ในปีหนึ่ง ๆ นั้น เท่าที่มีประสบการณ์จากการค้นคว้าตำรับตำราที่ท่านผู้เขียนเก่า ๆ ได้เขียนไว้บ้าง จากประสบการณ์ที่ได้พบได้เห็นมาด้วยตนเองบ้าง และจากการบอกเล่าจากท่านผู้รู้บางท่านบ้างจึงพอจะประมวลไว้ตลอดปีได้ดังนี้
๑. เดือน ๗ เหนือของทุก ๆ ปี ตรงกับเดือน ๕ ใต้ ตรงกับเดือนเมษายน เดือนนี้มีประเพณีการเล่นสงกรานต์, ประเพณีสระเกล้าดำหัว, ปอยหน้อย, (บวชลูกแก้วหรือบวชเณร) ขึ้นบ้านใหม่, เลี้ยงผีปู่-ย่า
๒. เดือน ๘ เหนือ ตรงกับเดือน ๖ ใต้ ของทุก ๆ ปี ตรงกับเดือนพฤษภาคม เดือนนี้มีประเพณีปอยหน้อย (บวชลูกแก้วหรือบวชเณร), ปอยหลวง,ขึ้นบ้านใหม่,แต่งงาน,วันวิสาขบูชา,ไหว้พระธาตุ
๓. เดือน ๙ เหนือ ตรงกับเดือน ๗ ใต้ ของทุกๆ ปี ตรงกับเดือนมิถุนายนเดือนนี้อากาศมักจะร้อนจัด และมีคำพังเพยว่า “เดือนเก้า หมาเฒ่านอนน้ำ” มีความหมายว่า “ในเดือนเก้านั้นอากาศร้อนเป็นอันมาก ร้อนจนกระทั่งหมาเฒ่าต้องอาศัยนอนน้ำ เพื่อบรรเทาความร้อน” เดือนนี้มีประเพณีการไหว้พระสารีริกธาตุต่าง ๆ เช่น พระบรมสารีริกธาตุบนดอยสุเทพ, พระบรมสารีริกธาตุวัดพระธาตุหริภุณชัย, พระบรมสารีริกธาตุวัดลำปางหลวง เป็นต้น ในเดือนเก้าเป็ง (ในเดือนเก้าเพ็ญ) มีคำพูดภาษาเมืองเหนืออีกคำหนึ่งคือ คำว่า “เป็ง” หมายถึง “เพ็ญ” เช่น อี่นายจั๋นทร์เป็ง คือ อี่นายจันทร์เพ็ญ, เดือนยี่เป็ง คือ วันเพ็ญเดือนยี่, อี่นายเป็ง(เป็งเฉย ๆ) ก็คือ อี่นายที่ชื่อ “เพ็ญ” เฉย ๆ เป็นต้น ในเดือนนี้ ถ้าหากปรากฎว่ามีฟ้าฝนดี บรรดาพี่น้องชาวนาทั้งหลายก็จะเริ่ม “แฮกนา” แล้วไถดะ จากนั้นก็ทำการ “เผือ” หรือ “เผือนา” ดังที่ได้เล่ามาแล้ว เมื่อเสร็จจากกรรมวิธีต่าง ๆ ก็จะหว่านข้าวกล้าเตรียมไว้ในฤดูปักดำต่อไป
๔. เดือน ๑๐ เหนือ (เดือน ๘ ใต้ ตรงกับเดือนกรกฎาคม) ในวันเพ็ญ เดือน ๑๐ เขาจะมีการประกอบพิธีเข้าหวะสา(เข้าพรรษา) แล้วบรรดาชาวนาก็จะมีการเริ่มไถนากันอย่างพร้อมเพรียงทั่ว ๆไป เพื่อหว่านข้าวกล้า เพื่อเตรียมไว้ในฤดูปักดำด้วยเข้าฤดูฝนเต็มที่แล้ว
๕. เดือน ๑๑ เหนือ (เดือน ๙ ใต้ ตรงกับเดือนสิงหาคม) เป็นฤดูที่มีน้ำท่าบริบูรณ์ บรรดาพี่น้องชาวนาต่างคนก็ต่างดีใจ คอยเร่งวันเร่งคืนเพื่อให้ข้าวกล้าที่หว่านไว้แก่จนได้ผลเต็มที่ เพื่อจะได้ถอนเอาข้าวกล้านั้นไปปลูกในนาข้าว ดังนั้น ในเดือนนี้จึงเป็นฤดูที่บรรดาพี่น้องชาวนามีความเบิกบาน หฤหรรษ์เป็นที่สุด เพราะมองไปทางไหนก็มองเห็นน้ำเต็มท้องนาไกลแสนไกล ฝูงกบเขียดจะส่งเสียงร้องหาคู่อย่างอึงคนึง อากาศก็ไม่ร้อนไม่หนาว พอดีที่สุดในคืนวันที่ไม่มีความร้อนอบอ้าว ที่ทารุณที่สุดก็คือการที่ต้องยืนขาแข็งอยู่กลางน้ำท่วมเปียกแฉะเจิ่งอยู่เต็ม ที่ร้ายไปกว่านั้น กลางวันแดดร้อนเปรี้ยงอย่างทารุณ หรือบางทีเป็นวันฝนตก พี่น้องชาวนาเหล่านั้นก็ต่างคนต่างมุ่งหน้ากับงานปลูกข้าวในท้องนาของตนเองอย่างอดทน ท่ามกลางสายฝนซึ่งตกลงมาอย่างหนักแทบตลอดวัน พวกชาวนาหนาวสั่นสะท้านไปทั้งร่าง แต่ทุกคนก็ยอมทน
๖. เดือน ๑๑ เหนือ (เดือน ๙ ใต้ ตรงกับเดือนสิงหาคม) การปลูกนา, ดำนาก็จะดำเนินไปเรื่อย ๆ จนหมดฤดู ต่อจากนั้นก็จะมีคนแก่คนเฒ่าคือ ผู้มีวัยอาวุโสก็จะหอบข้าวของที่จำเป็นแก่การยังชีพในวัด เพื่อเข้าไปฟังเทศน์ ฟังธรรม และจำศีลภาวนาในวัดซึ่งตนเองเป็นเจ้าศรัทธาอยู่
๗. เดือน ๑๒ เหนือ (เดือน ๑๐ ใต้ ตรงกับเดือนกันยายน) ฝนมักจะตกหนัก น้ำจะเจิ่งนองและท่วมในบริเวณที่ลุ่มทั่วไป ประเพณีทางศาสนาก็มีประเพณีก๋ารตาน ก๋วยสลาก ในวันขึ้น ๘ ค่ำ ถึง ๑๕ ค่ำ เรื่อยไปจนถึงเดือน ๑๒ แรม ๑๕ ค่ำ
สำหรับในคืนวันเพ็ญเดือน ๑๒ จะมีการทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่บรรดาญาติพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้ว เรียกงานประเพณีดังกล่าวนี้ว่า “ปอยข้าวสังข์” ทั้งนี้เพราะเหตุว่า บรรดาพี่น้องทางภาคเหนือต่างก็ถือเป็นประเพณีกันว่า ในคืนดังกล่าวนี้ยมบาลปล่อยให้ผีมารับเอาของกินของทานได้ และชีวิตประจำวันของพี่น้องที่อยู่ในส่วนภูมิภาคนั้น เมื่อว่างเว้นจากการทำนาแล้ว ถ้าไม่นั่งคุยกันเป็นกลุ่ม ๆ ก็ทำงานบ้านในหน้าที่ของพ่อบ้านเล็ก ๆ น้อย ๆ บางวันว่างก็จะนอนหลับกันแทบจะตลอดทั้งวัน บางคนที่ขยันหน่อยก็จะถือจอบถือเสียมเข้าไปยังไร่ยังสวนของตน แล้วก็ทำการปลูกผักและผลไม้ไว้กินกันไม่ได้ทำเป็นล่ำเป็นสันแต่อย่างใด ระยะนี้หากรัฐบาลสนใจก็จะสามารถสร้างพลังงานในด้านการเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นอีกเป็นจำนวนไม่ใช่น้อย ตัวอย่างเพียงเล็กน้อยที่ผู้เขียนจะขอยกมากล่าวอ้างคือ เอาจำนวนประชากร ๑ ใน ๓ ของจำนวนพลเมืองทั้งหมดในภาคเหนือ คูณด้วยอัตราค่าแรงงานอย่างต่ำวันละ ๒๕ บาท แล้วคูณด้วยจำนวนเดือนที่ได้กระจ่ายให้เป็นวันเรียบร้อยแล้ว สมมุติ ๓ เดือน ก็ได้ ๙๐ วัน ก็เอาประชากร ๑ ใน ๓ คูณวันละ ๒๕ บาท (ตามกฎหมายแรงงานขณะนี้) แล้วนำไปคูณด้วย ๙๐ วันเรียบร้อยแล้ว ผลลัพธ์จะออกมาเป็นเงินจำนวนมากอย่างน่าตกใจเลยทีเดียว
ทีนี้ถ้าเผื่อเราจะให้ความสนใจ ช่วยแนะนำอาชีพอย่างอื่นให้เขา ทุกหมู่บ้าน ทุก ๆจังหวัดก็จะเป็นผลประโยชน์ในด้านการเศรษฐกิจของชาติเป็นจำนวนมิใช่น้อยเลย
๘. เดือนเกี๋ยงเหนือ (ตรงกับเดือน ๑๑ ใต้ ตรงกับเดือนตุลาคม) จะมีประเพณีการทำบุญออกหวะสา(ออกพรรษา) การทานสลากภัตร (ตานก๋วยสลาก) ทำบุญทอดกฐิน เรื่อยไปจนถึงวันเพ็ญเดือนยี่ ชาวบ้านจะเริ่มทำสวนผักเหมือนอย่างเดือน ๑๒ เหนือ
๙. เดือนยี่เหนือ (คือ เดือน ๑๒ ใต้ ตรงกับเดือนพฤศจิกายน) จะมีการทำบุญทอดกฐินเรื่อยไปจากเดือนเกี๋ยงเหนือเป็นต้นมาจนถึง ๑๕ ค่ำ เดือนนี้จะมีประเพณีการลอยกระทง ต๋ามผางผะตี๋ด (ตามประทีป) ทำบุญทอดผ้าป่า ตั้งธรรมหลวง คือ เทศน์มหาชาติ เดือนนี้จะเป็นฤดูการทำไร่ทำสวน ของชาวบ้าน
๑๐. เดือน ๓ เหนือ (เดือนอ้ายใต้ ตรงกับเดือนธันวาคม) มีประเพณีเทศน์มหาชาติ,ทำบุญทองผ้าป่า เดือนนี้ชาวบ้านจะเริ่มเกี่ยวข้าวคอ คือข้าวที่สุกก่อนข้าวปี พอถึงเดือน ๓ ข้างแรมก็จะมีการเกี่ยวข้าวปี ทางด้านพี่น้องทางภาคเหนือที่เป็นชาวสวนก็จะเริ่มปลูกพืชล้มลุก เช่น กะหล่ำออก กะหล่ำปี๋ ผักกาดชนิดต่าง ๆ ผั๊กขี้หุด เป็นต้น
๑๑. เดือน ๕ เหนือ (เดือนยี่ใต้ ตรงกับเดือนมกราคม) ในเดือนนี้บรรดาพี่น้องชาวนาทางภาคเหนือ ถือกันว่าถึงฤดูเก็บเกี่ยว เขาจะช่วยกันเกี่ยวข้าว เอาเฟือง (เอาฟาง) ตลอดจนตี๋ข้าว (นวดข้าว) เรียบร้อย จะนำไปเก็บไว้ที่ยุ้งฉางในบริเวณบ้านของตนเอง เมื่อเสร็จจากการเกี่ยวข้าว ตี๋ข้าวเอาเฟืองเรียบร้อยแล้ว หลังจากนั้นก็จะเป็นการทำบุญประเพณีที่เรียกว่า ตานข้าวจี่ข้าวหลาม และจะมีการทำบุญขึ้นบ้านใหม่เรียกว่า “ขึ้นเฮือนใหม่” และบรรดาหนุ่มสาวที่ได้หมายตากันไว้นานแล้ว หรือเพิ่งจะมารักมาชอบกัน หรือพ่อแม่จับคลุมถุงชน (เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้ว) ก็จะจัดให้มีการ “กิ๊นแขกแต่งงาน” กันขึ้นเป็นที่เอิกเกริกสนุกสนาน
๑๒. เดือน ๕ เหนือ (เดือน ๓ ใต้ ตรงกับเดือนกุมภาพันธ์) จะเป็นเดือนที่มีการประกอบพิธีวัน “มาฆบูชา” มีการทำบุญปอยหลวง หากมีศพคนตายที่เก็บไว้นาน ๆ เขาก็จะนำเอาศพนั้น มาประกอบพิธีทำบุญสัตมวารศพ และทำก๋ารเผาจี๋เสียในเดือนนี้ ถ้าเป็นศพของคนที่มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ หรือเป็นศพของ “ตุ๊หลวงเจ้าวัด” หรือ “ตุ๊เจ้าที่มีคนนับถือมากมาย” เขาก็จะทำพิธีกันอย่างขนานใหญ่ เรียกกันว่า พิธีลากผาสาท (ลากปราสาท) หรือทางไทยใหญ่จะเรียกพิธีทำศพอย่างเอกเกริกดังกล่าวนี้ว่า “ปอยล้อ” เป็นต้น เป็นที่น่าสังเกตด้วยว่า เดือนนี้จะเป็นเดือนที่มีอากาศเริ่มร้อน คือ เริ่มเข้าหน้าร้อน
ในฤดูดังกล่าวนี้ ทางภาคเหนือจะมีดอกไม้ชนิดหนึ่งเรียกกันทั่วไปว่า “ดอกทองกวาว” ซึ่งบางท้องที่บางแห่งก็เรียก “ดอกก๋าสะลอง” และบางแห่งก็จะเรียก “ดอกก๋าว” หรือ “กว๋าว” เฉย ๆ ดอกไม้ที่ว่านี้จะเริ่มออกดอก แล้วบานสะพรั่งเต็มต้นตลอดทั้งทุ่ง(ท้องนา) เลยทีเดียว ดอกทองกวาวที่ว่านี้เป็นสัญญลักษณ์อย่างหนึ่งของภาคเหนือ
๑๓. เดือน ๖ เหนือ (เดือน ๔ ใต้ ตรงกับเดือนมีนาคม) ในเดือนนี้เขานิยมมีประเพณีการทำบุญ “ปอยหน้อย” (บวชพระบวชเณร) ขึ้นบ้านใหม่ และพิธีแต่งงาน
ส่วนประเพณีที่ไม่เกี่ยวกับศาสนา เช่น ประเพณีการเลี้ยงผี หรือการฟ้อนผีมด-ผีเม็งนั้น จะเริ่มกันตั้งแต่เดือน ๗ เดือน ๘ เดือน ๙ เหนือ
หากจะกล่าวโดยสรุปแล้ว หากจะมีการพิจารณาในชีวิตประจำวันของชาวเหนือโดยพิจารณาตลอดปีแล้ว จะเห็นว่าชีวิตของบรรดาพี่น้องชาวเหนือนั้นดำเนินไปอย่างมีระเบียบและเรียบ ๆ ไม่โลดโผนเท่าไรนัก สิ่งที่จะห่างเสียไม่ได้ในชีวิตประจำวันของพี่น้องชาวเหนือก็คือ ประเพณีที่มีความคลุกคลีอย่างใกล้ชิดกับการศาสนา
อาจจะเป็นด้วยพี่น้องชาวเหนือมีศรัทธาปสาทะต่อพระศาสนาอย่างใกล้ชิดนี่เอง ถ้าจะสังเกตดูตามวัดวาอารามหรือตามย่านหรือแหล่ง ซึ่งเป็นที่สำหรับพบปะของผู้แก่ผู้เฒ่าหรือผู้อาวุโสทั่วไป จะมีการเสวนากันถึงเรื่องการปฏิบัติธรรมอย่างไม่ว่างเว้นในฤดูเข้าหวะสา (เข้าพรรษา) ผู้อาวุโสเหล่านั้นก็จะให้ลูกหลาน หาบขนเอาเครื่องสำหรับใช้นอนวัดเท่าที่จำเป็น ไปถือศีลภาวนาอยู่เสียที่ในวัด แม้จะมีธุรกิจจำเป็นอย่างอื่นก็หยุดกันหมด หันมาถือศีลกินเพลกันอย่างเดียวในวันธรรมสวนะนั้น
เห็นจะเป็นเพราะเป็นผู้ที่ยึดถือสัจจะและใกล้ชิดกับวัด อันเป็นสรณะอย่างหนึ่งของพี่น้องทางภาคเหนือ จึงบันดาลให้ท่านเหล่านั้นมีชีวิตดำรงอยู่อย่างเรียบร้อย รักสงบ สันโดษ และมีจิตใจสูง และมีดวงหน้าที่เต็มไปด้วนสัญญลักษณ์แห่งมิตร คือมีแต่การยิ้มและการให้อภัยอยู่เสมอ มีความสุข มีความพอใจในชีวิตเท่าที่เป็นอยู่ ทำมาหากินกันอย่างขยันขันแข็ง ไม่ละโมภ จึงทำให้วิถีชีวิตของบรรดาพี่น้องทางเมืองเหนือเหล่านั้น ประสบแต่ความสุขสมบูรณ์ตามควรแก่อัตภาพตลอดมา
ชูรัตน์ ชัยมงคล
ประเพณีของ “ชาวเหนือ” ในรอบปี
Leave a Reply