สุคติ สวรรค์ ทุคติ นรก

Socail Like & Share

คนยุคใหม่ทุกวันนี้พอพูดถึงเรื่องนรกสวรรค์ สุคติ ทุคติ กรรม ก็ยิ้มอย่างเย้ยหยัน ทั้งๆ ที่ตนเองยังไม่เข้าใจ แต่ตนเองนึกว่าตนเข้าใจ นักเผยแพร่บางท่านก็ไม่กล้าพูด เพราะตนเองก็ไม่แน่ใจ หรือเกรงผู้ฟังจะหาว่าพูดเรื่องเหลวไหลไม่ทันสมัย นำเรื่องที่มองไม่เห็นมาพูด แล้วผลเป็นอย่างไร ผลก็คือคนยุคนี้ เกรงบาป กลังผลของการทำชั่วน้อยเต็มที แต่กลับดูหมิ่นเรื่องความดีความชั่ว พูดจาบจ้วงเรื่องสุคติ ทุคติ มากกว่าแต่ก่อน เป็นผลให้สังคมทุกระดับปั่นป่วน ปกครองยาก พูดยาก ว่ากล่าวตักเตือนยาก มีความเห็นชั่วเป็นดี เช่น เห็นว่าข่มเหงเขาได้ ทำร้ายเขาได้เป็นของดี แสดงว่าตัวเป็นคนเก่ง ลักเขา จี้เขา โกงเขาได้เป็นของดี เพราะรวยทางลัด ประพฤติผิดทางเพศเป็นของดี เพราะแสดงว่าตัวเป็นคนมีเสน่ห์ดี ปดหลอกลวงเขาเป็นของดี เพราะแสดงว่าตัวมีวาทศิลป์เยี่ยม การดื่มเครื่องดองของเมามากเป็นของดี เพราะแสดงว่าตัวคอแข็ง มีเงิน รวย คนบางพวกหากินจากความชั่วอย่างสง่าผ่าเผย สังคมปัจจุบันนี้มักให้ความสำคัญแก่คนร่ำรวน ต้อนรับคนร่ำรวนโดยไม่คำนึงว่าจะร่ำรวยมาจากพฤติกรรมเลวดีอย่างไร ขอให้รวยก็ใช้ได้ ผิดกว่าแต่ก่อนซึ่งสังคมครั้งนั้นรังเกียจคนโกง ไม่ต้อนรับคนรวยเพราะทุจริตกรรม คนยุคก่อนได้ยินหรือเห็นรูป เรื่องสุคติ ทุคติ นรก สวรรค์ อยู่เสมอตั้งแต่เล็ก ขอโตขึ้นแม้ตนจะไม่เชื่อ แต่ก็เกิดความหวาดเกรงผลของความชั่วฝังอยู่ในใจ ไม่ค่อยกล้าทำความชั่วเต็มที่ จะทำก็ทำอย่างมีการยั้งมือ และพอใจในการทำความดี เผื่อเอาไว้ ผลก็คือสังคมทุกระดับมีความเรียบร้อยสงบสุขกว่าทุกวันนี้ สันดานคนนั้นลำพังกฎหมายอย่างเดียวยังไม่พอให้คนเกรงกลัวได้มาก คนเกรงกลัวสิ่งลี้ลับมากกว่า บางท่านอาจกล่าวว่าที่สังคมยุคนี้เป็นอย่างนั้นเป็นเพราะเหตุ คือ คนเกิดมากและปัญหาเรื่องเศรษฐกิจ เป็นต้น นั่นก็เป็นความเห็นที่มีเหตุผลดีอย่างหนึ่ง

แต่ความเห็นที่กล่าวมานี้ก็เป็นความเห็นอย่างหนึ่ง ใครจะเห็นด้วยหรือไม่ นั่นเป็นสิทธิ์ของแต่ละคน แต่ความจริงก็คือคนยุคก่อนเกรงผลของความชั่ว เกรงนรก สังคมครั้งนั้นมีความยุ่งยากน้อย พูดกันง่าย แต่ยุคนี้ซึ่งเป็นยุคที่ถือว่าเรื่อง นรก สวรรค์ เป็นเรื่องเหลวไหล มองไม่เห็น ไม่น่าเชื่อ เป็นเรื่องโง่เง่างมงาย เลยไม่หวั่นเกรงผลของความชั่ว และสังคมในยุคนี้เป็นอย่างไรบ้าง

สิ่งที่เรามองไม่เห็นจะว่าไม่มี หรือจะว่าเป็นเรื่องเหลวไหลไปทั้งหมดนั้นย่อมไม่ได้ บางอย่างมีแต่มองไม่เห็น และก็รู้ว่ามี

บางท่านอาจนึกว่า ถ้าเกิดศึกสงคราม ชาวพุทธจะไม่สามารถทำการสู้รบป้องกันเอกราชได้ เพราะการฆ่าเป็นบาปเป็นความชั่ว

ข้อนี้ขอชี้แจงว่า เรื่องชั่ว เรื่องดีนั้น เมื่อทำดีแล้วก็ต้องเป็นความดี เมื่อทำชั่วก็ต้องเป็นความชั่ว ผู้ใหญ่ในครั้งก่อนนั้นที่ท่านเป็นนักรบ เป็นแม่ทัพ สั่งให้ทหารฆ่าข้าศึก ตนเองก็ฆ่าด้วย ท่านก็รู้ว่าเป็นการทำบาป และยอมรับ แต่คิดว่าเป็นการทำเพื่อแผ่นดิน เพื่อความสุขของผู้อื่นในแผ่นดินไทย เป็นหน้าที่ เป็นการรักษาชาติบ้านเมือง พระศาสนา และพระมหากษัตริย์ ถ้าชาติสิ้น ศาสนาก็อยู่ไม่ได้ บาปก็บาป ยอมรับว่าเป็นบาป แต่ในศีล ๔ ข้อนั้นท่านละเมิดบางข้อ ส่วนบางข้อท่านรักษาอย่างเคร่งครัด เช่นข้อ ๔ ท่านจึงมีศีลเหมือนกัน นอกจากนั้น ท่านยังบำเพ็ญธรรม เช่น บริจาคทานแก่ผู้อื่นด้วย และเมื่อกลับจากการทำสงครามแล้ว ก็บำเพ็ญบุญกุศลเป็นการเป็นงาน เพื่ออุทิศส่วนกุศลไปให้ผู้ที่ตายที่เป็นคนของตนบ้าง ให้ข้าศึกที่ถูกฆ่าบ้าง เช่น ท่านเจ้าพระยาบดินทร์ฯ(สิงห์) บูรณะวัดจักวรรดิ์ฯ

ที่กล่าวมานี้เป็นแต่ข้อคิดเห็นเท่านั้น ใครไม่สนใจก็ผ่านไปหาเรื่องที่น่าสนใจอื่น ซึ่งยังมีอีกมาก

ในพระไตรปิฎก เช่น ในอังคุตตรนิกาย เมื่อกล่าวถึงคนทำความดีความชั่วอย่างนั้นๆ แล้ว ก็มีข้อความว่า กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคติ สคฺคํ โลกํ อุปปชฺชติ แปลว่า ตายไปแล้วย่อมเข้าถึง สุคติโลกสวรรค์(สคฺค เป็นภาษามคธ สวรฺค เป็นภาษาสันสกฤต ซึ่งไทยนำมาใช้ว่าสวรรค์)

และว่า กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อปายํ ทุคฺคติ วินิปาตํ นิรยํ อุปปชฺชติ แปลว่า ตายแล้วย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ในพระไตรปิฎกมีข้อความอย่างนี้เสมอเมื่อกล่าวถึงผู้ทำดีทำชั่ว

สวรรค์ แปลว่า แดนที่มีอารมณ์ดีเลิศ สุคติ แปลว่า ภูมิเป็นที่ไปดี

นิรย แปลว่า แดนที่ไร้ความเจริญ(ใจ) ในภาษาไทยหมายถึง นรก ทุคติ แปลว่า ภูมิเป็นที่ไปเลว

ในสฬายตนวรรค สังยุตตนิกาย พระพุทธองค์ทรงแสดงว่า การที่ได้เห็นรูปที่พอตา ฟังเสียงที่พอหู ดมกลิ่นที่พอจมูก ลิ้มรสที่ต้องลิ้น และสัมผัสที่สบายกาย อารมณ์ที่ต้องใจ นั่นคือสวรรค์ เพราะมีสิ่งที่พอหรือถูก หรือต้องตาเป็นต้น ทำให้เกิดสุขใจ และโดยนัยตรงกันข้าม นรกย่อมเป็นอีกอย่างหนึ่ง สวรรค์ในที่นี้หมายถึงแดนมีอารมณ์ดีเลิศ ที่เห็นที่รู้ได้ง่ายสำหรับคนทั่วไป

ดังนั้น จึงอาจสรุปได้ว่า สวรรค์ นรก อาจมีได้ ๓ ระดับ คือ อย่างใกล้ที่สุด ได้แก่ ที่ตัวเรา กล่าวคือ เมื่อเราได้เห็นรูปเป็นที่ต้องตาต้องใจแล้ว รู้สึกเป็นสุขใจ เมื่อนั้นก็เท่ากับว่าขึ้นสวรรค์ ส่วนนรกย่อมเป็นไปโดยนัยตรงกันข้าม

ระดับสอง ห่างออกจากตัว แต่ยังอยู่ในโลกนี้ คือ ให้ดูคนในระดับต่างๆ เช่น พระมหากษัตริย์ ซึ่งเท่ากับชาวสวรรค์ในโลกนี้ คนที่ถูกจองจำอยู่ในคุกตะราง ได้รับความทุกข์ทรมาน หรือคนเจ็บไข้เป็นโรคภัยร้องครวญคราง เป็นต้น ซึ่งเท่ากับเป็นชาวนรกในโลกนี้เหมือนกัน คือที่ไหนมีภาวะที่ไม่น่าเจริญตาเจริญใจ มีแต่ความทุกข์ทรมาน ที่นั่นก็เป็นดุจนรก ส่วนสวรรค์ก็เป็นไปโดยนัยตรงกันข้าม

ระดับสาม ทางพระพุทธศาสนากล่าวว่า จักรวาลนั้นมีมากเหลือคณานับ ทางภูมิศาสตร์ก็บอกว่าจักรวาลมีมากเหลือจะนับ และจักรวาลหนึ่งๆ ประกอบด้วยขุมแห่งความร้อน ซึ่งสมมติเรียกว่า ดวงอาทิตย์อันเป็นจุดรวม มีดาวฤกษ์ซึ่งยังไม่ดับ กับดาวนพเคราะห์ซึ่งเป็นดาวที่ดับแล้ว รวมเป็นจักรวาลหนึ่ง โลกเราก็เป็นดาวนพเคราะห์ดวงหนึ่งรวมอยู่ในสุริยจักรวาลนี้ และมนุษย์มิใช่มีแต่ในโลกเรานี้เท่านั้น อาจมีที่ดวงดาวอื่นๆ ที่จักรวาลอื่นอีก และที่นั้นอาจมีความเจริญสูงกว่าโลกเรา หรือทุกข์ยากกว่า ร้อนกว่า เย็นกว่าโลกเราก็คงมี ถ้าเราไปเกิดที่โลกร้อนก็เท่ากับว่าตกนรกร้อน ถ้าเราไปเกิดที่โลกซึ่งมีการปกครองด้อย มีการบีบบังคับรุนแรงเต็มไปด้วยการลงโทษรุนแรงในรูปต่างๆ หรือมีความเป็นอยู่ลำบากยิ่งกว่าสัตว์ เมื่อเราไปเกิดที่นั่นก็เท่ากับเราตกนรกขุมนั้นๆ ถ้าเราไปเกิดที่โลกซึ่งมีความเจริญมาก เวลาเกิดก็โตทันที โดยออกมาจากหลอดแก้ว เพราะเกิดจากการผสมและเลี้ยงในหลอดแก้วจนโต แล้วกินอาหารทิพย์ คือแค็ปซูลเพียงครั้งเดียวก็พอไปจนตายหรือจุติ(เช่นเดียวกับคนเดินทางไปโลกพระจันทร์ กินแค็ปซูลเป็นอาหารแล้วไม่ต้องกินอาหารอย่างคนทั่วไป) เมื่อไม่มีปัญหาเรื่องอาหาร ครัว ห้องน้ำ ก็ไม่ต้องมี เศษอาหารที่เป็นขุมแห่งความสกปรกเน่าเหม็นก็ไม่มี กลิ่นตัวก็ไม่มี บ้านเมืองสวยงามสะอาด หอมไปด้วยกลิ่นดอกไม้ เมื่อหมดเรื่องอาหาร ปัญหาอื่นก็ไม่ค่อยมี ไม่มีขโมย เพราะต้องการอะไรก็มีทุกคน มีความรู้จักพอ โรคภัยก็ไม่มีเพราะการแพทย์เจริญมาก คนที่นั้นจะตายก็เพราะความเจ็บไข้ที่เยียวยาไม่ได้ คือเพราะโรคหัวใจ และโรคทางเส้นเลือด เวลาตายก็ปุบปับตาย ก่อนตายมีอาการผิดปกตินิดหน่อย ดุจเทวดาจะจุติก็มีอาการผิดปกตินิดหน่อย เช่น เหงื่อออก การปกครองในที่นั้นก็เป็นไปแบบพ่อปกครองลูก มีแต่ความเมตตา กรุณา (ไม่มีการบีบบังคับลงโทษ) ดุจเป็นเทพบุตร เทพธิดา เราไปเกิดในที่นั่นก็เท่ากับว่า เกิดในสวรรค์นั่นเอง

ในเรื่องนี้มีข้อความในนิทานวรรค สังยุตตนิกายที่ควรนำมากล่าวเพื่อประกอบการพิจารณาตามควร ความไทยว่า สัตว์ทั้งหลาย ผู้ถูกความไม่รู้ปิด ถูกตัณหาผูกมัด ย่อมท่องเที่ยวไป บางครั้งไปโลกอื่นจากโลกนี้ บางครั้งก็มาโลกนี้จากโลกอื่น การเวียนว่ายตายเกิดนี้ไม่มีใครรู้ที่สุด ไม่ปรากฏเบื้องต้นเบื้องปลาย

การยอมรับเรื่องสุคติ ทุคตินี้ เป็นการดีมากกว่าเลว เพราะทำให้คนทำดีมากกว่าทำเลว ทำให้เกิดผลดีแก่ตนและแก่ส่วนรวมมากกว่า การปฏิเสธเรื่องนี้นั้น เท่ากับปฏิเสธการบำเพ็ญบารมี คือ เหตุให้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของพระพุทธองค์ ปฏิเสธเรื่องกรรมในชาติก่อน ผลของกรรม เรื่องบุพเพนิวาสานุสสติญาณ และเรื่องอื่นๆ อีกมาก ขอให้พิจารณาให้ดี อย่าให้ความฉลาดและเรื่องอื่นๆ อีกมาก ขอให้พิจารณาให้ดี อย่าให้ความฉลาดมาทำลายความเฉลียว

ความเห็นนี้เป็นเรื่องเฉพาะตัว ใครจะเห็นด้วยหรือไม่ก็ไม่เป็นไร ใครจะเชื่อหรือไม่ก็เป็นสิทธิของแต่ละคน ถ้าเห็นด้วยจะเห็นด้วยระดับไหนก็แล้วแต่ใจ เมื่อพอใจระดับไหนก็ไม่ควรจะไปว่าระดับอื่นว่าไม่จริง หรือเหลวไหลงมงาย เพราะการจะตัดสินว่าเรื่องนั้นจริง เรื่องนี้เท็จนั้นไม่ใชเรื่องของเราคนเดียว และแต่ละเรื่องต่างก็มีความจริงอยู่ในตัวของเรื่องนั้นเอง

ที่มา: จากหนังสือเรื่อง 1 ใน 84000 ของ สภาการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัย มหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนา