“จะพูดจาปราศรัยกับใครนั้น
อย่ากระชั้นกระโชกให้เคืองหู
ไม่ควรขึ้งก็อย่าขึ้งถึงมึงกู
คนจะหลู่ลวนลามไม่ขามใจ”
“อ่านอะไรน่ะ นิตย์?”
นิตย์เกือบสะดุ้งเพราะเสียงทักใกล้ๆ ตัว
นิตย์ตอบพี่ชาย
“อ่านเตือนใจตัวเองเท่านั้นแหละ”
“คนสมัยนี้บางทีถือว่า หัวตัวใหม่ก็เลยทำให้ลืมๆ ไปเหมือนกันว่าผู้ดีเขาพูดจาปราศรัยอย่างไรกัน!”
“เฮ้ย! แกเสียดสีฉันเรอะ?”
เนาว์พูดตะคอกเหมือนจะหาเรื่อง แล้วเดินมาตรงหน้าน้องชายที่นั่งพิงเสาเรือนวางหนังสือเก่าๆ ที่หน้ากระดาษเหลืองไว้บนตัก
นิตย์พูดอย่างเรียบๆ
“เปล่าเลย แต่เมื่อวานนี้คุณแม่บ่นว่าพี่เนาว์พูดกับป้าเล็กไม่เพราะเลย”
“พอเจอกัน พี่เนาว์ก็ทักป้าเล็กว่า ‘ว่าไงป้า!’ ทำให้คุณแม่ยืนตัวชาเลย เพราะกลัวป้าเล็กจะโกรธ แล้วพอป้าเล็กขึ้นบ้านได้ครู่เดียว พี่เนาว์ก็มายืนสูบบุหรี่พ่นควันใส่หน้าป้าเล็ก พูดเสียงดัง คุณแม่บอกว่าเคราห์ดีนะที่เป็นป้าเล็ก ขืนเป็นคนอื่นละก็……..”
“ใครจะทำไม? หรือแกจะอวดเก่ง หาไอ้นิตย์?”
เนาว์เดินก้าวเข้ามาใกล้กับนิตย์อีกแล้วพูดว่า
“ทำสั่งสอนดีไปเถอะ เดี๋ยวเตะไส้แตก!”
“ผมไม่ทำไมพี่เนาว์หรอก” นิตย์ก็ตอบแบบเรียบๆ ตามนิสัยของเขา
“แต่บอกให้ก่อนว่า คุณแม่เสียใจมาก พอป้าเล็กไปแล้วคุณแม่บ่นใหญ่…..”
พี่ชายส่งเสียงดังขึ้น
“โกหกตอแหล!”
“เราไม่เห็นได้ยินซักกะคำ อย่ามาปั้นน้ำเป็นตัวหน่อยเลยวะ ไอ้เด็กเมื่อวานซืน”
“พี่เนาว์จะได้ยินยังไงล่ะ พอป้าเล็กขึ้นเรือนไม่ถึงอึดใจ เพื่อนๆ พี่เนาว์ก็มาเป่าปากเรียกให้ออกไปดูเขาชกกันนอกบ้าน!”
“แกเฉยเหอะ พูดมากเดี๋ยวจะเจ็บตัว”
แล้วเนาว์ก็เอามือล้วงกระเป๋ากางเกง วางท่า เดินแบะไหล่ พ่นควันบุหรี่เดินออกไปทันที แล้วหันมาพูดอีกนิดนึงว่า
“เฮ้ย ไอ้หมาวัด เคยได้ยินสุภาษิตว่า ปลาหมอตายเพราะปากไหมล่ะ? ถ้าไม่เคยก็ฟังเอาไว้ แกพูดมากนักระวังให้ดีก็แล้วกัน”
ถ้อยคำที่เนาว์ขู่แบบลมๆ แล้งๆ ไม่ได้ทำให้นิตย์วิตกกังวลเลย เนาว์พี่ชายที่แก่กว่านิตย์แค่ปีเดียว เขาเป็นคนมีนิสัยเกเรมาตั้งแต่เด็ก เมื่อเขาพูดจาอะไรออกมา คุณแม่ก็มักจะพูดอยู่เสมอว่า
“ฟังไม่ได้เสียเลย!”
เนาว์ไม่เคยพูดอย่างสุภาพ ผิดกับนิตย์ที่สุภาพเสมอไม่ว่าจะกับคนชราหรือเด็ก หญิงหรือชาย จนทำให้เนาว์หมั่นไส้และมักหาเรื่องทะเลาะด้วยบ่อยๆ เพราะหาว่านิตย์เป็นคนโปรดของพ่อแม่
นิตย์ไม่ได้สนใจกับเสียงฝีเท้าเบาๆ ยังคงหยิบหนังสือมาอ่านต่อ จนเสียงนั้นใกล้เข้ามา และมีเสียงพูดว่า
“มีใครอยู่บ้านมั่ง?”
นิตย์เห็นชายคนหนึ่งเมื่อเงยหน้าขึ้น เขาแต่งกายภูมิฐานในชุดสากลสีเทาแก่ เป็นผู้ที่มีผิวพรรณเปล่งปลั่ง มีเลือดฝาดเหมือนไม่เคยทำงานหนักมาเลยในชีวิต แม้จะเขาจะมีอายุมากแล้ว เขาเปิดหมวกและยิ้มให้นิตย์อย่างปรานีเมื่อนิตย์ยกมือไหว้เขาอย่างนอบน้อม
“คุณพ่อคุณแม่ไม่อยู่หรือ?” เขาพูดและนั่งลงบนเก้าอี้หวายที่อยู่ใกล้ๆ ตัว
ชายคนนี้ทำท่าเหมือนกับรู้จักพ่อแม่ของนิตย์มาก่อน จึงทำให้เขารู้สึกแปลกใจ
“คุณพ่อไม่อยู่ขอรับ ส่วนคุณแม่ก็เพิ่งเดินออกไปส่งคุณป้าเมื่อครู่นี้ กรุณาคอยสักประเดี๋ยวนะขอรับ ผมจะไปเอาน้ำเย็นมาให้ เชื่อว่าอีกสักครู่คุณแม่ก็จะกลับขอรับ”
นิตย์ก็รีบไปหาแก้วที่สะอาดพร้อมถาดรองถ้วยมา เอาน้ำแข็งหยดน้ำยาอุทัยหนึ่งหยดแล้วเติมน้ำสุกลงไป นำไปต้อนรับแขก แล้วยกบุหรี่กับไม้ขีดไฟไปให้ ชายคนนั้นหยิบบุหรี่ขึ้นมาสูบแล้วก็มองดูหน้านิตย์ และพูดขึ้นว่า
“หิวจริงบ่ายโมงเศษแล้วยังไม่ได้กินข้าวเลย มีอะไรพอจะยกมาให้กินมั่งไหมล่ะ?”
จู่ๆ ก็มีแขกมาขอรับประทานอาหารอย่างนี้ทำให้นิตย์รู้สึกแปลกใจไม่น้อย และชายคนผู้นี้ก็พูดต่อราวกับรู้ใจว่า
“มีอะไรก็ไปยกมากินเถอะ ไม่ต้องกลัวคุณแม่ว่าหรอก ถ้าไม่ให้กินละซี คุณแม่จึงจะโกรธ”
ในตู้กับข้าวไม่มีอะไรอื่น นอกจากข้าวผัดกับแกงจืดที่เย็นเฉียบ ที่เหลือจากเนาว์กินแล้ว นิตย์ยกไปตั้งไฟอุ่น แล้วทอดไข่ดาวอีกฟองหนึ่ง จัดอาหารทั้งหมดใส่ถาดที่สะอาด พร้อมช้อนส้อม ผ้าเช็ดมือ ไปตั้งไว้บนโต๊ะเล็กๆ ตรงหน้าชายคนนั้น
“อา….วิเศษ!” ชายคนนั้นถูมือไปมาแล้วลงมือรับประทานด้วยความหิว
แล้วนิตย์ก็คิดขึ้นมาว่า
“ขนมไม่มีเลย จะเอาอะไรเลี้ยงเขาดี?”
นิตย์จึงไปหยิบเอาส้มมาเช็ดให้สะอาด จัดวางไว้ในจาน แล้วเอามีดทองและจานแก้วใบขนาดพอเหมาะไปตั้งให้ และเพื่อให้แขกได้ล้างมือหลังจากปอกส้มแล้ว ก็ได้นำชามแก้วใบเล็กใส่น้ำสะอาดไปด้วย
เมื่อชายคนนั้นรับประทานอาหารเสร็จ ก็จุดบุหรี่สูบอีกมวนหนึ่ง และได้ยินเสียงที่ชินหูมาจากบันไดหลังบ้านว่า
“เฮ้ย! ไอ้ดำปืน ไปหยิบผ้าเช็ดตัวให้พ่อหน่อย พ่อจะไปว่ายน้ำ โว้ยๆ รอเดี๋ยวพรรคพวก จะรีบไปหาอะไรวะ รอพ่อแกก่อนซี”
ชายที่เป็นแขกมองดูนิตย์อย่างแปลกใจ ราวกับจะถามว่า “นั่นใคร?” แต่ก็ไม่ได้ถาม พอดีเนาว์โดยโครมๆ ขึ้นบันไดเรือนมาอย่างขัดใจ เขาร้องใส่หน้านิตย์ด้วยความโมโหเมื่อมองไปเห็นผู้ที่นั่งสูบบุหรี่อยู่
“ไอ้บ้า หูมันตึงหรือยังไงวะ?”
“เรียกคอแทบแตกไม่ได้ยิน มายืนหา….อะไรอยู่ตรงนี้เดี๋ยวพ่อเตะชัก!”
นิตย์ถามเบาๆ
“พี่เนาว์จะเอาอะไร?”
“ขอโทษนะฟังไม่ถนัด”
“หูของแกมันอยากให้ดึงจนยานลากดินใช่ไหมล่ะ?”
“บอกว่าผ้าเช็ดตัว ผ้าเช็ดตัวโว้ย ไอ้นิตย์ แกไปหยิบมาเร็วๆ นะ ไม่งั้นไอ้พวกที่มันคอยอยู่ข้างล่างเสด็จไปซะก่อนละ….”
เนาว์เหลือบไปเห็นชายที่นั่งอยู่บนเก้าอี้หวาย ท่าทางของชายคนนั้นเหมือนกับไม่เห็นหรือไม่ใส่ใจกับใครเลย จึงทำให้เนาว์ลดเสียงพูดลงนิดหน่อย
“เฮ้ย! นั่นใครวะ?”
เพราะกลัวเสียมารยาทนิตย์จึงตอบเบาๆ ว่า
“แขก….มาหาคุณแม่น่ะซี”
“รอเดี๋ยวนะ ผมจะไปเอาผ้าเช็ดตัวมาให้”
เนาว์ได้เข้าไปในครัวเพื่อหาเสบียงติดตัวไปด้วยขณะที่นิตย์กำลังเดินเข้าห้องไปหยิบของให้ แต่แล้วโทสะเขาพลุ่งขึ้นทันที เมื่อเห็นว่าข้าวผัดที่เหลือไว้เพื่อจะห่อเอาไปกินได้หายไปแล้ว
เนาว์ตะโกนลั่นบ้าน
“ไอ้นิตย์ ไอ้จอมตะกราม”
“แกเอาข้าวของพ่อแกไปกินซะแล้วเรอะ?
“ธ่อ! ไอ้นี่วอนเดี๋ยวพ่อเตะหมอบ!”
นิตย์รีบวิ่งเข้ามาเอามือจุ๊ปากตัวเองเพื่อให้พี่ชายสงบคำ
“จุ๊ๆ พี่เนาว์อย่าเอะอะนักซี แขกขอกินน่ะ เขายังไม่ได้กินข้าวเลยตั้งบ่ายโมงกว่าแล้ว”
“ไอ้บ้า แล้วแกก็ดันให้เขาไปกินเรอะ? ก็ทำไมเขาไม่ออกไปกินในตลาดล่ะ?”
“โธ่ ตลาดอยู่ไกลบ้านเราตั้งเยอะ แล้วเราก็พอมีข้าวเหลืออยู่ด้วย พี่เนาว์ก็กินแล้ว”
เนาว์ตะโกนอีกว่า
“กินแล้วๆ! แกพูดดีนัก เดี๋ยวฉันเอากำปั้นยัดปากเข้าให้หรอก”
เนาว์จงใจจะให้แขกฟังได้ยินถนัดขึ้น จึงกะโกนออกไปอีกว่า
“เห็นเขาแต่งตัวโก้หน่อย ไอ้บ้านี่ก็หมอบเสียแล้ว ก็ไอ้พวกลูกหนี้ของพ่ออีกน่ะแหละ ไม่มีใครหรอก มีอย่างหรือ ไปไหนๆ เที่ยวได้ขอข้าวเขากิน มันจะใช้ได้หรือวะ?”
นิตย์ร้อนใจจนแทบจะลุกขึ้นเต้น
“อย่าอึงไปซีพี่เนาว์ก็…..”
และพยายามพูดให้เนาว์ใจเย็น
“พระร่วงท่านยังรับสั่งเลยว่า-อันธรรมเนียมไทยแท้แต่โบราณ ใครมาถึงเรือนชานต้องต้อนรับ อย่างเลิศดีตามมีและตามเกิด ให้เพลินเพลิดกายากว่าจะกลับ….”
เนาว์ก็พูดสวนขึ้นมาว่า
“หยุดเหอะ ยิ่งฟังแล้วยิ่งหมั่นไส้”
“งั้นแกไปต้มไข่มาหลายๆ ใบ เอาเกลือห่อมาหน่อย ฉันจะเอาไปกินที่บ่อน้ำกับไอ้พวกหมาวัดข้างล่างนั่น!” เนาว์หมายถึงเพื่อนของเขาอีก 4-5 คน ที่รออยู่ข้างล่าง ซึ่งแต่ละคนก็แต่งกายแบบนักเลง คุยกันเสียงดังไม่เกรงใจเจ้าของบ้าน
เนาว์กับเพื่อนต่างก็พากันกันไปเมื่อได้ของที่ต้องการแล้ว และยังใช้คำหยาบประชดประชันแขกผู้มาเยือน ตามนิสัยของเขาทิ้งท้ายไว้หลายประโยค
ชายคนนั้นไม่ได้แสดงกิริยาเดือนร้อนอะไรเลย ยังคงนั่งเงียบ นิ่งเฉย ไม่โต้ตอบแม้แต่คำเดียว นิตย์คิดว่าเขาคงเป็นคนใจเย็นมากๆ
นิตย์จึงพยายามเอาใจเขา
“คุณลุงครับ คุณลุงคงไม่โกรธพี่ผม….”
เขายิ้มให้นิตย์เล็กน้อยแล้วตอบว่า
“ใครเขาด่าว่าเรา เราไม่ยอมรับ คำด่าว่านั้นก็ตกเป็นของเขาเอง”
“ถุงถืออย่างนี้เสีย จึงโกรธคนได้น้อยครั้งเต็มที”
“แต่ผมถือเอาความเคยชินที่ไม่ยอมโกรธพี่เนาว์ เพราะพี่เนาว์เป็นคนมีนิสัยอย่างนี้เสมอครับ พี่เนาว์คบเพื่อนผิดๆ เพื่อนพูดหยาบ พี่เนาว์ก็เอาอย่าง เพราะถือว่าเป็นของโก้เก๋ เพื่อนแต่งตัวไม่น่าดู ไว้ผมยาว นุ่งกางเกงขาลีบๆ ใส่เสื้อตัวโตๆ รองเท้าปลายแหลมเปี๊ยบ พี่เนาว์ก็เอาอย่าง เพราะนึกว่าโก้และดี”
“คุณแม่ของเธอไม่เอ็ดเอามั่งหรืออย่างไร?”
นิตย์ตอบ
“เอ็ดซีครับ”
“เอ็ดเสียจนไม่อยากจะเอ็ดไปเอง เพราะพี่เนาว์ไม่เชื่อ เอ็ดเท่าไหร่ๆ พี่เนาว์ก็ทำหูทวนลมเสีย บางทีแถมเอ็ดเอาคุณแม่เข้าให้อีก”
ชายคนนั้นบ่นเบาๆ
“อือม์! เด็กสมัยนี้บางคนใช้ไม่ได้เลย”
“เอ๊ะ! มีเสียงฝีเท้านะ คุณพ่อคุณแม่ของเธอมาแล้วละกระมัง?”
นิตย์เดินไปที่ประตูโดยก้มตัวผ่านชายคนนั้นไป แล้วพูดว่า
“ใช่ครับ คุณพ่อกับคุณแม่มาพร้อมกันพอดีเลย…”
ชายคนนั้นพูด
“ดีจริง”
แล้วเขาก็เอนตัวพิงเก้าอี้อย่างสบาย สายตาของเขามองไปทางที่เจ้าของบ้านกำลังจะก้าวเข้ามา
เมื่อคุณแม่ของนิตย์เห็นเขาเข้าก็รีบเดินเข้าไปสวมกอดเขา เขาก็กอดตอบคุณแม่ ส่วนคุณพ่อก็เข้าไปจับมือเขาเขย่าอย่างสนิทสนม ชายคนนั้นจึงถอดหมวกออกแล้วพูดว่า
“อ้วนขึ้นทั้งสองคน เป็นไง? สบายดีหรือน้อง?”
คุณแม่พูดว่า
“ค่ะ คุณพี่น่ะสิคะ จะมาก็ไม่บอก แหม! โผล่ขึ้นมาเล่นเอาดิฉันตกใจ”
ชายคนนั้นหัวเราะและพูดอย่างใจเย็นว่า
“บอกเสียก็ไม่ตื่นเต้นน่ะซี ไอ้ข้อสำคัญก็คือ พี่ได้มานั่งใช้เวลาชั่วใจอยู่บนเรือนนี้ด้วยตัวเอง และจะบอกให้เธอทั้งสองรู้ว่าพี่ตัดสินใจอย่างไร….”
คุณพ่อถาม
“ในข้อไหนครับ?”
ชายคนนั้นตอบ
“อ้าว! ก็ที่พี่บอกมาในจดหมายอย่างไรล่ะ
“พี่ขอหลานชายคนหนึ่งไปอยู่ที่เมืองนอก โดยพี่จะออกทุนการศึกษาให้หมด และให้ความสุขทุกอย่างเหมือนกับเป็นลูกของพี่แท้ๆ นั่นไง เพราะพี่เองไม่มีลูก เลยอยากได้หลานแทน เวลานี้พี่รู้ดีว่าคนไหนจะดีกว่ากัน ระหว่างเนาว์กับนิตย์”
เมื่อนิตย์ได้ฟังก็ถึงกับตกตะลึง ดีใจ ประหลาดใจ ระคนกันไป ตัวชาจนแทบไม่มีความรู้สึก คุณแม่จึงหันมาเรียกว่า
“นิตย์ มาหาคุณลุงสิลูก”
คุณพ่อถาม
“กราบคุณลุงหรือยัง?”
คุณลุงยิ้ม ยกมือขึ้นตบบ่านิตย์ แล้วตอบแทนว่า
“เรียบร้อยแล้ว”
“ว่าไง เรียนจบ ม.ศ. ห้าแล้วนี่ อยากไปเรียนต่อที่เมืองนอกกับลุงไหมล่ะ?”
คุณแม่จึงอธิบายเมื่อเห็นว่านิตย์ยังคงตะลึงอยู่ว่า
“นิตย์ลูกรัก นี่คือคุณลุงของลูกแท้ๆ เป็นพี่ชายคนเดียวของแม่ แต่คุณลุงไปทำงานประจำอยู่ต่างประเทศ ลูกๆ ของแม่จึงไม่ได้มีโอกาสรู้จัก คุณลุงใจดีจ้ะ และอยากได้ลูกแม่คนหนึ่งไปอยู่ด้วย”
นิตย์จึงพูดขึ้นมาว่า
“แต่พี่เนาว์ควรจะได้ไปเมืองนอกก่อนผม”
คุณลุงถาม
“เพราะเหตุใด หลาน?”
นิตย์ตอบลุงว่า
“เพราะอายุมากกว่าผมถึงหนึ่งปีขอรับ”
คุณลุงหัวเราะชอบใจแล้วพูดว่า
“เปล่าเลย อายุมากหรือน้อยกว่ากันไม่สำคัญหรอกหลาน มันสำคัญตรงที่ว่า ความคิดมากกว่ากันหรือเปล่า?” เพียงแต่ลุงมานั่งได้ครู่เดียวก็เห็นว่า นิตย์เป็นคนดี มีความอ่อนน้อมและโอภาปราศรัยเป็นที่รื่นหู ลุงจึงตกลงใจทันที”
คุณแม่บอกว่า
“เนาว์ก็เรียนจบ ม.ศ. ห้าเหมือนกันค่ะ คุณพี่”
คุณลุงตอบว่า
“รู้แล้วละ สองคนนี่เรียนเท่ากัน อายุมากกว่ากันนิดหนึ่ง แต่ความคิดมากน้อยกว่ากันเยอะแยก พี่ตกลงใจแน่ว่า ชอบนายนิตย์คนนี้”
คุณพ่อจึงเย้านิตย์ว่า
“แต่ว่านิตย์น่ะจะยอมจากบ้านไปได้หรือ?”
“ถ้าแม่เขาไม่มีนิตย์ เขาคงแย่ทีเดียว เพราะเป็นหูเป็นตาให้พ่อแม่ได้ดีเหลือเกิน”
คุณแม่พูดขึ้นว่า
“จริงสิคะ ดิฉันคงคิดถึงนิตย์แย่ เพราะนายเนาว์แกไม่เป็นที่พึ่งเสียเลย”
คุณลุงจึงเสริมขึ้นว่า
“คนดีน่ะใครๆ ก็ต้องการ จริงไหมเธอ”
นิตย์ได้แต่ฟังคำชมด้วยความรู้สึกภาคภูมิใจจนบอกไม่ถูก เพราะไม่รู้จะพูดหรือต้องทำอย่างไร
ที่มา:จากหนังสือเรื่อง มรรยาทงาม ของ ผกาวดี อุตตโมทย์