาเห็นไม่เท่าลงมือทำ สิบลงมือทำไม่เท่าชำนาญ”

ความมุ่งหมาย เพื่อส่งเสริมให้เลื่อมใสทุกศาสนา และช่วยชีวิตคนจากโรคร้าย

วิธีสอนให้ใช้พลังจิตที่ได้ผลดีได้ผลเร็ว
ผู้สนใจจะใช้อำนาจจิตหรือพลังจิตของตนให้เกิดประโยชน์ต่างๆ ได้เร็ว คือ ใช้เวลาเรียนเพียงวันเดียวก็ใช้พลังจิตให้เกิดประโยชน์ต่างๆ ได้ เช่นใช้พลังจิตให้มีความจำดีเรียนเก่ง, ใช้พลังจิตช่วยให้ทำงานได้ผลดี ใช้พลังจิตรักษาโรคต่างๆ ที่ฝรั่งยังไม่มียารักษาที่ได้ผล เช่น โรคเอดส์, โรคมะเร็ง, วัณโรคบางประเภท, ไซนัส, เบาหวาน, หืด, ทอนซิลอักเสบ, ไวรัสบางชนิด, เรื้อนกวางแบบแห้ง, ต่อมลูกหมากโต, นิ่วในไตและในถุงนํ้าดี, งูสวัด, เริม, พิษสุนัขบ้าที่มีอาการแล้ว เหล่านี้ล้วนรักษาให้หายได้เร็วด้วยการใช้สมุนไพรหรือใช้ยาประกอบกับพลังจิตพลังคุณพระวิธีรักษาโรคโดยละเอียดได้กล่าว ไว้ใน “แพทย์สามแผนนำสมัย” ที่มีหัวข้อสำคัญครบถ้วน คือ ชื่อโรค, อาการ, วิธีรักษาของแสลง, การปฏิบัติตน และวิธีใช้สมาธิรักษาตนเองและรักษาผู้อื่น อ่านแล้วสงสัยก็ถามได้ไปเรียนเพื่อให้รักษาได้ผลดีก็ยินดีสอนให้ โดยไม่คิดค่าสอน ได้สอนศิษย์มาเป็นเวลา ๔๐ ปี ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๐๐ เป็นต้นมา ในปัจจุบันจนถึง พ.ศ. ๒๕๔๐ นี้มีบางอาจารย์นำเอาวิธีรักษาโรคต่างๆ แบบฝรั่งมาสอนในเมืองไทย แต่จะได้ผลดีเพียงใดย่อมพิจารณาได้ง่ายจากผลในการรักษาเปรียบเทียบกับวิธีของไทยที่ได้จากการสอนของพระอาจารย์ในดงลึก และความชำนาญในการค้นคว้าทดลองซึ่งผู้เขียน (พ.อ.ชม) ได้ทดลองรักษามากว่า ๔๐ ปี ขอยืนยันด้วยความสัตย์จริงว่า การเขียนทุกเรื่องพูดถึงและเปรียบเทียบระหว่างแพทย์ฝรั่ง แผนปัจจุบันและแผนโบราณของไทย ไม่มีการกล่าวถึงแพทย์แผนปัจจุบันของไทยเพราะย่อมจะรู้เห็นชัดเจนกันอยู่แล้ว ถ้าใช้สติปัญญาพิจารณาดูให้รอบคอบ ถ้าแพทย์แผนปัจจุบันไทยเห็นว่ามีข้อความพาดพิงถึงแพทย์แผนปัจจุบันไทยให้เสียหายหรือมีข้อความใดกระทบกระเทือนถึงโปรดแจ้งให้ผู้เขียน (พ.อ.ชม) ทราบด้วย จะแก้ไขโดยด่วน ถ้าทุกคนช่วยกันทำให้ แพทย์แผนปัจจุบันและแผนโบราณร่วมมือกันได้ด้วยความจริงใจทั้งไทยและฝรั่งก็จะช่วยชีวิตคนที่กำลังตายมากขึ้นทุกทีด้วยโรคที่แพทย์ที่ฝรั่งรักษาไม่ได้ผลหรือยังคิดยาไม่ได้ เพราะสภาพแวดล้อมทำให้โรคใหม่ๆ เกิดขึ้น โรคเก่าก็เปลี่ยนสภาพแปลกๆ ขึ้น ทำให้อาการปรากฎผิดไปจากเดิมตรวจรักษาไม่ได้ผลอีกด้วย เพราะเหตุที่จะกล่าวต่อไป การกล่าวถึงแพทย์ฝรั่งได้ไม่ใช่เดา แต่ผู้เขียนได้ไปเรียนวิชาทางโลกที่อเมริกา ๒ ครั้ง ดูงานหนึ่งครั้ง และเคยไปประเทศต่างๆ อ่านข่าวและตำราฝรั่งและพิจารณาด้วยสมาธิด้วยเรียนรู้จากพระอาจารย์ในดง ผู้มีฤทธิ์และเคยเป็นแพทย์แผนปัจจุบันไทยมาแล้วด้วย และผู้เขียนได้รักษาโรคต่างๆ มานานตลอด ๔๐ ปี “ร่วมมือกันนั้นดีกว่าพาล”

การเรียนการสอนแบบพระอาจารย์ในดงหรือนั่นคือ สอนแบบสมบูรณ์ตามคำสอนของพระพุทธเจ้าซึ่งมีปรากฏในพระไตรปิฎก

วิธีสอนให้ใช้พลังจิตให้เกิดประโยชน์ต่างๆ ได้จริงและได้ผลเร็วมีลำดับดังนี้

๑. สอนให้ทำสมาธิได้ถูกต้องเสียก่อน เพราะสมาธิสูงขึ้นก็เกิดพลังจิตสูงขึ้นโดยลำดับ ถึงไม่ประสงค์จะให้เกิดพลังแต่ก็จะเกิดพลังขึ้นเองโดยธรรมชาติ จึงต้องสอนให้ทำสมาธิให้ถูกต้อง โดยสอนให้ตรวจผลของสมาธิได้ด้วยตนเองว่าตนมีสมาธิระดับใดและจะฝึกให้ดีขึ้นอย่างไร?

๒. สอนให้ส่งพลังจิตออกไปภายนอกจากง่ายไปยาก คือสอนให้ส่งพลังจิตไปยังปูนที่นิ้วมือปล่อยพลังไปยังปูนทำให้ปูนเปลี่ยนรสได้ ทดลองให้เป็นคงกระพันก็ได้ ต่อไปให้ส่งพลังจิตไปยังนํ้าหรือนํ้ามันที่กำลังเดือดซึ่งร้อนประมาณ ๑๑๐ องศา ให้หมดพิษ ทุกคนเอามือล้วงลงในนํ้าเดือดได้ตักกินได้ไม่มีอันตราย ขั้นต่อไปให้ส่งพลังจิตไปยังโซ่เหล็กที่เผาไฟจนแดงเอามือแตะโซ่เหล็กที่ร้อนแดงนั้นได้ เอามือกอบโซ่เหล็กที่ร้อน แดงขึ้นได้ ก่อนทดลองทุกขั้นต้องสอนให้ตรวจสอบเสียก่อนว่าหมดพิษไม่มีอันตรายและกล้าทดลองทุกคน

๓. เมื่อแน่ใจว่าตนมีพลังจิตและสามารถส่งพลังจิตออกไปภายนอกได้จริงแล้ว จึงสอนให้ส่งพลังจิตไปรักษาโรคด้วยวิธีต่างๆ ได้ผลจริง ขั้นแรกสอนให้ใช้พลังจิตบังคับปรอทไร้โทษเข้าทางฝ่ามือเพื่อให้แล่นไปรักษาโรคในกายของคน แต่ในโอกาสนี้ต้องแสดงให้เห็นว่าอำนาจคุณพระอำนาจครูอาจารย์อำนาจพลังของบิดามารดานั้นสามารถอาราธนาให้มาช่วยทำให้ปรอทเข้าตัวคนไข้ได้โดยไม่ต้องใช้พลังจิตของตนไม่ต้อง ภาวนาคาถาอะไรปรอทก็วิ่งเข้าตัวคนได้ด้วยพลังคุณพระ เป็นการเกิดพลังความเชื่อที่พิสูจน์ทดลองได้ และด้วยเหตุนี้จึงใช้พลังคุณพระเป็นความเชื่อประกอบกับการใช้พลังสมาธิเป็นหลักสำคัญช่วยรักษาโรคต่างๆ ได้ ผลดี ได้ผลเร็ว โดยการอธิบายวิธีส่งพลังจิตไปรักษาโรค
เป็นอย่างๆ ต่อไป หรือการใช้ยาประกอบกับพลังจิต ทำอย่างไรก็อธิบายและทดลองให้ดูโดยไม่ปิดบังความรู้ ผู้เชื่อว่าพลังอื่นมาช่วยได้ก็ควรลองดูว่ามาช่วยได้จริงหรือไม่ และช่วยได้มากน้อยเพียงใด ใช้เวลาในการเรียนมากน้อยเพียงใดเพื่อประกอบการพิจารณา

กล่าวโดยสรุปพลังจิตที่จะนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ มี ๒ ประเภทคือ พลังความเชื่อและพลังของสมาธิ

๑. พลังที่เกิดจากความเชื่อ เป็นวิธีที่ฝรั่งใช้และนำมาสอนกันหลายสำนักต้องใช้เวลาเรียนมากกว่าจะเชื่อ

๒. พลังที่เกิดจากสมาธิ มีผลมากจากชั้นต้นจนถึงชั้นสูงสุด มีการแสดงฤทธิ์ต่างๆ ได้ ถึงนิพพานได้

๓. การใช้พลังสมาธิเป็นหลัก ใช้ความเชื่อประกอบซึ่งเป็นวิธีที่ให้ผลดีที่สุดและทดลองให้เห็นจริงได้ เรียนรู้และพิสูจน์ให้เห็นแจ่มแจ้งได้

การสอนให้รักษาโรคแบบฝรั่ง จะสอนให้รักษาโรคเลย โดยที่ผู้เรียนยังไม่รู้แน่ชัดว่าตนมีพลังจะส่งไปรักษาโรคได้หรือไม่ ถ้ามีก็ไม่รู้ว่ามีมากหรือน้อยเพียงใด นี่คือความสงสัยลังเลใจ ซึ่งเป็นนิวรณ์ ๕ ข้อสุดท้ายเป็นเครื่องขัดขวางไม่ให้เกิดความสำเร็จ ถ้าผู้ใดเชื่อได้สนิทก็ย่อมรักษาโรคได้ผลพอประมาณหรือดีบ้าง ภายหลังเขาได้สังเกตพิจารณาการใช้วิธีรักษาโรคแบบไทย ที่ได้ผลดีเพราะใช้สมาธิช่วย หลักสูตรการฝึกในระดับท้ายๆ ของฝรั่งเขาจึงสอนให้ใช้สมาธิช่วยด้วย ระยะเวลาเรียนยังใช้เวลาให้ได้ผลดีเป็นระยะเวลาหลายวันหรือหลายปี จึงได้ผลดีพอสมควร

แต่การที่ได้รับการสอนแบบพระอาจารย์ในดง สรุปรวมธรรมหมวดอื่นในพระไตรปิฎกมาร่วมอธิบายขยายความให้แจ่มแจ้ง มีขั้นตอนภาคปฏิบัติเป็นขั้นๆ จากง่ายไปยากจึงทำให้เรียนได้เร็ว ผู้ไม่เคยฝึกสมาธิเลย หรือฝึกได้เพียงสมาธิขั้นต้นก็สามารถเรียนรู้การทำสมาธิได้ถูกต้อง และรู้วิธีวัดได้เองว่าตนมีสมาธิระดับใด จะฝึกต่อไปให้ก้าวหน้าอีกอย่างไร และรู้ส่งอำนาจคุณพระ อำนาจสมาธิไปรักษาโรคต่างๆ ได้ผลดี ได้ผลเร็ว ตามที่กล่าวมาแล้วใช้เวลาเพียงวันเดียวก็เรียนได้จบและได้ผลถึงไปรักษาโรคต่างๆ ได้จริง

พระอาจารย์ในดงจะสอนเน้นในเรื่องการใช้พลัง คุณพระพลังจิตว่าเป็นวิชาที่ต้องผ่านไปไม่ยึดติด เป็นวิชาเด็กเล่น ที่ถูกคือเร่งฝึกสมาธิให้ก้าวหน้ายิ่งๆ ขึ้นไปเมื่อใช้ความพยายามและปฏิบัติตามคำสอนของ พระพุทธองค์ได้จริงก็ใช้เวลาเพียง ๓ เดือน ก็ได้ถึงสมาธิขั้นกลาง สมาธิขั้นกลางมีพลังดีกว่าขั้นต้นมาก

ขีดความสามารถของอำนาจจิตขั้นต้น อำนาจจิตขั้นต้นจะช่วยให้มีความสามารถทั้งทางกายและทางจิตใจดีขึ้นกว่าปกติเพิ่มความเข้มแข็งอดทนและขยันหมั่นเพียร ช่วยให้มีความจำดีมีสุขภาพดี เพิ่มความรู้ความเข้าใจในวิชาการต่างๆ ดีขึ้น ขวัญและกำลังใจดีขึ้น ในกรณีพิเศษ หรือการทดสอบอำนาจจิตขั้นนี้สามารถทดลองฟันหรือแทงด้วยแรงคนไม่เข้า ไม่มีอันตราย น้ำมันที่กำลังเดือด เอามือจุ่มลงไปได้ ตักกินได้โดยไม่มีอันตราย สามารถเดินลุยไปบนถ่านที่ติดไฟโดยไม่ต้องใส่รองเท้าสามารถเอามือจับโซ่ขนาดใหญ่ที่เผาไฟจนแดงได้ หรือเอามือกอบขึ้นได้ ใช้ในการรักษาโรคได้หรือช่วยส่งเสริมการรักษาอย่างอื่นให้โรคหายเร็วขึ้น ใช้ในการสะกดจิตได้ ช่วยให้มองเห็นภาพสิ่งของหรือเหตุการณ์ในปัจจุบันและอนาคตอันใกล้ได้ แต่ก็เป็นภาพเงาๆ ยังไม่ชัดเจนเหมือน สมาธิขั้นกลาง จึงมีส่วนผิดบ้างถูกบ้าง

ขีดความสามารถของอำนาจจิตขั้นกลาง อำนาจจิตขั้นกลางสามารถเพิ่มพูนความเข้มแข็งความอดทนและความขยันหมั่นเพียร ช่วยให้เกิดขวัญและกำลังใจ ช่วยให้มีความจำและความรู้ความเข้าใจได้ดีกว่าอำนาจจิตขั้นต้น ส่วนในกรณีอื่นๆ ก็มีขีดความสามารถสูงกว่าอำนาจ จิตขั้นต้น ตัวอย่างเช่น ในการทดลองฟันหรือแทงแรงๆ อำนาจจิตขั้นต้นยังปรากฏผลว่ามีอาการบวมแดง และมีอาการเจ็บช้ำได้ บางทีก็มีเลือดซึมออกมาบ้าง แต่อำนาจจิตขั้นกลางจะไม่มีอาการเจ็บไม่ช้ำบวม มองเห็นวัตถุในที่กำบังระยะไกล หรือเห็นเหตุการณ์ปัจจุบันและอนาคต อันใกล้ชัดเจนและถูกต้อง มีส่วนจะผิดพลาดน้อยมาก ในด้านความจำก็สามารถจำได้มากในระยะเวลาอันสั้น สามารถรับส่งข่าวด้วยกระแสจิตได้ (ถามและตอบกันได้ทางจิต) สะเดาะกุญแจให้หลุดได้, สามารถรักษาโรคได้ ผลดีกว่าอำนาจจิตขั้นต้น สามารถเปลี่ยนธาตุหรือวัตถุ อย่างหนึ่งให้เป็นอีกอย่างหนึ่งได้ และทำให้เป็นตัวสัตว์ที่มีชีวิตและวิญญาณได้ เช่นการทำใบไม้ให้เป็นแมลงภู่ หรือเป็นนก และทำให้ข้าวสารให้เป็นกุ้ง ความสามารถดังกล่าวมานี้ อาจารยัในประเทศไทยได้แสดงต่อหน้าที่ประชุมหลายครั้งมาแล้ว ในปัจจุบันก็มีทำได้หลายท่าน

ขีดความสามารถของอำนาจจิตขั้นสูง อำนาจจิต ขั้นสูงย่อมใช้ประโยชน์ต่างๆ ได้เหมือนอำนาจจิตขั้นต้น และขั้นกลาง แต่มีขีดความสามารถสูงกว่า เช่น ทำได้ดี ทำได้เร็ว ถูกต้องแม่นยำกว่า และนอกนั้นยังมีขีดความสามารถนอกเหนือไปจากอำนาจจิตขั้นต้น และขั้นกลางอีกมากมายหลายอย่าง ตัวอย่างการแสดงอำนาจจิต ตลอดจนหลักการและวิธีการที่จะใช้อำนาจจิตขั้นสูงมีอยู่ในพระไตรปิฎกหลายแห่ง จะขอยกมาเพียงบางแห่ง เช่น น้อมจิตไปเพื่ออิทธิวิธีหลายประการคือ คนเดียวเป็นหลายคนก็ได้ ทำให้หายไปก็ได้ (หายตัว) หรือทำให้วัตถุอื่นหายไป เดินทะลุฝ่ากำแพงหรือภูเขาไปได้น้อมจิตให้เกิด ทิพยโสต ได้ยินเสียงทิพย์กับเสียงมนุษย์ใกล้ไกลได้ เจโตปริยญาณกำหนดรู้ใจของผู้อื่นได้ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติก่อนได้เป็นอันมาก ผุดขึ้นดำลง แม้นในแผ่นดินเหมือนในนํ้าก็ได้ เดินบนนํ้าเหมือนเดินบนดินก็ได้ เหาะไปในอากาศเหมือนนกก็ได้ น้อมใจทำกองไม้ให้เป็นดินได้ หรือให้เป็นนํ้าได้ เป็นลมก็ได้ ทำให้ปรากฏคือมองเห็นอะไรไกลใกล้ได้แม้จะมีอะไรปิดบังก็เห็นได้และอำนาจจิตขั้นสูงแม้ถูกเผาทั้งเป็นก็ไม่มีอันตราย โจรไล่ฟันก็ไม่ได้ สัตว์ร้ายก็ไม่กล้าทำอันตราย จิตขั้นสูงสุดก็อาจสำเร็จวิชา ๓ อภิญญา ๖ หรือ วิชชา ๘ ประการ

บุญยิ่งใหญ่ที่จะนำความเจริญมาให้ตน
ขอเชิญชวนให้ศิษย์ที่เคยเรียนใช้พลังจิตพลังคุณพระจำนวนมากจากผู้เขียน (พ.อ.ชม) ช่วยรักษาโรคที่ฝรั่งยังไม่มียาที่จะรักษาได้ผลดีทำให้คนตายมากขึ้นทุกที โรคที่เคยรักษาหายก็ดื้อด้านรักษาไม่หาย อาการโรคเปลี่ยนแปลงจากเดิมมีโรคใหม่เกิดเพิ่มขึ้นอีก เพราะสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนไปด้วยรังสีที่เกิดจากการทดลองอาวุธร้ายหลายประเทศต่อไปใช้ปรมาณูอย่างเปิดเผยลงบนพื้นดินในการรบนั่นแหละ จะเห็นโทษชัดเจน ฝรั่งยังคิดวิธีล้างรังสีไม่ได้ เขารักษาด้วยรังสีแต่ไม่รูวิธีลบล้างรังสีที่ส่งเข้าตัวคน ตามที่ผู้เขียนทดลองมามากพบรังสีปรอทที่ ปราศจากพิษเท่านั้นที่ลบล้างรังสีทางวิทยาศาสตร์ได้ การรักษาโรคต่างๆ ที่สอนศิษย์ใช้คุณพระและพลังสมาธิ จึงเป็นการเผยแพร่พระพุทธศาสนาได้ดี กฎหมายเปิดโอกาสให้บรรยายเผยแพร่ศาสนาในที่เปิดเผยได้ ไม่มีใบประกอบโรคคิลป์ รักษาโรคเอดส์ มะเร็ง และอื่นๆ ได้ ภายหลังจากการห้ามรักษาที่ระยองได้อนุโลมให้รักษาได้ โดยไม่มีใบประกอบโรคศิลป์ หลังจากคนไข้เอดส์จำนวนมากเดินขบวน

พระพุทธเจ้าทรงสอนว่าการรักษาโรคมี ๕ วิธี มีหลักฐานในพระไตรปิฎกเล่ม ๔๗ หน้า ๖๓๒ กล่าวถึง วิธีรักษาโรค ๕ วิธีไว้ว่า การรักษาโรค ๕ อย่าง คือ “รักษาทางเสกเป่า, ทางผ่าตัด, ทางยา, ทางภูตผี, รักษาทางกุมาร” ดูได้จากพระไตรปิฎกฉบับภาษาไทยของกรมการศาสนา (ชุด ๘๐ เล่ม) แพทย์ฝรั่งไม่ใช้วิธีเสกเป่า (ใช้พลังคุณพระและพลังสมาธิ) และวิธีทางภูตผี (คือ วิชาถอนคุณไสยศาสตร์และผีเข้า) แพทย์ ๓ แผนนำสมัยใช้วิธีรักษาโรคทั้ง ๕ วิธี ที่ได้ผลดีมากก็คือใช้การ เสก เป่า ประกอบยา”

การฝึกสมาธิวิปัสสนามีความสำคัญที่ทำให้เกิดพลังจิตนำมาใช้ในการรักษาโรค ที่แก้ไม่ได้ผลนั้นเพราะ เหตุหลายประการที่ไม่ทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ตัวอย่างเช่น ไม่รู้ว่าอะไรเป็นเหตุให้เกิดสมาธิ พระพุทธองค์สอนว่า

๑. ความสุขสบายเป็นเหตุให้เกิดสมาธิ ต้องสร้างเหตุผลจึงจะเกิด,

๒. ไม่รู้ว่าที่ปฏิบัติสมาธิอยู่นั้นถูกหรือผิด จึงทำถูกบ้างผิดบ้าง,

๓. ฝึกวนเวียนอยู่ในตอนต้นๆ ไม่ก้าวหน้าต่อไป ขึ้นต้นเทียบว่าประถมหนึ่งภาวนาไปด้วยเมื่อสมาธิก้าวหน้าสูงขึ้นก็ลืมคำภาวนาเพราะจิตสงบเป็นสมาธิ เปรียบเหมือนได้ประถมสอง บางท่านสอนว่าลืมภาวนา ก็ให้เริ่มภาวนาใหม่ จึงวนเวียนอยู่แค่ประถมหนึ่งประถมสอง บางคนเมื่อลืมภาวนาลมหายใจละเอียดเบาจนไม่รู้สึกว่าหายใจซึ่งนับเป็นประถมสาม เกิดกลัวว่าจะตาย เพราะไม่ได้หายใจ จึงกลัวไม่กล้าฝึกอีก ในระดับนี้พระอาจารย์พุทธทาสสอนว่า การหายใจยังมีอยู่ แต่ไม่ปรากฏ เมื่อเข้าใจผิดในขั้นที่สามก็กลัวนึกว่าผิด เมื่อวนเวียนอยู่ ดังนี้จึงทำให้การฝึกไม่ก้าวต่อไป

๔. ไม่สอนไม่ฝึกจากง่ายไปยาก ฝึกข้ามขั้น ส่วนมากข้ามถึง ๒ ขั้นจึงฝึกไม่ถูกต้องไม่ก้าวหน้า รายละเอียดให้ดูวิธีฝึกสมาธิวิปัสสนาให้ได้ผลเร็วต่อไป

ที่มา:ชม  สุคันธรัต