จักรรัตนะ (จักรแก้ว)

Socail Like & Share

มีจักรแก้วอัน ๑ ชื่อว่า จักรรัตนะ ประดับด้วยแก้ว ๗ ประการ มีกำ(ซี่ล้อรอบดุม) จำนวน ๑๐๐๐ อยู่รอบๆ ดุมนั้น งดงามยิ่ง จมอยู่ในท้องมหาสมุทรลึก ๘๔๐๐ โยชน์ ตัวจักรนั้นเป็นแก้ว ดุมนั้นเป็นแก้วอินทนิล หัวกำซึ่งฝังเข้าไปในดุมนั้น เป็นเงินและทองดูสวยสดงดงามยิ่ง เมื่อได้เห็นเหมือนกับดุมนั้นยิ้มให้ และมองเห็นเป็นสีขาวงามยิ่งนัก ที่ขอบดุมนั้นหุ้มด้วยแผ่นเงิน งามดุจดังพระจันทร์วันเพ็ญ ตรงกลางนั้นเป็นรูโดยตลอด โดยรอบหัวกำนั้นประดับด้วยแก้ว ๗ ประการ แต่ละซี่ดูสุกใสงดงามเหมือนกับสายฟ้าแลบ มีรัศมีเหมือนแสงพระอาทิตย์ เมื่อพิจารณา ดูใสงามเลื่อมพรายดังฟ้าแลบไขว้ไปมา วาววับวาวแววดูงามไปทั่วทุกแห่ง มีชื่อว่า นาภีสรรพการบริบูรณ์ กำจำนวน ๑๐๐๐ นั้น ประดับไปด้วยแก้ว ๗ ประการ ดูเลื่อมพรายแวววาวดังสายฟ้าแลบ รุ่งเรืองด้วยรัศมีดังแสงพระอาทิตย์ ตีประดับด้วยตะปูแก้วดูงดงาม และมีรัศมีฉวัดเฉวียนไปมา ดั่งเทพยดาชื่อว่า พระวิศณุกรรม

กงนั้นประดับด้วยแก้วดูเกลี้ยงเกลาดุจดังบรรจงสร้างไว้ มีรัศมีเหมือน พระอาทิตย์เมื่อยามรุ่งอรุณ ดูเต็มงามไม่มีปม ไม่มีรอยแตก ไม่เบี้ยว ไม่มีบกพร่อง เมื่อแลดูในหน้ากล้องนั้น รูปล่องตลอดไปมา ดั่งกล้องอันชื่อว่า พังกา ที่เทพยดาเป่าในเมืองสวรรค์ชั้นฟ้า กล้องแก้วนั้นเวลาเป่าจะมีเสียงกังวาลไพเราะยิ่งนัก เสียงดัง ผาดโผน เสียงหึ่งๆ น่าฟังอย่างยิ่ง แก้วร้อยหนึ่งอยู่เหนือลำกล้องแก้วหมู่นั้น กล้องแก้วหมู่นั้นรองอยู่ใต้ต้นกลดขาวร้อยหนึ่ง และมีหอกดาบแห่งละร้อยอยู่รอบกลดนั้นด้วย เหนือกลดตรงกลางนั้น มียอดทองเรืองรองงามดังแสงฟ้า เหนือฉัตรแก้วนั้น มีราชสีห์ทองสองตัวประดับด้วยแก้ว ๗ ประการ มีแสงทองงามนักหนา เมื่อจักรแก้วนั้นหมุนไปบนอากาศ แลดูพรายงามดั่งสีหะไกรสรสองตัวจะเหาะบิน และยื่นหน้าออกมาจากชายกงจักรแก้วนั้น ดุจดังจะเข้าขบขยํ้าฝูงข้าศึก

เมื่อคนทั้งหลายแลเห็นเช่นนั้นจึงคิดว่า เจ้านายของเราผู้เป็นพระยามหาจักรพรรดิราช เป็นผู้มีบุญมากยิ่งนัก แม้พระยาราชสีห์สองตัว ซึ่งมีกำลังและมีชัยชนะแก่ศัตรูทั้งหลาย ยังอดอยู่มิได้ต้องมานอบน้อมถวายบังคม มาสวามิภักดิ์ แก่พระยามหาจักรพรรดิราชเจ้าผู้เป็นนายแห่งพวกเรา

หมู่ชนทั้งหลาย ต่างพากันยกมือขึ้นเพียงศีรษะแล้วไหว้วันทนาการ กล่าวว่า ชาวเราทั้งหลายปากราชสีห์ ๒ ตัวนั้น มิใช่ไม่มีอะไรอยู่ แต่มีสร้อยมุกดา ๒ สาย ใหญ่เท่าลำตาล ดูรุ่งเรืองงามดั่งรัศมีพระจันทร์เมื่อวันเพ็ญ และปากราชสีห์นั้นก็คาบสร้อยมุกดานั้นห้อยลงมา แก้วซึ่งอยู่ในชายมุกดานั้น ดูเลื่อมแดง ดุจแสงพระอาทิตย์เมื่อแรกขึ้นฉะนั้น เมื่อกงจักรแก้วนั้นลอยอยู่บนอากาศ แลดูเหมือนไม่ไหวตามสร้อยมุกดาซึ่งพรายงามดั่งนํ้าชื่อว่า อากาศคงคา ที่ไหลลงมาฉะนั้น ขณะที่กงจักรแก้วยังลอยอยู่นั้น กลุ่มมุกดาก็กระจายออกรอบกงจักรแก้วนั้น ดุมกงจักรแก้ว ๓ อัน หมุนพัดผันไปในทางเดียวกัน กงจักรแก้วนั้น พระอินทร์ พระพรหม หรือเทพยดาผู้มีฤทธานุภาพ เป็นผู้กระทำกงจักรแก้วนั้นก็หามิได้ หากแต่กงจักรแก้วนั้นเกิดขึ้นเอง และเกิดมาเพื่อบุญของท่านผู้เป็นพระยามหาจักรพรรดิราชเจ้านั้น

ผิว่า เมื่อกัลป์ใดไม่มีพระพุทธเจ้าและพระปัจเจกพุทธเจ้า จึงมีพระยา มหาจักรพรรดิราชแทน ในกัลป์นั้น ครั้นไฟเผาไหม้แผ่นดินแล้ว ด้วยบุญท่าน ซึ่งจะมาเป็นพระยามหาจักรพรรดิราชนั้น กงจักรแก้วนั้นจะเกิดก่อน และจมอยู่ในท้องมหาสมุทร รอท่านผู้จะมาเป็นจักรพรรดิราชนั้น และเครื่องประดับสำหรับท่านผู้มีบุญนี้ ก็ไม่มีสิ่งใดเสมอด้วยกงจักรแก้วนั้น ซึ่งเกิดมาเพื่อให้รู้จักคนผู้มีบุญกว่าคนทั้งหลาย และจะให้หมู่คนทั้งหลายใน ๔ แผ่นดินรักสามัคคีกัน มีดวงใจเป็นอันเดียวกัน ด้วยบุญท่านผู้เป็นพระยามหาจักรพรรดิราชนั้น

กงจักรแก้วนั้นมีศักดานุภาพยิ่งนัก เมื่อมีผู้ใดไปไหว้นอบนบเคารพบูชา แก่กงจักรแก้วนั้นด้วยข้าวตอกดอกไม้ กงจักรแก้วนั้น ย่อมช่วยบำบัดความเจ็บไข้ ให้ประสบความสุขความเจริญ มั่งมีด้วยทรัพย์สินเงินทองมากมาย กงจักรแก้วนี้ ประเสริฐกว่าแก้วอันชื่อว่าสรรพกามททะ (แก้วสารพัดนึก) นั้นตั้งแสนเท่า และกงจักรแก้วนั้น ไม่มีชีวิตจิตใจ แต่มีสภาพดุจดังมีชีวิต เมื่อกงจักรแก้วนั้นลอยขึ้นมา ยังมิทันที่จะพ้นท้องมหาสมุทร และนํ้ามหาสมุทรนั้นแยกแตกออก ให้กงจักรแก้วนั้นลอยขึ้นมากลางอากาศ แลเห็นดุจดังกงจักรแก้วนั้นเป็นเครื่องประดับท้องฟ้า ดูเลื่อมพรายงามดั่งพระจันทร์ในวันเพ็ญ

เมื่อถึงวันเพ็ญ ชนทั้งหลายต่างแต่งเนื้อแต่งตัวให้สวยงาม แล้วนั่งเล่น เจรจากันอยู่ทั้งหนุ่มและสาว เด็กเล็กหญิงชายทั้งหลายต่างประดับตกแต่งกาย แล้วออกไปเล่นด้วยกัน บางพวกก็พากันไปเล่นในป่า บางพวกก็ไปเล่นในกลางแม่น้ำ กลางท้องนาและในถนนหนทาง วันนั้นคนทั้งหลายที่อยู่ในเมืองของพระยามหาจักรพรรดิราชนั้น เมื่อกงจักรแก้วนั้นพุ่งขึ้นเทียมพระจันทร์ และเป็นเวลายามคํ่าแล้ว จะดูเท่ากับดวงจันทร์ จึงเป็นเหมือนมีพระจันทร์ขึ้นมาในวันนั้นเป็น ๒ ดวง ครั้นกงจักรแก้วมาใกล้ได้ ๑๒ โยชน์แล้ว คนทั้งหลายได้ยินเสียงของกงจักรแก้ว อันผันต้องลม เสียงนั้นไพเราะยิ่งนัก ไพเราะยิ่งกว่าเสียงพาทย์และพิณ ฆ้อง แตรสังข์ กังสดาลดุริยดนตรีทั้งหลาย

คนทั้งหลายเมื่อได้ยินเสียงไพเราะนั้นแล้ว รู้สึกถูกใจและยินดีปรีดากัน ทุกคน ชวนกันกล่าวว่า ช่างประหลาดหนอ แต่กาลก่อนเราทั้งหลายไม่เคยมีเรื่องอัศจรรย์ให้ปรากฏเห็นเหมือนวันนี้ พระจันทร์เจ้าได้ขึ้นมาเป็นสองดวง เต็มงาม บริบูรณ์เสมอกันทั้งสองดวง ขึ้นมาเทียมกันดุจพระยาหงส์ทองสองตัว ทะยานเทียมขึ้นมาบนอากาศ จึงร้องเรียกกันให้มาดู บางคนพูดว่า พระจันทร์ขึ้นสองดวง บางคนร้องว่า ท่านนี้เป็นบ้า ชั่วปู่ชั่วย่าไม่เคยมีใครกล่าวว่ามีพระจันทร์เป็น ๒ ดวง อีกดวงหนึ่งนั้นเป็นดวงตะวัน เพราะว่าหากพ้นที่ๆ จะร้อนแล้ว มันก็จะไม่ร้อน อีกจำพวก ๑ ก็ร้องมาดังนี้ว่า ชาวเราทั้งหลาย เขาเหล่านั้นเป็นบ้าไปเสียแล้ว ไม่ใช่ข้อความที่จะกล่าวกลับเอามากล่าว มาเข้าใจกันว่าพระจันทร์ขึ้นมา เป็น ๒ ดวง บางแห่งก็ว่าการที่คิดว่าอีกดวงหนึ่งนั้นเป็นดวงตะวันน่าหัวเราะนัก เขาเหล่านั้นเป็นบ้าไปแล้ว ตะวันเพิ่งจะตกไปเดี่ยวนี้ แล้วจะมาขึ้นพร้อมพระจันทร์ทันทีได้อย่างไร ดวงที่ขึ้นมานี้มิใช่อะไรอื่นเลย มันคือปราสาททองของเทพยดา จึงดูรุ่งเรืองสุกใส เพราะแก้วแหวนเงินทองที่ประดับประดาปราสาทนั่นเอง คนอีกจำพวกหนึ่งพากันหัวเราะพูดว่า เจ้าทั้งหลายอย่าได้โจทเถียงกันไปมาเลย สิ่งนี้มิใช่เดือนมิใช่ตะวัน และมิใช่ปราสาททองของเทพยดาที่ท่านทั้งหลายกล่าวว่าเดือนก็ดี ตะวันก็ดี ปราสาททองของเทพยดาก็ดีนั้น สิ่งเหล่านี้ไม่เคยมีเสียง อึกทึกกึกก้อง และมีเสียงดังกังวานอย่างนี้สักทีเลย สิ่งนี้ต้องเป็นกงจักรแก้ว ซึ่งมีชื่อว่า จักรรัตนะ ดังที่ท่านกล่าวมาแต่กาลก่อน กงจักรแก้วนั้นย่อมเกิดมาด้วยบุญของท่านผู้มีบุญ และจะได้เป็นพระยามหาจักรพรรดิราชนั่นเอง

คนทั้งหลายต่างก็ถกเถียงกันไปมาอยู่อย่างนั้น พวกเขามิได้เชื่อถ้อยคำ ของกันและกันเลย เมื่อกงจักรแก้วนั้นลอยออกมาจากดวงจันทร์เข้ามาใกล้กว่าเก่าอีกประมาณ ๑ โยชน์ จึงจะถึงเมืองนั้น ชนทั้งหลายจึงแลเห็นชัดเจนงามยิ่งนัก และมีใจรักทุกๆ คน เสียงกงจักรแก้วนั้นดังกึกก้องมาก ดังจะเปล่งเสียงว่า พระยาองค์นั้น พระองค์จะได้เป็นพระยาบรมมหาจักรพรรดิราชเจ้า จึงลอยมาถึงพระนครที่พระยาผู้มีบุญอาศัยอยู่ เมื่อเป็นดังนั้นคนทั้งหลายจึงกล่าวว่า กงจักรแก้วดวงนี้ จะลอยไปสู่พระยาองค์ใดหนอ คนอีกจำนวนหนึ่งจึงกล่าวว่า กงจักรแก้วดวงนี้ มิได้เกิดมาด้วยบุญของพระยาองค์อื่นเลย คงลอยมาเพื่อพระยาผู้เป็นเจ้านายของเรานี้เอง ท่านเป็นผู้มีบุญจะได้เป็นพระยามหาจักรพรรดิราชแล พระองค์ทรงคำนึงถึงกงจักรแก้วอยู่ กงจักรแก้วดวงนี้ จึงลอยมาหาพระองค์ กงจักรแก้วก็ลอยมาถึงเมืองนั้น แล้วร่อนลงที่ประตูเมืองของพระองค์ แล้วทำประทักษิณรอบๆ เมือง ๗ รอบ แล้วลอยอยู่บนอากาศไปตามหนทางหลวง แล้วเข้ามาสู่พระราชมนเทียรของพระยาและทำประทักษิณ พระยานั้น ๓ รอบ และพระราชมนเทียรของพระยานั้น ๗ รอบ แล้วก็ลอยเข้าหาพระยานั้น ดุจดังมีชีวิต จิตใจ จะมานอบน้อมแด่พระยานั้น แล้วเข้ามาสู่แทบพระบาทตรงที่ทรงบรรทม ไม่ว่าจะเป็นที่แห่งใดก็ตาม กงจักรแก้วก็ลอยอยู่ในที่นั้น แล้วคนทั้งหลายก็เอาข้าวตอกดอกไม้บุปผชาติและธูปเทียนชวาลา รวมทั้งกระแจะจันทน์ นํ้ามันหอม มาไหว้ มานอบนบเคารพบูชาสักการะแก่กงจักรแก้วนั้น เมื่อกงจักรแก้วสถิต ตั้งอยู่ในที่อันสมควรแล้ว ก็เปล่งรัศมีรุ่งเรืองรอบๆ ทั่วทั้งพระราชมนเทียรนั้น ทุกแห่งดุจดังยอดเขายุคันธร ในวันพระจันทร์เต็มดวง และเมื่อพระจันทร์ลอยขึ้นมาเหนือยอดเขานั้น มีแสงรุ่งเรืองงดงามยิ่งนัก

เมื่อนั้นพระยาจึงเสด็จออกมาจากปราสาท เพื่อทอดพระเนตรกงจักรแก้วนั้น อำมาตย์จึงทูลแด่พระองค์ว่า ขออัญเชิญพระองค์เจ้าทอดพระเนตรกงจักรแก้ว อันมีรัศมีรุ่งเรืองงาม งามทั้งพระราชมนเทียรของพระองค์ พระยาองค์นั้นจึงเสด็จมาประทับนั่งบนแท่นทองอันประดับด้วยแก้วอันตั้งอยู่แทบพระบัญชรนั้น พระมหากษัตริย์เจ้าก็ทรงทอดพระเนตรกงจักรแก้วอันรุ่งเรืองด้วยแก้ว ๗ ประการ อันงามตระการตา หาที่จะเปรียบมิได้ พระยาองค์นั้นจึงมีพระราชโองการแก่อำมาตย์ราชมนตรีทั้งหลายว่า

อาจารย์ทั้งหลายในอดีตกาลกล่าวว่า พระยาพระองค์ใดมีบุญ และจะได้เป็นพระยามหาจักรพรรดิราช สามารถปราบได้ทั่วทั้งจักรวาล กงจักรแก้วอันมีชื่อว่า จักรรัตนะ จักรรัตนะนั้นย่อมมาสู่บุญสมภารของพระยาองค์นั้น เราได้กระทำบุญมาแต่ก่อนและบุญนั้นมาถึงเราจริง กงจักรแก้วนั้นจึงลอยมาหาเราในบัดนี้ อีกทั้งวันนั้น ก็เป็นวันเพ็ญอุโบสถ และพระยาองค์นั้นให้ทานรักษาศีล ๘ แล้ว ทรงบำเพ็ญเมตตาภาวนาอยู่ เมื่อทรงรำพึงถึงทานศีลและภาวนาอยู่ กงจักรแก้วนั้น ก็ลอยมาหาในคืนนั้นแล พระยาองค์นั้นจึงเอาผ้าขาวเนื้อละเอียดพาดเหนือพระอังสาทั้งสอง กราบไหว้ด้วยผ้าผืนเล็ก ผ้าสำลี และมีบางพวกห่มผ้าสีชมพู ผ้าหนัง ผ้าเกราะ แล้วถือเครื่องประหาร ถือหน้าไม้ ธนู หอก ดาบ แหลน หลาว สวมหมวกเงิน ทอง และถม ถือกลดชุบสายหลายคัน พากันไปชมหมู่ไม้ในกลางป่าดง มีบางพวกถือธงเล็ก ธงใหญ่ ธงขนาดกลาง ธงแดง ธงขาว ดูงามพิสดาร มีสีขาว สีดำ สีแดง สีเหลืองเรืองรอง พรายงามดังแสงตะวัน สว่างไสวทั่วทั้งแผ่นดิน เหาะไปในอากาศตามเสด็จพระยามหาจักรพรรดิราช เมื่อนั้น เสนาบดีผู้ใหญ่จึงสั่งให้เจ้าเมืองทั้งหลายเอากลองงดงามมีสายเป็นทอง และมีแสงเป็นสีแดงดุจแสงไฟ ไปตีป่าวร้องแก่หมู่ราษฎรทั้งหลายว่า ถ้าผู้เป็นพระยาเจ้านายของเรานี้ พระองค์จะได้เป็นพระยามหาจักรพรรดิราช และบัดนี้ พระองค์ปราบได้ทั่วทั้ง ๔ ทวีปแล้ว ผู้ใดใคร่อยากชมบุญบารมีของพระองค์ ก็ให้เร่งชักชวนกันมาไหว้มาชม บัดนี้พระองค์ได้เสด็จไปปราบทวีปทั้ง ๔ ท่านทั้งหลายจงเร่งแต่งตัวแล้วพากัน หอบ ถือข้าวตอกดอกไม้ไปบูชากงจักรแก้วนั้น

เมื่อคนทั้งหลายได้ยินเสียงกงจักรแก้วนั้น เสียงดังไพเราะลอยไปทาง อากาศเบื้องหน้าพระยามหาจักรพรรดิราช คนทั้งหลายต่างก็หยุดทำงานของตนที่ค้างไว้ แล้วชักชวนกันประดับตกแต่งกายให้สวยงามทากระแจะจันทน์น้ำมันหอม ถือข้าวตอกดอกไม้ไปบูชากงจักรแก้วนั้น

ครั้งนั้น คนทั้งหลายต่างมีใจชื่นชมยินดียิ่งนัก เพียงนึกว่าจะตามเสด็จ ไปก็สามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ทุกคน ด้วยบุญอำนาจแห่งกงจักรแก้วนั้น บรรดาสมณพราหมณ์ บรมวงศานุวงศ์ ลูกขุน มนตรี ข้าราชบริพาร เศรษฐี คฤหบดี พ่อค้า ประชาชน พวกแพศย์ พวกศูทร เหล่านี้ต่างมีร่างกายงามสะอาดทุกคน ไม่มีสกปรกเลย แม้ความสกปรกด้วยเหตุใดๆ ก็ดีที่เขามีในกาลก่อน ก็พลันมลายหายไปสิ้นด้วยอำนาจอิทธิฤทธิ์แห่งกงจักรแก้วนั้น ซึ่งสามารถขจัดความสกปรกมลทินทั้งผองในกายมนุษย์

จะกล่าวให้รู้ว่ากำลังรี้พลของพระยามหาจักรพรรดิราช ว่ามีจำนวน มากเท่าใด ถ้าอยากรู้ก็ให้คิดถึงที่แห่งหนึ่งกว้าง ๑๒ โยชน์ วัดโดยรอบได้ ๓๖ โยชน์ แล้วให้ไพร่พลทั้งหลายนั่งในบริเวณนั้น กงจักรแก้วนั้นก็สามารถอยู่ในบริเวณเท่านั้นได้ พระยามหาจักรพรรดิราชก็ดี และไพร่พลทั้งหลายก็ดี ย่อมเหาะไปในอากาศเหมือนวิทยาธรผู้มีฤทธิ์ ผู้มีอาวุธวิเศษ พระยามหาจักรพรรดิราช และรี้พลไปในอากาศด้วยอำนาจของกงจักรแก้วนั้น พระยามหาจักรพรรดิราช รุ่งเรืองงามเหมือนพระจันทร์วันเพ็ญ และพสกนิกรผู้ตามเสด็จก็รุ่งเรืองงามสง่าเหมือนดั่งดวงดาราห้อมล้อมเป็นบริวารพระจันทร์ ฉะนั้น

ซนทั้งหลายต่างมีใจแช่มชื่นรื่นเริงยิ่งนัก มีการแต่งตัวมาชมกงจักรแก้ว นั้น แล้วขับร้อง และมีเสียงพาทย์ เสียงพิณ แตร สังข์ กลองใหญ่น้อย ฉิ่งฉาบ บัณเฑาะก์ ทั้งไพเราะและวังเวง บางคนตีกลอง ตีพาทย์ ตีฆ้อง ตีกรับ บางพวก ดีดพิณ สีซอ ตีฉิ่ง จับระบำรำเต้น เสียงสรรพดนตรีดังครื้นเครง กึกก้องดัง แผ่นดินจะถล่มทลาย คนทั้งหลายผู้เป็นบริวารตามเสด็จพระยามหาจักรพรรดิราช ไปในกลางอากาศนั้น งามนักหนาดังเทวดาทั้งหลายผู้เป็นบริวารของพระอินทร์

เมื่อพระราชาเสด็จไปทางอากาศครั้งใด กงจักรแก้วจะนำเสด็จไปก่อน ถัดมาเป็นพระราชาและต่อมาเป็นไพร่พลทั้งหลาย พฤกษชาติไม้ดอกไม้ผลนานาชนิดตามข้างทางที่เสด็จผ่านก็ลอยละลิ่วปลิวตามไปด้วย ถ้าใครอยากจะกินผลไม้ชนิดใดก็ได้กินสมตามใจนึก ถ้าอยากทัดดอกไม้ชนิดใดก็ได้สมใจ หรือถ้าใครอยากจะเข้าไปอยู่ในร่มเงาก็ได้เข้าไปอยู่ในร่มเงาสมใจนึกเช่นกัน ประชาชนผู้อยู่เบื้องล่าง เมื่อเห็นรี้พลบริวารของพระยานั้น อยากจะรู้จักชื่อเขาเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นบรมวงศานุวงศ์ก็ดี ขุนนางก็ดี หรือข้าราชบริพารอื่นๆ ก็ดี อำนาจของกงจักร แก้วจะบอกชื่อคนทั้งหลายเหล่านั้นแก่ผู้อยากรู้ถ้วนทุกคน

ผู้ใดนึกอยากตามเสด็จไม่ว่าจะอยู่ในลักษณะอาการยืน เดิน นั่ง นอน ก็จะลอยขึ้นไปในอากาศ ด้วยลักษณะอาการนั้นๆ ไม่ต้องก้าว ไม่ต้องเดิน ทั้งเสื่อสาดอาสนะ ที่นั่ง ที่นอนอยู่ ถ้านึกอยากจะนำไปด้วย มันก็จะลอยไปด้วย ถ้าใครนึกอยากจะยืนไป เดินไป นั่งไป นอนไป ทำการงานไป ก็จะเป็นไปตามความประสงค์ทุกประการ ถ้าใครกำลังทำงานอยู่ และไม่อยากทำงานไปด้วย งานทั้งหมดก็จะไม่ไปด้วย ใครอยากทำงานไปด้วย ก็จะทำงานไปด้วย ไม่เสียงาน

ทิศตะวันออกเขาพระสุเมร และด้านซ้ายเขาสัตตบริภัณฑ์ ข้ามมหาสมุทร ด้านทิศตะวันออก จะถึงแผ่นดินชื่อบุรพวิเทหะ กว้าง ๗,๐๐๐ โยชน์ เมื่อพระยามหาจักรพรรดิราชไปถึงสถานที่หนึ่งราบเรียบมาก มีนํ้าใสงาม ท่านํ้าก็ไม่ลึก ที่นั้นเหมือนคนถากไว้ด้วยพร้าด้วยขวาน กว้าง ๑๒ โยชน์ วัดโดยรอบได้ ๓๖ โยชน์ ที่นั้นเคยเป็นที่ตั้งทัพหลวงของพระยามหาจักรพรรดิราชแต่โบราณ ในเวลาที่พระองค์เสด็จประพาส กงจักรแก้วจึงหยุดอยู่ในอากาศเหมือนถูกขัดเพลาไว้ ไม่เคลื่อน และไม่มีผู้ใดหมุนไปได้ เมื่อกงจักรแก้วหยุดอยู่ดังนั้น พระยามหาจักรพรรดิราชและไพร่พลทั้งหลายจึงลงมาจากอากาศมายังพื้นดินที่ดูรุ่งเรืองงาม เหมือนดาวหรือเหมือนฟ้าแลบ หรือเหมือนแสงธนูของพระอินทร์ ทุกคนสนุก ใครอยากจะอาบนํ้าก็ได้อาบ ใครอยากจะกินข้าวและนํ้าก็ได้กิน ผู้ใดปรารถนาสิ่งใดก็ได้สิ่งนั้นทุกอย่าง

เมื่อพระยามหาจักรพรรดิราชเสด็จไปถึงทวีปนั้น บรรดาพระราชาและ เจ้าเมืองต่างๆ ในทวีปนั้น ก็ไม่อาจตระเตรียมอาวุธมาสู้รบกับพระยามหาจักรพรรดิราชนั้นได้เลย เขาทั้งหลายต่างมีใจรักใคร่นิยมบูชาพระยานั้น จึงชักชวนกันมาถวายบังคมมาเฝ้าแหนพระยามหาจักรพรรดิราชอยู่ บรรดาปีศาจ ผีสาง และสัตว์ทั้งหลายที่ฆ่ามนุษย์ก็ไม่มีใจคิดร้ายต่อพระยามหาจักรพรรดิราชเลย เพราะเกรงบุญอำนาจของพระยามหาจักรพรรดิราชนั้น

เมื่อกงจักรแก้วมาจากมหาสมุทรมีชื่อว่า จักรรัตนะ แต่เมื่อพระยามหา- จักรพรรดิราชปราบทวีปทั้ง ๔ ได้แล้ว กงจักรแก้วนั้นจึงมีชื่อว่า อรินทมะ (ผู้ปราบข้าศึก)

บรรดาพระราชาทั้งหลายในบุรพวีเทหทวีป ต่างแต่งเครื่องบรรณาการมี เทียน ธูป และเครื่องหอมนานาชนิดที่ตกแต่งอย่างประณีตงดงาม แล้วชวนกันมาไหว้และมาถวายตัวเป็นข้าแห่งพระยามหาจักรพรรดิราชนั้น ขณะที่พระราชาทั้งหลายมาเฝ้าพระยามหาจักรพรรดิราชอยู่นั้น ดูรุ่งเรืองงามด้วยด้วยเครื่องราชกกุธภัณฑ์ และเครื่องประดับและอาภรณ์ของพระราชาเหล่านั้น พวกเขาประดับด้วยแก้ว ๗ ประการ ดูรุ่งเรืองงามตา เปรียบดังฟองน้ำไหลออกจากคนโททองมาล้างพระบาทพระยามหาจักรพรรดิราชนั้น เมื่อพระราชาทั้งหลายถวายบังคมแล้วก็ถวายตัวและถวายบังคมทูลว่าดังนี้ ข้าแต่มหาราชเจ้า ตั้งแต่นี้ไป ข้าทั้งหลายขอถวายตัวเป็นข้าของพระองค์ผู้เป็นเจ้า หากพระองค์ปรารถนาสิ่งใด ข้าทั้งหลายจะทำการงานสิ่งนั้นถวายพระองค์ ขอถวายบ้านเมืองของข้าทั้งหลาย แด่พระองค์ ขอพระองค์ได้โปรดข้าทั้งหลายเถิด แล้วพระราชาทั้งหลายก็ถวายบังคมแสดงความเคารพยำเกรงพระยามหาจักรพรรดิราชนั้น พระยามหาจักรพรรดิราชจึงตรัสตอบพระราชาทั้งหลายว่า เราไม่ต้องการทรัพย์สมบัติหรือส่วยสาอากรจากพระราชาองค์ใดเลย เพราะพระยามหาจักรพรรดิราชมีสมบัติทิพย์อยู่แล้วด้วยเดชอำนาจของกงจักรแก้วนั้นเอง

พระยามหาจักรพรรดิราชไม่ได้ทรงมีพระดำรัสสั่งการใดๆ ให้พระราชาทั้งหลายต้องพลัดพรากจากที่อยู่หรือเกิดความน้อยเนื้อตํ่าใจเลย พระองค์อนุเคราะห์เขาเหล่านั้นให้มีความสุข มีความสบาย ไม่ให้มีอันตรายเกิดแก่เขา พระยามหาจักรพรรดิราชรู้บุญรู้ธรรมและสั่งสอนธรรมคนทั้งหลายเหมือนเป็นพระพุทธเจ้ามาเกิด พระองค์สอนธรรมแก่โลกทั้งหลาย พระองค์สอนธรรมแก่พระราชาทั้งหลายว่าให้ตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรม ๑๐ ประการ ตลอดเวลา ให้รักไพร่ฟ้าข้าไททั้งหลายเสมอกัน อย่าลำเอียง การเกิดเป็นคนเป็นสิ่งยาก เมื่อได้เกิดเป็นพระราชา แสดงว่ามีบุญมาก จึงควรรู้จักบุญรู้จักธรรม รู้จักละอายแก่บาป ให้ตัดสินความด้วยความสัตย์สุจริตเป็นธรรม และรวดเร็ว กระทำได้ดังนี้ เมื่อเกิดเมื่อใด เพราะบุญกุศลที่ได้ทำมาแต่ครั้งก่อน จะทำให้เกิดเป็นพระราชาให้รู้จักคุณของแก้ว ๓ ประการ คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ให้ปฏิบัติตามธรรมคำสั่งสอนที่อาจารย์แต่โบราณ เช่นพระพุทธเจ้า และปราชญ์ผู้รู้ทั้งหลายได้สั่งสอนไว้ และควรเว้นสิ่งที่ไม่ชอบธรรม

บาป ๕ ประการที่ควรเว้น ได้แก่

หนึ่ง ไม่ควรฆ่าสัตว์ทั้งหลายที่มีชีวิต ไม่ว่าจะมดตัวหนึ่งก็ดี หรือปลวก ตัวหนึ่งก็ดี ถ้าผู้ใดจะทำร้ายตน ก็ไม่ควรฆ่าผู้นั้น ควรว่ากล่าวสั่งสอนโดยธรรม การฆ่าสัตว์มีชีวิตเป็นบาปหนัก ผู้ใดทำบาปนั้นจะไปเกิดในนรกทนทุกข์เวทนา เดือดร้อนเป็นเวลานานมาก เมื่อพ้นจากนรกแล้วมาเกิดเป็นคนจะมีความทุกข์โศก จะถูกทำร้ายได้รับความเดือดร้อนไม่มีความสุขใจเลยเป็นเวลา ๑๐๐ ชาติ ๑,๐๐๐ ชาติ ต้องพลัดพรากจากคนที่รักทั้งหลาย ถ้าใครไม่กลัวบาปนั้นและยังทำบาปนั้นซํ้าอีก ก็จะเป็นการต่อบาปนั้นไปไม่มีที่สิ้นสุด

สอง ไม่ถือเอาทรัพย์สิ่งของที่เจ้าของไม่ให้ และไม่ใช่ให้คนอื่นไปถือเอา ถ้าผู้ใดโลภเอาทรัพย์สินของคนอื่นที่เจ้าของไม่ให้ จะไปเกิดในนรกทนทุกข์ทรมานมาก เมื่อพ้นจากนรกนั้นมาเกิดเป็นคน จะเป็นคนโง่มาก เดือดร้อนลำบากมาก จนไม่อาจพรรณนาได้ทั้งหมด หากมีทรัพย์ใดๆ แม้เพียงนิดเดียวก็จะถูกช่วงชิงไป แม้ใส่พกไว้ก็จะตกหาย หรือมิฉะนั้นจะถูกไฟโทษ หรือมิฉะนั้นจะถูกนํ้าพัดไป จะเป็นคนเข็ญใจเช่นนี้ถึง ๑,๐๐๐ ชาติ จึงจะหมดบาป แม้ผู้ใดไม่รู้จักกลัวบาปนี้ และยังกระทำอีก ก็จะต่อบาปนั้นไปไม่สิ้นสุด

สาม การเป็นชู้กับภรรยาผู้อื่น ไม่ควรกระทำแม้แต่น้อย ผู้ใดกระทำบาป นั้นจะตกนรกสิมพลี มีไม้งิ้วมีหนามเป็นเหล็กยาวแหลมคมมาก มีเปลวไฟลุกโพลงตลอดเวลา มีฝูงยมบาลถือหอกทิ่มแทงคอยขับให้สัตว์นรกปีนขึ้นลง มีความทุกข์ทรมานเป็นเวลานาน เมื่อพ้นจากนรกนั้นจะมาเกิดคนมีศัตรูมาก จะเกิดเป็นกะเทยเป็นเวลา ๑,๐๐๐ ชาติ ถ้าเกิดเป็นผู้ชายจะมีบาปสืบไปตลอดชาติ

สี่ การพูดปด เจ้าทั้งหลายไม่ควรกล่าว ถ้าผู้ใดกล่าวคำเท็จ ผู้นั้นจะตกนรก มีฝูงยมบาลทรมานให้ได้รับความทุกข์ทรมานเป็นเวลานานมาก เมื่อพ้นจากนรกนั้นมาเกิดเป็นคน ร่างกายจะมีกลิ่นอาจม มีกลิ่นเหม็นหืนมาก ถ้าไปทำผิดต่อผู้ใด เวลาผู้นั้นจะทำร้ายจะหนีไม่พ้น และจะถูกทำร้ายไปทุกชาติ ผ้านุ่งห่มก็เหม็นสาบเหม็นสาง ต้องเกิดเป็นเช่นนี้ ๑,๐๐๐ ชาติจึงจะหมดบาป หากผู้ใดไม่รู้จักกลัวบาปนี้ยังพูดปดอีก บาปนั้นจะเพิ่มมากขึ้น และจะพ้นจากบาปนั้นได้ยาก

ห้า ไม่ควรชวนกันกินเหล้า บาปนั้นจะทำให้ตกนรก มียมบาลทรมาน ให้ได้รับความทุกข์ทรมานเป็นเวลานาน เมื่อพ้นจากนรกนั้นจะมาเกิดเป็นผีเสื้อ ๕๐๐ ชาติ และเป็นสุนัขบ้า ๕๐๐ ชาติ ถ้ามาเกิดเป็นคนจะเป็นบ้า มีรูปร่างน่าเกลียด ใจเป็นพาลไม่รู้จักผิดชอบ เป็นคนใจคอโหดเหี้ยม หากไม่รู้จักบาปนั้นยังคงกระทำต่อไป บาปนั้นจะเพิ่มมากขึ้น และยากที่จะพ้นจากบาปนั้นได้

บาปกรรมที่มีควรกระทำ ที่เจ้าทั้งหลายควรเว้น ที่เราได้กล่าวมาแล้วนี้ ชื่อว่า เบญจศีล เจ้าทั้งหลายจงจำไว้ให้มั่น และจงสั่งสอนไพร่ฟ้าข้าไททั้งหลาย ในอาณาจักรของตนให้รู้ให้ปฏิบัติชอบ จะได้เจริญและมีความสวัสดีทุกๆ คน

ท้าวพระยาทั้งหลาย ไพร่ฟ้าข้าไทราษฎรทำไร่ไถนาเลี้ยงชีวิตในแผ่นดิน ของเรานี้ เมื่อข้าวออกรวง ผู้ทำนาไม่ว่าจะเป็นผู้ดีหรือเข็ญใจ ให้เขาแบ่งข้าวเปลือก เป็น ๑๐ ส่วน เป็นของหลวง ส่วนหนึ่ง อีก ๙ ส่วนเป็นของเขาผู้นั้น หากเห็นว่า เขาทำนาไม่ได้ข้าว ก็ไม่ควรเอาของเขา อนึ่ง ควรแจกข้าวแก่ไพร่พลและทหารทั้งหลาย เดือนละ ๖ ครั้ง เขาจึงจะพอกินอย่าให้เขาอดอยาก ถ้าจะให้เขาทำสิ่งใดก็ตาม ควรใช้แต่พอควร อย่าใช้งานมากเกินไป ไม่ควรใช้คนมีอายุมาก ควรปล่อยเขาไปเป็นอิสระ ให้เก็บส่วยจากราษฎรตามแบบที่ท้าวพระยาแต่โบราณกระทำ มา ถ้าทำได้เช่นนั้นผู้เฒ่าผู้แก่ทั้งหลายจะสรรเสริญว่ากระทำชอบ ไม่ควรเก็บส่วยจากราษฎรมากเกินไป ถ้าทำเช่นนั้น ท้าวพระยาผู้จะมาเสวยราชย์ต่อจากเราในภายหน้าจะถือเป็นตัวอย่าง เป็นธรรมเนียมสืบต่อๆ กันไป บาปจะเกิดแก่เรา เพราะเรากระทำความไม่ชอบธรรมนี้ไว้ในแผ่นดิน

อนึ่ง หากไพร่ฟ้าข้าไททั้งหลายในแผ่นดินเรา จะไปค้าขายแต่ไม่มีทุน และได้มาหาและมาขอกู้เงินทองเป็นทุนจากเราผู้เป็นนาย เราควรเอาเงินจากท้องพระคลังให้เขา และให้จดบัญชีไว้แต่ต้นปีว่าเขากู้ไปเท่าใด เราผู้เป็นนายไม่ควรคิดดอกเบี้ยเขาเลย ควรเรียกแต่ต้นทุนคืนเท่านั้น ไม่ควรเรียกเก็บภาษีหรือดอกเบี้ยจากเขาเลย

ท้าวพระยาทั้งหลายควรให้ทรัพย์สินแก่ลูกและเมียของเสนามนตรี และ ไพร่พลทั้งหลาย เพื่อเป็นเบี้ยเลี้ยงเสบียงสำหรับเขา เป็นเครื่องแต่งตัว ควรให้ทรัพย์สินแก่เขา เขาจะได้เต็มใจทำงาน เราผู้เป็นท้าวพระยาไม่ควรคิดเสียดายทรัพย์

ขณะที่เสนามนตรีทั้งปวงเข้าเฝ้า พระราชาไม่ควรพูดมาก ไม่ควรยิ้มมาก ควรพูดและแย้มยิ้มพอประมาณ อย่าลืมตัว เมื่อจะตัดสินคดีความทั้งหลาย อย่าพูดนอกเรื่องหรือทะเลาะกัน ต้องตัดสินคดีความอย่างยุติธรรม พิจารณาความให้ตลอดถี่ถ้วน แล้วจึงตัดสินความอย่างซื่อตรง

ให้เลี้ยงดูบำรุงสมณพราหมคณาจารย์และนักปราชญ์ราชบัณฑิตผู้รู้ ธรรมยกย่องให้นั่งในที่สูง แล้วจึงสนทนาซักถามธรรมอันประเสริฐ ไพร่ฟ้าข้าราชบริพารผู้ใดทำความดีความชอบเป็นประโยชน์แก่ท้าวพระยาต้องให้รางวัลผู้นั้นมากน้อยตามความดีที่เขาทำ

ถ้าพระราชาองค์ใด เมื่อเสวยราชย์แล้วทรงปกครองโดยชอบธรรม ไพร่ฟ้าประชาราษฎร์จะอยู่เย็นเป็นสุข เพราะพระบุญญาบารมีของพระราชา ผู้เป็นนาย มีข้าวปลาอาหาร แก้วแหวนเงินทอง ผ้าผ่อนแพรพรรณบริบูรณ์ ฝนตกปริมาณพอดีตกตามฤดูกาล ข้าวในนาปลาในน้ำก็ไม่หมดไปเพราะฝน ไม่แล้ง

อนึ่ง วันคืน เดือนปี ทั้งหลายย่อมเป็นไปโดยปรกติ เทวดาอารักษ์ประจำเมืองก็รักษาเมือง เพราะเกรงบุญบารมีของพระราชาผู้ปกครองโดยธรรม ถ้าพระราชาองค์ใดไม่ปกครองโดยธรรม ฝนจะวิปริต การทำไร่ไถนาจะเสียหาย เพราะฝนแล้ง โอชารสที่อร่อยในดินจะจมหายไปได้แผ่นดินทั้งสิ้น ผลไม้และพืชพันธุ์ต่างๆ จะไม่งอกงาม แดด ลม ฝน เดือนและดาวจะไม่เป็นไปตามฤดูกาลดังแต่ก่อน ทั้งนี้เพราะพระราชาไม่อยู่ในธรรม เทวดาทั้งหลายเกลียดพระราชาอธรรม ไม่ชอบมองหน้าพระราชานั้น จะมองด้วยหางตาเท่านั้น พระราชาทั้งหลาย จงจำคำที่เราสอนไว้นั้นตราบเท่ามีชีวิตอยู่ และจงเร่งกระทำความชอบธรรมนี้เถิด จะได้มีความสุขความเจริญทั้งในชาตินี้และชาติหน้า เมื่อสิ้นชีวิตไป แล้วจะได้ไปเกิดใน ๖ ชั้นฟ้า ถ้ามาเกิดในเมืองมนุษย์ จะได้เกิดในตระกูลดีมียศศักดิ์มีบุญทุกประการ

ถ้ามีผู้ถามว่า เมื่อพระยามหาจักรพรรดิราชสั่งสอนพระราชาทั้งหลาย นั้น พระราชาเหล่านั้นสนใจฟังและปฏิบัติตามคำสั่งสอนนั้นหรือไม่ ตอบว่า แม้พระพุทธเจ้าผู้ได้สะสมสร้างบารมีมามากจนได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า และได้สั่งสอนชาวโลกนั้น ยังมีบางคนผู้มีบุญเต็มใจปฏิบัติตามคำสั่งสอน บางคนมีบุญน้อยไม่นิยมปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามยังมีจำนวนมาก ส่วนพระยามหาจักรพรรดิราชไม่อาจเทียบกับพระพุทธเจ้าได้ ยังห่างไกลกันมาก ดังนั้น ไม่ใช่พระราชาทั้งหมดจะปฏิบัติตามคำสั่งสอน บางคนฟังคำสั่งสอนและทำตาม บางคนไม่เชื่อและไม่ทำตาม

พระธรรมเทศนาที่พระยามหาจักรพรรดิราชทรงแสดงแก่พระราชาทั้ง หลายในบุรพวิเทหทวีป ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของแผ่นดินนี้ ชื่อว่า ชัยวาทสาสน์ แล้วพระองค์จึงเลี้ยงอำลาพระราชาทั้งหลายพร้อมด้วยข้าราชบริพารทั้งปวงด้วยอาหารอันมีรสเลิศทั้งหลาย แล้วกงจักรแก้วก็เหาะขึ้นไปในอากาศ นำพระยามหาจักรพรรดิราชพร้อมด้วยรี้พลไปทางทิศตะวันออก มุ่งไปทางกำแพงจักรวาล ด้านตะวันออก เมื่อมาถึงฝั่งมหาสมุทรด้านตะวันออก กงจักรแก้วก็ผันลงสู่มหาสมุทร น้ำมหาสมุทรกลัวบุญบารมีกงจักรแก้วจึงไม่ตีฟองเป็นละลอก เปรียบ เหมือนพระยานาคซึ่งกำลังแผ่พังพานอยู่ ต้องก้มสยบหัวลงแอบซ่อนเพราะความกลัวอาญาเมืองกงจักรแก้วนั้นผันไปถึงพระมหาสมุทรแล้ว นํ้าในมหาสมุทรก็แยกออกเป็นทาง กว้าง ๑ โยชน์ หรือ ๘,๐๐๐ วา นํ้าสองข้างงามเหมือนกำแพงแก้วไพฑูรย์ เมื่อกงจักรแก้วไปถึงพื้นมหาสมุทร นํ้าแยกออกเป็นเนื้อที่ ๘,๐๐๐ วา แก้ว ๗ ประการที่อยู่ในพื้นมหาสมุทรและแก้วประเภทต่างๆ ก็มาอยู่ตรงทางที่พระยามหาจักรพรรดิราชเสด็จด้วยรี้พล ตั้งยังมหาสมุทรนี้ไปจนถึงฝังโน้นตลอดไปจนถึงเชิงกำแพงจักรวาล ทั้งนี้เพราะอำนาจของกงจักรแก้วนั้น

ฝูงคนทั้งหลายที่ตามเสด็จพระยามหาจักรพรรดิราชในวันนั้นต่างเห็น แก้วแหวนเงินทอง ต่างก็เลือกเอาตามใจตน บางคนกวาดเอาใส่พก บางคนกวาดใส่ห่อผ้า คนทั้งหลายชื่นชมยินดีมาก ทุกคนร้องชมว่า แต่ก่อนเราไม่เคยพบเห็น อย่างนี้ บัดนี้เราได้เห็นได้พบ ทั้งนี้เป็นเพราะบุญบารมีเจ้านายเรา

กงจักรแก้วนั้นก็นำเสด็จพระยาไปถึงฝั่งมหาสมุทรอีกด้านหนึ่ง จนถึง กำแพงจักรวาลฝั่งตะวันออก พระยามหาจักรพรรดิราชจึงหลั่งนํ้าหอมจากหม้อทองลงสู่พื้นดินและประกาศว่า ดินแดนฝั่งตะวันออกนั้นเป็นของเรา อาณาประชาราษฎร์ที่อาศัยอยู่ในดินแดนตะวันออกนี้เป็นของเรา แล้วพระยามหาจักรพรรดิราชก็เสด็จกลับทางเก่า คนทั้งหลายก็กลับตาม ข้าราชบริพารและไพร่พลบางคนนำเสด็จ บางคนตามเสด็จ ส่วนกงจักรแก้วนั้นตามหลังคนทั้งหลาย เพราะคอยกันไม่ให้นํ้าในมหาสมุทรท่วมกลบหนทางของคนทั้งหลาย ส่วนนํ้าในมหาสมุทร รักกงจักรแก้วมาก ไม่อยากให้จากไป เปรียบเหมือนนางรูปงาม มีสามีที่ตนรัก และสามีได้จากไปเป็นเวลานาน เมื่อกลับคืนมาหาและจะจากไปอีก นางรักสามีมากไม่อยากให้จากไป จึงกล่าวถ้อยคำเล้าโลมสามี เพราะไม่อยากให้จากไป ฉันใดก็ดี น้ำในมหาสมุทรก็ฉันนั้น นํ้าในมหาสมุทรมีใจรักกงจักรแก้วยิ่งนัก  จึงตามมาส่ง นํ้านั้นคอยท่วมทางตามกงจักรแก้วมา แต่ไม่ถูกกงจักรแก้วเลย แก้วแหวนเงินทองทั้งหลายก็มีใจรักกงจักรแก้วมาก จึงชวนกันมาส่งกงจักรแก้ว ถึงฝั่งมหาสมุทร เมื่อกงจักรแก้วขึ้นมาจากมหาสมุทรแล้ว นํ้ามหาสมุทรก็เต็มดังเดิม

เมื่อพระยามหาจักรพรรดิราช ปราบบุรพวิเทหทวีป ซึ่งอยู่ทางทิศตะวัน ออก ได้เอามหาสมุทรและเชิงเขากำแพงจักรวาลเป็นเขตแดนเบื้องตะวันออก และประสงค์จะมาปราบชมพูทวีป ซึ่งมีมหาสมุทรกั้นอยู่ จึงเสด็จทางอากาศ กงจักรแก้วนำพระองค์มาทางอากาศ ดังได้ปฏิบัติมาแต่ก่อน แล้วจึงมาทางแผ่นดินชมพูทวีปที่เราอาศัยอยู่นี้

พระราชาทั้งหลายในชมพูทวีปต่างก็มาถวายบังคมและถวายเครื่อง ราชบรรณาการแด่พระยามหาจักรพรรดิราช พระยามหาจักรพรรดิราชก็ทรงสั่งสอนพระราชาทั้งหลายด้วยธรรมชื่อ ชัยวาทสาสน์ แล้วเสด็จไปยังมหาสมุทร นํ้าในมหาสมุทรก็แยกออกเป็นทางดังกล่าวมาแล้ว รี้พลทั้งหลายก็เก็บแก้วแหวนเงินทองในมหาสมุทรตามต้องการ เมื่อเก็บได้เต็มที่แล้วก็ไปถึงกำแพงจักรวาลด้านใต้ พระยามหาจักรพรรดิราชจึงหลลั่งนํ้าจากหม้อทอง ประกาศว่าดินแดนนี้ และอาณาประชาราษฎร์ในดินแดนนี้เป็นของเรา แล้วจึงเสด็จกลับตามทางเดินในมหาสมุทรนั้น เมื่อเสด็จขึ้นจากนํ้า นํ้ามหาสมุทรก็เต็มดังเดิม

เมื่อพระยามหาจักรพรรดิราช ปราบดินแดนทางด้านทิศตะวันออกและ ชมพูทวีปอันกว้างได้ ๑๐,๐๐๐ โยชน์แล้ว ก็ประสงค์จะไปปราบดินแดนทางทิศตะวันตก ซึ่งกว้างได้ ๑,๐๐๐ โยชน์ ชื่อ อมรโคยานี ซึ่งมีมหาสมุทรเป็นเขตแดนกั้นอยู่ พระองค์ซึ่งเสด็จไปยังมหาสมุทรทางทิศตะวันตก ปราบแผ่นดินอมรโคยานี และสั่งสอนพระราชาทั้งหลายในทวีปนั้นดังกล่าวมาแล้ว แล้วข้ามมหาสมุทรไปถึงเขตกำแพงจักรวาลทิศตะวันตก พระยามหาจักรพรรดิราชจึงหลั่งนํ้าจากหม้อทอง แล้วประกาศว่า ดินแดนนี้และอาณาประชาราษฎร์ในดินแดนนี้เป็นของเรา แล้ว จึงเสด็จกลับ พระยามหาจักรพรรดิราชประสงค์จะปราบแผ่นดินอุตรกุรุ ซึ่งกว้าง ๘,๐๐๐ โยชน์ บรรดาพระราชาทั้งหลายได้มาถวายบังคมพระยามหาจักรพรรดิราช พระองค์ได้สั่งสอนพระราชาทั้งหลายแล้วข้ามมหาสมุทรไปถึงกำแพงจักรวาลทางทิศเหนือ แล้วจึงหลั่งนํ้าจากหม้อทอง และประกาศว่าตั้งแต่นี้ไป ดินแดนนี้ อาณาประชาราษฎร์ในเมืองนี้เป็นของเรา แล้วเสด็จกลับตามทางเดิมในมหาสมุทร ดังกล่าวมาแล้ว เมื่อพระองค์เสด็จขึ้นจากมหาสมุทรแล้ว น้ำในมหาสมุทรก็เต็ม ดังเดิม

บรรดาพระราชาทั้งหลายในแผ่นดินน้อยใหญ่จำนวน ๒,๐๐๐ ซึ่งรวม บริวารของทวีปทั้ง ๔ ทวีปละ ๕๐๐ ก็ได้มาเฝ้ามาถวายบังคมพระยามหาจักรพรรดิราชเอง พระยามหาจักรพรรดิราชไม่ต้องเสด็จไปปราบ ทรัพย์สมบัติทั้งหลายในแผ่นดิน ในจักรวาลและในมหาสมุทรทั้ง ๔ ในส่วนที่รัศมีดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ส่องไปถึง ย่อมเป็นพระราชทรัพย์ของพระยามหาจักรพรรดิราชทั้งสิ้น มีจำนวนมากมายยิ่ง เหมือนดังกงจักรราชรถของพระอินทร์ผู้เป็นเจ้าครองสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เมื่อพระยามหาจักรพรรดิราชปราบได้ทั่วทุกทวีปและจักรวาลแล้วประสงค์จะทอดพระเนตรมหาสมบัติของพระองค์ กงจักรแก้วเหมือนจะรู้พระทัย จึงหมุนเหาะขึ้นไปในอากาศ มีรัศมีดั่งดวงจันทร์ หมุนรอบเขาพระสุเมรุนั้นสว่างดังพระอาทิตย์ขึ้นพร้อมกัน ๒ ดวง คนทั้งหลายเห็นแสงสว่างรุ่งเรืองดังนั้นคิดว่าเป็นพระอาทิตย์ ๒ ดวง เมื่อพระยามหาจักรพรรดิราชและรี้พลทั้งหลายที่ตามเสด็จลอยขึ้นไปในอากาศด้วยอำนาจของกงจักรแก้วนั้น ก็แลเห็นทั่วทุกแห่ง เห็นเขาพระสุเมรุอยู่ตรงกลาง เห็นแผ่นดินใหญ่อยู่รอบเขาพระสุเมรุ ๔ ทิศ เห็นแผ่นดินน้อยซึ่งเป็นบริวารของแผ่นดินใหญ่จำนวน ๒,๐๐๐ เห็นพระมหาสมุทรทั้ง ๔ ซึ่ง เป็นเขตแดนขวางกั้นอยู่ เห็นแม่นํ้าใหญ่น้อยทั้งหลาย เห็นยอดเขาใหญ่ เห็นป่า ใหญ่บนทั้ง ๔ ทวีป เห็นเมืองน้อยใหญ่ เห็นถิ่นฐานชนบทนับไม่ถ้วน

คนทั้งหลายเห็น ห้วย หนอง คลอง บึง และสระที่มีดอกบัวนานาพรรณ มีดอกและรากเหง้างามตระการ กงจักรแก้วนั้นบันดาลให้พระยามหาจักรพรรดิราชเห็นถ้วนทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว จึงนำเสด็จลงสู่แผ่นดินและเมืองที่พระยามหาจักรพรรดิราชประทับอยู่ เมื่อกงจักรแก้วมาถึงประตูพระราชวังของพระยามหาจักรพรรดิราช ก็ลอยอยู่กลางอากาศในระยะสูงพอสมควร คนทั้งหลายนำข้าวตอกดอกไม้มากราบไหว้บูชา เมื่อพระยามหาจักรพรรดิราชมาถึงเรือนหลวงแล้ว จึงสั่งให้ปลูกมณฑปแก้วขึ้น มีแก้ว ๗ ประการเป็นเครื่องประดับมณฑปเขาแก้วนั้นมีประตูทำด้วยแก้วและทองดูรุ่งเรืองงามมาก แล้วจึงให้กงจักรแก้ว มาอยู่ที่มณฑปนั้น คนทั้งหลายจึงนำข้าวตอกดอกไม้มาเคารพบูชา ขณะที่กงจักรแก้วอยู่ในมณฑปแก้วนั้น ปราสาทของพระยามหาจักรพรรดิราชไม่ต้องจุดประทีปโคมไฟเลย เพราะรัศมีกงจักรแก้วนั้นส่องไปให้รุ่งเรืองทั่วทุกแห่งกลางคืนก็เหมือนกลางวัน แต่ถ้าใครต้องการให้มืด ก็จะรู้สึกมืดด้วยใจของผู้นั้น

คณะทำงานโครงการวรรณกรรมอาเซียน