มนุษย์ยุคต่างๆ

Socail Like & Share

เมื่อพูดถึงคนทำให้นึกถึงปัญหาที่ว่าเมื่อแรกเริ่มเดิมที่นั้น คนเกิดขึ้นมาได้อย่าง ไรในทางศาสนาเช่นศาสนาพราหมณ์ คริสต์ และอิสลาม ถือว่าสรรพสิ่งทั้งหลายในโลกนี้ พระผู้เป็นเจ้าเป็นผู้สร้างขึ้น ในทางพระพุทธศาสนาไม่ได้ถือว่ามีผู้สร้างมนุษย์ หรือสัตว์ขึ้นอย่างศาสนาอื่น แต่ให้หลักไว้ว่าตราบใดที่คนเรายังถูกห่อหุ้มด้วยอวิชชาคือความไม่รู้ คนเราก็ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสารตราบนั้นมนุษย์ยุคต่างๆ

ในทางธรรมชาติวิทยา นักปราชญ์บางคน เช่น ชาร์ล ดาร์วิน ได้แสดงความเห็นไว้ว่า แรกเริ่มเดิมทีสัตว์ต่างๆ ได้วิวัฒนาการมาจากสัตว์ชั้นต่ำแล้วค่อยๆ เปลี่ยนแปลงมาตามลำดับตามสภาพแวดล้อมของธรรมชาติโดยเฉพาะมนุษย์หรือคนนั้น ชาร์ล ดาร์วิน เชื่อว่าวิวัฒนาการมาจากลิง ทฤษฎีหรือความเห็นของชาร์ล ดาร์วิน นี้มีผู้คัดค้านกันมากไม่ยอมรับนับถือว่าบรรพบุรุษของมนุษย์เราวิวัฒนาการมาจากลิง และมีนักคิดบางท่านให้ความเห็นว่า มนุษย์เราก็วิวัฒนาการมาอย่างเดียวกับสัตว์อื่นๆ แค่ไม่ใช่สืบเชื้อสายมาจากลิงอย่าง ชาร์ล ดาร์วินว่า เพราะถ้าคนมาจากลิงแล้ว เหตุไฉนลิงทุกวันนี้จึงไม่กลายเป็นคนเล่า มันเป็นลิงอยู่อย่างไร ลูกหลานของมันก็ยังเป็นลิงอยู่อย่างนั้น

มนุษย์เราเริ่มมีครั้งแรกในโลกเมื่อไร ปัญหาข้อนี้ ถ้าถือตามคติทางพุทธศาสนาแล้ว เป็นเรื่องอจินไตย คือไม่ควรจะคิด เพราะคิดก็เสียเวลาเปล่า ไม่ได้ประโยชน์อะไร เกี่ยวกับการดำเนินชีวิต หรือความทุกข์ความสุขของมนุษย์เลย แต่ก็มีความอีกหลายอย่างที่รู้ไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบกหาม มนุษย์เราจึงค้นคว้าเรื่องนี้ตลอดมา

นับแต่สมัยโบราณดึกดำบรรพ์นานมาแล้ว ที่คนเราพากันคิดถึงกำเนิดของมนุษย์ว่ามีมาแต่เมื่อไร โดยเฉพาะในคัมภีร์ต่างๆ ของศาสนาพราหมณ์ ได้กล่าวถึงเรื่องสร้างโลกสร้างมนุษย์ไว้พิศดารมาก จนดูเหมือนจะเฝือไป ในหนังสือนารายย์สิบปาง พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ได้ตรัสถึงการแบ่งยุคของโลกมนุษย์ไว้ว่ามีอยู่ ๔ ยุค ดังจะขออัญเชิญพระราชนิพนธ์ตอนนี้มาดังนี้

“ยุคมี ๔ ซึ่งรวมกันเป็นเวลาหมื่นสองพัปีสวรรค์. ๑ ปีมนุษย์เท่า ๑ วันสวรรค์ และ๑ ปีคิดเป็น ๓๖o วัน (ตามตำหรับ) ฉะนั้น กำหนดแห่งยุคต่างๆ จึงมีดังต่อไปนี้

กฤตะยุค – ๔,๘๐๐ ปีสวรรค์ – ๑,๗๒๘,๐๐๐ ปีมนุษย์
ไตรดายุค – ๓,๖๐๐ ปีสวรรค์ – ๑,๒๙๖,๐๐๐ ปีมนุษย์
ทวาบรยุค – ๒,๔๐๐ ปีสวรรค์ – ๘๖๔,๐๐๐ ปีมนุษย์
กลียุค – ๑,๒๐๐ ปีสวรรค์ – ๔๓๒,๐๐๐ ปีมนุษย์

สี่ยุคที่กล่าวนี้รวมกันเป็น ๑ มหายุค คือ ๑๒,๐๐๐ ปีสวรรค์ หรือคิดเป็นปีมนุษย์ ๔,๓๒๐,๐๐๐ ปี ๑,๐๐๐ มหายุค เป็น ๑ วันของพระพรหมา และคืนของพระพรหมาก็ยาวเท่ากัน วันของ พระพรหมาเรียกว่า “กัลป”

ในกัลป ๑ มีพระมนูบังเกิด ๑๔ องค์ และสมัยของพระมนูเรียกว่า “มานวัตร” ในกัลปของเรานี้ได้มีพระมนูเกิดมาแล้ว ๒ องค์ ในกาลบัดนี้เรายังอยู่ในมานวัตรของพระมนูองค์ ที่ ๗ ทรงพระนามว่าไววัสวัต พระมนูไววัสวัตเป็นลูกของพระวิวัสวัตคือพระอาทิตย์ ที่ว่ามาทั้งหมดนี้เป็นเรื่องของศาสนาพราหมณ์

ในทางภูมิศาสตร์ปัจจุบันเราเชื่อกันว่า โลกเรานี้แตกมาจากดวงอาทิตย์แล้วมาลอยเควงคว้างอยู่ต่างหาก เมื่อเป็นดังนี้ ก็น่าจะลงรอยเดียวกันกับความเชื่อในศาสนาพราหมณ์ที่กล่าวมาข้างต้นว่า เราอยู่ในมานวัตรหรือสมัยของพระมนูองค์ที่ ๗ ซึ่งเป็นลูกของพระอาทิตย์ เป็นแต่พราหมณ์ยกเอาบุคคลหรือเทวดาเป็นที่ตั้ง ไม่ใช่พื้นพิภพดังความเชื่อทางภูมิศาสตร์เท่านั้นเอง และก็เพราะพราหมณ์ถือว่าคนเราเป็นเหล่ากอของพระมนูจึงเรียกคนว่ามนุช คือเกิดแต่ พระมนู

ยุคทั้ง ๔ ที่กล่าวมาข้างต้นนั้น มีลักษณะแตกต่างกัน คือ
กฤตะยุค – เป็นยุคที่มีสัตยธรรมมั่นคง จึงเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “สัตยยุค” ยุคนี้มีแต่คนดีไม่มีคนชั่ว

ไตรดายุค – สัตยธรรมหรือคุณความดีเสื่อมถอยลง ๑ ส่วนใน ๔ ส่วน

ทวาบรยุค – สัตยธรรมเสื่อมถอยลงไป ๒ ส่วนใน ๔ ส่วน คือคุณงามความดีของมนุษย์เหลือเพียงครึ่งเดียว

กลียุค – สัตยธรรมยังคงเหลืออยู่เพียง ๑ ส่วนใน ๔ ส่วน เป็นยุคที่วุ่นวายเต็มไปด้วยโรคภัยไข้เจ็บและภยันตรายรอบข้าง พวกเราปัจจุบันกำลังอยู่ในกลียุค เพราะกลียุคเริ่มต้น นับแต่วันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ก่อนพุทธศักราช ๒๖๒๖ ปี

แต่ฮีเสียดนักปราชญ์ซึ่งมีชีวิตอยู่ในระหว่าง ๔๐๐ ปี ก่อนพุทธศักราช ได้แบ่งยุคของโลกออกเป็น ๕ ยุค คือ

๑. ยุคทอง – เป็นยุคที่มนุษย์มีความสุขสบายที่สุด ไม่ต้องทำมาหากินแต่อย่างใด ฤดูไม่เปลี่ยนแปลง มีแต่ฤดูใบไม้ผลิ สวยงามชุ่มชื่นอยู่ตลอดกาล

๒. ยุคเงิน – โลกเกิดแบ่งฤดูร้อนหนาวขึ้น และมนุษย์จำเป็นต้องทำการเพาะปลูกหาเลี้ยงชีพ

๓. ยุคสำริด – เป็นยุคที่มนุษย์จำเป็นต้องจับอาวุธขึ้นทำการต่อสู้ซึ่งกันและกันคือ ทำสงคราม

๔. ยุคผู้กล้าหาญ – เป็นยุคที่เกิดอัจฉริยบุรุษ และเป็นสมัยที่โลกกำลังดำเนินไปสู่ความเจริญ

๕. ยุคเหล็ก – เป็นยุคที่ศีลธรรมของโลกเสื่อมทรามลงมา ความยุติธรรมและความกรุณาได้หายไปจากโลกนี้

ยุคต่างๆ ที่ฮีเสียดบัญญัตินี้จะมีระยะเวลายุคละกี่ปีไม่ปรากฏ แต่ได้กล่าวว่าสมัยของท่านเมื่อ ๔๐๐ ปีก่อนพุทธศักราชนั้น อยู่ในยุคที่ ๕ เสียแล้ว

นักปราชญ์ทางโบราณคดีได้แบ่งยุคของโลกออกเป็น ๓ ยุค ตามเครื่องมือเครื่องใช้ ที่มนุษย์เราได้ทำขึ้นคือ

๑. ยุคหิน – คือสมัยเริ่มแรกที่สุด ในยุคนี้มนุษย์เราใช้หินทำเครื่องใช้ต่างๆ เช่น ทำขวาน ทำมีด ทำหินจุดไฟ ก่อสร้างบ้านเรือนเป็นต้น ยุคหินนี้ยังแบ่งเป็นยุคหินเก่าและยุคหินใหม่อีกด้วย

๒. ยุคทองเเดง – ในยุคนี้มนุษย์รู้จักเอาทองแดงมาใช้แทนหิน ซึ่งเป็นความเจริญของโลกในชั้นที่ ๒ ยุคนี้นับว่าตั้งต้นขึ้นในสมัยอียิปต์ คือชาวอียิปต์พวกหนึ่งไปก่อไฟหุงต้มทางภูเขาซีไน่ เผอิญหยิบเอาก้อนทองแดงมาวางเรียงเป็นเตา ครั้นถูกความร้อนขึ้นทองแดงก็ละลาย พวกนี้เห็นเป็นของประหลาด ก็เอามาทำเป็นเครื่องประดับ แล้วต่อมาก็ดัดแปลงทำเป็นอาวุธและเครื่องใช้ต่างๆ

๓. ยุคเหล็ก – ยุคนี้มนุษย์รู้จักใช้เหล็กทำเครื่องใช้และอาวุธต่างๆ และเหล็กก็หาได้ง่ายกว่าทองแดง เหล็กจึงกลายเป็นโลหะที่จำเป็นจริงๆ สำหรับมนุษย์มาจนกระทั่งทุกวันนี้ นักประวัติศาสตร์ได้แบ่งยุคของโลกออกเป็น ๔ ยุค คือ

๑. ยุคโบราณ – นับตั้งแต่ราว ๔,๕๐๐ ปี ก่อนพุทธศักราชจนถึงพุทธศักราช ๙๓๘ เป็นเวลากว่า ๕๐๐๐ ปี

๒. ยุคกลาง – นับแต่ปีพุทธศักราช ๙๓๙ จนถึงปีพุทธศักราช ๒๐๕๑ เป็นเวลา ๑๑๐๓ ปี

๓. ยุคใหม่ – นับแต่พุทธศักราช ๒๐๕๒ จนถึงพุทธศักราช ๒๓๓๒ เป็นเวลา ๒๙๑ ปี

๔. ยุคปัจจุบัน – เริ่มนับแต่พุทธศักราช ๒๓๓๓ มาจนถึงปัจจุบันนี้ การแบ่งยุคของโลกตามที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ท่านจะเห็นว่าใครถนัดทางไหนก็เเบ่งยุคตามที่ตนถนัดเช่น ในทางศาสนาก็แบ่งยุคตามความเจริญ และความเสื่อมของศีลธรรม นักประวัติศาสตร์ก็แบ่งยุคของโลกไปตามความเจริญทางวัตถุเท่าที่ค้นพบมาได้ดังนี้เป็นต้น แต่เมื่อรวมความแล้วก็จะได้ความว่า มนุษย์โบราณเชื่อว่าคนเรานั้นเกิดมาหลายล้านปีแล้วมนุษย์เราจึงกระจัดกระจายไปทุกมุมโลก

คนโบราณเชื่อกันว่า คนเรานี้เกิดมาจากมนุษย์ชายหญิงคู่หนึ่งเท่านั้น แล้วมีลูกมีหลานสืบต่อเผ่าพันธุ์แผ่ขยายไปทั่วโลก อย่างศาสนาคริสต์ก็เชื่อว่าคนเราเกิดสืบเชื้อสายมาจาก อาดีมกับอีวามนุษย์ ๒ คนแรกที่พระเจ้าสร้างขึ้นในโลก

อย่างไรก็ตามเวลานี้พลโลกมีหลายพันล้านคนและหลายร้อยภาษานับว่าเป็นจำนวนที่เพิ่มขึ้นอย่างน่ากลัวคนจะล้นโลก จนในเมืองไทยของเรานี้ต้องมีนโยบายที่จะวางแผนครอบครัว ว่าคู่ผัวตัวเมียคู่หนึ่งควรจะมีลูกสักกี่คนจึงจะเหมาะสมกับฐานะ เพราะท่านเห็นว่าถ้าขืนปล่อยให้คนเกิดมาตามบุญตามกรรม อีกไม่กี่ปีข้างหน้า เราก็จะไม่มีที่ทำมาหากิน ต้องแย่งกันกินแย่งกันใช้ ไม่ช้าก็จะเกิดมิคสัญญีรบราฆ่าฟันเพราะแย่งกันกินเสียเปล่าๆ

ในหนังสือไตรภูมิกถาหรือไตรภูมิพระร่วง ซึ่งพระยาลิไทกษัตริย์พระองค์หนึ่งในราชวงศ์พระร่วงทรงแต่ง ได้กล่าวถึงกำเนิดของสรรพสัตว์หรือปฏิสนธิของสัตว์ว่ามีอยู่ ๔ พวก คือ พวก ๑ เรียกอัณฑชะ เกิดแต่ไข่ ได้แก่พวกงู ไก่ นกและปลา พวก ๑ เรียก ชลามพุชะ เกิดแต่ปุ่มเปือกและมีรกห่อหุ้ม ได้แก่พวกช้าง ม้า วัวควาย (รวมทั้งคน) พวก ๑ เรียก สังเสทชะ เกิดแต่ใบไม้ละอองดอกบัวหญ้าเน่า เนื้อเน่าเหงื่อไคล ได้แก่พวกหนอน แมลง บุ้ง ริ้น ยุง พวก ๑ เรียก อุปปาติกะ เกิดขึ้นเอง พอเกิดขึ้นมาก็โตเต็มที่ ไม่ค่อยเติบโตขึ้นทีละน้อยเป็นลำดับ เหมือนสามพวกแรก ได้แก่เทวดา พรหมและสัตว์ในนรก จะเรียกพวกนี้ว่า พวกไม่มีพ่อ ไม่มีแม่ก็ไม่ผิด

ในหนังสือเล่มเดียวกันนี้ ได้กล่าวถึงมนุษย์หรือคนไว้ว่า บุตรที่เกิดมานั้น แบ่งออกเป็น ๓ ชนิด คือ ชนิด ๑ เรียก อภิชาตบุตร เป็นลูกเฉลียวฉลาดมีรูปงามหรือมั่งมียศ มีกำลังยิ่งกว่าพ่อแม่ ชนิด ๑ เรียก อนุชาตบุตร มีเพียงพ่อเพียงแม่ คือดีชั่วเสมอพ่อแม่ ชนิด ๑ เรียก อวชาตบุตร มีถ่อยกว่าพ่อแม่

ที่มา:วิชาภรณ์  แสงมณี