รำพันพิลาป

Socail Like & Share

อันโลกีย์วิสัยที่ในโลก                ความสุขโศกสิ้นกายก็หายสูญ
เป็นมนุษย์สุดแต่ขอให้บริบูรณ์        ได้เพิ่มพูนผาสุกสนุกสบาย
ขอบุญพระจะให้อยู่ชมพูทวีป        ช่วยชุบชีพชูเชิดให้เฉิดฉาย
ไม่ชื่นเหมือนเพื่อนมนุษย์ก็สุดอาย        สู้ไปตายตีนเขาลำเนาเนิน

เรื่องนี้เป็นเรื่องเดียวที่ตั้งชื่อผิดไปจากนิราศอื่นๆ ตามคำนำของกรมศิลปากรว่า แต่งในปีรัชกาลที่ ๓ เสวยราชย์ คือ พ.ศ. ๒๓๖๗ และสุนทรภู่ถูกถอดในปีเดียวกันนั้น พอถูกถอดสุนทรภู่ก็บวช เที่ยวหัวเมืองเสียพักหนึ่ง แล้วก็มาจำพรรษาที่วัดราชบูรณะ

เนื้อนิราศ

สุนทรภู่ฝันถึงเทพธิดาผู้ปรารถนาดีต่อท่าน

“เมื่ออยากฝันนั้นว่านึกนั่งตรึกตรอง    เดือนหงายส่องแสงสว่างดังกลางวัน
เห็นโฉมยงองค์เอกเมขลา        ชูจินดาดวงสว่างมากลางสวรรค์
รัศมีสีเปล่งดังเพ็งจันทร์        พระรำพันกรุณาด้วยปรานี
ว่านวลหงส์องค์นั้นอยู่ชั้นฟ้า        ชื่อโฉม เทพธิดา มิ่งมารศรี
วิมานเรียงเคียงกันทุกวันนี้        เหมือนหนึ่งพี่น้องสนิทร่วมจิตใจ
จะให้แก้วแล้วก็ว่าไปหาเถิด        มิให้เกิดการระแวงแหนงไฉน
ที่ขัดข้องหมองหมางเป็นอย่างไร    จะผันแปรแก้ไขด้วยใกล้เคียง

แล้วสุนทรภู่ก็เคลิบเคลิ้มรำพันรัก แต่ตอนหลังก็คิดได้จึงสารภาพไว้ว่า

“โอ้ปีนี้ปีขาลบันดาลฝัน    ที่หมายมั่นเหมือนจะหมางระคางเขิน
ก็คิดเห็นเป็นเคราะห์จำเพาะเผชิญ    ให้ห่างเหินโหยหวนรำจวนใจ
จึงแต่งความตามฝันรำพันพิลาป        ให้ศิษย์ทราบสุนทราอัชฌาสัย
จะสั่งสาวชาวบางกอกทั้งนอกใจ        ก็กลัวภัยให้ขยาดพระอาชญา
จึงเอื้อมอ้างนางสวรรค์ตามฝันเห็น    ให้อ่านเล่นเป็นเล่ห์เสน่หา
ไม่รักใครในแผ่นดินถิ่นสุธา            รักแต่เทพธิดาสุราลัย
ได้ครวญคร่ำร่ำเรืองเป็นเครื่องสูง        พอพยุงยกย่องให้ผ่องใส
ทั้งสาวแก่แม่ลูกอ่อนลาวมอญไทย    เด็กผู้ใหญ่อย่าเฉลียวว่าเกี้ยวพาน
พระภู่แต่งแกล้งกล่าวสาวสาวเอ๋ย        อย่าถือเลยเคยเจนเหมือนเหลนหลาน
นักเลงกลอนนอนฝันเป็นสันดาน        เคยเขียนอ่านอดใจมิใคร่ฟัง

แล้วสุนทรภู่ก็บอกเหตุที่จะต้องจากวัดเทพธิดาไปด้วยความอาลัย

“โอ้ยามนี้ปีขาลสงสารวัด    เคยโสมนัสในอารามสามวษา
สิ้นกุศลผลบุญการุณา        จะจำลาเลยลับไปนับนาน

ตอนหนึ่งได้รำพึงถึงศิษย์ คือพระสิงหะ (หมายถึงเจ้าฟ้าอาภรณ์) กับพระอภัย (หมายถึง เจ้าฟ้ากลาง) ว่า

พระสิงหะพระอภัยพระทัยจืด        ไม่ยาวยืดยกยอฉลอเฉลิม
เมื่อกระนั้นจันทน์และกระแจะเจิม        ได้พูนเพิ่มเหิมฮึกอยู่ตึกราม

ด้วยเหตุที่เป็นเรื่องฝัน สุนทรภู่ได้ใช้จินตนาการถึงเรื่องต่างประเทศตามความรู้ของตน คือคิดจะพานางในฝันไปเที่ยวต่างประเทศ ว่า

“แล้วจะใช้ใบเยื้องไปเมืองเทศ    ชมประเภทพวกแขกแปลกภาษา
ทั้งหนุ่มสาวเกล้ามวยสวยโสภา    แต่งกายาอย่างพราหมณ์งามงามดี
ล้วนนุ่งห่มโขมพัสตร์ถือสัตย์ศิล    ใส่เพชรนิลแนบประดับสลับสี
แลพิลึกตึกตั้งล้วนมั่งมี            ชาวบุรีขี่รถบทจร
จะเชิญแก้วแววเนตรขึ้นเขตแคว้น        จัดซื้อแหวนเพชรรัตน์ประภัสสร
ให้สร่างทรวงดวงสุดาสัตถาวร        สว่างร้อนรับขวัญทุกวันคืน
จะระวังนั่งประคองเคียงน้องน้อย        ให้ใช้สอยสารพัดไม่ขัดขืน
กลืนไว้ได้ในอุระก็จะกลืน            ให้แช่มชื่นชมชะเลทุกเวลา
แล้วจะชวนนวลละอองตระกองอุ้ม    ให้ชมเพลินเนินมะงุมมะงาหรา
ไปเกาะที่อีเหนาชาวชวา            วงศ์อะสัญแดหวาน่าหัวเราะ
จมูกโด่งโง้งงุ้มทั้งหนุ่มสาว            ไม่เหมือนกล่าวราวเรื่องหูเหืองเจาะ
ไม่เพริศพริ้งหญิงชายคล้ายคล้ายเงาะ        ไม่มีเหมาะหมดจดไม่งดงาม
ไม่แง่งอนอ้อนแอ้นแขนไม่อ่อน            ไม่เหมือนสมรเสมอภาษาสยาม
รูปก็งามนามก็เพราะเสนาะนาม        จะพาข้ามเข้าละเมาะเกาะมาลากา
เดิมของแขกแตกฝาหรั่งไปตั้งตึก        แลพิลึกครึกครื้นขายปืนผา
เมื่อครั้งนั้นปันหยีอุ้มวิยะดา            ชี้ชมสัตว์มัจฉาในสาคร
แม้นเหมือนหมายสายสุดใจไปด้วยพี่    จะช่วยชี้ชมตลิ่งเหล่าสิงขร

ประคองเคียงเอียงเอกเขนกนอน        ร้องละครอิเหนาเข้ามาลากา
แล้วจะใช้ใบบากออกจากฝั่ง            ไปชมละเมาะเกาะวังกัลปังหา
เกิดในน้ำดำนิลดังศิลา            เหมือนรุกขาขึ้นสล้างหว่างคีริน
ชะเลรอบขอบเขาเป็นเงาง้ำ        เวลาน้ำขึ้นกระเพื่อมถึงเงื้อมหิน
เห็นหุบห้องปล่องชะลาฝูงนาคิน    ขึ้นหากินเกยนอนฉะอ้อนเนิน
ภูเขานั้นวันหนึ่งแล่นจึงรอบ        เป็นเขตขอบเทพเจ้าจอมเขาเขิน
จะชื่นชวนนวลละอองประคองเดิน    เลียบเหลี่ยมเนินเพลินชมพนมนิล
จริงน่ะจ๋ะจะเก็บทั้งกัลปังหา        เม็ดมุกดาคลื่นสาดกลางหาดหิน
เบี้ยอี้แก้แลรอบขอบคีริน        ระรื่นกลิ่นไม้หอมมีพร้อมเพรียง
สะพรั่งต้นผลดอกออกไม่ขาด    ศิลาลาดลดหลั่นชั้นเฉลียง
จะค่อยเลียบเหยียบย่องประคองเคียง    เป็นพี่เลี้ยงเพียงพี่ร่วมชีวา
จำปาดะองุ่นหอมกรุ่นกลิ่น        ก้าแฝ่ฝิ่นสุนธุต้นบุหงา
ด้วยเกาะนี้ที่ทำเลเทวดา        แต่นกกาก็มิได้ไปใกล้กราย
แล้วจะใช้ใบไปดู เมื่องสุหรัด        ถ้าคลื่นซัดซึ้งวนชลสาย
ตั้งตึกรามตามตลิ่งแขกหญิงชาย    แต้มผ้าลายกะลาสีพวกตีพิมพ์
พื้นม่วงตองทองช้ำย่ำมะหวาด    ฉีกวิลาศลายลำยองเขียนทองจิ้ม
ทำที่อยู่ดูพิลึกล้วนตึกทิม        เรียบเรียงริมฝั่งสมุทรแลสุดตา
จะตามใจให้เพลินเจริญเนตร    ชมประเภทพราหมณ์แขกแปลกภาษา
ได้แย้มสรวลชวนใช้ใบลีลา        ไปมั่งกล่า ฝาหรั่งระวังกระเวน
กำปั่นไฟใหญ่น้อยออกลอยเที่ยว    ตลบเลี้ยวแลวิ่งดังจิ้งเหลน
ถ้วนเดือนหนึ่งจึงจะผลัดพวกหัศเกน    เวียนกระเวนไปมาทั้งตาปี
เมืองมังกล่าฝาปรั่งอยู่ทั้งแขก        พวกเจ๊กแซกแปลกหน้าทำภาษี
แลพิลึกตึกรามงามงามดี            ตึกเศรษฐีมีทรัพย์ประดับประดา
ดูวาวแววแก้วกระหนกกระจกกระจ่าง    ประตูหน้าต่างติดเครื่องรอบเฝืองฝา
ล้วนขายเพชรเจ็ดสีมีราคา            วางไว้หน้าตึกร้านใส่จานราย
แล้วตัวไปไม่นั่งระวังของ            คนซื้อร้องเรียกหาจึงมาขาย
ด้วยไม่มีตีโบยขโมยขะมาย            ทั้งหญิงชายเช้าค่ำเขาสำราญ
นอกกำแพงแขวงเขตประเทศถิ่น        เป็นสวนอินตะผาลำ ทับน้ำหวาน
รองอ่างไว้ใช้ทำแทนน้ำตาล            ต้องแต่งงานขันหมากเหลือหลากจริง
ถึงขวบปีมีจันทน์ทำขวัญต้น            แต่งเหมือนคนขอสู่นางผู้หญิง
แม้นถึงปีมีลูกใครปลูกทิ้ง            ไม่ออกจริงจั่นหล่นลำต้นตาย
บ้านตลาดกวาดเลี่ยนเตียนตล่ง        ถึงของหลงลืมไว้ก็ไม่หาย
ไปชมเล่นเช่นฉันว่าประสาสบาย        บ้านเมืองรายหลายประเทศต่างเพศพันธุ์
จะพาไปให้สร้างทางกุศล            ขึ้นสิงหลเห็นจะได้ไปสวรรค์
ไหว้เจดีย์ที่ทำเลเวฬุวัน            พระรากขวัญอันเป็นยิ่งเขาสิ่งคุตร
คิดจะใช้ใบข้ามไปตามเข็ม        เขียนมาเต็มเล่มแล้วจะสิ้นสมุด
เหมือนหมายทางต่างทวีปเรือรีบรุด    พอสิ้นสุดสายมหาอารณพ
เหมือนเรื่องรักจักประเวศประเทศถิ่น     มิทันสิ้นสุดคำก็จำจบ
แม้นขืนเคืองเปลื้องปลิดไม่คิดคบ        จะเศร้าซบโศกสะอื้นทุกคืนวัน
เหมือนยักษีที่สิงขรต้องศรกก        ปักตรึงอกอานุภาพซ้ำสาปสรร
อยู่นพบูรีที่ตรงหว่างเขานางประจัญ    เสียงไก่ขันขึ้นนนทรีคอยตีซ้ำ
แสนวิตกอกพระยาอุนนาราช        สุดหมายมาดไม่มีที่อุปถัมภ์
ศรสะเทือนเหมือนอุระจะระยำ        ต้องตีซ้ำซ้ำในฤาทัยระทม
ถึงกระไรได้อุตส่าห์อาสาสมัคร        ขอเห็นรักสักเท่าซีกกระผีกผม
พอชื่นใจได้สว่างสร่างอารมณ์        เหมือนนิยมสมคะเนเถิดเทวัญ
ถวิลหวังสังวาสสวาทแสวง            ให้แจ่มแจ้งแต่งตามเรื่องความฝัน
ฝากฝีปากฝากคำที่สำคัญ            ชื่อรำพันพิลาปล้ำกาพย์กลอน
เปรียบเหมือนกับขับกล่อมสนอมเสน่ห์    สำเนียงเห่เทวัญริมบรรจถรณ์
เสวยสวัสดิ์วัฒนาสถาวร            วานฟังกลอนกลอยแก่เถิดแม่เอย ฯ

ที่มา:สมชาย  พุ่มสอาด