การกำเนิดจากครรภ์

Socail Like & Share

แดนมนุษย์
กำเนิด ๔ ประเภท

บรรดาสัตว์ที่เกิดในโลกมนุษย์นี้ มีการเกิดด้วยกำเนิดทั้ง ๔ ประเภท กำเนิดในครรภ์มีมากกว่ากำเนิดประเภทอื่น การกำเนิด ๓ ประเภทมีปรากฏเป็นบางครั้งเท่านั้น การกำเนิดในครรภ์ของคนทั้งหลายมีดังนี้ หญิงสาวทั้งหลายที่ควรจะมีบุตร บริเวณใต้ท้องน้อยภายในที่จะมีผู้มาเกิดนั้น จะมีก้อนเลือดทารกก้อนหนึ่ง แดงอย่างลูกผักปลัง การกำเนิดมนุษย์เมื่อหญิงนั้นถึงระดูรอบเดือนและมีระดูไหลออกจากท้องแล้ว ต่อจากนั้นไปอีก ๗ วัน จึงนับได้ว่ามีครรภ์ ต่อจากนั้นระดูจะไม่ไหลอีกเลย หญิงยังไม่แก่ชรา อาจมีบุตรได้ทุกคน หญิงที่ไม่มีบุตรเป็นเพราะบาปกรรมของผู้มาเกิด ทำให้เกิดเป็นลมในครรภ์ ลมนั้นพัดถูกสัตว์ที่มาเกิดในครรภ์ทำให้แท้งตายไป บางครั้งมีตัวตืด พยาธิ ไส้เดือน ในครรภ์ ซึ่งกินสัตว์ผู้มาเกิด ทำให้หญิงนั้นไม่มีบุตร

สัตว์เกิดในครรภ์นั้น แรกทีเดียวมีขนาดเล็กมาก เรียกว่า ‘‘กลละ” ซึ่งมีขนาดเหมือนนำผมของมนุษย์มาผ่าออกเป็น ๘ ซีก แต่ละซีกมีขนาดเท่ากับผมของมนุษย์ ในอุตตรกุรุทวีป เมื่อนำเส้นผมของมนุษย์ชาวอุตตรกุรุทวีปเส้นหนึ่งมาชุบนํ้ามันงาอันใสงามมาสลัด ๗ ครั้งแล้วถือไว้ นํ้ามันที่ไหลย้อยลงปลายเส้นผมยังใหญ่กว่า กลละ นั้น หรือเทียบเหมือนขนของเนื้อทรายชื่ออุณาโลม ที่อยู่เชิงเขาหิมพานต์ เส้นขนของ เนื้อทรายนั้นเล็กกว่าเส้นผมชาวอุตตรกุรุทวีป เมื่อนำขนทรายอุณาโลมเส้นหนึ่งชุบนํ้ามันงาที่ใสสะอาดงาม สลัดทิ้ง ๗ ครั้งแล้วถือไว้ นํ้ามันที่หยดลงที่ปลายขนทรายนั้นจึงจะมีขนาดเท่ากลละนั้น

กลละนั้น ใสงามราวกับนํ้ามันงาที่ตักใหม่ งามดังนํ้ามันเปรียงใหม่ ต่อจากนั้นจึงมีธาตุลม ๕ อย่าง ก่อตัวขึ้นพร้อมกันอยู่ในกลละนั้น

เมื่อแรกเกิดเป็นกลละนั้น มีรูป ๘ รูป ได้แก่ รูปดิน รูปนํ้า รูปไฟ รูปลม รูปกายประสาท รูปหญิงหรือชาย รูปหัวใจ และชีวิตรูป (คือสิ่งที่ทำให้มีธาตุ ยืนอยู่ได้) ในบรรดารูปทั้งหมดนี้ เกิดมีชีวิต ๓ รูปก่อน ๓ รูปนี้คือรูปใดบ้าง คือ รูปกาย รูปหญิงหรือชาย และรูปหัวใจ รูปทั้งสามมีบริวารรูปละ ๙ องค์ ได้แก่ รูปใดบ้าง ได้แก่ ดิน นํ้า ไฟ ลม สี กลิ่น รส โอชา ถ้าเป็นบริวารของรูปกาย เมื่อรวมกับรูปกายจะรวมเป็น ๙ ถ้าเป็นบริวารของรูปหญิงหรือชาย เมื่อรวมกับรูปหญิงหรือชาย จะรวมเป็น ๙ และถ้าเป็นบริวารของรูปหัวใจเมื่อรวมกับรูปหัวใจ จะรวมเป็น ๙ กลุ่มองค์ ๙ ทั้ง ๓ กลุ่มนี้ รวมกับชีวิตรูป จะได้กลุ่มรูป ๑๐ จำนวน ๓ กลุ่ม เกิดมีขึ้นพร้อมกัน ตั้งแต่แรกมีการเกิดในครรภ์

บรรดาสัตว์ที่เกิดในครรภ์มารดา แรกทีเดียวมีขนาดดังกล่าวแล้ว ตา หู จมูก ลิ้น รวม ๔ รูปนี้ จึงเกิดเป็นลำดับต่อมา รูปเหล่านี้เกิดจากกรรม ต้องมีปฏิสนธิจึงเกิด (ต่อจากนั้นเกิดรูปอาหาร ต้องมีอาหารที่แม่กินจึงเกิด เกิดหลังจากเกิดรูป ๒ กลุ่ม ดังกล่าวแล้ว) เมื่อเกิดรูปใจซึ่งอาศัยจิตดวงที่ ๒ มาเกิด จะเกิดรูป ๘ รูป ชื่อ “กลุ่มรูปที่มีจิตเป็นสมุฏฐาน(ที่เกิด)” เมื่อเกิดรูปซึ่งเกิดจากฤดู เป็นรูปซึ่งอาศัยการดำรงอยู่ จะเกิดรูป ๘ รูปขึ้น ชื่อ “กลุ่มรูปที่มีฤดูเป็นสมุฏฐาน” เมื่อเกิดรูปอาหารซึ่งอาศัยโอชารสที่มารดากินข้าวนํ้านั้น จะเกิดรูป ๘ รูป ชื่อ “กลุ่มรูปที่มีอาหารเป็นสมุฏฐาน”

รูปที่จะเกิดเป็นชายก็ดี หญิงก็ดี เกิดตั้งแต่แรกเป็นกลละ แล้วโตขึ้น วันละเล็กละน้อย ครั้นถึง ๗ วัน เป็นดังนํ้าล้างเนื้อเรียกว่า “อัมพุทะ” อัมพุทะ โตขึ้นทุกวัน เมื่อถึง ๗ วัน ข้นดังตะกั่วเชื่อมอยู่ในหม้อเรียกว่า “เปสิ” เปสินั้นโตขึ้นทุกวัน เมื่อถึง ๗ วัน แข็งเป็นก้อนเหมือนไข่ไก่เรียกว่า “ฆนะ” ฆนะนั้น โตขึ้นทุกวัน เมื่อถึง ๗ วัน เป็นตุ่มออกได้ ๕ แห่งเหมือนหูดเรียกว่า “ปัญจสาขา” หูดนั้นเป็นมือ ๒ ข้าง เป็นเท้า ๒ ข้าง เป็นศีรษะอันหนึ่ง ต่อจากนั้นไปโตขึ้นทุกวัน เมื่อถึง ๗ วัน เป็นฝ่ามือ เป็นนิ้วมือ ต่อจากนั้นไปเมื่อถึง ๗ วัน ครบ ๔๒ วัน จึงเป็นผม เป็นขน เป็นเล็บมือ เล็บเท้า ครบอวัยวะเป็นมนุษย์ทุกประการ

รูปของสัตว์เกิดในครรภ์มี ๑๘๔ รูป คือ ส่วนกลาง (ตั้งแต่คอถึงสะดือ) มี ๕๐ รูป รูปส่วนบน (ตั้งแต่คอถึงศีรษะ) มี ๘๔ รูป รูปส่วนเบื้องตํ่า (ตั้งแต่สะดือถึงฝ่าเท้า) มี ๕๐ รูป สัตว์เกิดในครรภ์นั่งอยู่กลางท้องมารดาหันหลังมาติดหนังท้องมารดา อาหารที่มารดารับประทานเข้าไปก่อน จะอยู่ใต้สัตว์เกิดในครรภ์ ส่วนอาหารที่มารดารับประทานเข้าไปใหม่ จะอยู่บนสัตว์เกิดในครรภ์ สัตว์เกิดในครรภ์มีความลำบากอย่างยิ่ง น่าเกลียด น่าเบื่อหน่ายเหลือประมาณ ทั้งชื้นสกปรกมีกลิ่นเหม็น ตัวตืดและพยาธิไส้เดือน ๘๐ ตระกูลที่อาศัยปนกันอยู่ในท้องมารดา ถ่ายอุจจาระ ถ่ายปัสสาวะในท้องมารดานั้น ท้องมารดาของสัตว์ที่เกิดในครรภ์เป็นที่คลอดลูก เป็นที่เกิด เป็นที่แก่ เป็นที่ตาย เป็นป่าช้า ของพยาธิเหล่านั้น เหล่าตัวตืดและพยาธิไส้เดือนเหล่านั้นได้ชอนไชสัตว์เกิด ในครรภ์นั้นเหมือนหนอนที่อยู่ในปลาเน่า และในอาจมนั้น สายสะดือของสัตว์เกิดในครรภ์ กลวงดังสายบัวอุบล ปากสะดือกลวงขึ้นไปเบื้องบนติดหลังท้องมารดา ข้าว นํ้า อาหาร และโอชารสที่มารดากินเข้าไป เป็นนํ้าชุ่มซึมเข้าไปตามสายสะดือในท้องสัตว์ที่เกิดในครรภ์ทีละน้อยๆ สัตว์ที่เกิดในครรภ์ได้กินอาหารดังกล่าวทุกวัน ทุกเช้าเย็น อาหารเข้าไปอยู่เหนือศีรษะกับศีรษะสัตว์เกิดนั้น สัตว์เกิดนั้นได้รับทุกข์มากนัก สัตว์เกิดนั้นจะอยู่เหนืออาหารที่มารดากินเข้าไปก่อน เบื้องหลังสัตว์นั้นติดกับหนังท้องมารดา นั่งยองๆ อยู่ กำมือ ทั้ง ๒ ไว้ที่หัวเข่า คู้หัวเข่าทั้งสอง เอาศีรษะไว้เหนือหัวเข่า ขณะนั่งอยู่เลือด และน้ำเหลืองหยดลงเต็มตัวทีละหยดทุกเมื่อ เหมือนลิงเมื่อฝนตกนั่งกำมือซบเซาอยู่ในโพรงไม้นั้น ในท้องมารดานั้นร้อนรุมนักหนาดุจดังคนเอาใบตองไปจุด ไฟเผาและต้มนํ้าในหม้ออาหารทุกสิ่งที่มารดากินเข้าไปถูกเผาไหม้และย่อย ส่วนสัตว์ที่เกิดในครรภ์ ไฟธาตุไม่ไหม้ เพราะบุญของสัตว์ที่เกิดในครรภ์จะเกิดเป็นมนุษย์ จะไม่ไหม้และไม่ตายเพราะเหตุนั้น อนึ่ง สัตว์ที่เกิดในครรภ์ไม่หายใจเข้าหายใจออกเลย ไม่ได้เหยียดมือและเท้าออกเช่นเราท่านทั้งหลายนี้ แม้แต่ครั้งเดียว ต้องเจ็บปวดตนเหมือนถูกขังไว้ในไหที่คับแคบมาก คับแค้นใจ และเดือดร้อนใจอย่างยิ่ง ไม่ได้เหยียดมือและเท้าเหมือนถูกขังในที่แคบ เมื่อมารดาเดินก็ดี นอนก็ดี ลุกขึ้นก็ดี สัตว์ที่เกิดในครรภ์จะเจ็บปวดประหนึ่งว่าจะตายเหมือนลูกเนื้อทรายคลอดใหม่ตกอยู่ในมือคนเมาเหล้า ถ้าไม่เช่นนั้นก็เป็นเหมือนดังลูกงูที่หมองูเอาไปเล่น นับว่าได้รับความทุกข์ลำบากใจนักหนา ไม่ได้ลำบากเพียง ๒ วัน ๓ วัน แล้วจะพ้นความลำบาก ต้องอยู่ยากลำบาก ๗ เดือน บางคราว ๘ เดือน บางคราว ๙ เดือน บางคราว ๑๐ เดือน บางคน ๑๑ เดือน บางคนครบหนึ่งปีจึงคลอดก็มี

ผู้ที่อยู่ในท้องมารดาได้ ๖ เดือน และคลอดออกมา ไม่อาจจะมีชีวิตอยู่ได้ ผู้ที่อยู่ในท้องมารดา ๗ เดือน คลอดออกมา แม้ว่าจะเลี้ยงเป็นคนได้ ก็ไม่ได้เติบโตกล้าแข็งทนแดดทนฝนไม่ได้ ผู้ที่จากนรกมาเกิด เมื่อคลอดออกมาตัวร้อน เมื่อสัตว์นั้นอยู่ในท้องมารดาจะเดือดร้อนใจและหิวกระหาย เนื้อมารดานั้นก็พลอยร้อนไปด้วย ผู้ที่จากสวรรค์ลงมาเกิดเมื่อจะคลอดออก เนื้อตนสัตว์ที่เกิดนั้นเย็น เย็นกาย เย็นใจ เมื่ออยู่ในท้องมารดา ก็อยู่เย็นเป็นสุขสำราญบานใจ เนื้อกายมารดาก็เย็นด้วย เมื่อถึงเวลาจะคลอด จะมีลมในท้องมารดา พัดผันตน สัตว์ที่เกิดให้ขึ้นเบื้องบนให้ศีรษะลงเบื้องตํ่าสู่ที่จะคลอด เหมือนเหล่าสัตว์นรกถูกยมบาลจับเท้าหย่อนศีรษะลงในขุมนรกที่ลึกร้อยวา สัตว์ที่เกิดนั้น เมื่อจะคลอดออกจากท้องมารดาออกมายังไม่ทันหลุดพ้น ตัวจะเย็นเจ็บปวดยิ่งนัก ประดุจดังช้างสารที่คนชักเข็นออกจากประตูขนาดเล็กและคับแคบ ออกยากลำบากยิ่งนัก หรือเปรียบเหมือนดังสัตว์นรกถูกภูเขาคังไคยหีบบดขยี้นั่นเอง ครั้นคลอดออกจากท้องมารดาแล้ว ลมในท้องของสัตว์ที่เกิดนั้นจะพัดออกก่อน ลมภายนอกจึงพัดเข้า เมื่อพัดเข้าถึงลิ้นสัตว์ที่เกิดจึงหยุด เมื่อออกจากท้องมารดาแล้ว นับแต่นั้นไปสัตว์ที่เกิดจึงรู้จักหายใจเข้าออก ถ้าสัตว์ที่เกิดมาแต่นรก หรือมาจากเปรต จะคิดถึงความทุกข์ลำบาก เมื่อคลอดออกมาจะร้องไห้ ถ้าสัตว์ที่เกิดมาแต่สวรรค์ เมื่อคิดถึงความสุขในหนหลัง ครั้นคลอดออกมาแล้วจะหัวเราะก่อน แต่มนุษย์ผู้อยู่ในโลกนี้หรือในจักรวาลอื่นๆ เมื่อแรกเกิดในครรภ์มารดาก็ดี ระหว่างอยู่ในครรภ์มารดาก็ดี เมื่อคลอดออกจากครรภ์มารดาก็ดี ในกาลทั้ง ๓ นี้ จะหลงลืมไม่รู้ตัวในสิ่งใดสิ่งหนึ่งแม้แต่สิ่งเดียวเลย

ผู้จะมาเกิดเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าก็ดี เป็นพระอรหันตขีณาสพก็ดี และเป็นพระอัครสาวกก็ดี เมื่อแรกมาเกิดในครรภ์มารดาก็ดี ระหว่างอยู่ในครรภ์มารดาก็ดี ทั้ง ๒ ระยะย่อมไม่หลงและคำนึงรู้อยู่ทุกสิ่ง เมื่อจะคลอดจากครรภ์มารดา ถูกลมกรรมชวาต คือ ลมเบ่งพัดผันให้ศีรษะลงสู่ที่คลอดซึ่งเบียดตัวแอ่นยันมาสู่ที่จะคลอด ได้รับความเจ็บปวดตนลำบากนักดังกล่าวมาแต่ก่อน และพลิกศีรษะลงโดยไม่รู้สึกตัว ไม่เหมือนผู้จะมาเกิดเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า หรือผู้จะมาเกิดเป็นโอรสของพระพุทธเจ้า จะรู้สึกตน ไม่ลืมตน ในเวลาทั้ง ๒ นี้ คือเมื่อแรกเกิดในครรภ์มารดาและระหว่างอยู่ในครรภ์มารดา แต่เมื่อจะคลอดจากครรภ์มารดาจะหลงเหมือนมนุษย์ทั้งหลาย ส่วนมนุษย์ทั้งหลายนี้ จะหลงลืม ทั้ง ๓ กาล ฉะนั้น ควรเบื่อหน่ายสงสารนี้

พระโพธิสัตว์ ในชาติที่จะลงมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า เมื่อแรกกำเนิด ก็ดี ระหว่างอยู่ในพระครรภ์พระมารดาก็ดี และขณะจะประสูติจากพระครรภ์พระมารดาก็ดี จะไม่หลงลืมแม้ครั้งเดียว จะระลึกรู้ทุกประการ เมื่อพระโพธิสัตว์ประทับอยู่ในพระครรภ์พระมารดา จะไม่เหมือนมนุษย์ทั้งหลาย เบื้องหลังพระโพธิสัตว์ติดกับหลังพระครรภ์พระมารดาประทับนั่งสมาธิดังนักปราชญ์ผู้สง่างามนั่งแสดงธรรมบนธรรมาสน์ มีพระวรกายเรืองงามดังทอง เห็นแสงรังรองเหมือนกับจะเสด็จออกมาภายนอกพระครรภ์พระมารดา พระโพธิสัตว์ก็ดี มนุษย์อื่นๆ ก็ดี จะเห็นพระโพธิสัตว์รุ่งเรืองงามดังเอาไหมแดงมาร้อยแก้วขาวฉะนั้น เมื่อพระโพธิสัตว์จะเสด็จออกจากพระครรภ์พระมารดา ลมอันเป็นบุญมิได้พัดผันพระเศียรลงเบื้องตํ่า และพัดพระบาทขึ้นเบื้องบนเหมือนมนุษย์ ทั้งหลาย พระองค์ทรงเหยียดพระบาทออก และเมื่อจะเสด็จออกจากพระครรภ์ จะทรงลุกขึ้นแล้วจึงเสด็จออกจากพระครรภ์พระมารดา อนึ่ง เมื่อครั้งพระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นมนุษย์ในหลายๆ ชาติ จะเป็นประดุจครั้งเสวยพระชาติ เป็นพระโพธิสัตว์ในชาติสุดท้าย ซึ่งได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้านี้ ไม่เคยมีในชาติก่อนๆ ที่ล่วงมาแล้ว มีสภาพเป็นปกติธรรมดาเหมือนคนทั้งหลายทั้งปวง เมื่อพระโพธิสัตว์เสด็จเข้าสู่พระครรภ์พระมารดาก็ดี เมื่อประสูติก็ดีจะเกิดแผ่นดินไหวทั่วหมื่นจักรวาล นํ้าอันรองแผ่นดินก็ไหว นํ้าในมหาสมุทรเกิดคลื่นฟูมฟอง ภูเขาพระสุเมรุก็หวั่นไหวด้วยบุญญาธิการของพระโพธิสัตว์ พระผู้จะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้านั้น

มนุษย์ทั้งหลายในโลกนี้ก็ดี พระโพธิสัตว์ก็ดี สัตว์ดิรัจฉานทั้งหลายก็ดี ครั้นคลอดออกจากท้องของมารดาแล้ว จะได้ดูดกินโลหิตในอกมารดาที่กลายมาเป็นนํ้านมไหลออกจากอกมารดาด้วยความรักลูกนั้น สิ่งนี้เป็นธรรมดาวิสัยของโลกทั้งหลาย

มนุษย์ทั้งหลายเจริญวัยโดยลำดับโดยอาศัยบิดามารดา เมื่อบิดามารดา พูดภาษาใดๆ ก็ดี บุตรธิดาได้ยินบิดามารดาพูดภาษานั้นๆ ก็จะพูดภาษานั้นๆ ตามบิดามารดา ถ้าบุตรธิดาเจริญเติบโตใหญ่กล้าแข็งแรงไม่รู้ภาษาใดๆ เลย บุตรธิดาก็จะพูดภาษาบาลีตามที่ท่านว่าไว้ เมื่ออายุ ๑๖ ปี จึงหย่านม

คณะทำงานโครงการวรรณกรรมอาเซียน