คนชอบทำเด่น

Socail Like & Share

ก่อนปิดภาคเรียน มีงานรื่นเริงที่เต็มไปด้วยความสนุกสนาน มีละครเวทีขนาดย่อมอยู่ด้านหนึ่งของสนาม ละครเรื่อง “พระลอ” กำลังดำเนินไปถึงฉาก “ชมสวนขวัญ” ในขณะที่กรรณิการ์กับศศิธรกำลังคุยกันอยู่ นักเรียนคนไหนพอใจในตัวละครก็มีกล้องถ่ายรูปมาถ่ายภาพไปเก็บไว้ดูกัน

กรรณิการ์กับศศิธรรับขนมจีบซาลาเปามาขายให้แก่นักเรียนคนอื่นๆ ทั้งสองเพิ่งว่างเพราะเพิ่งขายหมดไป แต่ก็ปรึกษากันต่อว่าจะไปช่วยร้านไหนขายของดี? เพราะนักเรียนทุกชั้นต่างก็ออกร้านกันคนละร้าน แต่เมื่อเห็นเด็กหญิงคนหนึ่งเดินผ่านมาทั้งสองก็หยุดชะงักการพูดทันที

เมื่อเด็กคนนั้นเดินผ่านไปแล้ว กรรณิการ์จึงพูดขึ้นว่า
“นั่นแหละ ถ้าชั้นของเรามีเพื่อนร่วมชั้นอย่างเบญจมาศหลายๆ คนละก็ อย่าว่าแต่จะขายของขาดทุนเลย ฉันว่าจะขายไม่ได้เลยด้วยซ้ำไปน่ะซี”

ศศิธรเห็นด้วยและพูดว่า
“จริงนะ เวลาเราทำอะไร เบญจมาศไม่เห็นเคยยื่นมือเข้ามาช่วยเลย เอาแต่สบายท่าเดียว แล้วก็แต่งตัวเดินฉายไปฉายมา”

กรรณิการณ์พูดตัดบท
“แต่อย่าไปพูดถึงเขาเลย เดี๋ยวจะกลายเป็นนินทา”
“แน่ะ! คุณครูทางโน้นกวักมือเรียกเราแล้ว คงจะให้ไปช่วย ไปกันดีกว่า”

เมื่อพูดถึงเบญจมาศ
ในวันนี้ เบญจมาศรู้สึกราวกับว่าโลกทั้งโลกเป็นของเธอ เธอมีความสุขมาก เพราะคุณแม่ตัดเสื้อชุดใหม่ที่ทันสมัยให้ โบคาดผมกับรองเท้าก็เข้ากัน ไม่มีใครเถียงว่าเบญจมาศเป็นคนสวย แต่มีน้อยคนที่จะชอบเธอ เพราะเบญจมาศไม่ชอบช่วยเหลือใครไม่ว่าจะเป็นงานของโรงเรียนหรือของเพื่อน เธอคิดเสมอว่าผลตอบแทนที่ได้รับน้อยมาก บางทีก็แทบจะไม่มีเลย มันเป็นการเหนื่อยเปล่า

คุณครูเคยพูดให้ฟังในชั้นเรียนว่า
“คนที่อยากกว้างขวาง มีเคล็ดลับนิดเดียว”
“คือไม่เอาใจใส่ในตัวเองมาก แต่เอาใจใส่ในคนอื่นมากกว่าตัวเอง มีความใส่ใจในทุกสิ่งทุกอย่างและทุกคนที่ได้พบเห็น ชอบรู้จักคนและสนใจในเขา มีความคิดดี ใจดี เมตตากรุณา และมารยาทที่แสดงออกมา ก็อ่อนหวานไม่แข็งกระด้าง”

แต่คำพูดนี้เบญจมาศไม่ได้เอามาใส่ใจ เธอไม่อยากเอาใจใคร ไม่ต้องการรู้จักมารยาทที่ดี และไม่นึกถึงใครมากกว่าตัวเธอเอง จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เบญจมาศมีเพื่อนน้อย

“พี่เบญจมาศคะๆ ขอหนูถ่ายรูปหน่อยคะ แหม! วันนี้พี่แต่งตัวสวยจัง หนูมองไกลๆ นึกว่าดาราเดินอยู่ในโรงเรียนเราแน่ะค่ะ”

เสียงที่ประสานกันนี้ ทำให้เบญจมาศรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นดาราภาพยนตร์จริงๆ เธอเชิดคอขึ้นอย่างสวยงามเมื่อมองเด็กนักเรียนที่ชั้นต่ำกว่า ขณะที่เด็กถ่ายภาพเธอกันใหญ่ เธอก็ยิ้มแล้วยิ้มอีก จนแทบจะลืมตัวไปชั่วขณะ เธอควรจะทักทายเด็กเหล่านั้นบ้างถ้าเป็นคนอัธยาศัยดี เช่น
“พวกน้องๆ ก็สวยกันออกในวันนี้!”
แต่เธอเห็นว่าเสื้อผ้าที่คนอื่นใส่มาในงานวันนี้ไม่สวยเลยสักชุด เธอจึงไม่คิดที่จะพูดแบบนั้น

คุณครูร้องมาจากเพิงศาลาไทยแบบง่ายๆ ที่ทาด้วยสีสันสวยงามชวนมองว่า
“เบญจมาศ อยู่ว่างๆ ก็มาช่วยร้านขายขนมจีนแกงไก่หน่อยซีจ๊ะ”

เบญจมาศยิ้มพอเป็นพิธีเมื่อเหลือบมองไปทางครู แต่ก็นึกในใจว่า ที่ร้านนั่นมันร้อนแสนร้อน ขืนเข้าไปก็เท่ากับลงนรกทั้งเป็น ไฟในเตาอั้งโล่ก็ปะทุลูกไฟออกมา เสื้อของเธอคงเป็นจุดไหม้เกรียม คนแถวนั้นก็ดูเหน็ดเหนื่อย มีเหงื่อไคลราวกับน้ำ เพียงเพื่อเงินที่น้อยนิดเสียเหลือเกิน

เบญจมาศเดินผ่านแล้วตอบครูว่า
“หนูจะไปช่วยเขาทางโน้นพอดีค่ะ คุณครู”

เมื่อครูมองตามก็พบว่า เธอไปนั่งดูละครอยู่กับนักเรียนอีกกลุ่มหนึ่ง ทำให้ครูต้องส่ายหน้าอย่างท้อแท้

ในขณะที่นั่งดูละคร เบญจมาศก็คุยไปพลาง พูดว่าฉากต่อไปจะเป็นอย่างไร พูดเสียงดังจนเด็กคนอื่นต้องหันมามอง แต่เมื่อเห็นว่าเป็นคนสวยอย่างเบญจมาศทุกคนก็ไม่กล้าพูด แต่เนาวรัตน์ที่อยู่ชั้นสูงกว่าเบญจมาศก็ได้พูดขึ้นอย่างไม่เกรงใจว่า
“นี่ สงบปากเสียมั่งเถอะ พากย์ลั่นยังกะฆ้องปากแตก ละครอย่างนี้ เขาไม่ต้องการจ้างคนพากย์จ้ะ”

จึงทำให้เบญจมาศสงบลงได้ แต่นิสัยช่างพูดของเธอทำให้สงบอยู่ได้ไม่นาน เธอเที่ยวเอาข้อศอกถองคนโน้น กระทุ้งคนนี้ ดึงแขนเพื่อน สะกิดสะเกาตลอดเวลา จนเพื่อนๆ รำคาญ แต่เธอเผลอไปกระทุ้งเอาเนาวรัตน์ก็เลยโดยเอ็ดว่า
“แหม! เธอนี่หน้าตาสวยๆ แต่มารยาทไม่ดีเลย คนดีเขาไม่นั่งกระทุ้งคนอื่นหรือวุ่นวายกับใครๆ อยู่ไม่สุขยังงี้หรอก ฉันเองก็ไม่เคยสะกิดใคร เพราะยังงั้นใครมาสะกิดฉัน ฉันก็รำคาญ เลิกทีน่า”

เบญจมาศพยายามเลิก และภาวนาในใจให้เนาวรัตน์ลุกขึ้นไปเสีย พอถึงฉากที่สาม เนาวรัตน์ก็ลุกขึ้นไปจริงๆ ทำให้เบญจมาศมีโอกาสคุยอย่างออกรสต่อไป หัวเราะเสียงดัง ทำท่าทางคล้ายกำลังเล่นละคร และยิ่งออกท่าทางมากขึ้นเมื่อมีคนมองมาที่เธอ เพราะคิดว่าดึงความสนใจจากคนอื่นมาได้

เบญจมาศแกล้งหัวเราะออกมาทั้งๆ ที่ละครไม่มีอะไรให้ขบขัน แต่เป็นเพราะเมื่อสักครู่มีเพื่อนคนหนึ่งบอกว่า
“เบญจมาศ เวลาเธอหัวเราะนี่ หน้าเธอสวยกว่าตอนไม่ยิ้มไม่หัวเราะอีก”

เธอตั้งใจว่าต่อไปนี้จะหัวเราะวันละสิบชั่วโมง

ทุกคนสงสัยว่าเมื่อไหร่เสียงหัวเราะเสียงกระซิบจะหยุดเสียที เบญจมาศเปิดปากยิ้มตลอดเวลาเหมือนจะโฆษณายาสีฟัน คุยดังบ้างเบาบ้างตามใจชอบ เธอก่อความเดือดร้อนรำคาญใจให้ทุกคนโดยไม่สนใจว่าใครจะอยากฟังละครมากกว่า

เมื่อละครเลิก จะมีการแสดงการฟ้อนรำต่อ ซึ่งเบญจมาศก็ต้องแสดงด้วย เธอรีบไปแต่งตัวกับเพื่อนที่แสดงฟ้อนรำเชียงใหม่ แต่เครื่องแต่งกายของเธอสวยกว่าคนอื่น ผ้าไหมก็ยกเงิน เสื้อเป็นผ้าไหมแท้ เครื่องประดับที่ศีรษะก็สูงจนแทบเอียงคอไม่ได้ เธอทาเล็บสีแดงแจ๊ด แต่งหน้ามากเกินไปจนดูไม่สวย เมื่อเดินออกมาหน้าเวทีเธอก็อดยิ้มไม่ได้ เพราะคิดว่าทุกสายตาต้องจ้องอยู่ที่เธอคนเดียว

เสียงดนตรี เสียงซอ เสียงขลุ่ยที่อ่อนโยน ฟังแล้วซาบซึ้ง ทำให้เบญจมาศอดคิดไม่ได้ว่าเธอกำลังลอยอยู่เหนือเมฆ

เบญจมาศมองซ้ายทีขวาทีเมื่อเดินมาอยู่หน้าเวที แล้วกราดยิ้มไปทั่ว ทุกสายตามองดูเธอทั้งนั้นจริงๆ ทุกคนมองแล้วก็ยิ้ม…แล้วก็กระซิบกระซาบกัน และเขาคงพูดกันว่า
“นั่นไง ดาราดวงเด่นของโรงเรียน สวยเหลือเกิน สวยเหมือนดาราจริงๆ น่ะแหละ รำก็สวยกว่าเพื่อน แต่งตัวก็เด่นกว่าใครหมด รอประเดี๋ยวเถอะ จะมีตากล้องมาจับภาพเยอะแยะนับไม่ถ้วนเชียวละ”

แม้จะไม่ได้ยินคำที่เขาพูดกัน แต่เบญจมาศก็เชื่อว่า เขาคงพูดอย่างนิยมชมชอบในตัวเธอ เพราะทุกสายตามองเธอแล้วก็หันมายิ้มกัน

ผู้ฟ้อนรำทุกคนค่อยๆ ฟ้อนจากไปเมื่อดนตรีจบลง แต่เบญจมาศถ่วงเวลารำอยู่หน้าเวทีนานกว่าเพื่อน เมื่อมีเสียงปรบมือดังลั่น เธอก็เข้าใจว่าเขาปรบมือให้เธอคนเดียว เพราะเธอสวย รำเก่ง แต่งกายก็สะดุดตาราคาแพงกว่าใคร คนที่ไม่ชอบเธอก็คิดผิดไปหน่อยแล้ว

เบญจมาศยังคงฝันหวานต่อไปอีกหลายนาที หลังจากที่ทุกคนล้างหน้าเอาเครื่องสำอางออกหมด และเปลี่ยนเสื้อผ้าไปในงานกันแล้ว แม้จะเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วก็ไม่ยอมล้างเครื่องสำอางออก เพราะเธอคิดว่าถ้าล้างออก ใครจะรู้ล่ะว่าเธอเป็นดาราละคร?

เบญจมาศรู้สึกตัวชา เมื่อก้าวออกมาจากหลังเวทีแล้วได้ยินเสียงพูดกันของผู้ปกครองนักเรียนว่า
“ฉันก็กลั้นหัวเราะแทบแย่ แม่หนูคนนั้น แกแต่งหน้าเหมือนงิ้วมองดูหลอกตา ไม่สวยน่ารักเหมือนคนอื่นๆ แถมยังทำท่าจะไม่เข้าโรง แกคงเป็นคนชอบทำเด่นเท่านั้นแหละ”

ที่มา: จากหนังสือเรื่อง มรรยาทงาม ของ ผกาวดี อุตตโมทย์