อายุของสิ่งมีชีวิต

Socail Like & Share

ไหนๆ ก็พูดถึงเรื่องอายุของคนกันแล้ว ก็ควรจะพูดถึงอายุของสิ่งที่มีชีวิตเท่าที่มีผู้ค้นคว้ากล่าวไว้เสียด้วย อายุของสัตว์ต่างๆ มีดังนี้

แมลงเม่ามีชีวิตอยู่เพียง ๒๔ ชั่วโมง ผีเสื้อ ๒ เดือน มด ๑ ปี กระต่าย ๘ ปี งู ๑๐ ปี แพะ ๑๒ ปี นกดุเหว่า ๑๒ ปี แมว ๑๓ ปี ไก่ ๑๔ ปี กบ นกคีรีบูน สุนัข แกะ อายุ ๑๕ ปี นกพิลาบ ๒๐ ปี นกยูง นกกระสา ๒๔ ปี หมู วัว ๒๕ ปี ม้า ๓๐ ปี ลิงอุรังอุตังและอูฐ ๔๐ ปี สิงโต นกพิลลิแกน ห่าน ๕๐ ปี นกแก้ว ๖๐ ปี นกอินทรีย์ กา ช้าง ปลาวาฬ ๑๐๐ ปี นกกะตั้ว ๑๓๐ ปี จระเข้า ๓๐๐ ปี เต่าเห็นจะเป็นสัตว์ที่อายุยืนที่สุดคือ ๓๕๐ ปี ที่ว่ามาทั้งนี้เป็นอายุโดยเฉลี่ยอาจจะน้อยหรือมากกว่านี้ก็ได้

ที่นี้ว่าเรื่องของคนมีอายุต่อไป

เรายังมีคำเรียกผู้ที่มีอาวุโสโดยอายุหรือโดยตำแหน่งหรือฐานะอีกคำหนึ่ง คือคำว่าผู้ใหญ่ คำว่าผู้ใหญ่นี้เราไม่ได้หมายว่าใครที่มีตำแหน่งดีหรือฐานะดีหรืออายุสูงแล้วจะเป็นผู้ใหญ่ได้ทุกคน แต่เราหมายถึงผู้ที่มีคุณธรรมเหมาะที่จะเป็นผู้ใหญ่ คุณธรรมที่ทำให้คนเราผู้เป็นใหญ่ในทางพระพุทธศาสนาของเรา เรียกว่า พรหมวิหาร ซึ่งมีอยู่ ๔ ประการคือ เมตตา กรุณา มุทิตาและอุเบกขา ว่ากันว่าธรรม ๔ ประการนี้เป็นธรรมประจำใจของพระพรหมทีเดียว ผู้ใดประกอบด้วยคุณธรรม ๔ ประการ เราก็เรียกผู้นั้นว่าเป็นผู้ใหญ่ได้ นอกจากนี้ผู้ใหญ่เราหมายถึงผู้ที่มีความรู้สึกรับผิดชอบต่อหน้าที่การงานซึ่งตนมีหน้าที่อีกด้วย คนใดมีหน้าที่อย่างใด และรู้จักรับผิดชอบในหน้าที่นั้นๆ ก็เรียกว่าผู้ใหญ่ได้เหมือนกัน ดังนั้นคำว่าผู้ใหญ่จึงไม่จำเป็นจะต้องเป็นผู้มีอายุสูงเสมอไป ผู้ที่มีอายุสูงถ้าไม่มีคุณธรรมของผู้ใหญ่แล้ว ก็จะเรียกว่าผู้ใหญ่ไม่ได้เหมือนกัน อย่างที่โบราณกล่าวว่า “ใหญ่มะพร้าวเฒ่ามะละกอนั้นเอง” คือไม่มีแก่นสารอะไรเลย โตเสียเปล่าๆ

ชาวปักษ์ใต้มีถ้อยคำกล่าวสบประมาทผู้ที่มีอายุแต่ปราศจากความคิดหรือคุณธรรมอยู่ประโยคหนึ่งว่า “ใหญ่เพราะกินข้าว เฒ่าเพราะเกิดนาน” ใครถูกสบประมาทอย่างนี้เรียกว่าไม่เป็นผู้เป็นคนทีเดียว

ในภาษาบาลีมีคำยกย่องผู้ที่มีอายุยืนหรือผู้เฒ่าผู้แก่อยู่คำหนึ่ง คือคำว่า “รัตตัญญู” แปลตามตัวว่าผู้รู้กาลนาน หมายถึงผู้ที่มีอายุยืนผ่านโลกผ่านความชำนาญมามาก ถ้าสมัยนี้ก็น่าจะเป็นผู้ชำนาญการได้

เรื่องของผู้เฒ่าผู้แก่นั้น ถ้าเป็นผู้ที่มีฐานะดี ก็เรียกว่าเป็นผู้ที่อาจจะมีความอบอุ่นในภายแก่เพราะคงมีลูกหลานหรือญาติมิตรคอยเอาใจใส่ดูแล ด้วยว่ามีเงินเขาก็นับว่าน้องมีทองเขาก็นับว่าพี่ ส่วนคนแก่ที่ไม่ค่อยมีเงินมีทองหรือฐานะไม่ดีนั้น เมื่อทำงานทำอะไรไม่ค่อยได้ก็ปราศจากคนเหลียวแล แม้แต่ลูกหลานก็นึกรังเกียจ เรื่องคนแก่ขาดความอบอุ่น มีแต่ความว้าเหว่เพราะถูกคนทอดทิ้งนี้ ในประเทศเราดูจะไม่ค่อยมีปัญหามากนัก เพราะครอบครัวของไทย มักจะอยู่รวมกัน จึงมีน้อยนักที่จะไร้ญาติขาดมิตร แต่ในประเทศฝ่ายตะวันตกหรือประเทศอุตสาหกรรม คนแก่มักจะเกิดปัญหาทางจิตใจมาก เพราะถึงจะมีลูกมีหลาน เขาก็แยกเรือนไปอยู่เสียต่างหาก นานๆ จึงจะมาเยี่ยมพ่อแม่หรือปู่ย่าตายายเสียทีหนึ่ง เพื่อนผมคนหนึ่ง ซึ่งไปศึกษาวิชาสังคมสงเคราะห์ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา เล่าให้ฟังว่า คนแก่ในประเทศนั้น ว้าเหว่จริงๆ เพราะประเพณีของที่นั่นถือว่าเรือนใครๆ อยู่อู่ใครๆ นอน ไม่ค่อยจะไปมาหาสู่กัน คนแก่จึงไม่มีทางที่จะระบายอารมณ์กับใคร ต้องเลี้ยงสุนัย แมว นกแก้ นกขุนทองไว้พูดด้วย ดังนั้นนกแก้วนกขุนทองของเราตลอดจนแมวไทยจึงเป็นสินค้าที่ขายดีในอเมริกา นอกจากนี้ก็เพราะความว้าเหว่นั่นเอง เราจึงมักจะได้ยินข่าวแปลกๆ ในสายตาหรือความรู้สึกนึกคิดของเรา นั่นคือคนเฒ่าคนแก่อายุตั้งแต่ ๗๐-๘๐ ปีแล้ว แต่งงานกัน ซึ่งเราเห็นว่าคนเฒ่าคนแก่ไม่น่าจะมีเรื่องเช่นนี้อีก แต่ความจริงแล้วเรื่องกามารมณ์นั้น คงจะเป็นเรื่องไม่สำคัญ เท่ากับเขาต้องการเพื่อนคุย ต้องการเพื่อนไว้ปรึกษาในยามที่เกิดความว้าเหว่หรือความทุกข์ขึ้น คนแก่จึงต้องแต่งงานกัน ดังนั้นการแต่งงานของคนแก่กับของคนหนุ่มสาวจึงมีวัตถุประสงค์แตกต่างกันอยู่บ้าง

คนเป็นอันมากนึกว่า การที่คนเรามีอายุยืนนั้นเป็นบุญหรือเป็นความดี ถ้าอายุยืนกันทุกคนก็ไม่มีปัญหาอะไรนอกจากทำให้โลกแคบเข้า แต่ถ้าเราอายุยืนอยู่คนเดียวหรือน้อยคนแล้ว ท่านลองคิดดูซิว่าเมื่อเราอายุ ๑๐๐ ปีนั้น เราจะมีเพื่อนรุ่นเดียวที่พูดจาเข้าอกเข้าใจกันกี่คน บางทีอาจจะไม่มีเหลืออยู่เลยก็ได้ มีเรื่องเล่ากันสนุกๆ อยู่เรื่องหนึ่งว่า มีชายขี้เมาคนหนึ่งตายไปเมื่ออายุ ๔๐ ปี เวลาตายนั้นได้พาขวดเหล้าติดตัวไปด้วย พอไปถึงยมโลกยมพบาลถามว่าเหล้านั้นดีอย่างไร จึงชอบดื่มกันนัก ชายคนนั้นบอกว่า เหล้านั้นอร่อยนัก ใครดื่มเข้าไปแล้วทำให้อารมณ์ครื้นเครง ลืมความทุกข์ความโศกเสียได้ ไม่เชื่อท่านยมพบาบจะลองดูก็ได้ ว่าพลางทางส่งขวดให้ยมพบาลๆ ก็ลองดื่มดู จะหมดไปเท่าไรไม่ทราบ เพราะผู้เล่าไม่ได้บอกไว้ บอกแต่ว่าเมื่อยมพบาลดื่มเหล้าแล้วก็รับรองว่าอร่อยจริง และพูดจาสนุกสนาน ถามชายคนนั้นว่า ที่ต้องตายจากมนุษย์นี้ไม่เสียใจหรือชายคนนั้นตอบว่าไม่เสียใจหรอก แต่ก็อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกสัก ๒ ปี พอได้บวชลูกชายเท่านั้น เพราะขณะนี้ลูกชายเพิ่งอายุ ๑๘ เท่านั้น อีก ๒ ปีก็ครบบวช แต่ก็ไม่ได้บวชเสียแล้ว เพราะยมพบาลไปเอามาเสียก่อน ยมพบาลจึงว่าขอเวลาเพียง ๒ ปี เป็นไรมี จะให้มีชีวิตอยู่ต่อไปพอบวชลูกได้ ว่าพลางทางบอกพนักงานให้ไปหยิบสมุดบัญชีรายชื่อมา ให้เปิดตรงหน้าที่มีชื่อชายผู้นั้น เมื่อเปิดพบชื่อแล้ว ยมพบาลก็เติมอายุให้ชายคนนั้นอีก ๒ ปี แล้วให้ยมทูตพาไปส่ง ชายคนนั้นก็ฟื้น อยู่ต่อมาจนได้บวชลูกชาย บวชลูกชายแล้วนับเวลาเป็นร้อยปี ชายคนนั้นก็ไม่ตาย ไม่ว่าญาติพี่น้องลูกเมียก็ตายไปหมด ชายคนนั้นก็ไม่ตายสักที จะพูดจากับใครก็ไม่รู้เรื่อง เพราะพูดกับคนซึ่งอยู่คนละสมัยเสียแล้ว อยากจะตายก็ตายไม่ได้ พูดง่ายๆ ว่าทำอย่างไรก็ไม่ตายสักที จะกล่าวถึงยมพบาลวันหนึ่งนึกเปรี้ยวปากอยากจะดื่มสุราขึ้นมาก็นึกถึงชายคนนั้นขึ้นมาได้ เกิดสงสัยว่าทำไมจึงยังไม่ตายสักที จึงสั่งให้พนักงานเปิดบัญชีดูว่าชายคนนั้นจะตายเมื่อไร ก็ปรากฏว่าชายคนนั้นมีอายุยืนถึง ๔๐๒ ปี ยมพบาลสงสัยว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น เจ้าพนักงานบอกว่าก็ตอนที่ท่านยมพบาลเติมอายุของชายคนนั้น ๒ ปีตามที่เขาขอนั้น ท่านยมพบาลหาได้ลบเลขศูนย์ออกเสียก่อนไม่ เพียงเติมเลข ๒ ลงไปหลังเลข ๔๐ ปี ปรากฏว่ายมพบาลถึงบางอ้อตรงนี้เอง ที่เล่ามานี้อาจจะเป็นเรื่องไร้สาระแต่ยกขึ้นมาให้เห็นสาระอยู่ ๒ ประการ คือ ๑. อย่าทำเอกสารสำคัญอะไรขณะที่ท่านมึนเมาและ ๒. การที่คนเราอายุยืนนั้นไม่ใช่เรื่องดีเสมอไปก็มีเพียงเท่านี้เอง

ที่มา:วิชาภรณ์  แสงมณี