การอยู่เป็นสุขและการนิพพานในชีวิตปัจจุบัน

Socail Like & Share

พระอริยบุคคลทุกชั้น สามารถอยู่เป็นสุขอย่างแท้จริงในชีวิตปัจจุบันได้ ด้วยการเข้าผลสมาบัติ และสามารถนิพพานในชีวิตปัจจุบันได้ด้วยการเข้านิโรธสมาบัติ การนิพพานในชีวิตปัจจุบันกล่าวคือ

การเข้าผลสมาบัติต้องพิจารณาเห็นสังขารโดยอาการต่างๆ ด้วยญาณทั้ง ๙ มีอุทยัพพยญาณ เป็นต้น แล้วอธิษฐานจิตให้ขึ้นสู่วิถีดังนี้

๑. บริกรรม – กำหนดรูปนาม
๒. อุปจาร – กำหนดรูปนามอีก
๓. อนุโลม – กำหนดรูปนามอีก
๔. อนุโลม – กำหนดรูปนามอีก
๕. อนุโลม – กำหนดรูปนามอีก
๖. ผลจิต – เสวยผลพระนิพพานตลอดเวลาที่อธิษฐาน

พระอริยเจ้าเข้าผลสมาบัติด้วยอริยผลจิต ดังนี้
๑. พระโสดาบัน เข้าผลสมาบัติด้วยโสดาปัตติผลจิต
๒. พระสกิทาคามี เข้าผลสมาบัติด้วยสกิทาคามีผลจิต
๓. พระอนาคามี เข้าผลสมาบัติด้วยอนาคามิผลจิต
๔. พระอรหันต์ เข้าผลสมาบัติด้วยอรหัตตผลจิต

เมื่อพระอนาคามีและพระอรหันต์ ที่สำเร็จรูปฌานมาแล้ว ต้องการจะเข้านิโรธสมาบัติดับสนิทอยู่นั้น ต้องทำตามลำดับชั้น ดังต่อไปนี้

๑. ทำฌานให้เกิดขึ้น ตั้งแต่ปฐมญาณ จนถึงวิญญาณัญจายตนฌานโดยลำดับ

๒. ออกจากฌานแล้ว พิจารณาสังขารหรือสภาวธรรมในองค์ฌานโดย ความเป็นอนิจฺจํ ความไม่เที่ยง ทุกฺขํ ความทุกข์ ทนไม่ได้ อนตฺตา สภาพที่ไม่ใช่ตัวตน ตั้งแต่ปฐมฌานจนถึงวิญญาณัญจายตนฌานตามลำดับ

๓. ทำอากิญจัญญายตนฌานให้เกิดขึ้นแล้ว อธิษฐานเข้านิโรธสมาบัติ ตลอด ๗ วัน ไม่ให้บริขารเป็นอันตราย จะออกได้เมื่อพระพุทธเจ้าทรงรับสั่งหา คณะสงฆ์ต้องการให้ออก หรือเมื่อครบ ๗ วันแล้ว

๔. เมื่อขณะจะเข้านิโรธสมาบัตินั้น ทำอรูปฌานขั้นสูงสุด คือ เนว สัญญานาสัญญายตนฌานให้เกิดขึ้นแล้ว จิต เจตสิกจะดับลงไม่ได้เกิดขึ้นตลอด ๗ วัน ตามอธิษฐาน ไม่มีสัญญา – ความจำ และไม่มีเวทนา – ความรู้สึกสุขทุกข์เลย

๕. เมื่อออกจากนิโรธสมาบัตินั้น จะเกิดผลจิตหนึ่งขณะก่อนแล้วจึงลงสู่ ภวังค์และกลับคืนความรู้สึกเหมือนสภาพเดิม ถ้าเป็นอนาคามีบุคคล ก็ออกด้วยอนาคามีผลจิตหนึ่งขณะแล้วจึงลงสู่ภวังค์ ถ้าเป็นอรหัตตบุคคลก็ออกด้วยอรหัตตผลจิตหนึ่งขณะแล้วจึงลงสู่ภวังค์ ต่อจากนั้นจึงเกิดวิถีจิต กลับสู่สภาพเดิม

บุคคลที่จะภาวนาให้ได้พระนิพพานนั้น เมื่อว่าโดยสังเขปแล้ว ผู้มีปัญญาย่อมปรารถนาและระลึกถึงพระนิพพานอันประเสริฐว่า จะมีใครหนอที่สามารถจะนำมวลสรรพสัตว์ให้ดำเนินไปถึงพระนิพพานได้ ก็จะทราบได้ว่า ผู้ที่สร้างสมอบรมบารมีมาและเคยปรารถนาให้ถึงพระนิพพานอยู่ทุกทิวาราตรีโดยมิได้ขาดสาย ต้องใช้เวลาอันยาวนานถึง ๒ อสงไขยและแสนมหากัลป์เช่นนี้ ก็หาสามารถจะนำสรรพสัตว์ไปสู่พระนิพพานได้ไม่ แต่สามารถนำตนให้บรรลุถึงพระนิพพานได้ คือบำเพ็ญบารมีเพียงเท่านี้ก็สามารถจะบรรลุนิพพานเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าได้ แต่ไม่สามารถจะนำสัตว์ให้บรรลุถึงพระนิพพานได้

ส่วนบุคคลใดได้สร้างสมอบรมบารมีได้ถึง ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย และแสนมหากัลป์ และได้อธิษฐานไว้ว่า “จะนำสัตว์ทั้งหลายไปสู่พระนิพพาน” ทุกวันคืนมิได้ขาดสาย ผู้นั้นจะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สามารถนำสัตว์ทั้งปวงให้ถึงซึ่งพระนิพพานได้

เหล่าสรรพสัตว์ที่พระพุทธเจ้าทรงนำไปสู่พระนิพพานได้นั้น ต้องสร้าง บารมีมาแล้วแสนมหากัลป์ จึงจะสามารถตามเสด็จองค์สมเด็จพระบรมศาสดาไปถึงพระนิพพานได้ ส่วนเหล่าบุคคลที่สร้างสมอบรมบารมีได้ ๒ อสงไขย แสนมหากัลป์จะได้เป็นพระอรหันต์ขีณาสพ และสามารถนำสรรพสัตว์ไปสู่พระนิพพาน อันเป็นสถานที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จไปแล้ว

พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ทรงโปรดเหล่าสัตว์ตลอดทั้งเทวดาทั้งหลายให้เข้าถึงพระนิพพาน นับได้ ๒๔ อสงไขย และ ๑๑,๐๐๐ โกฏ กับอีก ๑๐๐,๐๐๐ คน

ว่าด้วยพระนิพพานอันประเสริฐ ภูมิทั้ง ๓ และอนันตจักรวาล อันเป็น กัณฑ์ที่ ๑๑ โดยย่อจบแล้ว

ผู้ใดถึงพระนิพพานแล้ว ผู้นั้นก็ไม่พินาศฉิบหาย ไม่แปรปรวนไปมา ไม่ท่องเที่ยวอยู่ในไตรโลกอีก เพราะพระนิพพานมีสภาพสิ้นกิเลสแล้ว พ้นจากทุกข์ ทั้งปวง เป็นสันติสุข ไม่เหมือนพวกเหล่าสัตว์ที่ท่องเที่ยวอยู่ในไตรโลกนี้

คณะทำงานโครงการวรรณกรรมอาเซียน