นฤมล บุญแต่ง
วัฒนธรรมประเพณีที่ปฏิบัติสืบต่อกันมายาวนานนั้น บางส่วนเมื่อเวลาผ่านไปได้มีการปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับยุคสมัย ปัจจุบันพิธีการหลายอย่างที่มีมาแต่โบราณกาลจึงขาดหายไป เช่น พิธีซัดน้ำ สารานุกรมไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน มีเรื่องเล่าว่า ซัดน้ำ คือการสาดน้ำในพิธีแต่งงานบ่าวสาวตามประเพณีที่มีมาแต่โบราณ ซึ่งมีพรรณนาไว้ในบทเสภาขุนช้างขุนแผน ตอนแต่งงานพลายแก้วกับนางพิม และตอนแต่งงานพระไวยกับนางศรีมาลา พิธีนี้เริ่มเวลาบ่ายของวันสุกดิบก่อนพิธีแต่งงาน จะมีพิธีซัดน้ำที่เรือนหอ เจ้าบ่าวและเพื่อนเจ้าบ่าว กับกลุ่มของเจ้าสาวกับเพื่อนๆ จะออกมานั่งในพิธีให้ห่างกันพอควรต่อหน้าพระสงฆ์ที่นิมนต์มาสวดพระพุทธมนต์ พระเถระผู้เป็นประธานสงฆ์ในพิธี เป็นผู้นำมงคลสวมให้เจ้าบ่าวเจ้าสาว โดยมีสายสิญจน์โยงไปที่หม้อน้ำมนต์ เมื่อพระสงฆ์ให้ศีลสวดมนต์ถึงบทชยันโต ก็ตีฆ้องชัย พระเถระผู้เป็นประธานก็สาดน้ำมนต์รดบ่าวสาวและกลุ่มเพื่อนที่น้องห้อมล้อม ที่ต้องซัดน้ำเพราะนั่งเบียดรวมกันอยู่ จึงต้องใช้น้ำซัดไปจะได้ทั่วถึง จนน้ำหมดบาตรจึงหยุด หรือพอเจ้าบ่าวเจ้าสาวร่นเข้าไปชิดเคียงกันแล้วจึงหยุด ต่อจากนั้นผู้เฒ่าผู้แก่ก็ยกบาตรน้ำมนต์เทรดบ่าวสาวคนละครั้ง คนรดสุดท้ายเมื่อเทรดหมดบาตรแล้วก็เอาบาตรครอบศีรษะเจ้าบ่าวเจ้าสาวคนละครั้ง เมื่อเสร็จพิธีพวกเจ้าบ่าวเจ้าสาวจึงกลับเข้าห้องผลัดเปลี่ยนเครื่องนุ่งห่ม
พิธีแต่งงานของชาวอินเดียก็มีการรดน้ำคล้ายของเรา โดยอธิบายว่าน้ำเป็นเครื่องหมายแห่งความอุดมสมบูรณ์ น้ำจึงเป็นส่วนสำคัญในพิธีแต่งงาน บ่าวสาวต้องเข้าพิธีอาบน้ำสนานกาย ให้กายบริสุทธิ์เสียก่อนจึงจะดำเนินพิธีอย่างอื่นต่อไปได้ ดังนั้นพิธีซัดน้ำในงานแต่งงานของไทยจึงน่าจะเป็นเรื่องทำตนให้สะอาดก่อนเข้าพิธีแต่งงานในวันรุ่งขึ้น ที่ใช้น้ำมนต์ก็เพื่อชำระล้างมลทินอัปรีย์จัญไรให้หมดไป การรดน้ำจึงเป็นเพียงการเริ่มต้นพิธีเท่านั้น ไม่ใช่ตัวพิธีแต่งงานอย่างปัจจุบัน การซัดน้ำตามประเพณีโบราณ ต่อมาได้เปลี่ยนแปลงเป็นพิธีหลั่งน้ำพระพุทธมนต์ เพราะการซัดน้ำเป็นเรื่องยุ่งยากเปียกเปื้อน จึงเปลี่ยนมารดที่ศีรษะอย่างเดียวต่อมาเห็นว่าการรดที่ศีรษะทำให้ผมเจ้าสาวเสียทรงที่ตกแต่งไว้ จึงเลื่อนมารดที่มือนิดหนึ่ง ด้วยสังข์บรรจุน้ำมนต์ เพื่อให้คล้ายคลึงกับพิธีดั้งเดิม
Leave a Reply