บุคลิกภาพของพระอภัยมณี

Socail Like & Share

จากพฤติกรรมและบทบาทของพระอภัยมณีที่กล่าวมาแล้วแต่ต้น ทำให้มองเห็นบุคลิภภาพของพระอภัยมณีทั้งในทางกายและทางใจ ดังนี้

บุคลิกภาพทางกาย
บุคลิกภาพทางกายนั้น สรุปได้ ๓ ประการคือ รูปร่างลักษณะท่วงทีกิริยารวมทั้งการปฏิบัติต่อคนอื่น และคำพูด

โดยรูปร่างลักษณะภายนอก กล่าวได้ว่าพระอภัยมณีมีรูปร่างงดงามเช่นเดียวกับพระเอกในวรรณคดีไทยทั้งหลาย แม้จะมีคำพรรณนาถึงความงดงามแต่เพียงสั้นๆ ว่า

ฝ่ายองค์พระอภัยวิไลโฉม
จะกล่าวถึงพระอภัยวิไลลักษณ์
ฝ่ายพระองค์ทรงโฉมประโลมสวาท

ดั่งนี้ ก็กล่าวได้ว่าพระอภัยมณีมีรูปโฉมงดงามทัดเทียมกับพระเอกอื่นๆ

อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อความพรรณนาที่แสดงให้เห็นว่าพระอภัยมณีมีรูปโฉมที่งดงาม กล่าวคือ เมื่อผู้อื่นได้เห็นพระอภัยมณีก็ชื่นชมในรูปร่างหน้าตาอันงดงามนั้น เช่นเมื่อนางผีเสื้อสมุทรได้เห็น พระอภัยมณีก็ให้รัญจวนใจ

เห็นพระองค์ทรงโฉมประโลมใจ    นั่งเป่าปี่อยู่ใต้พระไทรทอง
ทั้งทรวดทรงองค์เอวก็อ้อนแอ้น    เป็นหนุ่มแน่นน่าชมประสมสอง

ในคราวที่บริวารของท้าวสิลราชเมื่อได้เห็นพระอภัยมณีในเพศดาบส ก็กล่าวว่าตะลึงในรูปโฉม

มองเห็นคนบนศาลาที่หน้าชาน     มากประมาณร้อยเศษหลายเพศพรรค์
พระโยคีก็มีสองเจ้าเณรหนึ่ง        หลงตะลึงแลชมล้วนคมสัน

เมื่อครั้งนางมณฑามเหสีท้าวสิลราชได้พบพระอภัยมณีครั้งแรก ก็พรรณนาแสดงความรู้สึก

ฝ่ายโฉมยงองค์ชนนีนาถ        เห็นสองราชบพิตรอดิศร
ขนงเนตรเกศกรรณพระกายกร    สำอางอ่อนเอี่ยมอิ่มดูพริ้มพราย
พระพี่ขาวราวกับเพชรไพฑูรย์เทียบ    พระน้องเปรียบบุษยรัตน์จำรัสฉาย
โฉมแฉล้มแย้มยิ้มก็พริ้มพราย    เหมือนละม้ายรูปจริตไม่ผิดกัน

นอกเหนือจากมีรูปโฉมงดงามแล้ว พระอภัยมณียังมีความสง่างามสมเป็นกษัตริยดังในคราวที่อุศเรนมาพบพระอภัยมณีที่เขามหิงษ์สิงขร

พอเห็นองค์พระอภัยวิไลโฉม        งามประโลมแลเลิศดูเฉิดฉาย
อร่ามเรืองเครื่องประดับสำหรับกาย    เห็นดีร้ายกษัตรามาแต่ไกล

อนึ่ง ไม่มีข้อความตอนใดที่กล่าวแสดงให้เห็นความมีอำนาจของพระอภัยมณีเลยอย่างมากก็เพียงใช้คำว่า “พระอภัยเจ้าไตรจักร” หรือ “พระอภัยเจ้าไตรภพ” เท่านั้น นอกจากนี้ ก็ไม่มีพฤติกรรมอะไรที่เป็นการแสดงอำนาจของพระอภัยมณี ทั้งนี้อาจเนื่องด้วยลักษณะนิสัยของพระอภัยมณีเป็นอย่างนั้น คือไม่ต้องการแสดงอำนาจทั้งๆ ที่มีอำนาจ จะเห็นได้ในคราวที่มังคลาพาเอานางสุวรรณมาลีกับธิดาแฝดไปลังกา พระอภัยมณีให้ประชุมพวกขุนนางนายทหารเพียงเพื่อจะปรึกษาโฉม

พระเอื้อนอรรถตรัสประภาษราชการ    เรามีภารธุระไปไกลบุรี
ได้สั่งเหล่าท้าวพระยาพวกข้าเฝ้า        อยู่แทนเราบำรุงซึ่งกรุงศรี
ตัวละให้อ้ายฝรั่งทำดังนี้            โทษจะมีบ้างหรือไม่จะใคร่รู้

ครั้นบรรดาขุนนางนายทหารขอโอกาสแก้ตัวโดยยกไปรบกับลังกา พระอภัยมณีก็พอใจยกโทษให้

ในด้านท่วงทีกิริยานั้น พระอภัยมณีเป็นบุคคลที่มีความสุภาพอ่อนน้อมต่อคนทุกชั้น วรรณะ การปฏิบัติตนต่อผู้อื่นเป็นไปด้วยอัธยาศัยไมตรีอันดียิ่ง คราวที่พบกับบุตรพราหมณ์สามคน เมื่อสามพราหมณ์ไต่ถามความเป็นมา พระอภัยมณีก็ตอบอย่างสุภาพว่า

พระฟังความถามทักเห็นรักใคร่    จึงขานไขความจริงทุกสิ่งสรรพ์
เราชื่ออภัยมณีศรีสุวรรณ        เป็นพงศ์พันธุ์จักรพรรดิสวัสดี
ไปร่ำเรียนวิชาที่อาจารย์        ตำบลบ้านจันตคามพนาศรี
อันตัวเรานั้ชำนาญการดนตรี    น้องเรานี้ชำนาญการศัสตรา
พระปิตุเรศขับไล่มิให้อยู่        ว่าเรียนรู้ต่ำชาติวาสนา
เราพี่น้องสองคนจึงซนมา        หวังจะหาแห่งครูผู้ชำนาญ
ด้วยจะใคร่ไต่ถามตามสงสัย        วิชาใดจึงจะดีให้วิถาร
ที่สมศักดิ์จักรพรรดิพิสดาร        จะคิดอ่านเรียนร่ำเอาตำรา
อันตัวเข้าเผ่าพราหมณ์สามมาณพ    ได้มาพบกันในวันนี้ดีหนักหนา
ท่านทั้งสามนามใดไปไหนมา    จงเมตตาบอกเล่าให้เข้าใจ

คราวที่เงือกถูกสินสมุทรจับได้แล้วฉุดกระชากลากถูมาได้รับความเจ็บปวด พระอภัยมณี กล่าวคำขอโทษด้วยอาการสุภาพอ่อนน้อมว่า

จึงว่าพี่มีคุณน้องสักครั้ง        ให้ได้ดังถ้อยคำที่รำพัน
ซึ่งลูกรักหักหาญให้ท่านโกรธ    จงงดโทษทำคุณอย่าหุนหัน
ช่วยไปปิดปากถ้ำที่สำคัญ        จวนสายัณห์ยักษ์มาจะว่าเรา
เมื่อนางมณฑามเหสีท้าวสิลราชจะมอบราชสมบัติเมืองผลึกให้พระอภัยมณีแทนที่จะรับในทันที ได้แสดงความอ่อนน้อมถ่อมตน โดยกล่าวแก่นางมณฑาว่า

พระมารดาปรานีมีอาลัย            พระคุณใหญ่หลวงล้นพ้นประมาณ
แต่ข้านี้มิได้ทำซึ่งความชอบ            ไม่ควรมอบสมบัติพัสถาน
ด้วยเดิมข้ามาอยู่เกาะแก้วพิสดาร        ได้โดยสารพระบิดามาธานี
ด้วยกำปั่นบรรดาโยธาหาญ            ของกุมารกับของแม่น้องหญิง
อันตัวข้ามาถึงได้พึ่งพิง            เป็นความจริงลูกนี้จนพระชนนี
ถึงรบรับทัพลังกาข้ามาด้วย            มิได้ช่วยพระธิดามารศรี
จนมีผิดติดพันทุกวันนี้                พระบุตรีกริ้วโกรธเป็นโทษทัณฑ์
ขอพระองค์ทรงถามทรามสงวน        ลูกไม่ควรที่จะได้ไอศวรรย์
เป็นผู้น้อยพลอยอาสามากระนั้น        ถึงเขตคันแล้วก็ข้าขอลา ไป

จริงอยู่ ในความรู้สึกที่แท้จริงของพระอภัยมณีก็คงมีความปรารถนาในราชสมบัติและการที่ตอบแก่นางมณฑาเช่นนี้ อาจจะถือว่าตอบโดยมารยาท พระอภัยมณีน่าจะได้คิดแล้วว่าหากตอบรับในทันทีก็จะดูน่าเกลียด เพราะถึงอย่างไรนางมณฑาคงจะอ้อนวอนให้รับอย่างแน่นอน ก็นับได้ว่าพระอภัยมณี เป็นคนฉลาดลึกซึ้ง อย่างไรก็ตาม ก็ด้วยอัธยาศัยที่อ่อนน้อมนั้นเองที่ทำให้พระอภัยมณีตอบนางมณฑาด้วยลักษณะที่ถ่อมตน น่าฟังอย่างยิ่ง

กับอุศเรนซึ่งถือได้ว่าเป็นมิตรที่กลายเป็นศัตรูก็ไม่น่าจะต้องปฏิบัติอย่างมิตรอีก แต่เมื่ออุศเรนยกกองทัพมาตีเมืองผลึกต้องพ่ายแพ้ถูกจับได้ แทนที่พระอภัยมณีจะแสดงท่าทีเหยียดหยาม กล่าววาจาเยาะเย้ยอย่างผู้ชนะ กลับปฏิบัติต่ออุศเรนเยี่ยงมิตร โดยกล่าววาจาอย่างสุภาพ แม้อุศเรนจะกล่าวแสดงความอาฆาตพยาบาท พระอภัยมณีก็ไม่แสดงว่าขุ่นเคืองแต่อย่างใด กล่าวแก่อุศเรนในลักษณะที่สุภาพ และไพเราะเช่นเดิมว่า

จึงว่าเจ้าเล่าก็ยังกำลังแค้น        จะทดแทนทำสงครามก็ตามจิต
จะปล่อยไปไม่สังหารผลาญชีวิต    ด้วยว่าคิดคุณน้องสนองคุณ
เดี๋ยวเล่าเจ้าก็ป่วยจะช่วยเจ้า    แทนที่เรามาเรือช่วยเกื้อหนุน
พระน้องจงสรงเสวยเหมือนเคยคุ้น    พระการุญร่ำว่าด้วยอาลัย

ในด้านวาจานั้น พระอภัยมณีเป็นผู้มีวาจาไพเราะอ่อนหวาน ถ้อยคำของพระอภัยมณีใครได้ยินได้ฟังก็ให้รู้สึกชื่นใจ ติดอกติดใจและอาจถึงกับหลงเสน่ห์เพราะถ้อยคำอันไพเราะอ่อนหวานนั้น และคำพูดที่ไพเราะอ่อนหวานนั้นพระอภัยมณีพูดกับทุกคน มิใช่เจาะจงเฉพาะคนหนึ่งคนใด เช่นในคราวที่สินสมุทรจับเงือกมาให้ดู พระอภัยมณีพูดภับเงือกโดยเรียกเงือกว่าพี่และใช้สรรพนามแทนตัวว่าน้อง

จึงว่าพี่มีคุณน้องสักครั้ง        ให้ได้ดังถ้อยคำที่รำพัน
ซึ่งลูกรักหักหาญให้ท่านโกรธ    จงงดโทษทำคุณอย่าหุนหัน

กับนางผีเสื้อสมุทรซึ่งพระอภัยมณีมิได้มีความรักหรือปรารถนาจะอยู่ร่วมด้วยเลย เมื่อหนีนางมาถึงเกาะแก้วพิสดารต้องการจะให้นางกลับไปถํ้าที่อยู่    ก็มิได้ขับไล่ไสส่ง แต่กล่าวด้วยถ้อยคำที่ละมุนละไมว่า

พระอภัยใจอ่อนถอนสะอื้น        อุตส่าห์ฝืนพักตร์ว่านิจจาเอ๋ย
แม่ผีเสื้อเมื่อไม่เห็นใจเลย        พี่ไม่เคยอยู่ถ้ำให้รำคาญ
คิดถึงน้องสองชนกที่ปกเกล้า    จะสร้อยเศร้าโศกาน่าสงสาร
ด้วยพลัดพรากจากมาเป็นช้านาน        ไม่แจ้งการว่าข้างหลังเป็นอย่างไร
จึงจำร้างห่างห้องให้น้องโกรธ    จงงดโทษที่ยาอัธยาศัย
แม้นไปได้ก็จะพาแก้วตาไป        นี่จนใจเสียด้วยนางตระกูล
ที่มนุนย์สุดสวาทเป็นชาติยักษ์    จงคิดหักความสวาทให้ขาดสูญ
กลับไปอยู่คูหาอย่าอาดูร        จงเพิ่มพูนภาวนารักษาธรรม
อย่าฆ่าสัตว์ตัดชีวิตพิษฐาน        หมายวิมานเมืองแมนแดนสวรรค์
จะเกิดไหนขอให้พบประสบกัน    อย่าโศกศัลย์แคล้วคลาดเหมือนชาตินี้
ที่ขอบุตรสุดใจเอาไปด้วย        เป็นเพื่อนม้วยเหมือนสุดามารศรี
ขอลาแก้วแววตาไปธานี        อย่าราคีขุ่นข้องให้หมองมัว

เมื่อคราวที่อุศเรนยกกองทัพมารบเมืองผลึกและแพ้ถูกจับเป็นเชลย พระอภัยมณีก็พูดด้วยถ้อยคำที่อ่อนหวานมิให้กระทบกระเทือนจิตใจสักแม้แต่น้อย

จึงสุนทรอ่อนหวานชาญฉลาด    เราเหมือนญาติกันดอกน้องอย่าหมองศรี
เมื่อแรกเริ่มเดิมได้เป็นไมตรี        เจ้ากับพี่เล่าก็รักกันหนักครัน
มาขัดข้องหมองหมางเพราะนางหนึ่ง    จนได้ถึงรบสู้เป็นคู่ขัน
อันวิสัยในพิภพแม้นรบกัน        ก็หมายมั่นว่าจะใคร่ได้ชัยชนะ
ซึ่งครั้งนี้พี่พาเจ้ามาไว้        หวังจะได้สนทนาวิสาสะ
ให้น้องหายคลายเคืองเรื่องธุระ    และก็จะรักกันจนวันตาย
ทั้งกำปั่นบรรดาโยราทัพ    จะคืนกลับให้ไปเหมือนใจหมาย
ทั้งสองข้างอยู่ตามความสบาย    เชิญอภิปรายโปรดตรัสสัตย์สัญญา
กับผู้หญิง กล่าวได้ว่าพระอภัยมณีเป็นคน “ปากหวาน” สามารถใช้โวหารและถ้อยคำที่ทำให้ผู้หญิงต้องเคลิบเคลิ้ม หลงใหลในเสน่ห์ของถ้อยคำ และรักใคร่ปลงใจด้วยในที่สุด ตัวอย่างเช่น คราวที่ไปพบนางเงือก พระอภัยมณีกล่าวเรียกนางว่า

นางมัจฉาวารีของพี่เอ๋ย    เจ้าทรามเชยอยู่ที่นี่หรือที่ไหน
พี่มาเยือนเพื่อนยากฝากอาลัย    สายสุดใจจงขึ้นมาหาพี่ชาย

เมื่อนางเงือกขึ้นมาพบ พระอภัยมณีก็กล่าวประโลมนางว่า

จงอดออมอาดูรให้สูญหาย        เจ้าพาพี่หนีรอด ไม่วอดวาย
คุณของสายสวาทล้นคณนา        จะปกป้องครองคู่ไม่รู้ร้าง
ไม่เว้นว่างวายประโลมโฉมมัจฉา    ประสายากฝากรักกันสองเรา
แก้วกานดาดวงจิตอย่าบิดเบือน

เมื่อนางเงือกค้านว่านางกับพระอภัยมณีต่างชาติต่างเผ่าพันธุ์ ทั้งนางก็น้อยวาสนา แต่พระอภัยมณีก็ให้เหตุผลแก้จนนางเงือกคล้อยตามและปลงใจด้วยในที่สุด

พระแย้มยิ้มพริ้มพรายว่าสายสวาท    แสนฉลาดเหลือดีจะมีไหน
น่าสงสารวานอย่าว่าเป็นข้าไท    มิใช่ใจพี่นี้หมายเป็นนายน้อง
ถึงต่างชาติวาสนาได้มาพบ        ก็ควรคบเคียงชมประสมสอง
เจ้าโฉมงามทรามสงวนนวลละออง    อย่าขัดข้องคิดหมางระคางใจ
ประเวณีมีทั่วทุกตัวสัตว์    ไม่จำกัดห้ามปรามตามวิสัย
นาคมนุษย์ครุฑาสุราลัย    สุดแต่ใจปรองดองจะครองกัน
เจ้ากับพี่นี้ก็เห็นเป็นกุศล    จึงหนีพ้นมารมาไม่อาสัญ
จะเคียงคู่ชูชื่นทุกคืนวัน    โอ้เจ้าขวัญนัยนาได้ปรานี

นางละเวงซึ่งโดยฐานะก็เป็นศัตรูคู่ศึก และในจิตใจของนางเองก็มีความแค้นพระอภัยมณี ที่เป็นต้นเหตุให้บิดาและเชษฐาต้องเสียชีวิต แต่เมื่อได้ยินถ้อยคำที่พระอภัยมณีทอดไมตรีในวันที่พบกันกลางสนามรบว่า

พระน้องหรือชื่อละเวงวัณลาราช    อย่าหวั่นหวาดวิญญามารศรี
จงหยุดยั้งรั้งราจะพาที            ไม่ฆ่าตีศรีสวัสดิ์เป็นสัจจา
พี่จงจิตติดตามข้ามสมุทร        มาด้วยสุดแสนสวาทปรารถนา
จะถมชลจนกระทั่งถึงลังกา        เป็นสุธาแผ่นเดียวเจียวจริงจริง
จงแจ้งความตามใจน้ำใจพี่        ไม่ราคีเคืองข้องแม่น้องหญิง
อย่าเคลือบแคลงแหนงจิตคิดประวิง    สมรมิ่งแม่วัณลาจงปรานี

ก็ให้จับใจต้องเอ่ยวาจาตอบแม้จะเป็นถ้อยคำที่กระทบกระเทียบเปรียบเปรยถึงเหตุการณ์เสียชีวิตของพ่อและพี่ก็ตาม เมื่อพระอภัยมณีกล่าวแก้และฝากรักว่า

ประเดี๋ยวนี้พี่ได้พบประสบน้อง    อย่าขุ่นข้องขาดรักหักประหาร
จงเคลื่อนคลายหายเป็นเหือดที่เดือดดาล    เชิญแม่ผ่านพาราให้ถาวร
อันผู้คนพลไพร่จะให้ตื่น    ขอกลับคืนคงถวายสายสมร
เป็นเสร็จศึกตรึกตรองครองนคร    อย่าให้ร้อนไปถึงท้าวทุกด้าวแดน
ด้วยฝรั่งลังกาอาณาเขต    ล้ำประเทศถิ่นอื่นสักหมื่นแสน
แม้เมืองไหนไม่นอนนบจะรบแทน        เป็นทองแผ่นเดียวกันจนวันตาย

นางละเวงก็รู้สึก “เสียวสวาทหวานหูไม่รู้หาย” และเริ่มมีจิตใจผูกพันพระอภัยมณีตั้งแต่ขณะนั้น และยิ่งได้ฟังเพลงปี่ของพระอภัยมณีด้วยแล้ว นางต้องพยายามหักใจมิให้หลงใหล เพราะมิฉะนั้น การณ์จะเป็นไปอย่างที่นางรำพึงเมื่อห่างพระอภัยมณีมาแล้วว่า

อันลมปี่นี้ระรวยให้งวยงง    สุดจะทรงวิญญารักษาตัว
ถ้าขืนอยู่สู้อีกไม่หลีกเลี่ยง    ฉวยพลั้งเพลี่ยงเพลงปี่ต้องมีผัว

ที่นางละเวงรำพึงว่า “ถ้าขืนอยู่สู้อีกไม่หลีกเลี่ยง” นั้น ได้แก่การต่อสู้กันด้วยวาจานั้นเอง ที่เป็นเช่นนี้ก็เนื่องด้วยพระอภัยมณีมิใช่จะ “ปากหวาน” เท่านั้น ยังพูดเป็น คือรู้จักใช้ถ้อยคำโวหาร ที่จะให้ผู้ที่ประคารม หรือคู่สนทนาต้องยอมฟังและคล้อยตามไปด้วย ลักษณะเช่นนี้แม้แต่พระอภัยมณีเองก็รู้ตัว ดังที่กล่าวแก่ศรีสุวรรณและสินสมุทรว่า

วิสัยพี่นี้ชำนาญแต่การปาก        มิให้ยากพลไพร่ใช้หนังสือ

บุคลิกภาพทางใจ
บุคลิกภาพทางใจของพระอภัยมณี    ซึ่งปรากฎให้เห็นได้ในพฤติกรรมและบทบาทของพระอภัยมณีเองนั้น อาจกล่าวได้โดยลำดับดังนี้

ความเป็นตัวของตัวเอง
พระอภัยมณีมีความเป็นตัวของตัวเอง ดังจะเห็นได้จากการเลือกเรียนวิชาเป่าปี่ ด้วยเหตุผลที่บอกแก่ศรีสุวรรณว่า

แต่ใจพี่นี้รักทางนักเลง        หมายว่าเพลงดนตรีนี้ดีจริง
ถึงการเล่นเป็นที่ประโลมโลก    ได้ดับโศกสูญหายทั้งชายหญิง

ความเป็นคนฉลาด มีสติปัญญา
พระอภัยมณีเป็นคนฉลาด ความฉลาดของพระอภัยมณีอาจกล่าวได้ ๓ ลักษณะ ได้แก่ ความฉลาดในทางสติปัญญา ความฉลาดในทางรู้ใจ รู้เท่าทันคน…และความฉลาดในทางการใช้โอกาสให้เกิดประโยชน์

ความฉลาดในทางสติปัญญานั้น จะเห็นได้ว่าพระอภัยมณีได้ศึกษาเล่าเรียนวิชาเป่าปี่กับพินทพราหมณ์เพียง ๗ เดือน ก็มีความชำนาญลํ้าเลิศ สามารถบรรเลงเพลงปี่ได้อย่างไพเราะ แสนหวาน ใครได้ยินได้ฟังก็ให้เพลิดเพลิน ปล่อยอารมณ์ไห้เคลิบเคลิ้มไปกับท่วงทำนองเพลงปี่ที่วิเวกหวาน และหลับไปในที่สุด แม้แต่สัตว์เมื่อได้ยินเพลงปี่ก็ลืมกินหญ้ากินนํ้าเข้ามาฟังหมดทั้งสิ้น ดังที่พรรณนาไว้ว่า

แล้วพาไปยอดเขาให้เป่าปี่    ที่อย่างดีสิ่งใดก็ได้สิ้น
แต่เสือสางกลางไพรที่ได้ยิน    ก็ลืมกินน้ำหญ้าเข้ามาฟัง

ยิ่งกว่านั้น พระอภัยมณียังสามารถเป่าให้ฟังเกิดความรู้สึกวิเวกหวิว…จนไม่อาจทนอยู่ได้ ต้องขาดใจตาย เช่นคราวที่เป่าฆ่านางผีเสื้อยักษ์

แล้วทรงเป่าปี่แก้วให้แจ้วเสียง    สอดสำเนียงนิ้วเอกวิเวกหวาน
พวกโยธีผีสางทั้งนางมาร    ให้เสียวซ่านซับซาบวาบหัวใจ
แต่เพลินฟังนั่งโยกจนโงกหงุบ    ลงหมอนฟุบซวนซบสลบไสล
พอเสียงปี่ที่แหบหายลงไป        ก็ขาดใจยักษ์ร้ายวายชีวา

ความฉลาดในทางปัญญาอีกอย่างหนึ่งก็คือ ระหว่างที่อาศัยอยู่เกาะแก้วพิสดารซึ่ง ณ ที่นั้น มีบรรดาชาวต่างชาติซึ่งได้แก่ ฝรั่ง จีน และจาม เรือแตกขึ้นมาอาศัยอยู่ด้วย พระอภัยมณีได้เรียนภาษาต่างประเทศเหล่านั้น จนมีความชำนาญสามารถพูดภาษาเหล่านั้นได้คล่องราวกับล่าม

จะกล่าวถึงพระอภัยมณีนาถ    กับองค์ราชกุมารชาญสนาม
หัดภาษาฝรั่งทั้งจีนจาม        ราวกับล่ามพูดคล่องทั้งสองคน

ความฉลาดในทางด้านรู้ใจ รู้เท่าทันคนนั้น พระอภัยมณีได้แสดงให้เห็นหลายอย่างเช่นการล่วงเจตใจของผู้หญิง พฤติกรรมต่างๆ ที่นางสุวรรณมาลีแสดงให้เห็นว่ามีความรักใคร่เอ็นดูสินสมุทรตั้งแต่วันแรกที่พบ และสินสมุทรขอฝากตัวเป็นลูกเป็นต้นมานั้น พระอภัยมณีรู้ว่านางก็มีจิตใจเอนเอียงมาทางตนอยู่ ฉะนั้น แม้พระอภัยมณีจะทราบในภายหลังว่านางมีคู่หมั้นแล้ว ก็ยังอยากจะลอง “ชิงชู้” ดูสักครั้ง

พระเอนเอกเขนกขึงรำพึงคิด        ไม่แจ้งจิตเลยว่าเขามาขอ
เหมือนตามใต้ในน้ำมาตำตอ    ถึงแค้นคอคงจะกลื่นไม่คืนคลาย
แล้วเกิดคำจำครูดูวันนั้น        ที่หมายมั่นว่าจะสมอารมณ์หมาย
จะหาไหนได้เหมือนนุชสุดเสียดาย    ลูกผู้ชายชิงชู้ดูสักที
จะเล้าโลมโฉมยงให้ปลงจิต        แม้นสมคิดก็จะพาสุดาหนี

และก็เป็นไปตามที่พระอภัยมณีคาดคิด นางสุวรรณมาลีก็มีจิตใจรักใคร่พระอภัยมณีเช่นเดียวกัน ถึงกับยอมแลกของที่ระลึก ฉะนั้น ในระหว่างที่พระอภัยมณีโดยสารเรืออุศเรนมาเพื่อติดตามหานางนั้น พระอภัยมณีได้รำพึงถึงนางด้วยความมั่นใจในความรักของนางที่มีต่อตน แม้จะกังวลในข้อที่ว่านางเป็นคู่หมั้นของอุศเรนซึ่งมีบุญคุณต่อตนอยู่ก็ตาม ความกังวลในเรื่องบุญคุณดูจะมีนํ้าหนักน้อยกว่า

ถ้าพบนางกลางน้ำทำอย่างไร    จึงจะได้นุชน้องเป็นของเรา
ด้วยว่าองค์อุศเรนมาเป็นมิตร    ครั้นจะคิดขัดไว้เกรงใจเขา
แต่พี่รู้อยู่ว่าองค์นางนงเยาว์        รักข้างเราจึงได้ให้สังวาล
พี่ก็ได้ให้ธำมรงค์รัตน์            สารพัดพูดจาน่าสงสาร
ยิ่งคิดก็ยิ่งให้อาลัยลาญ        ชมสังวาลต่างนางในกลางคืน
ฯลฯ
จนยามดึกครึกครื้นเสียงคลื่นซัด    พงศ์กษัตริย์เศร้าสร้อยละห้อยหา
ชุลีหัตถ์อธิษฐานถึงเทวา    ฉ้อกามาเมืองสวรรค์ถึงชั้นพรหม
แม้นสุวรรณมาลีศรีสมร    แต่ชาติก่อนได้เป็นคู่เคยสู่สม
อย่ากลายแคล้วแก้วตาเหมือนอารมณ์    ให้ได้ชมเชยนางเหมือนอย่างเคย

นางละเวงก็เช่นเดียวกัน ท่าทีของนางที่แสดงให้พระอภัยมณีเห็นในวันที่พบกันครั้งแรกในสนามรบ ทำให้พระอภัยมณีมั่นใจว่านางก็มีจิตใจผูกพันกับตนอยู่เหมือนกัน ฉะนั้น พฤติกรรมของพระอภัยมณีที่ไปเกี่ยวข้องกับทางฝ่ายเมืองลังกา จึงเป็นไปในลักษณะที่วางใจไม่ได้เกรงว่าจะเป็นอันตรายแต่อย่างใด เช่นการตามนางยุพาผกาเข้าไปในเมืองลังกา โดยมีความมั่นใจนางละเวงมีจิตใจรักใคร่ผูกพันตนอยู่ คงจะไม่คิดทำร้ายแน่นอน

ส่วนอุศเรนนั้น ดูพระอภัยมณีจะล่วงรู้จิตใจไปเสียทุกอย่าง รู้ถึงความรู้สึกความคิดของอุศเรน ข้อที่สำคัญก็คือรู้ถึงความหยิ่งในศักดิ์ศรีของอุศเรน ด้วยเหตุนี้พระอภัยมณีสามารถทำอะไรโดยไม่ กระทบกระเทือนความรู้สึก โดยเฉพาะอย่างยิ่งศักดิ์ศรีของอุศเรน อันอาจจะกระทบกระเทือนไมตรีระหว่างตนกับอุศเรน ซึ่งพระอภัยมณีไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้น

ความฉลาดอีกประการหนึ่งก็คือ ฉลาดในการใช้โอกาสให้เกิดประโยชน์ ความฉลาดของพระอภัยมณีในข้อนี้ จะเห็นได้จากคราวที่โดยสารเรืออุศเรนมาจนพบกับเรือสินสมุทรและศรีสุวรรณ เมื่ออุศเรนทราบว่านางสุวรรณมาลีอยู่ในเรือลำนั้น ก็ขอนางคืน แต่สินสมุทรไม่ยอมให้ จึงจะเกิดสงครามชิงนางสุวรรณมาลี โดยที่พระอภัยมณีได้ประเมินกำลังและฝีมือการรบแล้วเห็นว่าการรบจะยุติในลักษณะใด เพื่อที่จะไม่ได้ชื่อว่าเป็นคนเนรคุณ เพื่อที่จะไม่ให้สินสมุทรโกรธ และเพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณของอุศเรน พระอภัยมณีจึงบอกแก่ทุกคนว่าจะวางตนเป็นกลาง
และการสงครามก็เป็นไปตามความคาดหมาย อุศเรนแพ้ถูกจับได้ พระอภัยมณีก็ให้รีบปล่อยให้เป็นอิสระทันที และกล่าวแก่อุศเรนให้นึกถึงคำของตนที่ห้ามมิให้รบกับสินสมุทรว่า

อันใจพี่นี้ไม่หวงไม่ลวงหลอก    แต่พี่บอกน้องรักขืนหักหาญ
จึงให้น้องลองสู้กับกุมาร        เดี๋ยวนี้ท่านเล่าก็แพ้แก่โอรส
เราขอไว้ไม่เอาทั้งข้าวของ        คืนสนองคุณให้ท่านไปหมด

แล้วสั่งให้สินสมุทรคืนเรือแพนาวาทั้งหมดแก่อุศเรน อันเป็นการปลดเปลื้องบุญคุณที่อุศเรนได้มีแก่พระอภัยมณีแต่ต้นโดยสิ้นเชิง

นอกเหนือจากความฉลาดแล้ว พระอภัยมณียังมีความรอบคอบดังจะเห็นได้จากการให้บรรดาสานุศิษย์ที่ติดตามพระอภัยมณีมาจากเกาะแก้วพิสดารและได้รับการปูนบำเหน็จรางวัลกันทั่วหน้าแล้ว ไปอยู่ตามเมืองต่างรายรอบเขตเมืองผลึกเพื่อสืบข่าวศึกทั้งนี้ดีร้ายจะได้เตรียมการสู้รบป้องกันเมืองได้ทัน

แล้วรางวัลบรรดาสานุศิษย์         ซึ่งตามปกติปรนนิบัติเมื่อขัดสน
ล้วนจีนจามพราหมณ์แขกฝรั่งปน    ทั้งร้อยคนคู่ยากลำบากมา
ให้ไปอยู่บูรีรอบขอบประเทศ        คอยแจ้งเหตุตื้นลึกศึกสิงหล
ให้มีไพร่ไว้สำหรับอยู่กับตน        ทั้งร้อยคนคนละร้อยไม่น้อยใจ
ฝ่ายองค์พระอภัยวิไลลักษณ์    ปล่อยคนรักรายแฝงทุกแห่งหน
แม้นฝรั่งลังกามาผจญ            จะซ้อมกลการศึกให้ลึกซึ้ง

ความเป็นผู้มีอารมณ์อ่อนไหว
โดยที่พระอภัยมณีเป็นศิลปิน จึงเป็นผู้ที่มีอารมณ์อ่อนไหว สะเทือนใจง่าย ลักษณะเช่นนี้ ได้ปรากฎให้เห็นอยู่ตลอดเวลา เมื่อมีเหตุการณ์อย่างใดอย่างหนึ่งมากระทบใจ เมื่อที่หนีนางผีเสื้อยักษ์มาถึงเกาะแก้วพิสดาร นางผีเสื้อยักษ์ได้อ้อนวอนให้พระอภัยมณีได้เห็นใจในความรักขอให้กลับไปอยู่ด้วย

นิจจาเอ๋ยเคยอยู่เป็นคู่ชื่น    ทุกวันคืนค่ำเช้าไม่เศร้าหมอง
จนมีลูกปลูกเลี้ยงเคียงประคอง    มิให้ข้องเคืองขัดพระอัชฌา
อยู่ดีดีหนีเมียมาเสียได้        เสียน้ำใจน้องรักเป็นหนักหนา
จึงอุตส่าห์พยายามสู้ตามมา        ขอเป็นข้าบาทบงสุ์พระทรงธรรม์
พระเสด็จไปไหนจะไปด้วย    เป็นเพื่อนม้วยภัสดาจนอาสัญ
ประทานโทษเลี้ยงแต่เพียงนั้น    อย่าบากบั่นความรักน้องนักเอย

พระอภัยมณีก็เกิดความสงสาร บังเกิดความสะเทือนใจในทันที

พระอภัยใจอ่อนถอนสะอื้น        อุตส่าห์ฝืนพักตร์ว่านิจจาเอ๋ย
แม่ผีเสื้อเมื่อไม่เห็นใจเลย        พี่ไม่เคยอยู่ถ้ำให้รำคาญ
พี่ขอบุตรสุดใจเอาไปด้วย        เป็นเพื่อนม้วยเหมือนสุดามารศรี
ขอลาแล้วแววตาไปธานี        อย่าราคีขุ่นข้องให้หมองมัว

ความอ่อนไหวในอารมณ์ประกอบความเป็นเลิศในวิชาเป่าปี่ ทำให้พระอภัยมณีได้ถ่ายทอดความรู้สึกที่อยู่ในส่วนลึกของจิตใจออกมาปรากฎในเพลงปี่อย่างไพเราะและสะเทือนอารมณ์

ปกติ เพลงดนตรีที่จะสะกดผู้ฟังให้เคลิบเคลิ้ม ปล่อยใจปล่อยอารมณ์ให้รู้สึกเพลิดเพลิน หรือเศร้าหมอง ต้องอาศัยท่วงทำนอง กระแสเสียง และเนื้อความของเพลงประกอบกัน องค์ประกอบทั้งสามอย่างนี้ด้วยกลวิธีการประพันธ์ก็อาจถ่ายทอดออกมาเป็นถ้อยคำได้

ฉะนั้น เพลงปี่ของพระอภัยมณี แม้จะปรากฎเพียงถ้อยความก็ด้วยกลวิธีดังกล่าว ผู้อ่านจะรู้สึกเคลิบเคลิ้มไปกับท่วงทำนองและกระแสเสียงของเพลงที่แทรกอยู่ในถ้อยคำ จังหวะ และลีลาของกาพย์กลอนนั้นด้วย

การเป่าปี่ของพระอภัยมณีทั้ง ๑๑ ครั้ง มีสาเหตุแตกต่างกันดังที่กล่าวแล้ว และโดยที่สาเหตุของการเป่าต่างกัน เนื้อความและท่วงทำนองก็น่าจะแตกต่างกันไปด้วย กล่าวคือ การเป่าปี่เพื่อจะให้หลับ เนื้อความและท่วงทำนองต้องวังเวงต่อความรู้สึกให้วาบหวิวจนเคลิบเคลิ้ม และหลับไปในที่สุด การเป่าเพื่อเรียกให้ไปหา ก็น่าจะมีท่วงทำนองที่ทำให้เกิดความรู้สึกที่ว้าเหว่ จนต้องไปหา หรือการเป่าเพื่อปลุกทัพ เพลงก็น่าจะมีเนื้อความ และท่วงทำนองที่ร่าเริงสร้างความรู้สึกที่สดชื่น

แต่ปรากฎว่าเนื้อความของเพลงเป็นไปในทำนองเดียวกันทั้งหมดคือ ส่วนใหญ่เป็นการพรรณนาถึงความว้าเหว่อ้างว้าง การพลัดพรากตลอดจนความอาลัยอาวรณ์ที่เกิดจากความห่างไกลกัน ดังข้อความในเพลงปี่ต่อไปนื้

เพลงปี่เป่าเมื่อลองวิชาครั้งแรกให้พราหมณ์ทั้งสามคนฟัง

ในเพลงปี่ว่าสามพี่พราหมณ์เอ๋ย    ยังไม่เคยชมชิดพิสมัย
ถึงร้อยรสบุปผาสุมาลัย    จะชื่นใจเหมือนสตรีไม่มีเลย
พระจันทรจรสว่างกลางโพยม    ไม่เทียมโฉมนางงามพี่พราหมณ์เอ๋ย
แม้ได้แก้วแล้วจะค่อยประคองเคย    ถนอมเชยชมโฉมประโลมลาน
เจ้าพราหมณ์ฟังวังเวงวะแว่งเสียง    สำเนียงเพียงการะเวกกังวานหวาน
หวาดประหวัดสัตรีฤดีดาล    ให้ซาบซ่านเสียวสดับจนหลับไป

พระอภัยมณีเป่าเรียกสินสมุทรขณะซึ่งอยู่บนเรือพร้อมกับศรีสุวรรณ

พระเป่าปี่เปิดเสียงสำเนียงเอก    เสนาะดังฟังวิเวกกังวานหวาน
ละห้อยหวนครวญเพลงบรรเลงลาน    โอ้สงสารสุริย์ฉายจะบ่ายคล้อย
พี่คลาดแคล้วแก้วตามาว้าเหว่    ท้องทะเลแลเปล่าให้เศร้าสร้อย
ป่านนี้น้องสองคนกับลูกน้อย    จะลิ่วลอยไปอยู่หนตำบลใด
เรื่อยเรื่อยเฉื่อยวายุพัดแผ้ว        เหมือนเสียงแก้วกลอยจิตพิสมัย
หอมรวยรวยชวยชื่นรื่นฤทัย        เหมือนใกล้ใกล้เข้ามาแล้วแก้วพี่เอย
เขาบอกว่ามาในลำเรือกำปั่น    หรือสุวรรณมาลีเจ้าพี่เอ๋ย
สินสมุทรไม่มาหาบิดาเลย        พ่อจะเชยใครเล่าเจ้าพ่ออา
แม้นอยู่ลำกำปั่นเหมือนมั่นหมาย    จงแหวกว่ายสายสมุทรผุดมาหา
แล้วแหบหวนครวญโหยโรยชวา    พระแกล้งว่าไปในเพลงวังเวงใจ

เพลงปี่ที่เป่าสะกดทัพนางละเวง

วิเวกหวีดกรีดเสียงสำเนียงสนั่น    คนขยั้นขืนขึงตลึงหลง
ให้หวิววาบซาบทรวงต่างง่วงงง    ลืมณรงค์รบสู้เงี่ยหูฟัง
พระโหยหวนครวญเพลงวังเวงจิต    ให้คนคิดถึงถิ่นถวิลหวัง
ว่าจากเรือนเหมือนนกมาจากวัง    อยู่ข้างหลังก็จะแลชะแง้คอย
ถึงยามค่ำย่ำฆ้องจะร้องไหน        ร่ำพิไรรัญจวนหวนละห้อย
โอ้ยามดึกดาวเคลื่อนเดือนก็คล้อย    น้ำค้างย้อยเย็นฉ่ำในอัมพร
หนาวอารมณ์ลมเรื่อยเฉื่อยเฉื่อยชื่น    ระรวนรื่นรินรินกลิ่นเกสร
แสนสงสารบ้านเรือนเพื่อนที่นอน        จะอาวรณ์อ้างว้างอยู่วังเวง

เพลงปี่ที่เป่าเรียกนางละเวงในคราวที่พบกันในสนามรบ

ต้อยตะริดติ๊ดตี่เจ้าพี่เอ๋ย    จะละเลยเร่ร่อนไปนอนไหน
แอ้อีอ่อยสร้อยฟ้าสุมาลัย    แม้นเด็ดได้แล้วไม่ร้างให้ห่างเชย
ฉุยฉายชื่นรื่นรวยระทวยทอด    จะกล่อมกอดกว่าจะหลับกับเขนย
หนาวน้ำค้างพร่างพรมลมรำเพย    ใครจะเชยโฉมน้องประคองนวล
เสนาะดังวังเวงเป็นเพลงพลอด    เสียงฉอดฉอดชดช้อยละห้อยหวน
วิเวกแว่วแจ้วในใจรัญจวน        เป็นความชวนประโลมโฉมวัณลา

เพลงปี่ที่เป่าสะกดทัพคราวที่พระอภัยมณีจะลอบตามนางยุพาผกาเข้าเมืองลังกา

เสียงแจ้วแจ้วแว่วโหวยโหยละห้อย   
โอ้หอมสร้อยเสาวรสแป้งสดใส
เสาวคนธ์มณฑาสุมาลัย   
สักเมื่อไรสาวน้อยจะลอยมา
แล้วเป่าเห่เรไรจับใจแจ้ว   
ค่ำลงแล้วเจ้าจะคอยละห้อยหา                         
ระหวยหิวหวิววับจับวิญญา

เพลงปี่ที่เป่าเรียกนางละเวงเมื่อนางพลัดกับทัพลังกา
……………….. ให้วาบวับแว่วเพลงวังเวงหวาน
วิเวกโหวยโหยให้อาลัยลาญ        โอ้ดึกป่านนี้แล้วแก้วกลอยใจ
แม่วัณลานารีศรีสวัสดิ์            จะพรากพลัดไพร่พลไปหนไหน
น้ำค้างย้อยพรอยพรมพนมไพร    จะหนาวในทรวงน้องจนหมองนวล
โอ้ยามสามยามนี้เจ้าพี่เอ๋ย        พี่เคยเกยกอดน้องประคองสงวน
แม่ยอดหญิงมิ่งขวัญจะรัญจวน    เสียดายนวลเนื้ออุ่นละมุนทรวง
เคยไสยาสน์อาสน์อ่อนบรรถรณ์แท่น    มาเดินแดนดงรังใช่วังหลวง
ขอเชิญแก้วแววตาสุดาดวง        มาชมพวงมาลีด้วยพี่ยา
ล้วนชื่นแช่มแย้มบานทุกก้านกิ่ง    ยิ่งคิดยิ่งหวนหอมบนจอมผา
พี่อยู่เดียวเปลี่ยวใจนัยนา        แม่วัณลาหลบแฝงอยู่แห่งไร
จนดาวเคลื่อนเดือนดับยิ่งลับน้อง    เห็นแต่ห้องหิมวาพฤกษาไสว
มาหาพี่นี่หน่อยเถิดกลอยใจ        จะกล่อมให้บรรทมได้ชมเชย
ถึงยากไร้ไม่มีที่พระแท่น    จะกางกอดทอดแขนแทนเขนย
หนาวน้ำค้างพร่างพรมลมรำเพย    ใครจะเชยโฉมน้องประคองเคียง
เคยอยู่วังฟังนางสุรางค์เห่    มาฟังเรไรเพราะเสนาะเสียง
วิเวกแว่วแจ้วเจื้อยเรื่อยสำเนียง    เสนาะเพียงพิณเพลงบรรเลงลาญ

เพลงปี่ที่ปลุกทัพมังคลา
……………….. วิเวกแว่วแจ้วสำเนียงส่งเสียงใส
โอ้แสงทองส่องฟ้านภาลัย        ดวงดอกไม้ชื่นช่ออรชร
ลมเฉื่อยเฉื่อยเรื่อยรินกลิ่นกุหลาบ        ละอองอาบซาบทรวงดวงสมร
แสนสงสารบ้านเรือนเพื่อนที่นอน        จะอาวรณ์ว้าเหว่อยู่เอกา
เจ้าพี่เอ๋ยเคยเรียงอยู่เคียงข้าง    จะอ้างว้างห่างเหเสน่หา
โอ้ยามตื่นขึ้นแล้วนะแก้วตา        จะลับหน้านึกถึงคะนึงครวญ
แม้เสร็จศึกดึกดื่นยามตื่นหลับ    ภิรมย์รับขวัญประคองครองสงวน
ห่างถนอมหอมอื่นไม่ชื่นชวน        ไม่เหมือนนวลเนื้อหอมถนอมเชย
เวลาเช้าสาวหยุดก็สุดหอม        ไม่เหมือนกล่อมกลิ่นเกลี้ยงเคียงเขนย
รสระรื่นชื่นใจสิ่งใดเลย            ไม่เหมือนเชยโฉมชื่นระรื่นเย็น
อยู่บ้านถิ่นสิ้นทุกข์เป็นสุขสุด    มายงยุทธยากแค้นถึงแสนเข็ญ
สามิภักดิ์เจ้านายไม่วายเว้น        อยากไปเห็นถิ่นฐานบ้านเมืองเอย

จากเนื้อความในเพลงปี่ ทำให้มองเห็นว่าส่วนลึกในจิตใจของพระอภัยมณีนั้นมีแต่ความรู้สึกที่อ้างว้าง ว้าเหว่ เนื่องแต่พลัดพรากจากบ้านและผู้เป็นที่รัก ทำให้รู้สึกขาดความอบอุ่นจากผู้ที่ให้ความอบอุ่นได้

สาเหตุนี้เห็นได้ชัด

ดังที่กล่าวมาแล้วว่าพระอภัยมณีมีโอกาสได้อยู่พร้อมหน้าพ่อแม่พี่น้อง ได้รับความอบอุ่นในชีวิตครอบครัวเพียงระยะเวลา ๑๕ ปี ก็ต้องออกจากบ้านไปศึกษาหาความรู้ เมื่อสำเร็จกลับมาก็มีเวลา อยู่เห็นหน้าพ่อแม่ไม่ถึงครึงวัน ก็ต้องระหกระเหินอยู่เป็นเวลานาน

เมื่อไปอยู่เมืองผลึก ในฐานะที่เป็นกษัตริย์ก็น่าจะมีโอกาสได้กลับไปบ้านเมืองเพื่อเห็นหน้าพ่อแม่ ก็มีเหตุที่ทำให้เป็นห่วงไม่อาจละทิ้งเมืองผลึกไปได้ ด้วยกลัวศึกจะมาติดเมือง ต้องให้ศรีสุวรรณไปแทน กว่าพระอภัยมณีจะมีโอกาสกลับไปยังกรุงรัตนาได้ก็เมื่อท้าวสุทัศน์กับนางปทุมเกสรสิ้นพระชนม์แล้วคือไปเคารพศพ

นี่คือสาเหตุแห่งความรู้สึกที่อ้างว้าง ว้าเหว่ ขาดความอบอุ่นทั้งหลายทั้งปวง

อนึ่ง ความเป็นผู้มีอารมณ์อ่อนไหว สะเทือนใจง่ายนี้เอง ทำให้พระอภัยมณีหลงใหลในรูปโฉมของสตรีได้ง่าย และความหลงใหลก็กลายเป็นความลุ่มหลง ความลุ่มหลงนั้นคงมีลักษณะรุนแรง ตามลักษณะอารมณ์ของศิลปิน ทำให้พระอภัยมณีทำการสิ่งหนึ่งสิ่งใดโดยไม่ยั้งคิด เอาอารมณ์ของตนเป็นที่ตั้ง ดังคราวที่ทิ้งทัพตามนางยุพาผกาเข้าเมืองลังกา ด้วยหลงใหลในเสน่หานางละเวง โดยไม่ทันได้คิดว่าขณะนั้นอยู่ในระหว่างศึก ศรีสุวรรณกับสินสมุทรต้องรบศึกหนัก เป็นเหตุให้เกิดความวุ่นวาย เดือดร้อนไปทั่ว

ความเด็ดขาด
แม้ว่าพระอภัยมณีจะมีอารมณ์อ่อนไหว สะเทือนใจง่ายก็ตาม พระอภัยมณีก็ยังมีความเด็ดขาดแฝงอยู่ในจิตใจ ซึ่งปรากฎเห็นได้จากคำพูดและพฤติกรรมบางอย่าง

คำพูดของพระอภัยมณีที่กล่าวแก่อุศเรน หลังจากที่อุศเรนรบแพ้ถูกจับได้ ในคราวสงครามเมืองผลึกว่า

อันวิสัยในพิภพแม้นรบกัน    ก็หมายมั่นว่าจะได้ชัยชนะ

นี้แสดงให้เห็นความเด็ดขาดในการกระทำ โดยเฉพาะในเรื่องการสงครามจำเป็นต้องต่อสู้กันอย่างเต็มที่ จะมีอารมณ์ความรู้สึกอื่นมาทำให้เปลี่ยนแปลงไม่ได้

ความเด็ดขาดของพระอภัยมณีที่ปรากฎให้เห็นอีกครั้งหนึ่ง ได้แก่คราวที่ไปลังกาเพื่อจัดการศึกมังคลา ทั้งนางสุวรรณมาลีและนางละเวงซึ่งอยู่พร้อมหน้ากัน ต่างแง่งอนไม่ยอมให้เกี่ยวข้องด้วย เป็นเหตุให้พระอภัยมณีขุ่นเคืองและมองเห็นความวุ่นวายในทางโลกจึงตัดสินใจออกบวชหาความสุขในทางธรรม เมื่อนางสุวรรณมาลีและนางละเวงมาเฝ้า พระอภัยได้บอกถึงการตัดสินใจว่า

นี่แน่เจ้าเล่าก็มีบุรีครอง    ทั้งเงินทองมองมูลประยูรยศ
อยู่ถิ่นฐานบ้านเมืองไปเบื้องหน้า    จะปรารถนาหาอะไรก็ได้หมด
เราจะไปในอรัญอยู่บรรพต    รักษาพรตพรหมจรรย์บรรพชา
ด้วยชาตินี้วิบัติให้พลัดพราก        เหลือวิบากยากแค้นนั้นแสนสา
จะสืบสร้างทางกุศลผลผลา        เมื่อชาติหน้าอย่าให้เป็นเหมือนเช่นนี้

นางทั้งสองเข้าใจว่าพระอภัยแกล้งตรัส ก็ไม่ทูลทัดทาน ซ้ำยังกล่าวประชดอีกว่า

ขอตามติดคิดคุณพระมุนี    เป็นหลวงชีปรนนิบัติด้วยศรัทธา
ยิ่งไปอยู่เกาะแก้วแล้วขยัน    อยากพบพี่ศรีสุวรรณมัจฉา
สุมาลีว่านี่แน่แม่วัณลา    แม่ช่วยหาหนังเสือเผื่อสักไตร

ขอตามติดคิดคุณพระมุนี    เป็นหลวงชีปรนนิบัติด้วยศรัทธา
ยิ่งไปอยู่เกาะแก้วแล้วขยัน    อยากพบพี่ศรีสุพรรณมัจฉา
สุมาลีว่านี่แน่แม่ววัณลา    แม่ช่วยหาหนังเสือเผื่อสักไตร

แต่พระอภัยมณีมีความตั้งใจแน่วแน่เสียแล้ว จึง

พระขึ้นบนมนเทียรวิเชียรรัตน์    จึงปลดเปลืองเครื่องกษัตริย์ประภัสสร
ทรงเครื่องขาวดาบสประณตกร    อุทุมพรทับเฉียงเฉวียงองค์
แล้วจัดกลีบจีบชฎารักษาพรต    เป็นดาบสบุตรพรหมสมประสงค์
สอดสวมด้วยสายธุรำประจำทรง    ตั้งดำรงศีลห้าสมาทาน
ถือพัดวาลวิชนีแล้วลีลาศ    ขึ้นนั่งอาสน์อิศรามุกดาหาร
พร้อมโอรสยศยงพระวงศ์วาน    โปรดประทานเทศนาตามบาลี

ทำให้นางสุวรรณมาลีและนางละเวงเกิดศรัทธาขอออกบวชตามด้วย

ความหลงใหลในรูปโฉมของสตรี
ลักษณะนิสัยอย่างหนึ่งของพระอภัยมณีคือความหลงใหลในรูปโฉมของสตรี ลักษณะนิสัยเช่นนี้ทำให้พระอภัยมณีแสดงความเจ้าชู้ปรากฎให้เห็น เช่น เมื่อคราวที่เห็นนางเงือกครั้งแรก ทั้งๆ ที่เป็นช่วงเวลาที่จะหนีนางผีเสื้อยักษ์ พระอภัยมณีก็อดไม่ได้ที่จะแสดงความรู้สึกที่พอใจรูปโฉมของนางเงือก

พงศ์กษัตริย์ทัศนานางเงือกน้อย    ดูแช่มช้อยโฉมเฉลาทั้งเผ้าผม
ประไพพักตร์ลักษณ์ล้ำล้วนขำคม    ทั้งเนื้อนมนวลเปล่งออกเต่งทรวง
ขนงเนตรเกศกรอ่อนสะอาด        ดังสุรางค์นางนาฎในวังหลวง
พระเพลินพิศคิดหายเสียดายดวง    แล้วหนักหน่วงนึกที่จะหนีไป

ด้วยความพอใจในรูปโฉมของนางเงือกนี้เอง เมื่อหนีนางผีเสื้อยักษ์มาอยู่ที่เกาะแก้วพิสดารแล้ว พระอภัยมณีก็ประโลมนางจนได้นางมาเป็นชายา

ระหว่างที่อยู่เกาะ พระอภัยมณีก็ได้พบนางสุวรรณมาลีซึ่งท้าวสิลราชผู้บิดาได้พาเที่ยวทางทะเล และหลงทางพลัดกับขบวนเรือมาถึงที่เกาะแก้วพิสดารนั้น ทั้งๆ ที่อยู่ในเพศนักบวช และนางเงือก ก็ยังอยู่ที่เกาะนั้น พระอภัยมณีก็ให้หลงใหลในรูปโฉมของนางสุวรรณมาลี ปรารถนาจะได้นางมาเป็นคู่ครอง ดังข้อความที่พรรณนาตอนที่นางหลับด้วยอำนาจเพลงปี่ที่สินสมุทรทดลองเป่าให้ฟัง

พระเพ่งพิศธิดายุพาพักตร์        ดูน่ารักรูปทรงส่งสัณฐาน
ช่างเปล่งปลั่งยังไม่มีราคีพาน    น่าสงสารซบนิ่งไม่ติงกาย
พระเลื่อนองค์ลงจากบัลลังก์อาสน์    หวังสวาทว่าจะโลมนางโฉมฉาย
ครั้นเข้าชิดคิดได้ไม่ใกล้กราย    แต่เดินชายชมนางไม่วางตา
พระโอษฐ์เอี่ยมเทียมสีลิ้นจี่จิ้ม    เป็นลักยิ้มแย้มหมายทั้งซ้ายขวา
ขนงเนตรเกศกรกัลยา    ดังเลขาผุดผ่องละอองนวล
ทำไฉนหนอจะได้ดวงสมร    ร่วมที่นอนแนบน้องประคองสงวน
แล้วรั้งรักหักใจไม่บังควร    ให้ปั่นป่วนกลับมานั่งข้างหลังครู

ส่วนนางละเวงนั้น เพียงแต่พระอภัยมณีได้เห็นโฉมในรูปวาดก็ให้หลงใหลติดเสน่ห์นางแล้ว
พระอภัยได้ยลวิมลโฉม    งามประโลมหลงแลดังแขไข
ต้องเสน่ห์เลขาคิดอาลัย

ฉะนั้น เมื่อได้พบนางกลางสนามรบได้เห็นรูปโฉมตัวจริง พระอภัยมณีถึงกับกล่าววาจาทอดไมตรี

พระน้องหรือชื่อละเวงวัณลาราช    อย่าหวั่นหวาดวิญญามารศรี
จงหยุดยั้งรั้งราจะพาที        ไม่ฆ่าตีศรีสวัสดิ์เป็นสัจจา
พี่จงจิตติดตามข้ามสมุทร    มาด้วยสุดแสนสวาทปรารถนา
จะถมชลจนกระทั่งถึงลังกา    เป็นสุธาแผ่นเดียวเจียวเจียวจริง
จงแจ้งความตามในน้ำใจพี่    ไม่ราคีเคืองข้องแม่น้องหญิง
อย่าเคลือบแคลงแหนงจิตคิดประวิง    สมรมิ่งแม่วัณลาจงปรานี

ความหลงใหลในรูปโฉมของสตรีนี้เอง น่าจะทำให้บุคลิกลักษณะของพระอภัยมณีมีแววของความเป็นคนเจ้าชู้ให้คนอื่นมองเห็นได้ ดังที่เสนาเมืองลังกากล่าวกับอุศเรนว่า

อันรูปทรงองค์พระอภัยมณี    ดูท่วงทีเธอทายาทชาติเจ้าชู้

มีความอ่อนโยนและเยือกเย็น
บุคลิกภาพทางใจของพระอภัยมณีข้อนี้ เห็นได้จากคราวที่ออกจากกรุงรัตนามาพบบุตรพราหมณ์สามคน หลังจากได้ไต่ถามความเป็นมาและได้ทราบว่าใครมีความรู้อะไรแค่ไหน บุตรพราหมณ์ ก็แสดงความสงสัยคุณค่าของวิชาเป่าปี่ ทั้งยังพูดในทำนองดูหมิ่นวิชาว่าเหมาะสำหรับใช้เกี้ยวผู้หญิง

ซึ่งองค์พระอนุชาเรียนอาวุธ        เข้ายงยุทธข้าก็เห็นจะเป็นผล
แต่ดนตรีนี้ดูไม่ชอบกล            ข้าแสนสนเท่ห์ในน้ำใจจริง
ดนตรีนี้มีคุณที่ข้อไหน            หรือใช้ได้แต่ข้างเที่ยวเกี้ยวผู้หญิง
ยังสงสัยในจิตคิดประวิง        จงแจ้งจริงให้กระจ่างสว่างใจ

พระอภัยมณีมิได้มีความขุ่นเคือง ได้อธิบายคุณค่าของวิชาดนตรีและอำนาจของเพลงปี่อย่างปกติว่า

พระฟังความพราหมณ์น้อยสนองถาม    จึงเล่าความจะแจ้งแถลงไข
อันดนตรีมีคุณทุกอย่างไป    ย่อมใช้ได้ดังจินดาค่าบุรินทร์
ถึงมนุษย์ครุฑาเทวราช    จัตุบาทกลางป่าพนาสิน
แม้นปี่เราเป่าไปให้ได้ยิน    ก็สุดสิ้นโทโสที่โกรธา
ให้ใจอ่อนนอนหลับลืมสติ    อันลัทธิดนตรีดีหนักหนา

แล้วพระอภัยมณีก็บรรเลงเพลงปี่ให้เป็นที่ประจักษ์ในคุณค่า

เช่นเดียวกับในครั้งที่ท้าวสิลราชเมื่อทรงทราบว่าพระอภัยมณีเรียนวิชาเป่าปี่ก็กล่าวเป็นทำนองว่าเป็นวิชาที่ไม่มีคุณค่าแต่อย่างใด ดีแต่จะเที่ยวเป่าให้ใครๆ ฟังอย่างเพลินๆ เท่านั้น

กรุงกษัตริย์ตรัสว่าน่าหัวร่อ        เออก็พอที่หรือพระฤาษี
วิชาอื่นดื่นไปว่าไม่ดี            เรียนแต่ปี่ไปเที่ยวเป่าให้เขาฟัง

พระอภัยมณี ก็มิแสดงอาการว่าขุ่นเคืองท้าวสิลราชแต่อย่างใด
คราวที่อุศเรนยกกองทัพมาตีเมืองผลึก และแพ้ถูกจับได้ เมื่อพระอภัยมณีกล่าวปลอบโยน ให้อุศเรนคลายความแค้นเคือง เลิกรายกทัพกลับไป และให้เป็นไมตรีกันดังเดิม อุศเรนก็ไม่ปรารถนา ซํ้ายังกล่าววาจา “จ้วงจาบหยาบช้าพูดท้าทาย” ก็มิได้โกรธเคืองยังถามอุศเรนว่าจะให้ทำอย่างไรจึงจะหายแค้น อุศเรนก็ตอบแสดงความอาฆาตว่า
……………….. มาตรแม้นเราตีบุรีได้
จะจับตัวผัวเมียมามัดไว้        แล้วจะให้แล่เนื้อเอาเกลือทา
กับเปลี่ยนหัวผัวเมียเสียสำเร็จ    จึงจะเสร็จสมมาดปรารถนา

พระอภัยมณีก็ไม่โกรธ ตอบอุศเรนด้วยความปรานีว่า

จึงว่าเจ้าเล่าก็ยังกำลังแค้น         จะทดแทนทำสงครามก็ตามจิต
จะปล่อยไปไม่สังหารผลาญชีวิต     ด้วยว่าคิดคุณน้องสนองคุณ
เดี๋ยวนี้เล่าเจ้าก็ป่วยจะช่วยเจ้า     แทนที่เรามาเรือเจ้าเกื้อหนุน
พระน้องจงสรงเสวยเหมือนเคยคุ้น    ………………

อย่างไรก็ตาม เมื่อพระอภัยมณีมีวัยล่วงเลยมากขึ้น ความมีจิตใจเยือกเย็นหนักแน่นดูจะลดลง กลายเป็นคนใจน้อย แสนงอน เช่นในคราวที่พร้อมหน้ากันที่ลังกาหลังจากศึกมังคลาแล้ว ทั้งนางสุวรรณมาลีและนางละเวงไม่ยอมปรองดองให้เกี่ยวข้องด้วย พระอภัยมณีก็ขุ่นเคืองเมื่อนางทั้งสองมาเฝ้าทูลถามถึงอาการประชวรอันเกิดจากสาเหตุนี้ พระอภัยมณีก็แสดงอาการแสนงอนไม่ยอมตอบ

พระฟังคำชำเลืองค้อนเคืองขัด    มิได้ตรัสตอบความทรามสงวน
ครั้นถามซ้ำทำว่าชะเจ้ากระบวน    อย่ามากวนเซ้าซี้ที่นี่เลย
แล้วเอนองค์ลงบรรทมทรงห่มส่าน        สั่นสะท้านทำเบือนแกล้งเชือนเฉย

เมื่อนางทั้งสองเห็นผิดสังเกตก็เข้านวดฟั้น พระอภัยมณีเห็นเช่นนั้นก็

พระเห็นนางข้างสุวรรณบรรจถรณ์    ชำเลืองค้อนโฉมฉายทั้งซ้ายขวา

แล้วกล่าวตัดพ้อต่อว่านางด้วยความน้อยพระทัยว่า

…………………… แน่นางมาลีนะนางละเวง
แกล้งเป็นหมอคนเดียวกันเจียวเจ้า    ใครเชิญเล่าเข้ามารุมกันคุมเหง
สารพัดขัดคำไม่ยำเกรง            วาสนาของข้าเองมันอาภัพ
ตัวคนเดียวเจียวจิตไม่คิดอยู่         ตายเสียรู้แล้วไปเถิดไข้จับ
อย่ารักษาอย่ามาทำขยำยับ         พากันกลับไปเสียหนาข้าจะนอน

ความไม่นิยมความรุนแรง
พระอภัยมณีไม่นิยมกระทำการสิ่งหนึ่งสิ่งใดด้วยความรุนแรงพระอภัยมณีจะใช้วิธีที่นุ่มนวล ละมุนละไมก่อนเสมอ ต่อเมื่อไม่ได้ผลและเห็นสุดหนทางแล้วจึงจะใช้วิธีการรุนแรง ดังจะเห็นได้จากคราวที่นางผีเสื้อยักษ์ตามอาละวาดขบวนเรือของท้าวสิลราชที่พระอภัยมณีอาศัยโดยสารมาด้วย เป็นที่ทราบกันดีว่าพระอภัยมณีมีความเป็นเลิศในการเป่าปี่สามารถเป่าให้คนฟังหลับ หรือแม้กระทั่งขาดใจตายก็ได้ แต่พระอภัยมณีก็ไม่ใช้ด้วยน่าจะเห็นว่าเหตุการณ์คงจะไม่ร้ายแรง จนกระทั่งเรือล่มท้าวสิลราชจมนํ้าสิ้นพระชนม์ ส่วนพระอภัยมณีกับพวกสานุศิษย์หนีขึ้นไปบนภูเขาได้ นางผีเสื้อยักษ์ก็ตามไปอาละวาดอีก แม้พระอภัยมณีจะพูดจาขอร้องวิงวอนให้นางกลับไปอยู่เสียที่ถํ้าตามเดิมสักเท่าไรก็ตาม นางผีเสื้อยักษ์ก็ไม่ฟังซํ้ายังแผลงฤทธิ์ให้ลูกเห็บตกต้องถูกพระอภัยมณีกับพวกได้รับความเจ็บปวดทรมานแสนสาหัส พระอภัยมณีเห็นสุดหนทางที่จะทนทานได้ต่อไปอีกแล้ว จึงเป่าปี่ขึ้นเสียงเอกฆ่านางยักษ์ เสีย

กล่าวได้ว่า นางผีเสื้อยักษ์นั้นตายเพราะความรุนแรงของตนโดยแท้

นอกจากไม่นิยมความรุนแรงแล้ว พระอภัยมณียังไม่ปรารถนาให้ผู้อื่นใช้ความรุนแรงเพื่อตัดสินการอย่างหนึ่งอย่างใดอีกด้วย และหากมีหนทางที่จะป้องกันมิให้ผู้อื่นใช้ความรุนแรง พระอภัยมณีก็จะพยายามกระทำเช่นในคราวที่ห้ามอุศเรนกับสินสมุทรมิให้ทำสงครามเพื่อแย่งนางสุวรรณมาลี ทั้งสองฝ่ายก็ไม่ฟังดึงดันจะรบ แม้กระนั้นพระอภัยมณีซึ่งคาดการณ์และประเมินฝีมือการรบของอุศเรนแล้วว่าสู้สินสมุทรไม่ได้ การรบจะยุติในลักษณะใด ก็ห้ามอุศเรนโดยบอกให้รู้ถึงฝีมือของสินสมุทรว่า

เป็นความจริงสิ่งสัตย์บรรทัดเที่ยง        ไม่หลีกเลี่ยงเลยพระองค์อย่าสงสัย
แต่จะห้ามตามประสายังอาลัย    จะชิงชัยสินสมุทรจงหยุดยั้ง
เขาเรี่ยวแรงแข็งขันทั้งสันทัด        สารพัดจะศึกษาวิชาขลัง
ทั้งดุร้ายใจเหมือนเสือเหลือกำลัง    ห้ามไม่ฟังเหมือนทุกคนก็จนใจ

แต่อุศเรนไม่เชื่อหาว่าพระอภัยมณีพูดขู่เพื่อหวังจะได้นางสุวรรณมาลี ในที่สุดอุศเรนก็ต้องพ่ายแพ้ได้รับทั้งบาดแผลและความอับอาย

เมื่ออุศเรนยกกองทัพมาตีเมืองผลึกเป็นการแก้แค้น ด้วยอุบายของนางวาลี อุศเรนแพ้ถูกจับได้ พระอภัยมณีได้แสดงให้เห็นลักษณะนิสัยที่นิยมการเอาชนะโดยสันติมากกว่าใช้กำลังจากคำพูดที่กล่าวแก่อุศเรนตอนหนึ่งว่า

ซึ่งครั้งนี้พี่พาเจ้ามาไว้        หวังจะได้สนทนาวิสาสะ
ให้น้องหายคลายเคืองเรื่องธุระ    แล้วก็จะรักกันจนวันตาย
ทั้งกำปั่นบรรดาโยธาทัพ    จะคืนกลับให้ไปเหมือนใจหมาย
ทั้งสองข้างอยู่ตามความสบาย    เชิญภิปรายโปรดตรัสสัตย์สัญญา

ดังนี้ แม้พระอภัยมณีจะอยู่ในฐานะผู้ชนะอย่างไม่มีข้อแม้แล้วก็ตาม พระอภัยมณีก็พยายามเกลี้ยกล่อมศัตรูอย่างละมุนละม่อม อันเป็นลักษณะของนโยบายทางการทูต

รักความสงบ ปรารถนาการอยู่ร่วมกันโดยสันติ
คำพูดของพระอภัยมณีที่กล่าวแก่อุศเรนเมื่ออุศเรนแพ้สงครามถูกจับได้ ว่า

ซึ่งครั้งนี้พี่พาเจ้ามาไว้        หวังจะได้สนทนาวิสาสะ
ให้น้องหายคลายเคืองเรื่องธุระ    แล้วก็จะรักกันจนวันตาย
ทั้งกำปั่นบรรดาโยธาทัพ    จะคืนกลับให้ไปเหมือนใจหมาย
ทั้งสองข้างอยู่ตามความสบาย    เชิญภิปรายโปรดตรัสสัตย์สัญญา

นั้น แสดงให้เห็นลักษณะนิสัยของพระอภัยมณีได้อย่างชัดเจนว่า เป็นผู้รักความสงบ ปรารถนาจะให้ทุกคนได้อยู่ร่วมกันโดยสันติ ไม่เบียดเบียนรุกรานกัน

อนึ่ง การแสดงอัธยาศัยไมตรีต่อทุกคนที่ได้พบและรู้จัก แม้แต่อุศเรนซึ่งพระอภัยมณีก็รู้ว่า เป็นคู่หมั้นของนางสุวรรณมาลี โดยฐานะต่างก็เป็น “คู่แข่งขัน” กัน แต่ด้วยความปรารถนาดังกล่าวนี้ ทำให้พระอภัยมณีคิดว่า

……………. ไม่ควรชิงพระธิดามารศรี
จะผูกพันไว้เป็นไมตรี            จึงพาทีมิให้หมางระคางคำ

อย่างไรก็ตาม การที่พระอภัยมณียกกองทัพข้ามไปตีเมืองลังกาในครั้งแรกนั้น มิใช่เป็นการก่อสงคราม แต่ด้วยความคิดที่ตรัสแก่พวกเสนาอำมาตย์ที่ว่า

……………………. นางวัณลายังเป็นสาวสิบเก้าปี
จะเชิญท้าวด้าวแดนทั้งแสนภพ    มารุมรบเมืองผลึกดังศึกผี
ฉวยประมาทพลาดพลั้งเหมือนครั้งนี้    ชาวบุรีราษฎรจะร้อนรน
เราตรองตรึกนึกว่าน่าจะข้าม        ไปราบปรามแว่นแคว้นแดนสิงหล
ล้อมลังกาฆ่านายให้วายชนม์    เหมือนตัดต้นเสียแล้วปลายก็ตายตาม

อันเป็นการยุติศึกซึ่งจะก่อให้เกิดความสงบและสันติโดยถาวร

ความเป็นผู้มีความกตัญญู
พระอภัยมณีควรจะได้รับการสรรเสริญในข้อที่ว่าเป็นผู้มีความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ

โดยที่พระอภัยมณีถือว่าอุศเรนมีบุญคุณแก่ตนที่รับให้โดยสารเรือจากเกาะนับเป็นการช่วยให้ชีวิตรอด ฉะนั้น การที่พระอภัยมณีบอกแก่ทุกคนว่าจะวางตัวเป็นกลาง ไม่เอาตัวไปเกี่ยวข้องด้วยกับกรณีพิพาทในเรื่องนางสุวรรณมาลี ระหว่างสินสมุทรกับอุศเรน ก็น่าจะเนื่องด้วยไม่ปรารถนาจะได้ชื่อว่า เป็นคนเนรคุณ นี้ประการหนึ่ง

นอกจากจะไม่ต้องการได้ชื่อว่าเป็นคนเนรคุณแล้ว พระอภัยมณีก็น่าจะคิดใช้สถานการณ์ตอบแทนบุญคุณอุศเรนด้วยเช่นเดียวกัน

ฉะนั้น เมื่อพระอภัยมณีเห็นว่าจะรบกันแน่และพอจะเดาได้ว่าผลการรบจะยุติลงในลักษณะใด จึงตรัสห้ามสินสมุทรไว้ล่วงหน้ามิให้ฆ่าอุเศเรน

จงคิดอ่านการสงครามตามแต่เจ้า        ผู้ใดเขาเคยศึกจงปรึกษา
เอ็นดูพ่อขอแต่ลูกเจ้าลังกา            อย่าเข่นฆ่าชีวันให้บรรลัย

และการณ์ก็เป็นไปตามความคาดคิด อุศเรนแพ้ถูกจับได้ พระอภัยมณีก็ให้รีบแก้มัดและปล่อยเป็นอิสระในทันที นับเป็นการตอบแทนบุญคุณในครั้งแรก

เมื่ออุศเรนถูกจับได้อีกครั้งหนึ่ง คราวศึกเมืองผลึก พระอภัยมณียังนึกถึงบุญคุณของอุศเรนที่ทำไว้ พระอภัยมณีก็จะปล่อยอุศเรนให้เป็นอิสระเป็นการตอบแทน โดยกล่าวแก่อุศเรนว่า

จะปล่อยไปไม่สังหารผลาญชีวิต        ด้วยว่าคิดคุณน้องสนองคุณ
เดี๋ยวนี้เล่าเจ้าก็ป่วยจะช่วยเจ้า        แทนที่เรามาเรือเจ้าเกื้อหนุน
พระน้องจงสรงเสวยเหมือนเคยคุ้น    พระการุญร่ำว่าด้วยอาลัย

แต่เป็นคราวเคราะห์ของอุศเรนจะถึงฆาต นางวาลีซึ่งเข้าใจถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นต่อไปในภายหน้า เพราะ

ประเพณีตีงูให้หลังหัก        มันก็มักทำร้ายเมื่อภายหลัง
จระเข้ใหญ่ไปถึงน้ำมีกำลัง    เหมือนเสือขังเข้าถึงดงก็คงร้าย
อันแม่ทัพจับได้แล้วไม่ฆ่า    ไปข้างหน้าศึกใหญ่ขึ้นใจหาย
ต้องตำรับจับให้มั่นคั้นให้ตาย    จะทำภายหลังยากลำบากครัน

จึงคิด “จะพลิกพลิ้วชิวหาเป็นอาวุธ ประหารบุตรเจ้าลังกาให้อาสัญ” แล้วนางวาลีก็ใช้วาจา กล่าวเยาะเย้ยให้อุศเรนชํ้าใจจนอกแตกตาย

ความเข้าใจในแก่นแท้ของโลก และเชื่อในหลักธรรม
พระอภัยมณีแม้จะมีความรัก ความปรารถนาความสุขต่างๆ ทางโลกซึ่งได้แก่ รูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัส พระอภัยมณีก็ยอมรับว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ไม่เป็นแก่นสาร ไม่จีรังยั่งยืน เป็นสิ่งที่ไม่ได้ให้ความสุขที่แท้จริงในชีวิต สิ่งที่เป็นความสุขที่แท้จริงนั้น ได้แก่ การปกิบัติตามหลักธรรมใน ศาสนา ดังที่พระอภัยมณีรำพึงเมื่อคราวที่อยู่ที่เกาะแก้วพิสดารว่า

คิดรำพึงถึงธรรมพระกรรมฐาน    เป็นอาการถ่ายโทษที่โหดหืน
เกิดแล้วตายวายวางไม่ยั่งยืน    จะม้วยคืนวันไรก็ไม่รู้
เราเกิดมาอาภัพอัปภาคย์        ต้องพลัดพรากจากนครจนอ่อนหู
คือรูปรสกลิ่นเสียงเคียงสัมผัส    ที่คฤหัสถ์หวงแหนไม่แก่นสาร
ครั้นระงับดับขันธสันดาน        ย่อมสาธารณ์เปื่อยเน่าเสียเปล่าดาย
อย่าลุ่มหลงจงอุตส่าห์รักษาศีล    ให้เพิ่มภิญโญไปดังใจหมาย
อย่าฆ่าสัตย์ตัดชีวิตคิดอุบาย    จะจำตายตกนรกอเวจี

แม้พระอภัยมณีจะยอมรับว่าสิ่งเหล่านี้ไม่มีแก่นสาร เป็นสิ่งที่ไม่จีรังยั่งยืน ไม่ใช่ความสุขที่แท้จริงก็ตาม พระอภัยมณีก็ไม่อาจตัดให้ขาดได้ยังหลงใหลในโลกียสุขเหล่านี้ พระอภัยมณีออกบวช ขณะที่อยู่ที่เกาะแก้วพิสดาร โดยหวัง

พอสมสร้างทางธรรมสำมะดึงส์    ให้ลุถึงพระนิพพานสำราญใจ

แต่เมื่อได้พบนางสุวรรณมาลี ความหลงใหลในรูปโฉมของนางทำให้พระอภัยมณีไม่อาจตัดสิ่งที่ตนยอมรับว่าไม่มีแก่นสารไม่ได้ให้ความสุขที่แท้จริง แสดงความปรารถนาอย่างรุนแรงถึงกับติดตามนางสุวรรณมาลีไปทั้งๆ ที่อยู่ในเพศดาบส ฉะนั้นการที่พระอภัยมณีเทศนาให้นางผีเสื้อยักษ์เข้าใจถึงความไม่เป็นสาระ ความไม่จีรังของรูปรสกลิ่นเสียงและสัมผัส ก็เหมือนกับสั่งสอนตัวเอง นั้นเอง

นี้แสดงให้เห็นความเป็นปุถุชนของพระอภัยมณีอย่างแท้จริง

พระอภัยมณีประพฤติปฏิบัติเพื่อสิ่งที่ไม่เป็นแก่นสาร ไม่จีรังยั่งยืนเหล่านี้จนเกือบจะตลอดชีวิต จนกระทั่งได้ประจักษ์ว่าสิ่งเหล่านี้ที่แท้คือความทุกข์ทั้งสิ้น จึงได้ออกบวชอีกครั้งหนึ่ง และเทศนายํ้าทุกคนประจักษ์ในความจริงว่า

…………….. วิสัยสัตว์สิ้นพิภพล้วนศพผี
ย่อมสะสมถมจังหวัดปฐพี        ไพร่ผู้ดีที่เป็นคนไม่พ้นตาย
พระนิพพานเป็นสุขสิ้นทุกข์ร้อน    เปรียบเหมือนนอนหลับไม่ฝันท่านทั้งหลาย
สิ้นถวิลสิ้นทุกข์เป็นสุขสบาย        มีร่างกายอยู่ก็เหมือนเรือนโรคา
ทั้งแก่เฒ่าสาวหนุ่มย่อมลุ่มหลง    ด้วยรูปทรงลมเล่ห์เสน่หา
เป็นผัวเมียเคลียคลอเหมือนมรณา    ก็กลับว่าผีสางเหินห่างกัน
จงหวังพระปรมาศิวาโมกข์    เป็นสิ้นโศกสิ้นสุดมนุษย์สวรรค์
เสวยสุขทุกเวลาทิวาวัน    เหลือจะนับกัปกัลป์พุทธันดร

ที่มา:สมชาย  พุ่มสอาด