มารยาทหญิงไทย

Socail Like & Share

หญิงครึ่งชายครึ่ง
มีสุภาษิตของโบราณกล่าวไว้ว่า
“เกิดเป็นหญิงก็ให้เห็นว่าเป็นหญิง
อย่าทอดทิ้งกิริยาอัชฌาสัย
เป็นหญิงครึ่งชายครึ่งไม่พึงใจ
ใครเขาไม่สรรเสริญเมินอารมณ์ฯ”

ที่โบราณท่านว่าหญิงครึ่งชายครึ่ง สมัยนี้มีอยู่เกลื่อนกลาด วัฒนธรรมดีงามของไทยต้องถูกทอดทิ้งโดยไม่มีใครสนใจ น่าเสียใจและเสียดายยิ่งนัก ไปรับเอาของตะวันตกที่นึกว่าโก้เก๋เข้ามาแทน แม้แต่ผู้ดีในตะวันตกเขาก็ยังไม่คิดว่าโก้ และไม่ประพฤติปฏิบัติกัน

การไหว้ของเยาวชนรุ่นใหม่บางคน แทบจะดูไม่ได้ บางคนก็ยกมือขึ้นอย่างเสียไม่ได้ บางคนก็รีบๆ ทำ อย่างเช่นมีคุณแม่บอกลูกชายวัยรุ่นว่า
“ลูกมากราบคุณอาเสีย”
ลูกชายก็วิ่งไปไหว้ไป จะหยุดไหว้ให้สวยสักนิดก็ไม่มีเวลา

ผู้หญิงก็เอาอย่างบ้าง นั่งพับเพียบหรือ? ไม่ไหวหรอก! เมื่อยขาตายเลย!! ก้มศีรษะมาก เวลาไหว้หรือ? ตายจริง! ทรงผมยุ่งหมดพอดี ทรงนี้เขาหวีมาเป็นพิเศษ ก้มมากนักไม่ได้! เมื่อแม่บอกว่า เดินฝีเท้าหนัก โบราณเขาว่า “สาวเรือนไหว” เงินทองจะหนีหมดน่ะหรือ? ปัทโธ่! เรื่องเล็ก สมัยนี้ต้องเดินสง่าๆ ถึงจะดี มัวแต่ย่องๆ อยู่จะทันหรือ? พวกผู้ใหญ่นี่ไม่รู้อะไร คร่ำครึโบราณ แล้วก็เจ้าระเบียบ พูดจากันไม่รู้เรื่อง!!

และในวันที่วัยรุ่นเหล่านี้เติบโตกลายเป็นผู้ใหญ่ที่มีความคิด ก็ต้องมานั่งพูดว่า
“เออ….จริงอย่างที่แม่สอนเหลือเกิน รู้ยังงี้เราเอาอย่างเสียก็จะดีซี”

บางทีเราอาจต้องมองจนเหลียวหลังกับการแต่งตัวของเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ได้แต่นึกอยู่ในใจว่า
“เอ! แม่คนนั้นแกเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงกันแน่?”

เพราะว่าเด็กผู้หญิงคนนั้นตัดผมสั้นเหมือนผู้ชาย ใส่กางเกงยีนฟิตเปรี๊ยะ ติดซิปข้างหน้า ใส่เสื้อเชิ้ตตัวใหญ่พับแขน ท่าเดินก็คล้ายผู้ชาย ปากเคี้ยวหมากฝรั่งหยับๆ ใต้วงแขนมีหนังสือการ์ตูนฝรั่งหนีบอยู่”

ส่วนผู้ชายที่เดินผ่านไป เขาใส่เสื้อฮาวายลายดอกกุหลาบ จนอดที่จะอมยิ้มไม่ได้

ข้างบ้านมีวัยรุ่นสาวน้อยคนหนึ่ง กำลังคลั่งไคล้ดนตรีสมัยใหม่จากอเมริกา ที่ร้องกรี๊ดๆ ออกมาจนแสบแก้วหู และท่าเต้นรำที่เหมือนคนเป็นโรคร้ายแรงน่ากลัว พอคุณแม่เรียก เธอก็ถลาจากจานเสียงมานั่งขัดสมาธิต่อหน้าแขก เวลานั่งอ่านหนังสืออยู่กับผู้ใหญ่ ก็เอนหลังลงบนเก้าอี้ เอาเท้าทั้งสองข้างพาดบนขอบโต๊ะที่ตั้งอยู่ปลายเก้าอี้พอดี

สาววัยรุ่นเหล่านี้ ส่งเสียงคุยข้ามศีรษะคุณย่าคุณยายอย่างหน้าตาเฉย จนท่านจะเป็นลมวันละหลายหน เวลายืนก็ยืนค้ำศีรษะท่านไม่คิดว่าผู้ใหญ่นั่งอยู่ตรงไหน เพราะถือว่าสะดวก

ผู้ใหญ่ก็ได้แต่บ่นกันลับหลังว่า
“อีกหน่อยเวลาฉันให้เขาชี้ว่าของอยู่ตรงไหน เขาคงถึงขนาดใช้นิ้วเท้าชี้!”

เด็กวัยรุ่นอาจจะพูดว่า
“หนูโตแล้ว คุณแม่อย่าสั่งสอนเหมือนกับหนูเป็นลูกแดงๆ เลย”
“คุณพ่อคุณแม่ไม่เข้าใจหนูเลย”

พ่อแม่เข้าใจลูกดี ในฐานะที่เป็นผู้ให้กำเนิดของเด็กดี ที่งามทั้งกิริยามารยาท ไม่ใช่ในฐานะผู้ปกครองของเด็กวัยรุ่นที่มองดูไม่ออกว่าจะเอายังไงกันแน่

ในวันหนึ่ง มีกลุ่มของเด็กสาวแต่งกายเหมือนนัดกันมาแบบสะดุดตา คนที่ใส่ชุดสีสด แขนพองยาวรัดข้อมือ รองเท้าส้นสูงสามนิ้วครึ่ง คงจะไม่เคยใส่มาก่อน เพราะรองเท้าอาจจะกัดเสียจนปวดจึงต้องคอยยกเท้าออกนอกรองเท้าเสมอเมื่อปลอดคน บางคนก็เดินโขยกเขยก มองดูแล้วรู้ว่าไม่เคยชินกับรองเท้าประเภทนี้

เมื่อนั่งลงที่โต๊ะ ก็ส่งเสียงคุยโขมงโฉงเฉงไม่อายผู้คน พอสักพักเพื่อนอีกสามคนก็มาถึง กลุ่มนี้ใส่เสื้อเชิ้ตพับแขน สีม่วง เม็ดมะปรางแสด และสีเขียวสด ใส่กางเกงสีดำที่ฟิตจนขนาดถ้านั่งแรงๆ ก็มีหวังตะเข็บปริออกได้

“เฮ้ย! ไปทำอะไรมาวะ ไอ้ลูกแม่ ช้าเป็นบ้าเลย เพื่อนๆ บ่นกันจม”

ภาษาไทยที่ใช้ทักทายถูกแปลงเสียจนเป็นสะแลงไปหมด และลองนึกถึงคนฟังว่าเขาจะต้องเดือดร้อนและรำคาญหูกับถ้อยคำต่อไปมากแค่ไหน

หญิงไทยได้รับคำนิยมจากต่างชาติว่าเป็นชาติที่เป็นตัวอย่างที่ดีในด้านความอ่อนหวานละมุนละไม การแต่งกายงดงามถูกต้องตามกาลเวลา กิริยาท่าทางการพูดการจาก็นุ่มนวลอ่อนช้อย แต่ถ้าวัยรุ่นเป็นเสียอย่างนี้ ชื่อเสียง ที่เคยมีมา ก็อาจกลายเป็น ชื่อเสีย ไปได้ พร้อมๆ กับการที่ผู้หญิงไทยได้กลายเป็นหญิงครึ่งชายครึ่ง และมีจำนวนมากขึ้นอย่างไม่น่าพอใจ

ที่มา: จากหนังสือเรื่อง มรรยาทงาม ของ ผกาวดี อุตตโมทย์