พลังจิตวิชาคงกระพัน

Socail Like & Share

ลำดับการสอนให้ใช้พลังจิต
สอนวิชาคงกระพัน
ซึ่งจะบังเกิดผลคือเปลี่ยนรสของธรรมชาติได้, ทดลองเอามีดฟันหรือแทงก็ไม่มีอันตรายจะไม่ทดลองก็ได้ ขอให้ทำตามลำดับต่อไปนี้

๑. เตรียมดอกไม้ธูปเทียนใส่พาน ไม่มีพานจะใส่จานที่สะอาดหรือใส่ฝาบาตรของพระก็ได้ ดอกไม้อะไรก็ได้ประมาณ ๓ ดอก ธูป ๓ ดอกหรือ ๕ ดอกก็ได้ เทียนใช้เทียนขี้ผึ้งขนาดหนักประมาณ ๑ บาท จำนวน ๒ เล่ม หาปูนที่กินกับหมากไว้เล็กน้อย ใช้ปูนที่ไม่ใส่สีเสียด เอาเงินบูชาครูใส่ในพานดอกไม้ธูปเทียน ๖ บาท เมื่อเสร็จพิธีแล้วเอาเงิน ๖ บาทนี้ไปทำบุญทำทานตามที่เห็นสมควร

๒. จุดธูปเทียนบูชาพระ โดยจุดธูปเทียนแล้ว กราบพระ ๕ ครั้ง ครั้งที่ ๑ ตั้งใจเคารพพระพุทธเจ้า แล้วจึงกราบ ครั้งที่ ๒ ตั้งใจเคารพพระธรรม ครั้งที่ ๓ ตั้งใจเคารพพระสงฆ์ ครั้งที่ ๔ ตั้งใจเคารพบิดามารดาของตนและกราบลงไป แล้วตั้งใจเคารพครูอาจารย์ กราบลงครั้งที่ ๕ อาจารย์ปู่คำสอนอาจารย์ฟื้น พ.อ.ชม เรียนจากอาจารย์ฟื้น และคุณแม่ลำใย (ภรรยา อ. ฟื้น)

๓. เอาปูนทาที่ปลายนิ้วชี้ของมือขวา หรือเอาปลายนิ้วชี้ไปแตะปูนให้ปูนติดอยู่ด้านข้างตอนปลาย แล้วนั่งพนมมือในท่านั่งพับเพียบหรือท่านั่งขัดสมาธิก็ได้ ยกมือที่พนมมาไว้ใกล้ปากให้ปลายนิ้วชี้ที่มีปูนติดมาอยู่ห่างปากประมาณ ๑ คืบ ทดลองเป่าลมออกจากปากเบาๆ ยาวๆ ไปที่ปูน ถ้าลมที่เป่านั้นไม่ตรงปูน ที่ปลายนิ้วชี้ ก็เลื่อนมือให้ลมที่เป่านั้นตรงไปที่ปูนพอดีต่อไปให้หลับตา นั่งนิ่งไม่ขยับมือไม่ขยับหน้าไม่ลืมตา ตั้งใจว่าในใจ ดังต่อไปนี้

“ข้าพเจ้าขออัญเชิญคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ บิดามารดา ครูอาจารย์ ขอให้มาช่วยเสกปูนนี้ ให้เป็นปูนคงกระพันด้วยเถิด”

“นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุธธัสสะ”

๔. สูดลมหายใจเข้าเต็มปอดแล้วอัดลมไว้ ไม่หายใจเข้าไม่หายใจออกจิตนึกถึงภาพปูนที่นิ้วชี้ตลอดเวลาภาวนาคาถาบทที่ ๑  ซึ่งมี ๓ คำ (ว่าในใจ) ตลอดเวลา เมื่อภาวนาไปจนถึงปลายลม คือ ประมาณ ๒๐ จบ แล้วให้เป่าลมออกทางปากเบาๆ ยาวๆ เป่าไปที่ปูน การภาวนาให้มีความสม่ำเสมอไม่ใช่เร็วบ้างช้าบ้าง ขณะเป่าก็ภาวนาคาถาและนึกถึงภาพปูนอยู่ตลอดเวลา เป่าลมออกไปนั้นภาวนาให้ได้ ๓ หรือ ๔ จบก็พอ ต่อไปก็สูดลมเข้าทางจมูกอีกอัดลมไว้ ภาวนาคาถาและนึกถึงภาพปูนไว้เรื่อย ภาวนาได้นานถึงปลายลม คือ เกือบจะรู้สึกเหนื่อย ก็เป่าลมไปที่ปูนพร้อมกับภาวนาคาถาด้วย แล้วจึงสูดลมเข้าภาวนาคาถาและเป่าออกซํ้าๆ อย่างนี้ ให้ได้ ๗ ครั้ง คือ เป่าไปที่ปูนได้ ๗ ครั้ง จะมากกว่า ๗ ครั้งก็ได้ ไม่ต้องกังวลไม่ต้องหวังว่าจะครบ ๗ ครั้งแล้ว หรือยัง เพียงแต่ประมาณว่าได้ ๗ ครั้ง จะเป็น ๖ ครั้ง หรือ ๑๐ ครั้งก็ได้ การภาวนาก็ไม่ต้องไม่ต้องกังวลว่าจะภาวนาให้ได้ ๒๐ จบ เพียงแต่ประมาณว่า ๒๐ จบ หรือรู้สึกว่าจะเหนื่อยก็เป่าออก ครั้งหลังๆ อาจภาวนาได้เพียง ๑๐ จบในเวลาอัดลมไว้ ส่วนเวลาเป่าออกจะภาวนาได้เพียง ๒ จบก็ได้ กะประมาณให้พอเหมาะ ไม่เหนื่อย ถ้าเหนื่อยกระแสจิตจะออกไปได้น้อย

เมื่อเป่าไปที่ปูนได้ประมาณ ๗ ครั้งแล้ว ให้เอาปลายนิ้วชี้ที่มีปูนติดอยู่กดลงที่ปลายลิ้นพร้อมกับหายใจเข้าอัดลมไว้ ภาวนาคาถาไว้ให้ปูนแตะถูกลิ้นและกดไว้สักครู่ใหญ่ก็เอานิ้วชี้ออกจากลิ้น คอยสังเกตพิจารณาว่าบริเวณที่ลิ้นที่ถูกปูนนั้นรู้สึกอย่างไร ถ้ารู้สึกเฉยๆ รู้สึกจืด รู้สึกเค็ม รู้สึกหวาน หรือรู้สึกขม รู้สึกอย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว ก็แสดงว่าอำนาจจิตได้ส่งไปที่ปูนมากพอแล้ว จึงทำให้รสของปูนเปลี่ยนไปได้ ถ้าเป็นปูนธรรมดาไม่ได้เสก เอามาแตะที่ลิ้นจะกัดลิ้นมีอาการแสบและรู้สึกเหมือนของมีคมกรีด ปูนที่เสกได้ดีแล้ว เวลาแตะลิ้นรสจะเปลี่ยนไปแปลกๆ หรือรู้สึกเฉยๆ รู้สึกเย็นๆ บางทีก็มีแสบบ้างเล็กน้อยก็ใช้ได้ ปูนยังกัดลิ้นรู้สึกแสบมากต้องเสกใหม่ ทำซํ้าอย่างที่เคยทำจนใช้การได้ไม่กัดลิ้น

ต่อไปหายใจเข้าอัดลมไว้เอานิ้วชี้ที่มีปูนติดแตะไว้ ข้างคอ ภาวนาคาถา ๑ จบว่า “อุนุยัง” พร้อมกับลากนิ้วชี้ข้ามคอมาอีกด้านหนึ่งเรียกว่าเอาปูนคาดคอ ลากนิ้วมายาวประมาณ ๑ นิ้วหรือ ๒ นิ้ว ก็ได้ให้ข้ามกึ่งกลางคอมาอีกทางหนึ่ง ทำดังนี้แล้วก็เป็นอันว่าทำให้คงกระพัน เสร็จแล้ว จะทดลองฟันหรือแทงดูก็ได้ แต่เนื่องจากวิชาคงกระพันทำให้หนังเหนียวป้องกันการเจ็บการชํ้ายังไม่ได้ ต้องเป็นวิชาชาตรีจึงไม่เจ็บไม่ช้ำเมื่อสมาธิดีคือถึงขั้นกลาง จึงเรียนวิชาชาตรีได้ ดังนั้นเวลาทดลองให้ดึงหนังที่แขนซ้ายระหว่างข้อศอกถึงข้อมือออกมาให้หนังที่แขนยืดออก มาแล้วเอามีดปลายแหลมกดลงที่หนังเตรียมทดลอง แทง คือ ให้ปลายมีดแตะหนังไว้ เตรียมกดด้ามมีดลงแรงๆ

ก่อนจะกดปลายมีดลง ให้สูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอด อัดลมหายใจไว้ ภาวนาคาถาบทที่ ๑ ซึ่งมีสามคำ ภาวนาได้ประมาณ ๗ จบ ก็เริ่มกดมีดลงไปได้ ขณะที่เริ่มกดมีดลงไปก็ภาวนาคาถาไว้เรื่อยๆ ภาวนา ให้ถี่คือเร็วขึ้นจะช่วยให้เจ็บน้อยภาวนาไปได้อีกประมาณ ๙ จบ ก็ให้เลิกกดมีดลงไปให้ยกมีดขึ้นการดึงหนังที่แขน จะให้ผู้อื่นช่วยดึงให้ก็ได้

การที่กดมีดลงไปในเวลาอัดลมหายใจไว้ และทำจิตให้นิ่งพร้อมภาวนาได้ประมาณ ๗ จบนั้น จะช่วยให้มีอำนาจจิตหรือพลังจิตมากขึ้นช่วยต่อต้านอันตราย ถึงจะกดมีดลงแรงๆ เต็มที่ก็ไม่มีอันตราย ผิวหนังรอบๆ ไม่แดง ไม่บวม และไม่มีเลือดออก เพียงแต่รู้สึกเจ็บนิดหน่อยเท่าการฉีดยา หรืออาจจะไม่เจ็บเลย ถ้าไม่อัดลมหายใจและไม่ภาวนาไว้แล้วกดมีดลงไป แต่ตั้งจิตให้มั่นไว้ก็ไม่มีอันตราย แต่ผิวหนังรอบๆ จะแดงนานหน่อย จะมีการบวม และจะมีเลือดซึมออกเล็กน้อย และรู้สึกมีการเจ็บมากกว่าการอัดลมหายใจไว้

ข้อควรระวัง มีดใช้มีดขนาดปานกลางทั้งด้าม ทั้งตัวมีดยาวประมาณ ๑ ฟุต หรือสั้นกว่านี้เล็กน้อย ปลายให้แหลมแต่พอควร ถ้าปลายแหลมและเรียวยาวเกินไป มีดเล็กเกินไปจิตจะเกิดพะวงกังวลว่ามีดจะหัก กลัวว่ามีดจะพลิก เมื่อมีการระแวงก็ทำให้สมาธิไม่ดีพลังจิตก็มีน้อย อีกประการหนึ่งตอนปลายๆ ลม คือเมื่อเริ่มอัดใจภาวนาไป ๗ จบ ให้จิตนิ่งมั่นคงแล้วกดและภาวนาไปอีก ๙ จบ รวมเป็น ๑๖ จบ เป็นระยะกลางๆ ลมต่อไป เป็นระยะปลายๆ ลม เพราะเราอัดลมไว้ภาวนาไปสุด อัดลมจะได้ประมาณ ๒๕ หรือ ๓๐ จบ ระยะปลายลม คือจาก ๑๖ จบไปแล้ว อำนาจจิตหรือพลังจิตจะน้อย เพราะผู้ฝึกใหม่ตั้งจิตให้นิ่งไม่ได้นานนัก เมื่อสมาธิสูงขึ้นจึงจะตั้งจิตให้นิ่งให้มั่นคงได้นานๆ ฉะนั้นผู้ฝึกใหม่ ควรทำตามที่แนะนำโดยเคร่งครัดก่อน อย่ารีบทำพลิกแพลงไปนอกแบบ เช่นแทงให้นาน ลองใช้มีดโกน ลองใช้เข็มแทงดังนี้ยังไม่ควร เพราะยังทำสมาธิไม่ได้ดี เราควรทดลองด้วยความรอบคอบ ตั้งจิตใจให้มั่นคงทุกครั้งก่อนทดลอง หรือทำตามที่อธิบายไว้

เคล็ดลับสำคัญในการใช้อำนาจจิต นอกจากเคล็ดลับในการใช้อำนาจจิตที่กล่าวไว้ในหนังสือวิทยาศาสตร์ทางใจฉบับเปิดโลก และฉบับส่องโลกแล้ว ยังมีเคล็ดลับอีกอย่างหนึ่งคือ ในการใช้อำนาจจิตไปในทางต่อสู้หรือในการเสี่ยงอันตราย เช่น วิชาคงกระพันนั้น ก่อนจะลงมือทำให้ทำจิตใจให้สงบ และทำจิตใจเอาจริงเอาจังเป็นนักสู้ คิดเสียว่าเป็นคราวสัจจ์-คราวจริงของเราแล้ว ต้องเอาจริงเอาจัง เป็นการสร้างอารมณ์ห้าวหาญไว้ แล้วจึงลงมือเสกปูน จนถึงทดลองได้จริงๆ ถ้าเป็น การเสกของให้เป็นเมตตามหานิยมก็สร้างอารมณ์ยิ้มแย้มแจ่มใสทำใจให้สงบยิ้มในใจ ทำจิตเมตตารักใคร่ ทุกคนที่เป็นเพื่อนมนุษย์ แล้วจึงลงมือเสกของ

การทดลองดูปูนว่ากัดลิ้นอย่างไร ไม่ควรทดลองติดต่อกับการเสกปูน จะทำให้เกิดการสงสัย เพราะจิตมีความเชื่อมั่นในการเสกปูน หรือปูนที่เสกไปติดอยู่ที่ลิ้น จะปะปนกัน ควรทดลองก่อนหรือหลังการทดลองใช้ อำนาจจิตประมาณ ๑ วันหรือมากกว่า ๑ วันจะดีกว่า

วิชาคงกระพันอีกอย่างหนึ่งคือการเสกใบไม้กิน การเริ่มเรียนให้เสกใบพลูก่อนใช้ใบพลูหนึ่งใบ ลำดับการทดลองและการจัดเครื่องบูชาค่าบูชาครู และอื่นๆ ทำเหมือนการเสกปูน แต่ให้ใช้ใบพลูแทนปูน ใช้คาถาบทที่ ๒ เอาใบพลูมาวางไว้ในฝ่ามือที่พนมอยู่ ยกมือที่พนมอยู่นั้นไว้ห่างจากปากประมาณ ๑ คืบ คือให้ใบพลูอยู่ห่างจากปาก ๑ คืบนั่นเอง ใบพลูวางแบนตามฝ่ามือ จะมีใบพลูโผล่ออกมาจากฝ่ามือบ้างก็ได้ นึกภาพใบพลูไว้ตลอดเวลา และภาวนาคาถาไว้ทั้งเวลาอัดลมหายใจไว้ และในเวลาเป่าลมออกทางปากเป่าให้ได้ประมาณ ๗ ครั้งเหมือนกันเสร็จแล้วก็เอาใบพลูนั้นพับเคี้ยวกลืนลงไปหมด จะกินนํ้าตามลงไปอีกก็ได้ ขณะเคี้ยวใบพลูกินนั้นให้หายใจเข้าและอัดลมหายใจไว้ ภาวนาไปด้วยเคี้ยว ใบพลูไปด้วย เมื่อกลืนหมดแล้วสักครู่ก็ทดลองแทงดูได้ ทำเช่นเดียวกับการทดลองแทงในคราวเสกปูน คาถาที่ใช้ในการเสกใบพลู ให้ใช้คาถาบทที่ ๒ เวลาทดลองแทงก็อยู่ในจังหวะอัดลมหายใจไว้และภาวนา คาถาบทที่ ๒ โดยภาวนาให้เร็วให้ถี่ขึ้น

รวมความว่า ให้ตั้งใจทำจริงจัง ให้รู้สึกเป็นคนเอาจริงเอาจังกล้าหาญ เชื่อมั่นในตนเองและคำสอนที่กล่าวไว้ น้อมใจเคารพคุณพระทั้ง ๕ แล้วกราบ จุดธูป เทียนบูชา อธิษฐาน คืออัญเชิญให้คุณพระมาช่วยในการเสกใบพลู จะว่าคำเชิญต่างจากที่เขียนไว้บ้างก็ได้ ต่อไปว่า นะโมฯ สามจบ แล้วสูดลมเข้าพอสบาย และอัดลมไว้ภาวนาคาถา และนึกภาพที่จะเสกไว้ตลอดเวลา ปลายลมแล้วให้เป่าลมออกทางปากเบาๆ ยาวๆ ไปยังของที่เสกคือใบพลู ขณะเป่าลมออกก็ภาวนาคาถาไปด้วย ภาวนาคาถาตลอดเวลา นึกภาพไว้ตลอดเวลา จะเห็นภาพทางจิตหรือไม่เห็นก็ได้ เมื่อเป่าได้ประมาณ ๗ ครั้ง หรือมากกว่า ๗ ครั้ง จึงตรวจสอบรสใบพลูด้วยการเคี้ยวกินดู อยากรู้ว่าใบพลูที่ไม่ได้เสกมีรสเป็นอย่างไรต่างกับที่เสกแล้วอย่างไร ให้ทดลองก่อนหรือหลังจากวันเสกจริง ไม่น้อยกว่า ๑ วัน เพื่อไม่ให้เกิดปะปนสงสัยการทดลองแทงให้ทำโดยวิธีดึงหนังที่แขนออกมา และกดมีดในจังหวะกลางลม คือกดมีดระหว่างที่อัดใจภาวนาคาถาได้ ๗ จบแล้ว ให้ภาวนาคาถาถี่ๆ เพื่อให้จิตนิ่งและไม่กลัว เมื่อภาวนาต่อไปอีกประมาณ ๙ จบ ให้เลิกกดมีดลง เพราะปลายลมอำนาจจิตไม่ดีเท่าตอนกลางๆ ลม เมื่อทำได้แล้วทดลองได้แล้วมีความเข้าใจมั่นใจดีแล้วไม่ต้องเอาปูนคาดคอหรือไม่ต้องกินใบพลูเพียงแต่อัดลมหายใจไว้ภาวนาไว้ก็ทดลองกดมีดแทงในตอนกลางๆ ลมได้

ขอให้พิจารณาให้ดีว่าการแทงอย่างนั้น ถ้าแทงคนที่ไม่ได้ตั้งใจไม่รู้เรื่องการเหนียวก็คงจะเข้าเลือดออก เมื่อเราใช้วิชาดังกล่าวกดมีดแรงๆ ก็ไม่เข้า จะมีหลุมที่หนังทั้ง ๒ ข้างเท่านั้น แต่หลุมทั้ง ๒ ข้างก็บุ๋มเข้าข้างใน ทั้ง ๒ ข้าง ถ้าไม่เหนียวหลุมทางตรงกันข้ามจะตุงออกมา มีดทะลุผิวหนัง รู้ว่าอำนาจจิตอำนาจคุณพระมีจริง ทำให้รสของปูนและใบพลูเปลี่ยนไปได้เพียงแค่นี้ก็ดีแล้ว ไม่ควรทดลองพลิกแพลงแปลกๆ เพราะสมาธิหรือความมั่นคงไม่พอจะพลั้งพลาด ใครอยากจะพลิกแพลง
ไปอย่างอื่นก็ไปหาอาจารย์โดยตรงทำต่อหน้าอาจารย์จึงจะมีความปลอดภัย เมื่อเข้าใจดีแล้วจึงทำพลิกแพลงตามลำพังได้ เรื่องนี้เตือนไม่ให้พลิกแพลงก็หวังดีที่จะให้มีโอกาสฝึกใช้อำนาจจิตอำนาจคุณพระขั้นสูงขึ้นต่อไปได้ง่าย ฝึกสมาธิให้สูงขึ้นจะทำอะไรได้แปลก ใช้ประโยชน์ได้พิสดารขึ้นทั้งทางโลกและทางธรรม คนที่ยังนึกกลัวอยู่มากไม่กล้าทดลองก็ยังไม่ควรทดลองในวันนั้น

ข้อห้าม
วิชาคงกระพันที่เรียนนี้และวิชาอื่นๆ ที่ข้าพเจ้าสอน เป็นวิชาทางคุณพระ ส่วนมากไม่มีข้อห้าม แต่บางวิชามีข้อห้าม แต่ก็เป็นข้อห้ามง่ายๆ ทำผิดข้อห้ามก็ไม่มีโทษ ไม่ทำให้เจ็บป่วยเหมือนไสยศาสตร์โบราณเมื่อพลั้งเผลอ ข้อห้ามวิชาทางคุณพระไม่เกิดโทษให้เจ็บป่วย แต่ก็ควรมีการเคารพต่ออาจารย์และคุณพระ คือเมื่อทำพลั้งเผลอ แล้วก็จุดธูปเทียนบูชาบอกกล่าวและขอใช้วิชานั้นต่อไป ก่อนมีเวลาก็ไปบอกกล่าวกับอาจารย์ขอยกครูใหม่

วิชาคงกระพันนี้มีข้อห้าม ๓ ข้อ คือ
๑. ห้ามเอาคาถาไปบอกต่อให้แก่ผู้อื่น ถ้าเรียนแล้วครบ ๕ ปีจึงเป็นครูสอนหรือบอกต่อผู้อื่นได้ ถ้ายังไม่ครบ ๕ ปี ต้องไปทำพิธีครอบครูเรียนวิธีเป็นครูก่อน จึงสอนผู้อื่น

๒. ห้ามเอากระดาษที่มีอักษรไทย อักษรขอมไปเช็ดก้นเวลาถ่ายอุจจาระ

๓. ห้ามด่าแม่เขาเวลาเกิดต่อสู้กัน ข้อนี้ขอเพิ่มเติมตำราเดิมอีกว่า เวลาต่อสู้หรือใช้วิชานี้เรามีหน้าที่อัดลมหายใจไว้ และภาวนาคาถา เมื่อถึงปลายลมอัดไว้ ไม่ได้ก็หายใจออกเร็วและแรง แล้วสูดลมหายใจเข้าอัด ลมไว้อีกโดยเร็ว คือหายใจออกทางจมูกแบบกระแทกออกแรงๆ เร็วและหายใจเข้าอัดลมและภาวนาถี่ๆ อีก

การทำให้ผู้อื่นเหนียวคง วิชาเหนียวคงที่สอนนี้ เรียนตกทอดกันมาหลายชั่วคนแล้วเรียกว่าวิชาแต่งกองทัพ คือทำให้ผู้อื่นเหนียวคงได้ การทำให้ผู้อื่นเหนียวคง ก็อธิษฐานหรืออัญเชิญให้คุณพระช่วยคุ้มครองเป็นรายบุคคล เช่น เขาชื่อนายแดงก็ให้คุ้มครองนายแดง หรือทำให้ช้างม้าที่ใช้ในสงครามเหนียวคงก็เสกปูนคาดคอให้ช้างและม้า การทำให้ผู้อื่นเหนียวคงตนเอง ต้องเชื่อมั่นทดลองจนมั่นใจ ๓ หรือ ๔ ครั้งก่อน เช่น วันนี้ทดลองแล้วอีก ๗ วันหรือ ๑๐ วันทดลองใหม่ พอมั่นใจดีจึงทดลองทำให้คนอื่น เวลาลองให้เขาอยู่ในจังหวะอัดและภาวนาพุทโธ ถี่ๆ เราภาวนาคาถาแทนเขา จึงจะไม่เจ็บ ไม่ชํ้า ไม่บวม ผู้มีความเชื่อมั่นดีและฝึกสมาธิดีพอควรจะเสกปูนครั้งเดียวคาดคอให้ ๗ คนก็ได้ หรือเสกใบพลูครั้งละ ๗ใบ ให้คน ๗ คนกินคนละใบก็ได้ ผู้มีสมาธิสูงจะทำให้ได้หลายคน หลังจากทดลองแทงแล้วจะมีหลุมที่แทงทั้งสองข้าง คือมีหลุมบุ๋มเข้าทั้งสองข้างนั้น ห้ามเอามือจับแหวะดู เพราะเนื้อข้างในจะขาด และมีเลือดซึมออกมา ปล่อยไว้อย่างนั้นหลุมจะเต็มเอง ไม่ควรทดลองฟันหรือเถือไปมา ไม่ควรทดลองใช้ใบมีดโกนหรือมีดหมอทดลอง เพราะในระดับสมาธิขั้นต้นนั้น ยังมีพลังไม่มากพอ และการเหนียวก็เหนียวเฉพาะหนังข้างนอก เนื้อหรือกระดูกไม่เหนียวพอที่จะต้านทานความคมความแรงได้ อย่างน้อยก็อาจชํ้าในและกลายเป็นฝีช้ำภายหลัง เคยรักษาคนที่เกวียนทับที่วัดพระแก้ว ที่จังหวัดเพชรบูรณ์ หลังจากถูกเกวียนทับมาประมาณ ๕ ปี เกิดเป็นฝีช้ำ หลังจากผ่าขูดเอาเนื้อเน่าออกก็รักษาไม่หายนานกว่าเดือนจึงมาให้รักษาโดยการใช้ปรอท เพียง ๓ วันอาการก็ดีขึ้นมาก กำลังใจดีกินข้าวได้ ผู้ป่วยนี้เป็นบิดาของท่านเจ้าอาวาสวัดพระแก้วและแผลก็หายดี ทั้งนี้ได้รักษาเมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๖ ใช้เวลารักษา ๑๐ วัน แผลก็หายเป็นปกติ มีดที่ใช้ทดลองใช้มีดเดินป่าซึ่งปลายแหลมไม่มาก ถ้าใช้มีดปลายแหลมเรียวเล็กก็ไม่สมควร เพราะมีจิตส่วนหนึ่งกลัวหัก ทางที่ดีที่สุดคือให้เร่งฝึกสมาธิขั้นกลางได้แล้ว จบสมาธิขั้นกลางเอามีดดาบฟัน หรือเอาเหล็กฟาดหน้าแข้งก็ไม่เจ็บ ไม่มีอันตราย ไม่รู้สึกเจ็บเพราะพลังสมาธิผลักเหล็กหรือมีดดาบออกไปก่อน ที่จะถึงหน้าแข้ง ตัวอย่างแบบนี้พระอาจารย์ในดงท่านเล่าให้ฟังว่าเมื่อท่านกำลังขุดมันที่จังหวัดนครปฐม ระหว่างที่ท่านเป็นเณร พระอาจารย์ใหญ่ให้ทดลองเอาเสียมตอนเป็นเหล็กตีหน้าแข้งของพระอาจารย์ใหญ่ ตีจนเหนื่อยก็ไม่มีอันตรายแม้แต่น้อย

ผู้มีสมาธิขั้นต้นใจยังนึกกลัวขณะแทงก็จะมีหลุมบุ๋มเข้าไปทั้ง ๒ ด้าน ถ้าไม่เหนียวไม่ตั้งใจทำปลายมีดก็จะแทงเข้าคือหนังทะลุตุงออกไปเลือดไหล เมื่อฝึกสมาธิบ่อยเพียงสมาธิขั้นต้นนั้นก็จะมีรอยบุ๋มเข้าข้างเดียวด้านล่างไม่มีรอยบุ๋ม เมื่อสมาธิดีขึ้นเอามีดแทงโยกไปมาที่หนังจะมีหลุมเล็กนิดเดียว เมื่อฝึกถึงสมาธิขั้นสูงจะใช้มีดคมปลายแหลมแทงโยกไปมา ที่หนังก็ยังเป็นปกติไม่เจ็บ ไม่มีหลุมเหมือนที่พระอาจารย์ใหญ่ให้เอาเสียมตีหน้าแข้ง ตามที่ผู้เขียนสอนมากว่า ๓๕ ปี พบพระที่มาเรียนเพียงองค์เดียวที่ทดลองแทงเต็มแรงไม่มีบุ๋มเลย พระท่านขอแทงด้วยตนเองอีก ๒ ครั้งเต็มแรงก็ไม่มีหลุม แต่จะแทงซํ้าก็ขอจากครูอาจารย์ว่าขอแทงซํ้าเพื่อความชำนาญ ไม่ได้มีจิตไม่เชื่อโดยประมาท

การใช้คาถา จะใช้คาถา (บทที่ ๑) เสกปูนก็ใช้อย่างเดียว จะใช้คาถา (บทที่ ๒) เสกใบพลูก็ใช้แต่อย่างเดียว อย่าใช้ ๒ อย่างในเวลาเดียวกัน เป็นการแสดงว่า จิตใจไม่เชื่อมั่น เมื่อถึงคราวจำเป็นจะเสกนํ้าลายแทนปูนก็ได้ หรือไม่มีเวลาเสก ไม่มีเวลาคาดคอจะหายใจเข้าอัดลมหายใจไว้ และภาวนาคาถาก็ใช้ได้ คุ้มครองได้ไม่มีอันตราย แต่ให้เลือกเอาบทเดียว (บทที่ ๑ หรือ บทที่ ๒  ใบพลูถ้าเป็นใบเล็กก็เอา ๒ หรือ ๓ ใบ ใบใหญ่ก็เอาใบเดียวถ้าจำเป็นก็ใช้ใบไม้อื่นๆ ก็ได้ ถ้าใบไม้เล็กๆ เช่นใบมะขามก็ใช้ ๑ กำมือมาเสกกิน ถ้าเสกปูนคาดคอ หรือเสกใบพลูกินอย่างใดอย่างหนึ่ง วันละครั้งทุกวันจนครบ ๕ ปี จะทำให้เหนียวแบบอยู่ตัว คือไม่ต้องเสกก็เหนียว นอนหลับอยู่ก็ฟันไม่เข้า และฉีดยาไม่เข้า

อาจารย์ที่สอนให้ข้าพเจ้า ชื่ออาจารย์ฟื้น และอาจารย์ฟื้นเรียนวิชาคงกระพันนี้มาจากอาจารย์คำ อาจารย์คำ ศิษย์มักจะเรียกว่าปู่คำ อยู่ที่บางลำพู พระนคร ปู่คำทำตัวให้เหนียวคงแบบอยู่ตัว คือเสกทำครบ ๕ ปี ส่วนอาจารย์ฟื้น ศิษย์มักจะเรียกว่าพ่อฟื้น อาจารย์ฟื้นตายแล้ว ภรรยาท่านชื่อคุณแม่ลำใย ก็เป็นอาจารย์สอนแทน, คุณแม่ลำใยเป็นผู้ครอบครูคือประสิทธิ์ประสาทให้ข้าพเจ้าเป็นครูได้

ที่มา:ชม  สุคันธรัต