นิพพาน

Socail Like & Share

นิพพานสมบัติเป็นสุขเกษมยิ่งนัก หาที่จะเปรียบปานมิได้ สมบัติพระอินทร์พระพรหม ถ้าจะเอามาเปรียบกับนิพพานสมบัติแล้ว ก็เป็นประดุจแสงหิ่งห้อยมาเปรียบกับแสงพระจันทร์ หรือมิฉะนั้นก็ดุจนํ้าติดอยู่ปลายผม เปรียบกับนํ้านิพพานในมหาสมุทรซึ่งลึกถึง ๘๔,๐๐๐ โยชน์ หรือ มิฉะนั้นก็ดุจเอาฝุ่นเปรียบกับเขาพระสุเมรุ จักรรัตนวระ อันประเสริฐแห่งพระนิพพานนั้นนับไม่ถ้วนเลย สมบัติในพระนิพพานนั้นมีสุขเหลือล้น หาอันใดเปรียบปานมิได้ ไม่มีการเจ็บไข้ได้ป่วยอะไร ไม่เฒ่าไม่แก่ ไม่ตาย ไม่ฉิบหาย ไม่พลัดพรากจากกันสักอย่าง เป็นสมบัติที่เลิศกว่าสมบัติ ในมนุษยโลก เทวโลก และพรหมโลก

นิพพานนั้นมี ๒ อย่าง คือ สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ ดับกิเลสได้สิ้น แต่ขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ยังเหลืออยู่

อีกอย่างหนึ่งคือ อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ดับกิเลส ได้สิ้น ทั้งขันธ์ ๕ ก็ไม่เหลือ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรานั้น เมื่อคราวเสด็จนิพพานนั้น ทรงบรรลุถึงนิพพาน ๓ อย่างคือ กิเลสนิพพาน ดับกิเลส ขันธนิพพาน ดับขันธ์ ธาตุนิพพาน ดับธาตุ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรานั้นเมื่อตรัสรู้ก็ตรัสรู้พระ สัพพัญญุตญาณภายใต้ต้นพระรัตนมหาโพธิ์ในวันเพ็ญเดือน ๖ ปีวอก วันพุธ ยามใกล้รุ่ง ตรงกับวันพฤหัสบดีของไทย ลาวว่า วันเต่ายี ในอนุราชฤกษ์ ในวันที่พระพุทธองค์ตรัสรู้นั้น พระจันทร์โคจรในราศีพฤศจิก เสวยฤกษ์ไพสาขะ ในกลางคืนวันพุธนั้น พระอังคารพระพุธ พระเกตุ และพระอาทิตย์โคจรในราศีพฤษภราศีเดียว พระศุกร์โคจรในราศีเมถุน พระเสาร์โคจรในราศีกรกฎ พระพฤหัสบดีออกก่อน

เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จเข้าสู่พระนิพพานนั้น เสด็จในวันเพ็ญเดือน ๖ ปีมะเส็ง ตรงกับวันอังคารของไทย ลาวว่าวันกาบยี่ยามใกล้รุ่ง เสวยฤกษ์ไพสาขะ พระอังคาร พระเกตุ และพระอาทิตย์ โคจรในราศีพฤษภ พระพฤหัสบดี และพระจันทร์โคจรราศีพฤศจิก พระพุธและพระศุกร์โคจรในราศีเมถุน พระเสาร์ โคจรในราศีมังกรออกก่อนพระอาทิตย์ เหตุการณ์เช่นนั้นชื่อว่า ขันธนิพพาน ได้ปรากฏแก่พระพุทธเจ้าของเราแล้ว พระธาตุทั้งมวลจะเสด็จมาประชุมรวมกัน ภายใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ และปรากฏนิมิตเป็นพระพุทธองค์ขึ้นอีก ทรงแสดงพระธรรมเทศนาโปรดเทวดาและมนุษย์แล้ว จึงเสด็จเข้าสู่ปรินิพพานในวันเพ็ญ เดือน ๖ ปีชวด ไพสาขฤกษ์ ไทยว่า รวายสัน พระอาทิตย์ พระพฤหัสบดี พระเกตุ โคจรในราศีพฤษภ พระศุกร์โคจรในราศีเมถุน พระพุธโคจรในราศีกรกฎ พระเสาร์โคจรในราศีสิงห์ พระอังคารโคจรในราศีมีน พระจันทร์โคจรในราศีพฤศจิก เหตุการณ์อย่างนั้นชื่อว่าธาตุนิพพาน ได้มาถึงพระพุทธเจ้าของเราแล้ว

นิพพานมี ๓ ชื่อ คือ สุญญตนิพพาน – ดับโดยสูญไป อัปปณิหิตนิพพาน- ดับโดยไม่มีที่ตั้งแห่งทุกข์ – อนิมิตตนิพพาน – ดับโดยไม่มีเครื่องหมาย

หนทางที่จะไปสู่นิพพานนั้นคือ มรรค ๔ ผล ๔ ได้แก่ โสดาปัตติมรรค- โสดาปัตติผล สกิทาคามีมรรค สกิทาคามีผล อนาคามีมรรค อนาคามีผล อรหัตตมรรค อรหัตตผล

ในหนทางทั้ง ๘ สายนี้ใครดำเนินไปได้ ผู้ที่ดำเนินไปได้คือ ผู้ที่ละกิเลสได้ ๓๐๐ คือ รูปกิเลส ๑๘ อรูปกิเลส ๕๓ อาการกิเลส ๔ รวมเป็น ๗๕ ในกิเลสทั้ง ๗๕ นี้ แยกออกเป็นกิเลสภายใน ๗๕ กิเลสภายนอก ๗๕ จึงเป็น ๑๕๐ ในจำนวน ๑๕๐ นี้จัดเป็นฝ่ายเห็นผิดว่าเป็นตัวเป็นตน ๑๕๐ ความสงสัยลังเลใจ ๑๕๐ จึงเป็น ๓๐๐ ผู้ที่ละกิเลสทั้ง ๓๐๐ ได้เด็ดขาด ชื่อว่าได้ดำเนินถึงโสดาปัตติมรรคโสดาปัตติผล จึงสำเร็จเป็นพระอริยบุคคลขั้นพระโสดาบัน คือผู้ถึงกระแสพระนิพพานเป็นครั้งแรก
ผู้ที่ละกิเลส ๓๐๐ ดังกล่าวมานั้นได้เด็ดขาด และยังละกิเลสอีก ๔๕๐ คือ ความกำหนัด ๑๕๐ ความโกรธฉุนเฉียว ๑๕๐ ความลุ่มหลง ๑๕๐ จึงรวมเป็น ๔๕๐ ผู้ละกิเลสได้อย่างนี้ชื่อว่า ได้ดำเนินถึงสกิทาคามีมรรค สกิทาคามีผล สำเร็จเป็นพระอริยบุคคลขั้นพระสกิทาคามี คือผู้จะมาเกิดอีกครั้งเดียวก็จะนิพพาน

ผู้ที่ละกิเลส ๔๕๐ อย่างดังกล่าวมาได้เด็ดขาดและยังละความกำหนัดในกาม ๑๕๐ ความผูกใจปองร้าย ๑๕๐ จึงรวมเป็น ๓๐๐ เมื่อรวมกับที่ละได้เด็ดขาดมาก่อนจึงเป็น ๗๕๐ ผู้ละกิเลสได้อย่างนี้ชื่อว่าผู้ดำเนินถึงอนาคามิมรรคอนาคามิผล จึงสำเร็จเป็นพระอริยบุคคลขั้นพระอนาคามี คือผู้ไม่หวนกลับมาสู่กามภูมิ จะไปถึงพรหมโลกชั้นสุทธาวาส แล้วก็จะนิพพานที่นั้น

ผู้ละกิเลส ๗๕๐ อย่างดังกล่าวมาได้เด็ดขาด และยังละกิเลสอีก ๗๕๐ คือ ความกำหนัดรักใคร่ พอใจในรูป ๑๕๐ ความกำหนัดรักใคร่พอใจในสิ่งที่มิใช่รูป ๑๕๐ ความเย่อหยิ่งถือตัว ๑๕๐ ความฟุ้งซ่าน ๑๕๐ ความไม่รู้ ๑๕๐ เมื่อรวมกับที่ละได้แล้ว ๗๕๐ จึงเป็น ๑,๕๐๐ ผู้ที่จะได้อย่างนี้ชื่อว่า ดำเนินถึงอรหัตตมรรค อรหัตตผล จึงสำเร็จเป็นพระอริยบุคคล ขั้นพระอรหันต์ คือผู้หมดกิเลส บริสุทธิ์ถึงที่สุดแห่งพรหมจรรย์ สำเร็จกิจทุกอย่าง จึงชื่อว่า เข้านิพพาน ดับกิเลสทุกอย่าง โดยไม่เหลือ

คณะทำงานโครงการวรรณกรรมอาเซียน