ความพลาดก้าวแรกของมหาตมะคานธี

Socail Like & Share

คานธี
ในขณะที่ท่านคานธียังเป็นเป็นนักเรียนอยู่ในโรงเรียนมัธยม มีนักเรียนผู้ร่วมชั้นกับพี่ชายของท่านคนหนึ่ง มักพากันมาเยี่ยมเยือนท่านอยู่เสมอ ท่านคานธีจึงได้มีโอกาสรู้จักคุ้นเคยกับท่านผู้นี้ จนกระทั่งในที่สุดได้กลายเป็นสหายใกล้ชิดชอบพอรักใคร่กันมากที่สุด แต่นิสัยใจคอของชายหนุ่มผู้นี้ไม่เป็นที่พอใจบิดามารดาของท่านคานธีหรือผู้หลักผู้ใหญ่ในสกุลของท่าน แม้ท่านคานธีเองเล่าจะได้หยั่งรู้ว่า ผู้นั้นเป็นคนประพฤติในทางสุจริตเสมอไปก็หาไม่ ถึงท่านผู้ใหญ่จะได้เกียดกันห้ามมิให้เกี่ยวข้องกับผู้นั้นก็จริงอยู่ แต่ท่านก็ได้มีเจตนาที่จะชักชวนให้ดำเนินไปในทางที่ดีเสมอ จึงไม่ยอมตัดความสัมพันธ์จากเขาตามความประสงค์ของท่านผู้ใหญ่ แต่เท่าที่เป็นไปแล้ว แทนที่ท่านจะได้แนะนำเขาในทางที่ดี เขากลับชักชวนท่านให้เอียงไปในทางไม่สู้สุจริตนัก ทั้งนี้โดยผู้นั้นฉวนโอกาส คือความบกพร่องของท่านซึ่งเคยมีมาแล้วแต่ก่อนนั้นเอง กล่าวคือตั้งแต่ท่านยังดำรงอยู่ในเยาว์วัยนั้นเทียว ท่านมีร่างกายอ่อนแอ ไม่สมบูรณ์เหมือนคนอื่นเขา มิหนำซ้ำยังเป็นคนขี้กลัวผี โจร ผู้ร้ายและงู ในเวลากลางคืนท่านไม่กล้าอยู่ในที่มืดแต่ลำพังผู้เดียว  โดยหวาดกลัวว่าโจรผู้ร้ายผีและงูจะแอบมาทำร้ายได้ เรื่องนี้ได้เป็นต้นเหตุทำให้ท่านต้องได้รับความอับอายขายหน้าจากภรรยา เพราะภรรยาของท่านเป็นหญิงที่มีความกล้าดีกว่าสามี จนสามารถเดินไปในที่มืดแม้แต่คนเดียวได้ ฉะนั้นเพื่อจะขจัดความกลัวดังว่านี้เสีย ท่านจึงได้ขอคำแนะนำจากเพื่อนผู้นี้ ว่าทำอย่างไรความกลัวของท่านจึงจะดับสูญไปเสียได้ เพื่อนผู้นั้นได้แนะนำให้ท่านรับเนื้อสัตว์ และได้อ้างเหตุผลประกอบเลยไปอีกว่า การที่อังกฤาปกครองอินเดียอยู่ก็เพราะรับเนื้อสัตว์นี้เอง ฉะนั้นถ้าแม้อินเดียเริ่มรับเนื้อสัตว์เมื่อใด อินเดียก็จะสามารถขับไล่อังกฤษไปจากดินแดนได้เมื่อนั้นทีเดียว คำแนะนำของสหายดังกล่าวนี้ได้เป็นเหตุสกิดให้เกิดความคิดขึ้นในใจหนุ่มคานธีอีกประการหนึ่ง กล่าวคือการก่อกู้ประเทศให้หลุดพ้นจากอำนาจคุ้มครองของอังกฤษ และตั้งเป็นประเทศอิสระขึ้นในสมาคมแห่งปวงประชาชาติของโลก นี้แหละเป็นครั้งแรกที่จิตใจของหนุ่มคานธี ผู้ซึ่งต่อมาในสมัยอนาคตจะถือบังเหียนโชคชะตาของประชาชาติ ๔๐๐ กล่าล้านไว้ในกำมือ ท่านได้มีจิตใจโน้มไปในทางรับใช้ประเทศชาติและทั้งได้มองเห็นฐานะแห่งความพ้นอำนาจ ซึ่งเคยแสดงอธิปไตยมาแล้วครั้งหนึ่งนั้น พร้อมๆ กับความเกิดขึ้นแห่งความรู้สึกนึกคิดดังกล่าวนี้ คำแนะนำนั้นยังก่อให้เกิดการต่อสู้ระหว่างมติความคิด ๒ สายขึ้นในใจท่านคานธีหนุ่มอีกโสดหนึ่งด้วย กล่าวคือควรจะเลิกการบำเพ็ญสัจธรรม แล้วกลับมารับเนื้อสัตว์กันเสียที เพื่อกู้ประเทศชาติให้เป็นอิสระหรือว่าควรจะดำรงมั่นอยู่ในสัจธรรมแล้วและปล่อยให้ประเทศชาติล่องลอยไปตามยถากรรม ทั้งนี้ก็เพราะว่า การรับเนื้อสัตว์ในอินเดียย่อมเป็นการยากลำบากมิใช่น้อย เพราะอำนาจของขนบธรรมเนียม ห้ามไม่ให้รับเนื้อสัตว์อย่างเคร่งครัด ถ้าผู้ใดปรารถนาจะรับต้องซ่อนรับ โดยไม่ให้ผู้ใหญ่เห็นจึงจะได้ ฉะนั้นหนุ่มคานธีจึงคำนึกในใจว่า ถ้าจะต้องรับอาหารเนื้อสัตว์ขึ้นจริงๆ แล้วไซร้ เป็นการแน่นอนที่จำต้องแอบรับโดยปกปิดมิให้บิดามารดาเห็น การกระทำเช่นนี้เป็นการกระทำที่ผิดพลาดไปจากหลักสัจธรรมแท้ทีเดียว เพราะเป็นการกระทำที่ตบตาล่อลวงผู้ใหญ่อยู่ในตัว อนึ่งเล่าถ้าไม่ยอมรับเนื้อสัตว์แล้วไซร้ ก็แปลว่าเราไม่มีโอกาสที่จะขับไล่อังกฤษออกไปจากดินแดนอินเดียได้ ในที่สุดแห่งการต่อสู้ระหว่างความคิด ๒ สายนี้ ความคิดที่จะขับไล่อังกฤษและก่อกู้ประเทศชาติให้เป็นอิสระนั้นได้รับชัยชนะเหนือความคิดที่จะตั้งมั่นอยู่ในสัจธรรมเสมอไป จึงได้ตกลงใจกำหนดเวลาที่จะรับเนื้อสัตว์ขึ้นต่อไป

ในที่สุด ถึงวันกำหนดที่จะรับอาหารเนื้อสัตว์ ในสถานที่ริมฝั่งแม่น้ำสายเล็กๆ สายหนึ่ง ซึ่งเป็นที่ซ่อนเร้นจากสายตาของมหาชนออกไป หนุ่มคานธีพร้อมด้วยสหายผู้นั้นและพี่ชายได้มายังสถานนั้น ลงมือรับปรุงอาหารเนื้อที่เตรียมมาเสร็จสรรพแล้วก็ลงมือรับกัน สำหรับลิ้นของท่านคานธีผู้ซึ่งไม่เคยชิมรสอาหารเนื้อ ทำให้ท่านรู้สึกว่าความโอชาของอาหารนั้นเหมือนกับการเคี้ยวหนังสัตว์ แต่สำหรับน้ำใจของท่าน ซึ่งเป็นผู้ไม่เคยดำเนินชีวิตไขวไปจากสัจธรรม การกระทำซึ่งเป็นไปในลักษณะแอบซ่อนผู้ใหญ่ โดยน้ำใจไม่บริสุทธิ์ อันเป็นจุดโจรผู้ร้ายนี้ได้กลับมาเป็นเรื่องทำให้ท่านเกิดโทมนัสขึ้นอย่างร้ายแรง ถึงกับท่านได้รับสารภาพไว้ว่าคืนนั้นตลอดคืน ท่านนอนไม่หลับแม้แต่นาทีเดียว การรับใช้ประเทศชาติโดยทางไม่สุจริต การกู้ประเทสชาติให้รุ่งเรืองโดยการอิงอาศัยมิจฉาจารเป็นเครื่องดำเนิน จะนับว่าเป็นการรับใช้ประเทศชาติโดยแท้จริงก็หาไม่ หากแต่เป็นการล่อลวงตนเองและการตบตาประชาชนเท่านั้น ความจริงแห่งมติดังว่านี้ได้ปรากฎขึ้นอย่างชัดเจนในห้วงนึกของหนุ่มคานธี ในเมื่อการต่อสู้ระหว่างมิจฉาจารกับสัมมาจารได้สำเร็จลง โดยฝ่ายสัมมาจารได้รับชัยชนะอย่างเด็ดขาดแล้ว อาศัยหลักที่ว่าการรับใช้ประเทศชาติจักต้องดำเนินไปในทางสัจธรรมและสัมมาจารเสมอไป หนุ่มคานธีจึงตกลงใจเลิกการสมาคมกับสหายหนุ่มผู้นั้น  พร้อมทั้งการแอบชวนทำผิดทั้งปวงเสีย การรับอาหารเนื้อของท่านจึงเป็นอันยุติลงเพียงเท่านี้เอง

นอกจากความพลาดดังกล่าวมาแล้ว ท่านยังพลาดในเรื่องอื่นอีกด้วย กล่าวคือเมื่อท่านยังเป็นเด็กหนุ่มท่านได้เป็นผู้ใหญ่สูบบุหรี่อย่างเนืองนิจ ท่านจึงอยากจะลองสูบดูบ้างว่ารสชาติเป็นอย่างไร ตามขนบธรรมเนียมของอินเดีย การสูบบุหรี่ในสมัยที่ยังเป็นเด็กนักเรียนอยู่นั้น นับว่าเป็นการผิดหลักจริยธรรมของเด็กอย่างร้ายแรง ฉะนั้น จึงเป็นการบังคับอยู่ในตัวให้หนุ่มคานธีต้องแอบสูบ แต่เนื่องจากยังเป็นเด็กนักเรียนอยู่จึงไม่มีสตางค่าบุหรี่เพียงพอ เมื่อเป็นดังนั้นก็มีโอกาสแต่ทางเดียวที่จะหาบุหรี่สูบได้ คือเก็บก้นบุหรี่ที่ผู้ใหญ่ทิ้งไว้มาสูบ เมื่อได้ทำการสมประสงค์ดังนั้นแล้ว ก็กลับสำนึกตัวได้ทันทีที่ได้ประพฤติตัวผิดพลาดไปเช่นนั้น จึงได้ตกลงใจใหม่ว่าจะเล่าความผิดของตนให้ท่านบิดาทราบ และจะยอมรับโทษจากบิดาทุกสิ่ง เมื่อตัดสินใจเด็ดขาดแล้วได้ไปหาบิดาของท่าน ซึ่งเวลานั้นกำลังเจ็บหนักอยู่ แต่ครั้นไปถึงแล้ว กลับไม่กล้าเรียนความจริงนั้นออกมา ในที่สุดท่านจึงได้เขียนจดหมายฉบับหนึ่งเล่าความจริงให้ท่านบิดาทราบ จดหมายนั้นได้ลงข้อสุดท้ายด้วยคำว่า จะขอรับโทษในการประพฤติผิดนั้นทุกๆ ประการ และขอปฏิญาณกราบเท้าว่าจะไม่ขอสูบบุหรี่อีกต่อไป เมื่อเขียนจบแล้วก็นำไปให้ท่านบิดา และตนเองยืนคอยฟังคำกำหนดโทษอยู่ข้างเตียง ท่านคานธีเคยนึกคาดคะเนในใจตนเองว่า เรื่องนี้อย่างไรเสียท่านบิดาคงจะโกรธเคืองมาก และตนจะต้องถูกลงโทษอย่างหนักแน่นอนทีเดียว แต่ตรงกันข้ามกับความคาดหมายของบุตรบิดาผู้นอนเจ็บอยู่นั้นได้ลุกขึ้นนั่งจ้องมองดูลูกผู้รู้สำนึกความผิดด้วยสายตาอันเต็มเปี่ยมไปด้วยความกรุณารักใคร่ และมีน้ำตาไหลพรากลงอาบหน้าเพราะความปิติ

การที่ท่านบิดาได้อภัยโทษบุตร โดยการแสดงความรักและน้ำใจดีดังนี้นั้น  ได้ขยายอานุภาพไปยังจิตใจของเด็กคานธีเป็นอย่างมาก คราวนี้เป็นครั้งแรกในชีวิตที่มหาตมะคานธีได้รู้เห็นอำนาจแห่งเมตตากรุณา….อำนาจอหิงสา…ความไม่ปองร้าย ว่าสามารถจะดัดแปลงปฏิวัติชีวิต และการกระทำของมนุษย์ได้เพียงไร

ถึงแม้ในวัยหนุ่มคะนองท่านจะได้พลั้งพลาดจากหลักธรรมไปบ้างก็ดี แต่ความพลาดพลั้งในสองครั้งนี้ ได้เกิดเป็นกรณีอันสำคัญยิ่งขึ้น กล่าวคือทำให้มหาตมะคานธีมีความซาบซึ้งถึงชีวิตท่านสองข้อ คือการรับใช้ประเทศชาติเราจะต้องรับใช้ด้วยน้ำใจอันบริสุทธิ์ และด้วยอาศัยนโยบายอันไม่ผิดแผกไปจากหลักสัจธรรมและสัมมาจารคติ ๑ และอีกคติ ๑ คือ การดัดแปลงปฏิวัติการกระทำของบุคคลก็ตาม มหาชนหรือรัฐบาลก็ตาม เราจำต้องอาศัยอำนาจอหิงสาเป็นเครื่องมือดำเนินการเสมอ

ที่มา: สวามี  สัตยานันทปุรี