ซุนยัดเซน(Sun Yat-Sen)

Socail Like & Share

ซุนยัดเซนเป็นนักปฏิวัติคนหนึ่งที่ได้รับความรักความนับถืออย่างหาใครเปรียบไม่ได้ ในหัวใจของชาวจีนเขามีฐานะอย่างเทพเจ้า เกือบทุกบ้านติดรูปเขาไว้บูชาอย่างรูปโพธิสัตว์ ซึ่งเขาเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่แท้จริงอีกคนหนึ่งเช่นกัน

ซุนยัดเซนเกิดเมื่อพ.ศ. 2409 และเมื่อ พ.ศ. 2468 ก็ได้ถึงแก่กรรมลง ตอนอายุได้ 59 ปี เขาตายในขณะที่คนกำลังรักและบูชา จึงสามารถดำรงความรักและบูชาของคนทั้งหลายไว้ได้

นาม “ซุนยัดเซน” เป็นนามที่มาเปลี่ยนภายหลัง ตอนแรกที่เกิดพ่อแม่ได้ตั้งชื่อให้เขาว่า “ซุนเวน”

ในวัยเด็กเขาต้องทำงานหนักมาก เรียนหนังสือทุกวันไม่มีวันหยุด กลับจากเรียนก็มาทำงานไร่นาของพ่ออย่างหนักที่บ้าน พ่อของเขาเป็นคนสมัยใหม่ มีความฝันว่า วันหนึ่งลูกของเขาจะได้ไปอเมริกา ทำมาหากินร่ำรวย หาเงินได้มากๆ แล้วกลับมาอยู่บ้านเดิมอย่างสบาย

บิดาของซุนเวนไม่เคยเห็นอเมริกา ไม่เคยทราบว่าอเมริกาหรือชนชาติอเมริกาเป็นอย่างไร ก็พูดไปอย่างนั้นเอง เขาทราบแต่เพียงว่าที่นั่นหาเงินง่าย มีคนร่ำรวยมากมาย มีคนจีนไปทำมาหากินในอเมริกาแล้วร่ำรวยกลับมา

แต่ป้าของซุนเวนเป็นคนมีความรู้กว้างขวางในหมู่บ้าน มีความรู้เรื่องอเมริกาและชาวอเมริกาอยู่บ้าง เธอบอกกับซุนเวนตั้งแต่เด็กว่า ชาวอเมริกันเป็นมนุษย์ที่แปลกประหลาด แต่งตัวไม่เหมือนคนจีน ผู้ชายไม่ไว้ผมเปีย ไม่ใช้ตะเกียบกินอาหาร แต่ใช้เหล็กแหลมๆ แทงลงไปในอาหาร คำอธิบายของป้าทำให้ซุนเวนเกิดความสนใจเกิดความอยากรู้อยากเห็นมากขึ้น

ต่อมาเขาก็ได้สอบถามคนจีนที่เคยไปอเมริกาจริงๆ เพื่อให้แน่ใจถึงคำอธิบายของป้า เขาก็ได้รับคำตอบว่าเป็นความจริงและไม่ใช่เพียงเท่านั้น ชาวอเมริกันยังมีความแปลกอีกหลายอย่าง เช่น เขาไม่ต้องขึ้นอยู่ใต้บังคับของพระโอรสแห่งสวรรค์ของกรุงจีน เขามีผู้ปกครองสูงสุดของเขาเอง และไม่เคยจับคนที่ไม่มีความผิดไปประหารชีวิตหรือลงโทษ

ซุนเวนเคยได้รับคำสั่งสอนมาว่า โลกทั้งโลกอยู่ใต้พระบรมราชานุภาพของพระเจ้ากรุงจีน เขตแดนแผ่นดินไม่ว่าจะตะวันออก ตะวันตก หรือเหนือใต้ จะอยู่ภายใต้อำนาจพระโอรสแห่งสวรรค์เท่านั้น เป็นไปได้หรือที่มนุษย์ใดจะมีผู้ปกครองสูงสุดของเขาเองและไม่ขึ้นกับพระเจ้ากรุงจีน

และที่แปลกยิ่งกว่า ก็คือ ผู้ปกครองสูงสุดของอเมริกัน ไม่เคยจับคนที่ไม่มีความผิดมาประหารชีวิตหรือลงโทษ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อ เขาคิดว่าผู้ปกครองสูงสุดเป็นเจ้าชีวิต อยากฆ่าใคร ลงโทษใครก็ได้ ที่ไม่ลงโทษหรือฆ่าผู้ที่ไม่ทำความผิด และลงโทษหรือประหารเฉพาะผู้ที่ทำความผิดมีอยู่จริงหรือ

ความอยากรู้อยากเห็นเหล่านี้มีอยู่ในใจของซุนเวนเสมอ พ่อของเขาที่เป็นคนสมัยใหม่ได้ส่งลูกชายคนโตที่ชื่อ ดาโก ไปโฮโนลูลู ดาโกเป็นคนเก่งมากที่พยายามทำมาหากินจนตั้งตัวได้ มีร้านค้าเป็นหลักแหล่ง และได้เอาซุนเวนไปอยู่ด้วย โดยให้เรียนหนังสือที่โรงเรียนแห่งนั้น

3 ปี ที่ซุนเวนเรียนอยู่ ด้านภาษาอังกฤษ คำนวณ และประวัติศาสตร์ เขาทำคะแนนได้เป็นอย่างดี เมื่ออายุ 18 ปี สำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมและในปีสุดท้ายก็ได้รับรางวัลเรียนดีเป็นพิเศษ

แต่ผลการเรียนของเขาก็ไม่สำคัญไปกว่าความรู้สึกที่ได้รับในเกาะโฮโนลูลูเมืองขึ้นของอเมริกาแห่งนี้ เป็นเมืองที่ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพ ไม่เหมือนชาวจีนที่ต้องอยู่ใต้ระบอบการปกครองที่โหดร้าย เขาพูดกับพี่ชายว่า ทำอย่างไรจึงจะทำให้ชาวจีนมีความเป็นมนุษย์เท่ากับชาวเกาะโฮโนลูลูได้บ้าง แต่พี่ชายก็บอกว่า ไม่มีทาง

เขาแสดงความเกลียดชังความเป็นไปในเมืองจีน พยายามพูดกับพี่ชายอยู่เสมอ เขาอยากให้ราษฎรชาวจีนมีสิทธิเสรีภาพ ได้รับการคุ้มครองจากกฎหมายเหมือนมนุษย์ทั่วไป ความรู้ทางประวัติศาสตร์ที่เขาได้มาศึกษาที่นี่ ได้สอนให้รู้ว่า ผู้ปกครองสูงสุดของจีน ไม่ใช่คนจีน แต่เป็นแมนจูที่ตีเมืองจีนได้ และตั้งตนเป็นกษัตริย์ของจีนขึ้น ทำให้เขาเกิดความรักชาติขึ้น และสงสัยว่าทำไมชาติยิ่งใหญ่อย่างจีนที่มีพลเมืองมากกว่าชาติใดในโลก จึงต้องตกมาอยู่ใต้อำนาจของต่างชาติอย่างแมนจูที่มีพลเมืองน้อยกว่าหลายเท่า

พี่ชายของเขาก็มีความคิดเห็นอย่างเขา แต่ก็ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงได้ เพราะแม้คนใหญ่คนโตยังต้องก้มศีรษะโขกดินต่อหน้าพระโอรสแห่งสวรรค์ เด็กหนุ่มอย่างซุนเวนจะทำอะไรได้

ซุนเวนไม่ได้ละทิ้งความคิดฟุ้งซ่านในเรื่องนี้ พี่ชายของเขาจึงบอกกับพ่อว่าถ้าซุนเวนอยู่ทางนี้ก็ต้องฟุ้งซ่านมากขึ้น เพราะความคิดแบบอเมริกันได้แทรกซึมเข้าในสมองของเขา ที่บิดาหวังไว้ว่าจะให้เขาทำการค้า หาเงินให้ได้มากๆ ก็คงไม่สำเร็จ เขาไม่ชอบค้าขาย ไม่เอาถ่าน มีความคิดวิปริตอยู่เรื่อย ควรให้กลับมาช่วยพ่อทำนาดีกว่า

เมื่ออายุ 19 ปี ซุนเวนก็ถูกส่งกลับบ้านเดิม เขาเที่ยวพูดฟุ้งซ่านกับคนในหมู่บ้านไปทั่ว เขากล่าวว่า “คนที่เรียกตัวเองว่าโอรสแห่งสวรรค์ ที่จริงเขาเป็นลูกแห่งนรก เขาบังคับให้พวกท่านเสียภาษีอากร ให้ก้มศีรษะให้เขา แล้วเงินที่ท่านเสียภาษีนั้นไปทางไหน เขาสร้างโรงเรียนให้บ้างไหม สร้างสะพาน สร้างถนนให้บ้างไหม เปล่าเลย เงินที่ท่านเสียภาษีมันไปทำความมั่งคั่งให้แก่เขา มันไปเป็นเครื่องมือให้เขากดขี่ท่าน”

วันหนึ่ง เขาควักอีแปะทองแดงออกมาจากกระเป๋า แล้วถามคนที่ฟังคำพูดเขาอยู่นั้นว่า “ใครเป็นคนทำอีแปะนี้” เสียงตอบมาว่า “พระเจ้ากรุงจีน” เขาถามต่อว่า “ใครเป็นพระเจ้ากรุงจีน” “พระโอรสของสวรรค์” “เขาเป็นพวกเดียวกับเราหรือ” “แน่ละ ไม่ใช่พวกเดียวกับเรา จะเป็นโอรสแห่งสวรรค์อย่างไรได้” “แล้วคำที่เขียนไว้บนอีแปะนี้ เป็นคำจีนหรือ” เสียงตอบกลับมาว่า “ไม่ใช่” ซุนเวนกล่าวต่อว่า “ไม่ใช่แน่” “คำที่เขียนบนอีแปะนี่เป็นคำแมนจู เป็นคำต่างภาษา คนต่างชาติมาปกครอบเราอยู่ใช่ไหม”

เมื่อผู้คนเริ่มเข้าใจ ซุนเวนก็เร้าให้เกิดความรู้สึกระลึกถึงความสำคัญยิ่งใหญ่ของชาติจีน ว่าสำคัญอย่างไร ใหญ่โตเพียงใด มีความรู้ความฉลาดเพียงไร เหตุใดจึงยอมให้ต่างชาติเข้ามามีอำนาจปกครอง

จากปากของเด็กหนุ่มอย่างซุนเวนที่มีอายุยังไม่ถึง 20 ปี ก็ทำให้เกิดลัทธิชาตินิยมขึ้น ชาวจีนเริ่มรู้จักว่าชาตินั้นคืออะไร รู้ว่ามนุษย์ควรรักชาติ บูชาชาติยิ่งกว่าสิ่งใดๆ ซึ่งซุนเวนได้เป็นบิดาของลัทธิชาตินิยมมาตั้งแต่ก่อนจะมีอายุครบ 20 ปี

การกระทำเช่นนี้เป็นการทำตนเป็นปฏิปักษ์ต่อพระโอรสแห่งสวรรค์ที่ไม่ใช่คนจีน ซุนยัดเซนยังกล้าเป็นปฏิปักษ์ต่อสวรรค์หรือเทพเจ้าบนสวรรค์ด้วย ในหมู่บ้านของเขามีศาลเทพารักษ์ซึ่งมีรูปเทพเจ้าเป็นรูปไม้สักอยู่ 3 องค์ ชาวบ้านเชื่อกันว่าถ้าใครไม่เคารพบูชาจะถูกลงโทษ วันหนึ่งเขาได้นำพวกคนหนุ่มๆ ไปที่ศาลเทพารักษ์นั้น แล้วบอกว่าเขาจะแสดงให้เห็นว่าเรื่องเทพารักษ์เป็นเรื่องหลอกลวง เทพารักษ์ไม่สามารถช่วยใครได้แม้แต่ตัวเอง เขาจะทำให้ดูว่าเทพารักษ์ไม่มีฤทธิ์เดชอะไร ซุนเวนเห็นว่าการทำเช่นนี้เป็นการถ่วงความเจริญก้าวหน้าของชนชาติจีน

จากนั้นเขาก็จับนิ้วเทพารักษ์ที่ทำด้วยไม้หักนิ้วหนึ่งแล้วโยนทิ้ง และบอกว่า ถ้าเทพารักษ์มีฤทธิ์จริงเขาคงจะหักนิ้วออกมาไม่ได้ หรือคงทำโทษเขาให้ตายไปทันที แต่นี่นิ้วหักไปแล้วก็ช่วยตัวเองไม่ได้ และซุนเวนเองก็ไม่ได้เป็นอะไร

จากการกระทำของเขา ชาวบ้านก็กลัวกันว่าจะถูกลงโทษให้พินาศล้มตายกันทั้งบ้านทั้งเมือง จึงยื่นคำขาดไปยังพ่อของเขาว่า ไม่ยอมรับให้เด็กคนนี้อยู่ในหมู่บ้านอีกต่อไป พ่อจึงให้ซุนเวนออกจากบ้านไป

เขามาฮ่องกงด้วยทางเรือ ได้ศึกษาในควีนซคอลเลจ สอบไล่ได้ที่ 1 แล้วเข้ามหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ที่ตั้งขึ้นใหม่ สอบได้ปริญญาเป็นแพทย์รุ่นแรกของมหาวิทยาลัย แต่ใช้เวลาส่วนมากไปกับการเผยแพร่ความคิดทางปฏิวัติ เขามีเสรีภาพที่จะพูดและทำอะไรในทางการเมืองได้ตามความพอใจในฮ่องกงเพราะเป็นดินแดนของอังกฤษ เขาได้ตั้งคณะปฏิวัติที่ประกอบไปด้วยเพื่อนนักเรียนที่สาบานตนว่าจะยอมตายเพื่อการปฏิวัติ จากลุ่มคนน้อยๆ ก็กลายเป็นกลุ่มใหญ่ และได้แยกย้ายกันไปเผยแพร่ลัทธิปฏิวัติ หาพวกพ้องตามเมืองต่างๆ จนเกิดสมาคมปฏิวัติขึ้นในเมืองสำคัญทุกๆ เมืองที่มีการคมนาคมติดต่อถึงกัน และความเป็นผู้นำของซุนยัดเซนก็ได้รับการยอมรับจากทุกสาขา

ในปี พ.ศ. 2438 ซุนยัดเซนได้ก่อการจลาจลขึ้น เมื่อเขามีอายุได้ 29 ปี เขาได้ทำงานปฏิวัติอย่างรีบร้อน ยังไม่ถึงเวลาและยังไม่มีความพร้อม จึงเกิดความล้มเหลวขึ้น รัฐบาลประกาศจับซุนยัดเซน เมื่อรู้ว่าเขาเป็นหัวหน้าก่อการในครั้งนี้ แต่ไม่สามารถจับตัวได้ เนื่องจากเขาใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่นอกอาณาเขตจีน เขาได้เดินทางไปฮาวาย สหรัฐอเมริกา ภายหลังเกิดความล้มเหลวในครั้งนี้ ได้ไปรวบรวมพวกพ้องแสดงปาฐกถา และหาเงินทุนสำหรับการกู้ชาติ

รัฐบาลแมนจูก็ได้ออกคำสั่งแก่สถานทูตในต่างประเทศทุกแห่ง ให้จับตัวซุนยัดเซนมาให้ได้ไม่ว่าจะเป็นหรือตาย โดยตีราคาค่าหัวไว้ถึงแสนปอนด์ให้กับผู้ที่จับหรือฆ่าซุนยัดเซนได้ เงินจำนวนมากจูงใจให้คนพยายามจับตัวซุนยัดเซนมาให้ได้ แต่ก็ไม่มีใครทำสำเร็จ

เขาเดินทางจากอเมริกามาอังกฤษ สถานทูตจีนในกรุงลอนดอนจับตัวไว้ได้ เมื่อรัฐบาลอังกฤษทราบเรื่อง ก็ยื่นคำขาดกับสถานทูตจีนให้ปล่อย เพราะจะจับคนขังตามชอบใจไม่ได้ จึงต้องปล่อยตัวออกไป

แล้วเขาก็ได้เดินทางมายังประเทศญี่ปุ่น ได้ผูกมิตรกับหัวหน้ามังกรดำของญี่ปุ่นที่ชื่อ โตยามา ซึ่งทำให้เขาได้รับความช่วยเหลือในด้านการเงิน อาวุธเถื่อน และทุกอย่างที่ต้องการ ที่โยโกฮามานี้เขาได้ตั้งสำนักงานอย่างเปิดเผยใกล้ๆ กับสถานทูตของจีน สามารถส่งเงิน ส่งอาวุธเถื่อน ส่งคำสั่งแนะนำกันด้วยความสะดวก

ทุกอย่างมีการตระเตรียมและดำเนินการอย่างเปิดเผย รัฐบาลแมนจูก็ไม่สามารถปราบการกระทำเช่นนี้ได้ เพราะอยู่ภายนอกอาณาเขตของตัวทั้งๆ ที่รู้ดี ส่วนในประเทศจีนพวกปฏิวัติก็มีมากเกินกว่าจะจับได้ ซุนยัดเซนได้ให้คำแนะนำแก่พวกพ้องว่า ในฐานะที่ฝ่ายปฏิวัติมีกำลังน้อย จะต้องต่อสู้กับรัฐบาล ที่มีกำลังยิ่งใหญ่ ก็ต้องทำตามวิชามวยในตำรับโบราณที่สอนไว้ว่า ให้ปล่อยฝ่ายปรปักษ์แสดงฝีไม้ลายมืออย่างเต็มที่ก่อน ฝ่ายปฏิวัติก็คอยระวังป้องกันตัวไว้เท่านั้น เมื่อฝ่ายปกปักษ์อ่อนกำลังลง จึงค่อยหาช่องทางหักกระดูกเอาภายหลัง

หลักการสำคัญที่ซุนยัดเซนพยายามเผยแพร่ให้ฝังใจประชาชนทุกชั้น คือ “กษัตริย์แมนจูไม่มีสิทธิ์ที่จะปกครองชนชาวจีน แต่ชนชาวจีนมีสิทธิ์ที่จะปกครองตนเอง” มติมหาชนเป็นอุปกรณ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในการปฏิวัติ ชาวจีนทั้งหลายก็เข้าใจทั่วกันถึงเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นที่ใด เมื่อพูดกันมากๆ ก็เชื่อกันเอง การปฏิวัติของซุนยัดเซนเป็นการปฏิวัติที่แท้จริง ทำอย่างตรงไปตรงมา การปฏิวัติในประเทศจีนจะมีปัญหาก็ในเรื่องเวลาเท่านั้น

ซุนยัดเซนเดินทางไปมาระหว่างญี่ปุ่น อเมริกา และยุโรป จนถึงเดือนกันยายน พ.ศ. 2454 ขณะที่ซุนยัดเซนมีอายุได้ 45 ปี การปฏิวัติก็เกิดขึ้นอย่างแท้จริง

เป็นการปฏิวัติที่ฝ่ายปฏิวัติได้เปรียบทุกแห่ง แม้จะมีการนองเลือด และไม่ใช่การสู้รบเล็กๆ ซุนยัดเซนเข้ามาปฏิวัติในประเทศจีนด้วยตัวเอง โดยเริ่มตั้งรัฐบาลใหม่ขึ้นที่นานกิง มณฑลต่างๆ ของจีนก็ประกาศไม่ยอมอยู่ใต้อำนาจของแมนจู เวลานั้นกษัตริย์ที่ครองประเทศจีนเป็นพระเจ้าแผ่นดินเด็ก ชื่อ ปูยี (ต่อมาภายหลังญี่ปุ่นได้ยกขึ้นเป็นจักรพรรดิแมนจูก๊ก) กิจการแผ่นดินอยู่ในมือของเจ้านายและขุนนางแมนจู แต่มีนายกรัฐมนตรีเป็นจีน ชื่อ ยวนซีไข ผู้นี้เคยติดต่อกับซุนยัดเซน เขาได้เสนอความคิดเห็นให้วงศ์แมนจูลาออกจากราชสมบัติ เพราะไม่มีประโยชน์ที่จะอยู่ต่อไป เมื่อวงศ์แมนจูยอมลาออกชัยชนะก็ตกเป็นของฝ่ายปฏิวัติซุนยัดเซน

จากนั้นสำนักงานปฏิวัติของซุนยัดเซนก็ได้ย้ายจากประเทศญี่ปุ่นเข้ามาตั้งเป็นรัฐบาลในประเทศจีน ส่วนราชสำนักแมนจูก็ย้ายไปอยู่ในประเทศญี่ปุ่น

ซุนยัดเซนได้รับแต่งตั้งให้เป็นประธานาธิบดีคนแรกแห่งมหาชนรัฐจีน ในวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2455

เมื่องานใหญ่หลวงได้สำเร็จลง แม้ว่าซุนยัดเซนจะทำความดีไว้เพียงใด และคนทั่วไปก็รู้ดีว่าไม่มีใครจะมีคุณความดีในการปฏิวัติมากไปกว่าซุนยัดเซน แต่ก็ยังมีคนที่คิดว่าตัวเองดีกว่า หรือเป็นประธานาธิบดีได้ดีกว่า จึงเกิดการแย่งชิงอำนาจขึ้น ซุนยัดเซนต้องออกจากตำแหน่งประธานาธิบดีเพียงเวลาไม่ถึงปี คนที่ขึ้นมารับตำแหน่งต่อก็คือ ยวนซีไข ซึ่งเป็นคนที่เคยเป็นนายกรัฐมนตรีของวงศ์แมนจูนั่นเอง

ซุนยัดเซนคิดว่า การกระทำอย่างนี้เป็นการถูกต้องแล้ว เพราะเป็นวิธีเดียวที่จะช่วยให้สามารถรักษาความรักความนิยม และสร้างความยิ่งใหญ่อันแท้จริงของตนได้ ถ้าสู้ต่อไป มีแต่จะสร้างศัตรูคู่แข่ง สร้างความอิจฉาริษยา มีการใส่ร้ายป้ายสี แทนที่จะเป็นไปในทางที่ดีก็จะกลายเป็นคนเลวร้ายไปเสีย

การออกมาอยู่นอกตำแหน่งและถืออิทธิพลอยู่ภายนอก คือกุญแจแห่งความยิ่งใหญ่ของซุนยัดเซน ผู้ที่อยู่ในตำแหน่งเป็นแต่ผู้ถืออำนาจในชีวิต คือฆ่าคนก็ได้ แต่ซุนยัดเซนที่อยู่นอกตำแหน่ง สามารถยึดอำนาจในจิตใจ ได้รับความนิยมเชื่อถือเคารพบูชาไว้ในกำมือ เมื่อผู้ที่อยู่ในตำแหน่งทำอะไรไม่เป็นที่พอใจของประชาชน เขาก็จะหันมาหาซุนยัดเซน เขาพูดอะไรคนก็เชื่อฟัง เขากลายเป็นผู้ควบคุมกิจการบ้านเมือง มีอำนาจในจิตใจคนเหนือประธานาธิบดี หรือนายกรัฐมนตรี และไม่มีวิธีใดจะสร้างความยิ่งใหญ่ได้ดีกว่านี้

ผู้ที่ขึ้นรับตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งประเทศจีนแทนซุนยัดเซนอย่าง ยวนซีไข จะมีเจตนาอย่างไรก็ตาม เมื่อเข้ามาเป็นประธานาธิบดีก็ใช้อำนาจแบบเผด็จการในการทำงาน เพราะบุคคลนี้ไม่เคยทำงานในระบอบประชาธิปไตยมาก่อน ซุนยัดเซนได้ขัดขวางการกระทำเช่นนี้ แต่ยวนซีไข ที่ได้เอาทหารไว้ในอำนาจตนจนหมดก็ประกาศให้รางวัลจับตัวซุนยัดเซน เพราะถือว่าเขาเป็นคนนอกกฎหมาย

ซุนยัดเซนได้กลับไปอยู่ที่ญี่ปุ่นอีกครั้ง ในระหว่างนั้น ยวนซีไข ได้ประกาศตนขึ้นเป็นพระจักรพรรดิจีน โอรสแห่งสวรรค์ที่เกิดใหม่ แต่เป็นได้ไม่นานก็ถึงแก่ความตาย

ประเทศจีนได้กลับมาเป็นมหาชนรัฐใหม่ มีการแย่งชิงอำนาจกันเรื่อยมา แต่ซุนยัดเซนก็เก็บตัวอยู่วงนอกตลอด เพราะเขาฉลาดและถือว่าตนสูงกว่าที่จะเข้ามาแย่งอำนาจชิงตำแหน่งกับคนพวกนี้ คอยเป็นผู้ให้คำแนะนำอย่างเป็นกลางแก่ชาวจีนที่ต้องการสร้างชาติ และเมื่อ พ.ศ. 2486 เขาก็ถึงแก่กรรมลง เมื่ออายุ 59 ปี

ซุนยัดเซนมีฐานะเป็นดั่งเทพเจ้าที่ทำให้คนเคารพบูชาและเป็นผู้ยิ่งใหญ่ ก็เพราะเขาบำเพ็ญประโยชน์โดยไม่รับตำแหน่งฐานะ หรือช่วงชิงอำนาจกับใครนี้เอง เขาไม่ต้องการตำแหน่งหรืออำนาจ ต้องการจะประกอบความดีเท่านั้น ซึ่งเป็นกุศโลบายในการสร้างความยิ่งใหญ่ที่แท้จริง ถ้าหากเขาเข้าไปแย่งชิงอำนาจหรือตำแหน่งก็อาจจะเสื่อมเสียไปแล้วก็ได้

ผู้ที่ทำความดีงามสำเร็จแล้วก็ปลีกตัวไม่อยู่รับตำแหน่งฐานันดร มีเพียงไม่กี่คน ส่วนใหญ่เมื่อลงมือทำแล้วก็ต้องการผลตอบแทน คนที่ทำเพียงเล็กน้อยก็ต้องการผลที่ยิ่งใหญ่มาก คนที่ทำความดีเพื่อความดีนั้นจึงหายากที่สุด ความยิ่งใหญ่ทางจิตใจเป็นความยิ่งใหญ่ที่ถาวร ให้ความผาสุก และจะไม่มีใครทำลายได้

ที่มา:พลตรี หลวงวิจิตรวาทการ