การรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ในวันสงกรานต์

Socail Like & Share

การรดน้ำของภาคกลาง  ผู้ใหญ่ที่จะได้รับการรดน้ำ  จะต้องเป็นผู้ที่มีอายุตั้งแต่ ๖๐ ปี  ขึ้นไป

สิ่งของที่นิยมใช้กันในสมัยก่อน ได้แก่ เครื่องหอม เช่น  น้ำอบไทย แป้งร่ำ  ปัจจุบันนี้แป้งร่ำเกือบจะไม่มีใครนิยมเท่าใดนัก  ที่เห็น ๆ กันส่วนมากมีแต่น้ำอบไทย  และเครื่องนุ่งหุ่มประเภทเสื้อผ้าเสียเป็นส่วนใหญ่  เพราะถือว่าเมื่อรดน้ำ(อาบน้ำ)แล้วก็ต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่  ฉะนั้น ผู้ใหญ่บางท่านเมื่อ บุตร-หลาน  รดน้ำขอพรแล้ว  เพื่อสนองความปรารถนาดีของบุตรหลาน ท่านเหล่านั้นจะเปลี่ยนมาใช้เสื้อผ้าที่เขาเหล่านั้นนำมามอบให้ทันทีก็มีบ้างเหมือนกัน

ประเภทเสื้อผ้า  สำหรับญาติผู้ใหญ่(ชาย) ได้แก่ กางเกงแพร เสื้อคอกลม  ปัจจุบันเพิ่มเสื้อชุดชายไทยด้วยก็ทันสมัยดีเพราะกำลังเป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลาย

นอกจากนี้อาจจะใช้ประเภทผ้าต่าง ๆ เช่น ผ้าเช็ดตัว ผ้าขาวม้า ผ้าตัดกางเกง ฯลฯ

สำหรับญาติผู้ใหญ่(หญิง) อาจใช้ผ้าถุง ผ้าซิ่น เป็นเนื้อฝ้ายหรือไหมแล้วแต่ความเหมาะสม  เสื้อสำเร็จรูปต่าง ๆ

ประเภทผ้า  อาจเป็นผ้าชิ้น ๆ ผ้าคลุมไหล่ ผ้าเช็ดตัว ฯลฯ

การเตรียมสิ่งของเพื่อรดน้ำในวันสงกรานต์นั้น  นิยมใช้น้ำอบไทยบรรจุขวดแก้วเจียรไนหรือขวดอื่นใดที่เห็นว่างดงามพร้อมทั้งเสื้อหรือผ้าที่จะนำไปมอบ  สมัยก่อนมักจะอบร่ำให้มีกลิ่นหอม  ถ้าเป็นผ้าจะพับจับกลีบแล้วผูกด้วยริบบิ้น เพื่อความสวยงามน่าดูแทนการใส่กล่องห่อด้วยกระดาษห่อของขวัญแล้วจัดใส่พานตามความเหมาะสมของผู้มอบและผู้รับ

การรดน้ำนิยมปฏิบัติ  ในวันที่  ๑๓  เมษายน  ด้วยการพาครอบครัวไปด้วย ก่อนรด ผู้น้อยวางพานสิ่งของที่นำมาแล้วก้มลงกราบ ค่อย ๆหยดน้ำอบไทยที่เตรียมมาลงในฝ่ามือของผู้ใหญ่ด้วยกิริยานอบน้อม  ขณะเดียวกันผู้ใหญ่ก็จะกล่าวอวยพร  เมื่อจบแล้ว ผู้น้อยก้มลงกราบอีกครั้งเป็นอันเสร็จพิธี

บางครอบครัวญาติผู้ใหญ่จะนัดหมายบรรดาลูกหลานให้มาพร้อมเพรียงกันในวันนี้  โดยจัดเลี้ยงอาหารกลางวัน เช่น ข้าวแช่ ซึ่งเป็นอาหารที่เหมาะสมกับอากาศที่ร้อนอบอ้าว  ปัจจุบันไม่ใคร่มีแพร่หลายนัก  เพราะเป็นเรื่องจุกจิกในการเตรียม  ที่ทำกันก็ไม่ครบเครื่องเหมือนสมัยก่อน  เพราะไม่มีเวลาตระเตรียมอีกทั้งสมัยนี้  อาหารสำเร็จมีจำหน่ายอย่างแพร่หลาย

การที่ลูกหลานมาร่วมชุมนุมกันในวันสำคัญเช่นนี้  เป็นประจำทุก ๆ ปี เท่ากับเป็นการเสริมสร้างความสมัครสมานสามัคคีรักใคร่กลมเกลียวกัน  ให้เกิดขึ้นในวงศ์ญาติเพื่อความเป็นปึกแผ่นแก่วงศ์ตระกูล ซึ่งผิดกับปัจจุบัน  สังคมเปลี่ยนแปลงไปเป็นอันมาก  ประเพณีเก่าแก่อันดีงามถูกละเลย  ทำให้สังคมสมัยใหม่เป็นไปแบบตัวใครก็ตัวใคร  ญาติพี่น้องไม่มีโอกาสพบปะกัน  หรือพบกันก็น้อยเต็มที  ยิ่งกว่านั้นบางทีญาติพี่น้องสกุลเดียวกันยังไม่รู้จักว่าใครเป็นญาติลำดับไม่ถูกจะเห็นได้ว่าผู้ใหญ่สมัยก่อนท่านมีจุดมุ่งหมายในทางสร้างสรรที่ดีงามอยู่ไม่น้อยทีเดียว

 

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *