นิทานเกี่ยวกับฤาษี

Socail Like & Share

สมัยหนึ่ง นานมาแล้ว มีฤาษีหินตนหนึ่ง ตั้งอยู่กลางป่าห่างไกลจากหมู่บ้านและทางไปก็ทุรกันดารเต็มไปด้วยสัตว์ร้ายนานาชนิด ในปากของฤาษีหินตนนี้ มีทรัพย์สินเงินทองบรรจุไว้มากมาย วิธีที่จะเอาทรัพย์ออกจากปากฤาษี2ฤาษีนั้นไม่ยาก เพียงแต่จุดเทียนแล้วเอาไฟลนใต้คางฤาษีๆ ก็จะอ้าปากออก แล้วก็ล้วงเอาทรัพย์ออกมาได้ ถ้าเทียนดับฤาษีก็จะหุบปากทันที แต่นี่เป็นเพียงคำเล่ากันมา ไม่มีใครู้ว่าฤาษีนั้นอยู่ที่ไหน

ยังมีผัวหนุ่มเมียสาวคู่หนึ่ง เพิ่งแต่งงานกัน เป็นคนยากจนหาเช้ากินค่ำแต่เป็นคนขยันหมั่นเพียรและเป็นคนโอบอ้อมอารี จึงเป็นที่รักใคร่ของเพื่อนบ้านทั่วไป วันหนึ่งมีขอทานแก่ๆ คนหนึ่งมาที่บ้านของผัวเมียคู่นั้น ขอผ้านุ่งผืนหนึ่ง เพราะว่าขอทานคนนั้นมีผ้านุ่งผืนเดียว และก็ขาดจวนจะปกปิดร่างกายไม่มิดอยู่แล้ว ผัวเมียคู่นั้น ทั้งๆ ที่ตนมีผ้านุ่งอยู่คนละผืน และฝ่ายสามียังโชคดีที่มีผ้าใหม่อยู่อีกหนึ่งผืน แต่เมื่อมีคนมาขอก็อดสงสารไม่ได้ จึงไปเอาผ้าผืนใหม่นั้นให้ขอทานคนนั้นไป พร้อมกับพูดว่า

“ลุงครับ ผมกับเมียเป็นคนจน มีผ้านุ่งใหม่เพียงผืนเดียวนี่แหละ แต่ก็ยังดีกว่าลุง เพราะผมและเมียยังแข็งแรง ทำมาหากินได้ ส่วนลุงแก่แล้ว จะทำอะไรก็คงไม่ได้ ผมยินดีให้ผ้าผืนนี้แก่ลุง ถ้ามีมากกว่านี้ผมยินดีจะให้อีก แต่นี่จนใจจริงๆ มีเพียงเท่านี้เอง”

ชายของทานคนนั้น ยกมือขึ้นไหว้แล้วให้ศีลให้พร พร้อมกับพูดว่า “ลุงก็ไม่มีอะไรจะตอบแทน แต่ลุงมีสิ่งหนึ่งจะมอบให้หลาน เพราะเป็นคนดีโอบอ้อมอารีและเสียสละ ของสิ่งนี้ ลุงเก็บไว้นานแล้ว แต่เวลานี้ลุงเห็นว่าจะเป็นประโยชน์แก่หลาน รับเอาไว้เถอะ เผื่อเป็นบุญของหลาน คงจะค้นหาได้” ว่าแล้วก็ส่งกระดาเก่าๆ ให้ แล้วเดินลับไป

สองผัวเมียรับกระดาแผ่นนั้นมาแล้ว ก็คลี่ออกอ่าน ปรากฏว่า เป็นแผนที่แสดงที่ตั้งของฤาษีหินที่เล่าต่อๆ กันมานั่นเอง สองผัวเมียรู้สึกดีใจเป็นอันมาก จึงจัดแจงหาเสบียงกรังเดินทางไปค้นหาฤาษีหินทันที

ทั้งสองเดินรอนแรมมาในป่าหลายเพลา ผ่านหุบเขาและผาชัน ซึ่งเต็มไปด้วยสิงสาราสัตว์ และไข้ป่า สุดท้ายก็มาถึงสถานที่ตั้งฤาษีหิน ในกลางดงลึก ซึ่งไม่มีใครผ่านไปมาเลยสองผัวเมียจึงจุดเทียนขึ้น ฝ่ายเมียเอาเทียนลนใต้คางฤาษี พอคางฤาษีถูกไฟลน ก็อ้าขึ้น ฝ่ายผัวก็เอามือล้วงลงไปในปากของฤาษี เอาเงินและทองออกมา ทั้งสองดีใจเป็นที่สุด แล้วก็ล้วงอีกต่อไป ขณะที่ล้วงอยู่นั้นบังเอิญลมกรรโชกมาโดยแรง ทำให้เทียนดับวูบลง และปากของฤาษีก็หุบลงทันที และงับเอามือของผัวไว้ด้วย จะดึงเท่าไรก็ไม่หลุดออกมาได้ สองผัวเมียรู้สึกตกใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะไฟที่ติดตัวมาก็หมดลงพอดี ตนไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่าจะเกิดเหตุเช่นนี้ขึ้น จึงไม่ได้ตระเตรียมไฟไว้ เมื่อทำอย่างไรก็ไม่สามารถจะดึงมือออกจากปากฤาษีได้แล้ว ทั้งสองก็ร่ำไห้อาลัยอาวรณ์กันอยู่ตรงนั้นเอง ภายหลังร่ำไห้กันอยู่นานแล้ว ฝ่ายผัวก็พูดขึ้นว่า

“น้องเอย เราต้องเสี่ยงเอา จะมัวร่ำไห้กันอยู่อย่างนี้เห็นทีจะไม่เป็นผล น้องจงกลับไป พบบ้านคนแล้วเอาไฟกลับมา แต่ระยะทางที่ไปนี้หลายวันนักกว่าน้องจะกลับมาพี่อาจจะตายเสียก่อนก็ได้ ไหนๆ จะจากกันแล้ว ขอพี่ชื่นใจน้องสักทีเถิด” ฝ่ายเมียก็เข้ามาโอบกอดผัวแล้วเอียงแก้มให้ผัวจูบ ต่างคนตางจูบล่ำลากัน ขณะนั้น เหมือนฟ้าบันดาล ฤาษีหินซึ่งปราศจากชีวิตจิตใจนั้น ก็หัวเราะก๊ากๆ ขึ้น พร้อมกับพูดว่า

“เออ แกสองคนนี้รักกันจริง และเป็นคนดี โอบอ้อมอารีกับเพื่อนบ้าน ล้วงเงินทองเอาไปอีกเถอะ ข้ามอบให้” สองผัวเมียดีใจเป็นล้นพ้น แล้วช่วยกันล้วงเอาเงินทองออกจากปากฤาษีจนเพียงพอแก่ความต้องการแล้ว ก็ก้มลงกราบฤาษีหิน นำเงินทองกลับมาบ้านกลายเป็นเศรษฐีย่อยๆ ขึ้นครอบครัวหนึ่งในหมู่บ้านนั้น

บางครั้งอนุภาพแห่งความรัก ก็สามารถฟันฝ่าเอาชนะอุปสรรคต่างๆ ได้เหมือนกัน

ที่มา:วิชาภรณ์  แสงมณี