คนน่าเบื่อคือคนแบบไหน

Socail Like & Share

มีชายหญิงจำนวนมากยืนจับกลุ่มคุยกันอย่างร่าเริงในห้องโถงขนาดใหญ่ ที่ตกแต่งอย่างงดงามด้วยแสงไฟหลากสี และดอกไม้สด ทุกคนแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่สวยงามน่าดู เป็นวันฉลองครั้งใหญ่ที่สิริมามีอายุได้สิบหกปีบริบูรณ์ ซึ่งเธอเป็นธิดาคนเดียวของเจ้าบ้านผู้ที่มีฐานะร่ำรวย

สิริมาเป็นคนร่ำรวยและช่างพูดที่ใครๆ ก็รู้ดี แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าคำพูดของเธอจะแสดงความเขลาและน่าเบื่อได้มากเพียงใด

เธอแต่งกายในชุดสีชมพูสดใส และมองดูเพื่อนสาวคนอื่นของเธออย่างพินิจพิจารณาว่า จะมีใครที่แต่งตัวสวยกว่าเธอหรือเปล่าในงานนี้ ชุดของเธอมีราคาแพงมาก เธอยิ้มอย่างพอใจเมื่อไม่มีใครแต่งได้สวยกว่าเธอ เธอเดินไปที่กลุ่มเพื่อนและทักว่า
“แหม: วันนี้แขกของฉันมากันทุกคนเลยนะจ๊ะ เป็นอย่างไร ขนมเค้กวันเกิดอร่อยไหม? คุณพ่อสั่งโรงแรม…ทำให้ฉันเชียวนะ ราคาแพงมากอย่าให้บอกเลยว่าเท่าไหร่ ขืนบอกพวกเธอก็ต้องตาลุกเท่านั้นแหละ”

สิริมายิ้มออกอย่างกว้างทันที เมื่อรัศมีเพื่อนที่ปากหวานพูดอย่างเอาใจว่า
“แต่ฉันว่า ที่สวยและน่ากินกว่าขนมเค้ก คือเสื้อเธอชุดนี้”

สิริมาพูดต่อว่า
“โอ้โฮ! โดนแต่ค่าจ้างตัดร้านคุณ…ไงล่ะเธอ คุณแม่ยังแทบไม่เชื่อหู แล้วเอาไปปักอีกร้านหนึ่ง ค่าผ้าก็แพงอยู่แล้วนะ แต่คุณแม่บอกว่าไม่ปักก็ไม่เด่น”

สิริมาอวดต่อว่า
“เธอชอบผมของฉันไหม? ฉันทำที่ร้าน…ไงล่ะ แพงที่สุดในเมืองไทย แต่ก็สวยเสียจนเลิกเสียดายเงิน”

พรสวรรค์อวดขึ้นมาบ้างว่า
“เออ…คุณแม่ของฉันก็เคยไปทำร้านนั้น”
“แต่ท่านไปทำเฉพาะเวลาจะไปงานเท่านั้นแหละ เวลาปกติท่านบอกว่า ทำไม่ไหวหรอก ร้านนั้นแพงมาก”

สิริมาก็ขัดขึ้นทันทีว่า
“ทั้งคุณแม่และตัวฉันทำร้านนั้นเป็นประจำ ช่างเขาบอกว่า ‘ถึงจะอายุน้อยอย่างฉันก็ควรไปทำร้านดีๆ ผมจะได้ไม่เสีย’ เราจ่ายเงินให้เขาเสียจนเป็นของธรรมดาไปแล้ว ก็ยังถูกกว่าค่ากับข้าวบ้านฉันนะเธอ”

ทำให้หลายๆ คนร้องโอ้โฮ! ไปตามๆ กัน

สิริมายิ้มและอวดต่อไปว่า
“เพราะคุณพ่อฉันท่านรับประทานอาหารไทยไม่ค่อยได้”
“ท่านบอกว่าท่านเบื่อ ต้องอาหารฝรั่งถึงจะชอบ บางทีตอนเย็นๆ เราออกไปกินอาหารจีนที่…เหลา อร๊อยอร่อย ไปทีไรไม่เคยต่ำกว่าร้อยบางทีสองร้อยแน่ะ”

เพื่ออวดฐานะของตน ธิดาจึงรีบพูดขึ้นบ้างว่า
“ฉันก็เคยไปกิน เหล่านั้นอร่อยนะ”
ซึ่งความจริงแล้ว ธิดาไม่เคยไปกินอาหารที่ภัตตาคารนั้นเลย แต่อดที่จะอวดบ้างไม่ได้

ทำให้สิริมาท้วงขึ้นมาทันทีว่า
“แต่เธอคงไม่เคยกินอย่างที่พ่อฉันสั่งมากิน”
“เป็ดย่างไฟแดง หมูหัน ผัดตีนเป็ด….”

ธิดาตอบ
“เคย”
“เคยทุกอย่างแหละ แต่ฉันไม่ชอบผัดตีนเป็ดหรอก”

สิริมาถามธิดาว่า
“งั้นเธอชอบกินอะไรล่ะ ที่นั่นน่ะ?”

ธิดาชักอึกอัก
“อ้อ….อ้า….”
“ฉันชอบ…อ้า….ชอบปลาอบกับมะเขือเทศจ้ะ”
ทั้งๆ ที่เกิดมาก็ไม่เคยกินปลาอบกับมะเขือเทศสักหนเดียว แต่เธอก็ตอบไปเพราะจำได้จากรายการอาหารทางโทรทัศน์

สิริมาทำตาโต แล้วหัวเราะอย่างขบขัน
“อะไรกัน! ปลาอบ ที่เหลานี้ฉันรับรองได้ว่าไม่มีปลาอบ เพราะนั่นมันอาหารฝรั่ง นี่มันอาหารจีน เธอคงจะไปคนละเหลากับฉันเสียแล้วละมั้ง ธิดา?”

ทุกคนต่างก็หัวเราะในขณะที่ธิดาหน้าเสียเพราะความอาย ทำให้ทุกคนรู้ได้ทันทีว่า ธิดาไม่เคยไปภัตตาคารแห่งนั้นจริง แต่คุยโตโอ้อวดไปเท่านั้น

แต่ที่ไม่หัวเราะเหมือนคนอื่นมีอยู่คนเดียว คือ กิ่งแก้ว เธอมีอายุสิบหกปีเท่าสิริมา แต่มีความคิดเป็นผู้ใหญ่มากกว่า

กิ่งแก้วคิดในใจว่า
“คนที่มีมารยาทดี จะต้องไม่คุยเรื่องของตัวเองข่มคนอื่น อย่างที่สิริมาทำกับธิดา และไม่ควรพูดแต่เรื่องของตัวเองคนเดียว ขณะที่คนอื่นเขาก็อยากพูดเรื่องของเขามั่ง ฉันนั่งฟังเรื่องของสิริมาจนเมื่อยไปหมดแล้ว!”

ทันใดนั้น เพื่อนๆ ที่กำลังคุยกันอยู่ก็หยุดคุย กิ่งแก้วแทบสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงของผู้ชายคนหนึ่งพูดว่า
“แม่หนูคนนี้ล่ะ ชื่ออะไร?”

เขาแต่งกายชุดสากลราคาแพง มีท่าทางภูมิฐาน ดูก็รู้ว่าเป็นคนมีเงิน เขาคือบิดาของสิริมานั่นเอง กิ่งแก้วจึงรีบตอบว่า
“ชื่อกิ่งแก้ว รัตนพงศ์ ค่ะ”

บิดาสิริมาพูดว่า
“อ้อ! แล้วหนูกิ่งแก้วล่ะ ได้ไปดูภาพยนตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในรอบปีแล้วหรือยัง?”

กิ่งแก้วก็ถามไปแบบงงๆ ว่า
“ภาพยนตร์? เรื่องอะไรคะ?”
ทุกคนทราบชื่อเรื่องภาพยนตร์กันหมดแล้วจึงแอบหัวเราะกิ่งแก้ว

เมื่อบิดาของสิริมาบอกชื่อภาพยนตร์ กิ่งแก้วก็ตอบไปทันทีว่า
“ไม่ได้ดูค่ะ”
ทุกคนหมดความสนใจในกิ่งแก้วลงทันที แต่เธอก็บอกกับตัวเองว่า
“คนที่พูดความจริงโดยไม่รีรอ ถ้าไม่รู้ก็บอกว่าไม่รู้ ดีกว่าคนที่อวดฉลาด ไม่รู้ก็บอกว่ารู้ ไม่เคยทำก็บอกว่าเคยทำ พอเขาซักเข้าจริงๆ ก็ตอบไม่ได้ อย่างธิดาเมื่อกี้นี้”

ชายคนหนึ่งที่เป็นเพื่อนของบิดาสิริมากำลังพูดคุยอยู่นาน พอเรื่องกำลังจะออกรสพ่อของสิริมาก็ขัดขึ้นว่า
“ไม่ใช่อย่างงั้นสักหน่อย อย่างงี้ต่างหาก คุณฟังผมเล่าดีกว่า….”

ชายคนนั้นมีสีหน้าที่ไม่พอใจนัก แต่ก็ไม่ได้โต้ตอบอะไร ทุกคนต้องหันไปฟังเจ้าของบ้านเล่าเรื่องนั้นกันอีกครั้ง

คำพูดของบิดาทำให้กิ่งแก้วนึกถึงท่านขึ้นมาทันที จากที่ท่านเคยพูดไว้ว่า
“คนรวยบางคนมักจะนึกว่าตัวมีดีวิเศษกว่าคนอื่นๆ บางคนนึกว่าตัวรู้หมดทุกอย่างไม่มีใครสู้ ใครจะถามอะไรก็ต้องตอบได้หมด คนรวยจะวิจารณ์ใครก็ต้องกลายเป็นถูก รสนิยมของคนรวยต้องดีที่หนึ่ง จะตัดสินว่ายังไงต้องยุติธรรมเป็นเยี่ยม ราวกับว่าโลกนี้เป็นของเขาเสียคนเดียว ทั้งๆ ที่คนรวยประเภทนี้คิดผิดอย่างมาก ความร่ำรวยของเขาไม่ได้มีอิทธิพลบังคับใจคนอื่นด้วย เขาไม่มีหน้าที่ให้คนอื่นทำสิ่งที่ไม่อยากทำ พูดสิ่งที่ไม่ต้องการพูด หรือหยุดพูดทั้งๆ ที่ยังไม่ถึงเวลาจะหยุด….”

“อ้อ! คนรวยประเภทที่คุณพ่อเคยพูดนี่ได้แก่บิดาของสิริมานี่เอง!

มีสุภาพบุรุษคนหนึ่ง พูดกับสุภาพสตรีที่อยู่ข้างๆ เบาๆ ว่า
“นี่คุณ เบื่อเขามั่งไหม? เขาคุยแต่เรื่องตัวเอง ไม่น่าสนใจสักหน่อย ผมขี้เกียจฟังจัง”

กิ่งแก้วก็รู้ได้ทันทีเลยว่า “เขา” คนนั้นก็คือ บิดาของสิริมา
แต่ฝ่ายหญิงก็ตอบเบาๆ ว่า
“แต่เราต้องทำเป็นสุภาพค่ะ”
“เพราะมันเป็นบ้านของเขา เขาจะพูดอะไรก็ได้ตามใจเขา เรามีหน้าที่ฟังอย่างเดียวนี่คะ”

สุภาพบุรุษตอบ
“อย่างว่าแต่บ้านเขาเลย ที่ไหนๆ เขาก็คุยโตแต่เรื่องของเขาทั้งนั้นแหละ”
“นิสัยของเขาชอบคุยเรื่องตัวเอง ไม่ว่าใครจะอยากฟังหรือไม่ เขาก็คุยอย่างงี้แหละ นอกบ้านหรือในบ้านก็เหมือนกัน การคุยโตโอ้อวดของเขาเหมือนกับยาเสพติดน่ะแหละคุณ”

ฝ่ายหญิงพูดว่า
“ถ้าเราสุภาพให้กับคนที่น่าเบื่ออย่างนี้ เราก็ต้องสุภาพเรื่อยไป ต้องฝืนใจ และในที่สุด คนน่าเบื่อก็คงจะมาอยู่รอบตัวเรา….”
“งั้นเรากลับกันดีกว่า ผมเองก็เบื่อคนน่าเบื่อเหล่านี้เต็มทน”

ทั้งสองคนจึงเดินออกไปหาบิดาของสิริมา กล่าขอบคุณที่เชิญมาในงานและบอกลา กิ่งแก้วสังเกตเห็นว่า บิดาของสิริมาไม่ได้แสดงความเสียใจหรือเสียดายอะไรเลยที่ทั้งสองคนกลับไปเร็ว แต่กลับคุยเรื่องของตัวเองต่อ

มารดาของสิริมาเป็นคนรูปร่างเล็ก ผอมมาก หน้าตาขี้โรค และมีความทุกข์ แม้จะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าราคาแพงจากต่างประเทศก็ตาม กิ่งแก้วอดที่จะเปรียบเทียบกับมารดาของเธอไม่ได้ว่า คุณแม่ของเธอมีความแจ่มใสอยู่ตลอดแม้จะไม่มีเสื้อผ้าราคาแพง หรือเครื่องเพชรแวววาวอย่างนี้ก็ตาม

มารดาของสิริมาบ่นกับเพื่อนหญิงที่นั่งอยู่ข้างๆ กันว่า
“แหม! นั่งนานๆ ก็ปวดหลังค่ะ ดิฉันน่ะ”
“ตั้งแต่ไปผ่าตัดแล้วก็สามวันดีสี่วันไข้เรื่อยมา เดี๋ยวปวดหัว เดี๋ยวปวดหลัง แข้งขามันเจ็บระบมไปหมด ไม่รู้ว่าเป็นยังไง….”

เพื่อนหญิงคนหนึ่งของเธอก็พูดในเชิงปลอบประโลมเธอว่า
“แต่คุณสิริยังดีนะคะ ที่มีทั้งแม่บ้านและสาวใช้คอยช่วยทำงาน”
“ถึงไม่สบายก็เหมือนสบาย อย่างน้อยก็สบายใจไม่ต้องทำงานหนักอย่างดิฉัน….”

มารดาของสิริมาหัวเราะและพูดว่า
“อะไรได้คะ! มันก็ไม่วายต้องทำเองอยู่ดีแหละค่ะ ยายแม่บ้านของดิฉันก็ท่าจะต้องไล่ออก เพราะว่าชอบกินเล็กกินน้อย ไว้ใจเรื่องเงินทองไม่ได้เลย เด็กรับใช้ก็มือไว วางอะไรก็หายเรื่อยแหละค่ะ”

อีกฝ่ายก็ตอบมาว่า
“ของดิฉันยิ่งแย่กวาค่ะ”
“โดยขนของเสียแทบหมดบ้าน คนใช้คนใหม่น่ะสิคะ จะอะไรเสียอีก ดิฉันไม่อยู่วันเดียว ทางนี้จ้างคนทำกุญแจผีมาไขตู้เซฟยกโทรทัศน์ วิทยุขึ้นรถบรรทุกไปเลย ดิฉันกลับมาตอนค่ำลมแทบใส่”
“แล้วจับได้ไหมค่ะ?”
“จับได้ค่ะ ตำรวจเขาเก่ง”
“โอ๊ย! งั้นก็ยังดี ของดิฉันน่ะ หายแล้วหายเลย แม่คนซักรีดไงคะ อยู่มาด้วยกันร่วมสิบปี เขาเกิดไม่พอใจขึ้นมา ขนของออกจากบ้าน แล้วเลยเอาเข็มกลัดของดิฉันไปด้วย เพชรตั้งหลายเม็ด”

อีกผ่ายใช้จิตวิทยาชมเชยคุณสิรี เธอจึงยิ้มออกมาได้
“แต่คุณผู้ชายมีเงินแยะจะตายไป อีกหน่อยก็ซื้อให้ใหม่ค่ะ”

คุณสิรีทำท่าทอดอาลัยแล้วพูดว่า
“ค่ะ เขาใจดีเขาก็ซื้อ เขาใจไม่ดีเขาก็ว่าเอาน่ะแหละค่ะ”
“แล้วโรคภัยไข้เจ็บก็มาก เขาเป็นโรคหัวใจด้วยนะคะ และแพทย์ยังสงสัยว่า จะเป็นเนื้อร้ายในกระเพาะอาหาร เพราะเขาปวดท้องตลอดเวลา บางทีหายปวดก็คุยได้อย่างนี้นะคะ พอปวดขึ้นมาก็ลงนอนดิ้นเลยค่ะ ลูกสาวดิฉันก็ขี้โรคค่ะ เดี๋ยวเป็นหวัด เดี๋ยวไอ ไม่ได้หยุดได้หย่อน”

กิ่งแก้วพลอยละเหี่ยใจไปด้วย จึงเดินก้มตัวห่างออกไปทันที และคิดว่าทำไมเขาทั้งสองคนไม่หาเรื่องสนทนาที่มันสดชื่นกว่านี้? ทั้งๆ ที่วันนี้ก็เป็นวันดีของลูกสาวแท้ๆ แต่ทำไมถึงสรรหาเรื่องความทุกข์โศกโรคภัย และเรื่องที่ทำให้จิตใจห่อเหี่ยวมาพูดกัน?

กิ่งแก้วรีบกลับมาบ้านก่อนเย็นหลังจากงานวันเกิดเลิกแล้ว คุณแม่ของเธอนั่งคอยอยู่ที่ระเบียง ในมือของท่านมีมาลัยดอกมะลิร้อยเป็นรูปกระต่ายตาแดงพวงเล็กๆ อยู่ กิ่งแก้วจึงถามขึ้นว่า
“คุณแม่คะ รับประทานของว่างแล้วหรือยังคะ?”
“ยังจ้ะ แม่รอน้องเล็ก” คือน้องชายคนรองของกิ่งแก้ว
“แต่หนูคงจะรับประทานมาอิ่มแปล้สินะ อาหารบ้านสิริมาต้องจัดอย่างเยี่ยมทีเดียว แม่ว่า”

กิ่งแก้วตอบแม่ว่า
“ใช่ค่ะ อาหารดีๆ แพงๆ แต่หนูทานไม่ค่อยลง”

คุณแม่แปลกใจแล้วถามว่า
“อ้าว! ทำไมล่ะจ้ะ?”
“เพราะว่าบ้านนั้นเขาคุยกันมากเหลือเกิน เรื่องความร่ำรวย แล้วก็ความหรูหรา คุณแม่ของสิริมาก็บ่นแต่เรื่องที่ฟังแล้วใจพลอยไม่สบายไปด้วย หนูฟังแล้วเลยไม่อยากทานอะไรไปเลยค่ะ แต่ขนาดทานไม่ค่อยได้ก็เรียกว่าอิ่มแปล้ อย่างคุณแม่ว่าเหมือนกันนะคะ เพราะว่าเป็นอาหารฝรั่งเสียมาก คุณพ่อของสิริมาทานอาหารไทยไม่ค่อยเป็นค่ะ”

คุณแม่มองลูกสาวแล้วยิ้มๆ คล้ายกับจะถามว่า
“งั้นกินอาหารอะไรล่ะ ถ้าเป็นคนไทย แล้วกินอาหารไทยไม่เป็น ต้องกินอาหารฝรั่งอย่างนั้นหรือ” แต่ก็ไม่ได้ถาม

กิ่งแก้วถามมารดาว่า
“คุณแม่คะ คนเราจะพูดเรื่องอะไรดีคะ จึงจะไม่ทำให้คนฟังเขาเบื่อ? เพราะวันนี้หนูไปเจอเอาคนน่าเบื่อเข้าทั้งบ้าน!”

มารดาไตร่ตรองและตอบอย่างช้าๆ ว่า
“แม่คิดว่า หัวข้อสนทนาที่ปลอดภัยที่สุด จะต้องเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับความเจ็บไข้ได้ป่วย ความทุกข์โศก การผ่าตัด หรือความยุ่งยากทางครอบครัว ซึ่งเก็บไว้เป็นเรื่องส่วนตัวเราเองจะดีกว่า”
“นอกจากนั้นก็ควรงดการคุยโว ยกตนข่มท่าน หรือโอ้อวด พูดแต่เรื่องของตนเอง ซึ่งคนอื่นเขาไม่สนใจฟัง คนน่าเบื่ออีกพวกคือ คนที่ชอบพูดเรื่องเดียวกันซ้ำๆ ซากๆ หรือบังคับให้คนฟังเรื่องของตัวจนถึงตอนจบ ทั้งๆ ที่เรื่องนั้นแสนจะยาวและไม่น่าสนใจ”

“เวลาจะลากลับ หนูควรพูดอะไรกับสิริมาหรือเปล่าค่ะคุณแม่?”
“หนูอาจบอกว่า ‘ขอบใจที่เชิญฉันมา อาหารอร่อยมาก’ ถ้าใครให้ของขวัญ หนูก็อาจบอกว่า ‘ไม่เคยเห็นของที่ถูกใจอย่างนี้เลย’ หรือชมแม่บ้านว่า ‘จัดห้องได้สวยดีจริง’ แต่หนูต้องไม่ชมต่อหน้าคนอื่นๆ ว่า ‘คุณนี่ปากนิดจมูกหน่อยน่ารักจัง’ เพราะการชมเรื่องส่วนตัวของคนอื่นต่อหน้าคนมากๆ จะเป็นคนที่รสนิยมต่ำเท่านั้น จึงต้องระวังคำพูดให้มาก ส่วนการฟังก็ต้องระวังมากด้วยเช่นกัน เพราะผู้ฟังที่ดีจะเป็นที่นิยมของทุกคน อย่างที่หนูกำลังฟังแม่ตาไม่กระพริบอยู่เดี๋ยวนี้น่ะจ้ะ”

ที่มา: จากหนังสือเรื่อง มรรยาทงาม ของ ผกาวดี อุตตโมทย์