กำเนิดโลก

Socail Like & Share

ฝนตกลงน้ำท่วมถึงพรหมโลกเป็นเวลา ๑ อสงไขย ฝนนั้นชื่อ สังวัฏฏฐายีอสงไขยกัลป์ ต่อจากนั้นลม ๔ ชนิด ก็พัดห้วงให้เป็นภูมิเหมือนเก่าขึ้น ลม ๔ ชนิด คือ ปรจิตตวาต ภัตรวาต จักราวาต (ในมหากัปปโลกสัณฐานบัญญัติว่า ลม ๔ จำพวกนั้น คือ จำพวกหนึ่งชื่อ วาต จำพวกที่สองชื่อ วิสมวาต จำพวกที่สามชื่อ ปัจจวาต กำเนิดโลกจำพวกที่สี่ชื่อ วาตวัตตะ)พัดไปมาจนละลอกกลายเป็นแผ่นเหมือนปุ่มเปีอก กลายเป็นกลละเหมือนน้ำข้าว กลายเป็นอัมพุทะเหมือนข้าวเปียก กลายเป็นเปสิเป็นก้อน เป็นเปือก จนกระทั่งกลายเป็นภูมิทองเหมือนเดิม ดูแพรวพราวเป็นประกายงามยิ่งนัก เกิดเป็นปราสาทแก้วทั่วทุกแห่งเหมือนแต่ก่อน ชั้นนี้ เรียกว่ามหาพรหมภูมิ พรหมทั้งหลายก็ลงมาอยู่ชั้นนั้นเหมือนเดิม นํ้าก็แห้งลง ลมทั้ง ๔ ก็เร่งพัดนํ้าเป็นละลอกจนกลายเป็นเผณุ (ฟอง) จากเผณุกลายเป็นกลละเหมือนนํ้าข้าว จากกลละกลายเป็นอัมพุทะเหมือนข้าวเปียก จากอัมพุทะกลายเป็นเปสิ เป็นก้อนแล้วก็กลายเป็นแผ่นภูมิทองดังเก่า ดูแล้วงดงามยิ่งนักเหมือนแต่ก่อน เกิดเป็นปราสาทแก้ว ทุกแห่งเหมือนเดิม ชั้นนี้เรียกชื่อว่า พรหมปโรหิตาภูมิ

พรหมก็มาอยู่ในชั้นนั้นเหมือนเดิม นํ้าก็แห้งลงเรื่อยๆ ลมทั้ง ๔ ก็พัดนํ้าให้กลายเป็นฟอง จากฟองกลายเป็นตม และตมก็กลายเป็นข้น เป็นก้อนแล้วก็กลายเป็นแผ่นดินเหมือนเดิม ดูงดงามยิ่งนัก เกิดเป็นปราสาทแก้วทั่วทุกแห่งเหมือนเดิม ชั้นนี้เรียกว่า พรหมชั้นปาริสัชชาภูมิ ฝูงพรหมก็มาอยู่ชั้นเดิม น้ำก็แห้งลงเรื่อยๆ ลมทั้ง ๔ ก็พัดจนกลายเป็นฟอง จากฟองก็เป็นตม จากตมก็กลายเป็นก้อน แล้วก็กลายเป็นแผ่นภูมิทองอย่างเก่าดูงดงามยิ่งนัก เกิดเป็นปราสาทแก้ว ทั่วทุกแห่งเหมือนเดิม ชั้นนี้เรียกว่า ปรนิมิตวสวัดดี ฝูงเทพยดาก็ลงมาอยู่เหมือน เก่า ชั้นตํ่าลงมาเรียกว่า กามภูมิ และนํ้าก็แห้งลงเรื่อยๆ ลมทั้ง ๔ ก็พัดมากกว่าเดิม จนกลายเป็นแผ่นภูมิทองและเป็นปราสาทแก้ว ทั่วทุกแห่งเหมือนเดิม ชั้นนี้เรียกว่า นิมมานรดี ฝูงเทพยดาก็ลงมาอยู่เต็มวิมานเหมือนเก่า นํ้าก็แห้งลงเรื่อยๆ และลมทั้ง ๔ ก็พัดอยู่เหมือนเดิมจนข้นขึ้นเป็นแผ่นดินทอง เกิดเป็นปราสาทแก้วและวิมานของเทพยดาเหมือนเก่า ชั้นนี้เรียกว่า ดุสิตา ฝูงเทวดาก็ลงมาแต่ชั้นบนมาอยู่เหมือนเดิม นํ้าก็แห้งลง ลมทั้ง ๔ ก็ยังพัดเหมือนเดิม นํ้าขุ่นข้นงวดเข้าเป็นแผ่นดิน ทองดูเป็นประกายงาม เกิดเป็นวิมานแก้วของเทวดาเหมือนเก่า ชั้นนี้เรียกว่า ยามา เทวดาทั้งหลายก็จุติจากเบื้องบนลงมาอยู่เหมือนดังกล่าวมา

เมื่อนํ้าแห้งลงไปเรื่อยๆ ลมทั้ง ๔ ชนิดก็พัดจนเป็นฟอง จากฟองก็เป็นตม จากตมก็ข้นก็กลายเป็นก้อนแข็ง จนในที่สุดก็กลายเป็นแผ่นดินทองเหมือนเดิม ดูเป็นประกายงดงามยิ่งนักเหมือนแต่ก่อน เกิดเป็นปราสาททั่วทุกแห่ง ชั้นนี้ชื่อว่า ดาวดึงส์ มีเทวดาลงมาอยู่เหมือนแต่ก่อน น้ำก็ยิ่งลดลงแห้งไปเรื่อยๆ ลมทั้ง ๔ ชนิด ก็พัดจนเป็นฟอง เป็นตม และข้นเป็นก้อน ที่สุดจนกลายเป็นแผ่นดินเหมือนเก่าดูเป็นประกายงดงาม เกิดเป็นปราสาทแก้ว ทุกแห่งหน เป็นเขาพระสุเมรุราช สูงใหญ่เหมือนเดิม เกิดเป็นเขาทั้งเจ็ดเพื่อจะล้อมรอบเขาพระสุเมรุ และแม่นํ้า สีทันดรระหว่างเขาทั้งเจ็ดนั้น ล้อมรอบด้วยทวีปใหญ่ ๔ ได้แก่ บุรพวิเทหทวีป อมรโคยานทวีป ชมพูทวีป และอุตรกุรุทวีป และทวีปเล็กอีก ๒,๐๐๐ ล้อมรอบ เกิดเป็นป่าหิมพานต์ เกิดสระใหญ่ ๗ สระ ได้แก่ อโนดาต กัณณมุณฑะ รถการกะ ฉัททันต์ กุณาละ มันทากินี และสีหปปาตะ เกิดแม่นํ้าใหญ่ทั้ง ๕ สาย คือ คงคา อจิรวดี ยมุนา สรภู และมหี เกิดเป็นจักรวาล เกิดเป็นดาวดึงส์ สวรรค์ของพระอินทร์ เกิดเป็นจาตุมหาราชิกาภูมิ อันเป็นเมืองของพระจตุโลกบาล ต่อจากนั้นก็เกิดเป็นโลกมนุษย์ เกิดเป็นนรก เกิดเป็นเปรตวิสัย เกิดเป็นดิรัจฉานภูมิ เกิดเป็น อสุรกายภูมิ เหมือนที่เคยเกิดมาแล้ว เมื่อก่อนสูงใหญ่เท่าไร ก็สูงใหญ่เท่านั้น ไม่แตกต่างจากปางก่อนเลย ลมพัดเป็นฟองนํ้าซัดสาดไปมามีที่ตํ่ามีที่สูง มีที่ราบที่ตํ่ากลายเป็นแม่น้ำ ที่สูงกลายเป็นภูเขา ที่ราบกลายเป็นเรือกสวนไร่นา ป่าในชมพูทวีปที่เราอาศัยอยู่นี้จะเกิดเป็นพระมหาโพธิ์ก่อน ส่วนว่าไฟไหม้ก็ไหม้ถึงที่สุด สถานที่นั้นก็เป็นสถานที่ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ทุกพระองค์ และสถานที่ว่านั้น ก็กลายเป็นชมพูทวีป พื้นที่สูงกว้างใหญ่ เมื่อดอกบัวจะเกิดก็เกิดที่นั้น มนุษย์เราจะเกิดก็เกิดที่นั้นโดยมาจากพรหมโลก

เมื่อนํ้าแห้งลงฝุ่นดีในผืนแผ่นดินนี้ได้มีกลิ่นรสอันโอชาอร่อยยิ่งนัก เหมือนดังละออง นิรุทกปายาส เหล่าพรหมที่สถิตอยู่ในชั้นอาภัสสรพรหม สิ้นบุญแล้วก็จุติจากอาภัสสรพรหมลงมาเกิดเป็นมนุษย์ ผุดเกิดมาเอง คนเหล่านั้น ยังไม่เป็นเพศหญิงเพศชายเหมือนดั่งพรหม มีรัศมีแผ่ซ่านรุ่งเรืองสดใสงดงาม มีฤทธิ์สามารถไปทางอากาศได้ ไม่ได้กินอะไร ความอิ่มเอิบใจเป็นอาหารต่างข้าวและนํ้า มีอายุยืนได้ ๑ อสงไขย

กาลผ่านมาโดยลำดับก็เป็นผู้หญิงผู้ชายเหมือนเมื่อก่อน พรหมทั้งหลายเห็นเช่นนั้นต่างก็พากันชิมรสดินต่างข้าวและนํ้าทุกวัน ด้วยเหตุที่พวกพรหมมีความคิดอันเป็นอกุศล ๓ อย่าง เกิดขึ้น คือ คิดทางกาม คิดพยาบาท คิดเบียดเบียน จึงทำให้รัศมีในร่างกายหายไปหมดสิ้น ความมืดจึงปกคลุมไปทั่วแผ่นดินมองไม่เห็นกัน เมื่อพวกเขาเห็นมืดมิดเช่นนั้นจึงรำพึงรำพันกันว่า พวกเราจะทำอย่างไร จึงจะเห็นหนทาง ด้วยอำนาจบุญกุศลของเขาเหล่านั้นจึงเกิดเป็นคืนเป็นวัน เป็นเดือน เหมือนแต่ก่อน และด้วยอำนาจอธิษฐานนั้น จึงเกิดเป็นดวงตะวันขึ้นดวงหนึ่งสูงได้ ๕๐ โยชน์ มีปริมณฑลได้ ๑๕๐ โยชน์ ทำให้ฝูงชนทั้งหลายได้มองเห็นหนทาง ได้มองเห็นกันและกัน และแสงของตะวันก็สว่างไสวรุ่งเรืองอยู่เช่นนั้น ฝูงชนต่างก็ยินดีปรีดายิ่งนัก จึงพากันกล่าวว่า เทพบุตรองค์นี้สามารถบรรเทาความมืดได้ ควรเรียกว่า พระสุริยะ (พระอาทิตย์)

เมื่อพระอาทิตย์ให้ความสว่างไสวตลอดวันแล้ว จึงพากันเวียนขวารอบเขาพระสุเมรุราช พอลับเขาพระสุเมรุราชแล้วก็กลับมืดขึ้นอีก คนทั้งหลายเกิดความกลัวจึงกล่าวว่าเทพบุตรได้ให้ความสว่างรุ่งเรืองแจ่มจ้านับว่าเป็นการดีแล้ว แต่ยังมีมืดอยู่อีก น่าจะมีเทพบุตรที่สามารถบันดาลให้มีแสงสว่างในเวลากลางคืนได้ เหมือนเทพบุตรที่ลับสายตาไปแล้วนั้น

ด้วยอำนาจอธิษฐานของคนเหล่านั้นจึงเกิดดวงจันทร์ดวงหนึ่งใหญ่ มี แสงสว่างนวลงามยิ่งนัก มีขนาดย่อมกว่าดวงตะวัน ๑ โยชน์ ขึ้นสมดังปรารถนา

เดือนและตะวันคือ พระจันทร์และพระอาทิตย์ก็มาจากพรหมโลกเพื่อ ส่องแสงสว่างให้คนในโลกนี้ได้เห็น เมื่อพวกเขาได้เห็นพระจันทร์และพระอาทิตย์ เช่นนั้นแล้ว ก็มีความยินดียิ่งนัก และปลาบปลื้มปิติยิ่งกว่าเก่า และกล่าวกันว่า เทพบุตรองค์นี้สามารถให้แสงสว่างให้เราได้เห็นหนทางดังใจปรารถนาประหนึ่ง รู้จิตใจของพวกเรา ที่เกิดมีแสงสว่างขึ้นในกลางคืน ควรเรียกว่า จันทรเทพบุตร เมื่อเกิดมีพระจันทร์ พระอาทิตย์แล้ว จึงเกิดดาวนักษัตร ๒๗ ดวง พร้อมด้วยหมู่ดาวดารากรทั้งหลาย

ต่อมาจึงเกิดมีวัน คืน เดือน ฤดู และปีทั้งหลายตั้งแต่บัดนั้น ผืนแผ่นดิน รุ่งเรืองท้องฟ้าระยิบระยับด้วยเดือน ตะวัน ตลอดปีเป็นอนันตอสงไขย เรียกว่า อสงไขยกัลป์

เมื่อพระอาทิตย์ พระจันทร์ และดวงดาวต่างๆ เกิดขึ้นครั้งแรกนั้น วัน คืน เดือน ปี ก็เกิดขึ้นครั้งแรกเช่นเดียวกัน ถึงวันเพ็ญเดือน ๔ พระอาทิตย์ก็โคจรมาในราศีมีนเสวยฤกษ์อุตตาภัทร์ พระจันทร์โคจรครั้งแรกในราศีกันย์ เสวยฤกษ์ อุตตรผคุณขึ้น ทำให้เห็นหนทางได้ ๔ ทวีป พร้อมกันทั้งหมด พระอาทิตย์ก็ส่องแสงให้เห็น ๒ ทวีป พระจันทร์ก็ส่องแสงให้เห็น ๒ ทวีป หมุนเวียนไปเท่าๆ กัน

เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นในแผ่นดินชมพูทวีปของเรานี้รวมทั้งแผ่นดินบุพวี เทหทวีป คนใน ๒ ทวีป นั้นก็จะเห็นดวงอาทิตย์ เมื่อดวงอาทิตย์ตกในแผ่นดินของเรานี้ ก็จะมองเห็นรัศมีพระจันทร์ในอุตตรกุรุทวีปและอมรโคยานทวีป ในเวลาเดียวกัน ทั้งสองทวีป ตั้งแต่นั้นมาคนทั้งหลายจึงได้มองเห็นกันอยู่ในผืนแผ่นดินจนถึงไฟไหม้กัลป์ และเกิดกัลป์ใหม่ เรียกว่า วิวัฏฏฐายีอสงไขยกัลป์ ทั้ง ๔ อสงไขย ชื่อว่า มหากัลป์

ในปีหนึ่งมี ๓ ฤดู คิมหันตฤดู หรือฤดูร้อน มี ๔ เดือน นับตั้งแต่เดือน ๔ แรม ๑ คํ่า ถึงเดือน ๘ ขึ้น ๑๕ คํ่า วสันตฤดู หรือฤดูฝน มี ๔ เดือน นับตั้งแต่เดือน ๘ แรม ๑ คํ่า ถึงเดือน ๑๒ ขึ้น ๑๕ คํ่า เหมันตฤดู หรือฤดูหนาว มี ๔ เดือนนับตั้งแต่ เดือน ๑๒ แรม ๑ คํ่า ถึงเดือน ๔ ขึ้น ๑๕ คํ่า

ฤดูหนึ่งมี ๒ กาล รวมเป็น ๖ กาล คือ วสันตกาล นับตั้งแต่เดือน ๔ แรม ๑ คํ่า ถึงเดือน ๖ ขึ้น ๑๕ คํ่า มีนํ้าให้โทษคนทั้งหลาย คิมหันตกาล นับตั้งแต่เดือน ๖ แรม ๑ คํ่า ถึงเดือน ๘ ขึ้น ๑๕ ค่ำ มีลมและไฟเป็นกำลังแก่คนทั้งหลาย วัสสิกกาล นับตั้งแต่เดือน ๘ แรม ๑ คํ่า ถึงเดือน ๑๐ ขึ้น ๑๕ คํ่า มีลมและไฟให้โทษคนทั้งหลาย สรทกาล นับตั้งแต่เดือน ๑๒ แรม ๑ คํ่า ถึงเดือน ๒ ขึ้น ๑๕ คํ่า มีไฟและนํ้าให้โทษ สิสิรกาล นับตั้งแต่เดือน ๒ แรม ๑ คํ่า ถึงเดือน ๔ ขึ้น ๑๕ คํ่า มีนํ้าให้โทษ

ในกาลทั้ง ๖ นี้ วสันตกาลเป็นก่อน (มีก่อน) คนทั้งหลายที่เกิดในแผ่นดิน ก็กินง้วนดินอันโอชะตามฤดูกาลเหล่านี้

โดยเหตุที่ปวงชนประมาณลืมตัวไม่รู้จักบาปบุญคุณโทษ ไม่รู้จักความดี ความชั่ว ง้วนดีนที่พวกเขากินนั้นก็จมลงไปใต้ดิน มันจึงพูนขึ้นในกลีบดิน ดุจดอกเห็ดที่ตูม แล้วก็จมหายลงไปในแผ่นดิน เกิดเป็นเถาวัลย์ ที่ชื่อ ภทาลตา ขึ้นมาแทนคล้ายผักบุ้ง ซึ่งมีโอชารสยิ่งนัก คนทั้งหลายจึงกินเถาวัลย์นั้นต่างข้าวทุกวัน

เมื่อเวลาผ่านมานานเข้า คนทั้งหลายก็ประมาทมัวเมาไม่รู้จักบาปบุญ คุณโทษ เถาวัลย์ภทาลตาที่ว่านั้นก็หายไป ข้าวสาลีก็เกิดขึ้นเป็นลำต้น เป็นหน่อเป็นตอ เป็นข้าวสารขาวเองไม่ต้องทำ ไม่ต้องฝัด ไม่ต้องตาก ไม่มีแกลบ ไม่มีรำ เป็นข้าวสารเอง พอเอาข้าวสารนั้นใส่หม้อตั้งบนก้อนเส้าที่ชื่อว่า โชติกปาสาณ ไฟก็ลุกโชติช่วงขึ้นเอง ถ้าปรารถนาอยากจะได้กับข้าวอะไรก็จะได้กับข้าวทุกอย่าง เมื่อคนกินเข้าไปแล้วก็เกิดมีอาหารเก่าอาหารใหม่ แล้วก็ถ่ายเป็นอุจจาระออกมา เหมือนอย่างมนุษย์เรา ตั้งแต่นั้นจนกระทั้งบัดนี้ เมื่อพวกเขากินง้วนดินก็ดี กลีบดิน ซึ่งเหมือนดอกเห็ดที่ตูมก็ดี เชือกเถาภทาลตาก็ดี หามีอุจจาระไม่ เหมือนเทพยดาเสวยข้าวทิพย์ ฉะนั้น เมื่อกินอาหารจนอิ่มดีแล้ว อาหารนั้นก็จะถูกไฟธาตุเผา แล้วก็จะละลายหายไปในร่างกายสิ้น เมื่อใดได้กินข้าว เมื่อนั้นก็จะมีอุจจาระ

เมื่อได้กินข้าวแล้วก็เกิดราคะความกำหนัดตามวิสัยโลกธรรมของชายหญิง ตั้งแต่บัดนั้นมา ผู้ที่มีความโลภมากก็กลายเป็นสตรีไป ผู้ที่มีความโลภพอสมควรก็กลายเป็นบุรุษ บุรุษและสตรีก็เกิดขึ้นตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

เมื่อเกิดมีบุรุษสตรีขึ้นเช่นนั้นแล้ว พอเห็นกันเข้าก็มีจิตปฏิพัทธ์รักใคร่ ชอบพอกันแล้วก็ร่วมเสพกามกันตามธรรมดาของโลก เหมือนกับที่มีมาในกัลป์ก่อนๆ ต่อจากนั้นจึงหาที่ปลูกบ้านปลูกเรือนอยู่ เพื่อปิดบังความละอายที่เป็นสภาพน่าละอายนั้น ครั้นเป็นคู่สามีภรรยากันแล้ว ก็ปลูกบ้านปลูกเรือนอยู่กันตามลำพัง แล้วก็ไปหาเอาข้าวสาลีมาไว้มากๆ เพื่อเก็บกินได้หลายๆ วัน เวลานั้นข้าวสาลีก็กลายเป็นแกลบเป็นรำเหมือนข้าวเปลือกของเราปัจจุบันนี้ ส่วนสถานที่ที่เคยงอกแตกออกเป็นข้าวสารก็ไม่งอกเหมือนอย่างเคย คนทั้งหลายเห็นเหตุการณ์เช่นนั้น แล้วก็ประหลาดใจ จึงชุมนุมปรึกษาหารือเจรจาตกลงเพื่อแบ่งที่ดินทำกินกันว่า เมื่อก่อนประพฤติปฏิบัติตนอยู่ในศีลในธรรม ปรารถนาสิ่งใดก็ได้ดังปรารถนา ไม่ได้กินอาหารอะไรก็ยังอิ่ม จะไปทางไหนก็ไปทางอากาศ มีที่นอนที่อยู่ก็เป็นสุข สำราญ ร่างกายก็มีรัศมีรุ่งเรืองไปทั่วจักรวาล ง้วนดินก็เกิดขึ้นมาเป็นประโยชน์แก่เรา เพราะเหตุเราชวนกันโลภอาหารกินง้วนดิน รัศมีที่เคยรุ่งเรืองอยู่ในร่างกายเราก็หายไปหมดสิ้น ทำให้มืดมิดมองไม่เห็นกันจึงปรารถนาแสงสว่างอีก พระอาทิตย์และพระจันทร์จึงบังเกิดขึ้นให้แสงสว่างแก่พวกเรา เรากระทำความผิดอีก ง้วนดินก็หายไปกลายเป็นดังดอกเห็ดตูมขึ้นมาจากกลีบดินให้เรากินต่างข้าว เรากลับพากันทำความชั่วต่างๆ นานา กลีบดินที่เหมือนดอกเห็ดก็หายไปกลายเป็นเถาวัลย์ชื่อ ภทาลตา ขึ้นมาให้เรากินต่างอาหาร เรากระทำความชั่วหนักเข้าไปอีก เถาวัลย์ภทาลตาก็หายไปสิ้นอีก กลายเป็นข้าวสาลีที่ไม่ได้ปลูก หากเป็นข้าวสารมาเองให้เรากินเป็นอาหาร ข้าวสาลีที่ว่านี้ เราเก็บเอาจากที่ใดในตอนเย็น เช้าวันรุ่งขึ้น เราก็จะเห็นข้าวนั้นปรากฏอยู่ในที่นั้นเหมือนเดิม เมื่อไปเก็บเอาตอนเช้า ตกตอนเย็นก็จะปรากฏเห็นเกิดเต็มอยู่เหมือนเดิมหาร่องรอยเกี่ยวไม่มี บัดนี้พวกเราก่อกรรมทำทุจริตผิดศีลธรรมยิ่งกว่าแต่ก่อนอีก ข้าวสาลีก็กลายเป็นข้าวเปลือกไป และที่ที่เกี่ยวข้าวข้าวก็หายไปมีแต่ซังและฟางเปล่า จะเป็นรวงข้าวเหมือนเดิมไม่มีแก่เราอีกแล้ว ตั้งแต่นี้ต่อไปพวกเราควรแบ่งปันที่ดินปักเขตแดนกัน เพื่อจะได้เพาะปลูกกินกันให้เป็นสัดส่วน จึงจะเป็นการถูกต้อง หลังจากพวกเขาตกลงกันแล้วจึงได้แบ่งปันที่ไร่ที่นาให้แก่กันและกันตั้งแต่บัดนั้นมา

ระยะนั้นคนบางคนเกิดความโลภขึ้น มีใจชั่วร้ายก็ไปชิงเอาที่ของคนอื่นเขา คนที่เป็นเจ้าของเดิมก็โกรธจึงไล่ตีด่ากันอยู่ ๒ – ๓ ครั้ง ต่อมาจึงประชุมปรึกษาหารือตกลงกันอีกว่าเวลานี้พวกเรากลายเป็นโจรหัวโจกก่อความวุ่นวายมาก เนื่องจากไม่มีใครเป็นหัวหน้าที่จะว่ากล่าวตักเตือนพวกเรา ดังนั้น ควรตั้งท่านผู้ใดผู้หนึ่งให้เป็นใหญ่ เป็นหัวหน้า เป็นผู้นำของพวกเรา พวกเราประพฤติผิดชอบชั่วดีอย่างใด ท่านจะได้พิจารณาตัดสินสั่งการไปตามความผิดชอบนั้น พร้อมกันนั้นจะได้เป็นผู้แบ่งปันเขตแดนที่อยู่ที่อาศัยทำกินให้แก่พวกเรา และพวกเราก็จะมอบที่ไร่ที่นาให้แก่ท่านผู้เป็นใหญ่นั้นมากกว่าพวกเรา ครั้นพวกเขาประชุมเจรจาตกลงกันเช่นนั้นแล้ว จึงอัญเชิญพระโพธิสัตว์เจ้าให้เป็นหัวหน้าเป็นผู้นำของพวกเขา และพวกเขาก็พร้อมใจกันทำพิธีราชาภิเษกพระโพธิสัตว์เจ้าขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดิน มีอิสริยยศ พร้อมมูลด้วยพระนาม ๓ ประการ คือ มหาสมมติราช เพราะคนทั้งหลายยินยอมพร้อมใจกันตั้งพระองค์ให้เป็นใหญ่ ขัตติยะ เพราะคนทั้งหลาย มอบความเป็นใหญ่ให้พระองค์ ทรงมีพระราชอำนาจแบ่งปันไร่นา ข้าวนํ้า ให้แก่อาณาประชาราษฎร์ทั้งปวง และราชา เพราะทรงเป็นที่พึงพอใจเคารพนับถือ ของคนทั้งหลาย

พระโพธิสัตว์เจ้าทรงเป็นมหาบุรุษ ปวงชนทั้งหลายอัญเชิญขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดิน เพราะพระองค์ทรงพระสิริโฉมสง่างามยิ่งกว่าประชาชน มี พระปรีชาสามารถรอบรู้ยิ่งกว่าคนทั้งปวง ทรงมีพระทัยซื่อตรงประกอบบุญบารมี ยิ่งกว่าปวงอาณาประชาราษฎร พวกเขาเห็นดังนั้นแล้ว จึงพร้อมใจกันสถาปนาพระองค์ขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดินปกครองและอบรมสั่งสอนพวกเขาเป็นประมุขของประเทศชาติสืบสันตติวงศ์ติดต่อกันมาตราบเท่าทุกวันนี้

คนบางคนเห็นความไม่เที่ยง ในสภาพการณ์ต่างๆ ที่เป็นไปในโลก และเห็นความชั่วเกิดขึ้นยิ่งเกิดความสังเวชสลดใจ จึงออกไปหาที่สงัด เช่น กุฏิ ศาลา และกระท่อม เป็นต้น แล้วรักษาศีลเจริญภาวนา เที่ยวออกบิณฑบาตเลี้ยงชีพ ตัดความโลภออกเสีย คนพวกนี้ชื่อพราหมณ์ ตั้งแต่นั้นมาจนกระทั่งบัดนี้ อีกพวกหนึ่งแจกไร่แจกนาให้คนอื่นทำ ตัวเองเพียงแต่คอยปกปักรักษา ค้าขายโดยชอบธรรม คนพวกนี้ชื่อว่าแพศย์ ติดต่อกันมาจนกระทั้งเดี๋ยวนี้ อีกพวกหนึ่งจะทำการสิ่งใด ก็ทำด้วยกำลังและความสามารถ ทำการฆ่าสัตว์นานาชนิดมาเลี้ยงชีพ คนพวกนี้ชื่อว่า พรานและเป็นศูทร์ สืบมาจนกระทั่งบัดนี้

คนทั้งหลายต้องทำการงานที่ลำบากยากเข็ญมาเลี้ยงชีพ ไม่ได้ทำมาหากินได้โดยง่ายเหมือนแต่ก่อน คนเหล่านั้นมีอายุยืนได้ถึง ๑ อสงไขย อยู่ต่อมาอายุก็ลดน้อยถอยลงเรื่อยๆ นานเข้าจนกระทั่งถึงมีอายุได้ ๑๐ ปี เป็นอายุไขยจึงตาย สาเหตุที่อายุ ปี เดือน ของคนทั้งหลายลดน้อยถอยลงนั้น เป็นเพราะคนในชั้นหลัง ต่อมาก่อกรรมทำชั่ว โลภ โกรธ หลง มากกว่าเดิม มวลหมู่เทพยดาทั้งหลายที่อยู่บนสวรรค์ก็ดี บนต้นไม้ก็ดี ก็ไม่มีคนนับถือหรือเกรงกลัว ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดาวนพเคราะห์ และดาวนักษัตรทั้งหลายก็ไม่โคจรไปตามราศีเหมือนแต่ก่อน ฤดูทั้ง ๓ ฤดูก็ดี กาลทั้ง ๖ กาลก็ดี ก็เปลี่ยนแปลงไปสิ้นไม่เหมือนเดิม ฝน ลม แดด ก็เปลี่ยนไป ทั้งต้นไม้ในแผ่นดินที่เคยเป็นยาก็ไม่เป็นยาเหมือนเก่า ฤดูกาลเปลี่ยนไป ปวงชนทั้งหลายจึงมีอายุลดน้อยถอยลง

สมัยใด คนไม่ได้ทำบาปมีแต่ไมตรีจิต สงเคราะห์ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน หมู่เทพยดาทั้งหลายก็อภิบาลรักษา พระอาทิตย์ พระจันทร์ ดาวนพเคราะห์ และดาวนักษัตรทั้งหลายก็โคจรไปตามราศี ไม่เปลี่ยนแปลง แดด ลม ฝน ก็ตกต้องตามฤดูกาล ปี เดือน วัน และคืน ไม้ที่เคยเป็นยา ก็กลับคืนเป็นยาตามปกติ คนทั้งหลายก็มีอายุยืนยาวยิ่งขึ้นเหมือนเดิม

อันสภาวการณ์ทั้งหลายในโลกนี้ ไม่เที่ยงแท้ย่อมแปรปรวนเปลี่ยนแปลง ไปมาดังกล่าวแล้ว บางคราวดีแล้วกลับชั่วร้าย แล้วก็กลับดีอีก ไม่เที่ยงเลย แม้คนในโลกก็ไม่เที่ยงเช่นเดียวกัน ผู้มีปัญญาควรรู้อาการอย่างนี้แล้วพิจารณาถึงความไม่เที่ยงในโลกที่เป็นอยู่นี้ แล้วมุ่งบำเพ็ญบุญกุศล เพื่อจะให้พ้นจากสภาพการณ์อันไม่เที่ยงนั้น จนกระทั่งได้เข้าถึงสมบัติอันสูงยิ่งคือ พระนิพพานอันมั่นคงไม่หวั่นไหว ไม่รู้จักฉิบหายไม่พินาศ ไม่รู้จักตาย เป็นสมบัติที่ดีเลิศกว่าสมบัติทั้งหลายในโลกทั้ง ๓ นี้

คณะทำงานโครงการวรรณกรรมอาเซียน