สวรรค์ชั้นดาวดึงส์

Socail Like & Share

เหนือสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาขึ้นไป ๓๓๖,๐๐๐,๐๐๐ วา เป็นสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ซึ่งตั้งอยู่บนยอดเขาพระสุเมรุ เป็นที่อยู่ของพระอินทร์ผู้เป็นใหญ่ในหมู่เทวดาทั้งหลาย อาณาเขตของเมืองที่พระอินทร์อยู่นี้กว้าง ๘,๐๐๐,๐๐๐ วา มีปราสาทแก้ว มีสถานที่สำหรับเล่นเพลิดเพลินจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์1ประตูเมืองด้านตะวันออกไปถึงประตูเมืองด้านตะวันตก กว้าง ๘,๐๐๐,๐๐๐ วา จากประตูเมืองด้านใต้ไปถึงประตูเมืองด้านเหนือ กว้าง ๘,๐๐๐,๐๐๐ วา มีกำแพงแก้วล้อมรอบเมืองและมีประตูทั้งหมดโดยรอบ ๑,๐๐๐ ประตู ทุกประตูมียอดเป็นปราสาท ทำด้วยทอง ประดับด้วยแก้ว ๗ ประการ ประตูนั้นวัดตั้งแต่เชิงประตูขึ้นไปถึงยอดปราสาทสูง ๒๕๐,๐๐๐ วา เวลาเปิดปิดประตูจะมีเสียงดังไพเราะราวกับดนตรีเป็นที่พึงพอใจ เทวดาที่อยู่ในนครดาวดึงส์สามารถได้ยินเสียงร้องของช้างแก้ว และเสียงของราชรถแก้วอันไพเราะเป็นที่พออกพอใจยิ่ง

กลางนครดาวดึงส์นั้นมีปราสาทชื่อ ไพชยนต์ปราสาท สูง ๒๕,๖๐๐,๐๐๐ วา งดงามด้วยแก้ว ๗ ประการ สุดจะพรรณนา เป็นที่ประทับของพระอินทร์ผู้เป็นใหญ่ ทางทิศตะวันออกของนครดาวดึงส์ มีสวนทิพย์ชื่อ นันทนวัน มีอาณาเขต โดยรอบวัดได้ ๘๐๐,๐๐๐ วา ล้อมด้วยกำแพงแก้วโดยรอบ มีปราสาทแก้วเหนือประตูทุกประตู สวนนี้เป็นสวนสนุก มีสมบัติทิพย์และต้นไม้ทั้งหลายทั้งไม้ผลไม้ดอกมากมาย เป็นสถานที่เล่นสนุกสนานสำหรับสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เทวดาทั้งหลายในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ใกล้ๆ อุทยานก่อนจะเข้าสู่นครนั้น มีสระใหญ่ ๒ สระ ชื่อ นันทาโบกขรณี และจุลนันทาโบกขรณี นํ้าในสระนั้นใสงามดังแผ่นแก้วอินทนิล เรืองงามราวกับมีแสงฟ้าแลบจับอยู่บนผิวนํ้านั้น มีแท่นหินแก้วใกล้สระนั้น ๒ แผ่น ชื่อ นันทาปริฐิปาสาณ และจุลนันทาปริฐิปาสาณ แผ่นหินแก้วทั้งสองแผ่นนี้มีรัศมีรุ่งเรืองยิ่งนัก เวลาจับต้องแผ่นหินนี้อ่อนนุ่มราวกับแผ่นหนังเหน

ด้านทิศใต้ของนครดาวดึงส์ มีสวนอุทยานใหญ่ชื่อ ผารุสกวัน ต้นไม้ที่อยู่ในสวนนี้มีลักษณะอ่อนค้อมราวกับมีผู้ดัดไว้ รอบสวนมีกำแพงแก้วล้อม และมีปราสาทแก้วอยู่เหนือประตูทุกประตู อาณาเขตของอุทยานวัดได้ ๕,๖๐๐,๐๐๐ วา ในอุทยานก่อนจะเข้าตัวเมืองมีสระใหญ่ ๒ สระ ชื่อ ภัทราโบกขรณี และ สุภัทราโบกขรณี ริมฝั่งสระมีก้อนหินแก้ว ๒ ก้อน ชื่อ ภัทราปริฐิปาสาณ และสุภัทราปริฐิปาสาณ เวลาจับต้องหินนี้อ่อนนุ่มและเกลี้ยงเกลาราวกับแผ่นหนังสาน

ทางทิศตะวันตกของนครดาวดึงส์ มีอุทยานใหญ่อีกแห่งหนึ่ง เป็นที่เล่น สนุกสนานถูกใจเทวดาทั้งหลาย อุทยานนี้งดงามมาก ชื่อ จิตรลดา ต้นไม้และเถาวัลย์ในสวนนี้สวยงามราวกับมีผู้แต่งประดับไว้ มีกำแพงแก้วล้อมสวนนี้โดยรอบและมีปราสาทแก้วเหนือประตูทุกประตู ดูรุ่งเรืองงดงามไปทั่วอุทยานโดยรอบวัดได้ ๔๐๐,๐๐๐ วา ในอุทยานด้านที่จะเข้าสู่เมืองมีสระ ๒ สระ ชื่อ จิตรโบกขรณี และ จุลจิตรโบกขรณี สระแต่ละสระมีแผ่นศิลาแก้วอยู่ ๑ อันๆ หนึ่งชื่อ จิตรปาสาณ อีกอันหนึ่งชื่อ จุลจิตรปาสาณ ดูรุ่งเรืองเหลือบงามมาก เมื่อจับต้องดู จะอ่อนนุ่มราวกับแผ่นหนังสาน ทวยเทพทั้งหลายทั้งเทพบุตรเทพธิดาจะพากันไปเล่นเป็นที่เพลิดเพลินในสวนอุทยานแห่งนี้

ทางทิศเหนือของนครดาวดึงส์ มีสวนอุทยานใหญ่ชื่อ มิสสกวัน บรรดา ต้นไม้และเถาวัลย์ในสวนนี้งามราวกับมีผู้แต่งไว้ มีกำแพงแก้วล้อมรอบสวน และมีปราสาทแก้วอยู่เหนือประตูทุกประตู วัดโดยรอบสวนได้
๔,๐๐๐,๐๐๐ วา ในอุทยานด้านใกล้ตัวเมืองจะมีสระใหญ่ ๒ สระ ชื่อ ธรรมาโบกขรณี และ สุธรรมาโบกขรณี ริมฝั่งสระนั้นมีก้อนหินแก้ว ๒ ก้อน ชื่อ ธรรมาปริฐปาสาณ และ สุธรรมาปริฐปาสาณ หินนั้นมีรัศมีรุ่งเรืองสวยงามและอ่อนนุ่มราวแผ่นหนังเหน

ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของนครดาวดึงส์ มีสวนใหญ่ชื่อ มหาพน เป็นสวนสนุกเพลิดเพลิน กำแพงล้อมรอบเป็นทองคำ และมีปราสาทแก้วอยู่เหนือประตูทุกแห่ง โดยรอบสวนวัดได้ ๖๐๐,๐๐๐ วา ในสวนมหาวันนี้มีปราสาททองคำ ๑,๐๐๐ หลัง ประดับด้วยแก้ว ๗ ประการ ระหว่างสวนมหาวัน และสวนนันทนวัน มีสระแก้วงดงามประดับด้วยแก้ว ๗ ประการ ใต้พื้นสระนี้วัดได้ ๘๐๐,๐๐๐ วา และมีแท่นแก้วอยู่ในรถไพชยนต์ กว้าง ๘,๐๐๐ วา ยาว ๘,๐๐๐ วา เหนือกลางแท่นแก้วมีกลดแก้วกางอยู่กว้างหนึ่งโยชน์ แท่นแก้วนั้นมองดูขาว และกลดแก้วนั้น เปรียบเสมือนแสงอาทิตย์ส่องลงมาเหนือแสงจันทร์ในคืนเดือนแรม หัวรถไพชยนต์ มีม้าแก้ว ๒,๐๐๐ ตัว เทียมอยู่ข้างละ ๑,๐๐๐ ตัว ม้าทุกตัวมีเครื่องแก้วประดับ และรถก็เป็นทองคำประดับด้วยแก้ว ๗ ประการ มีสร้อยมุกดาห้อยประดับพร้อมทั้งมาลัยดอกไม้ทิพย์ และแก้วทองห้อยประดับอยู่มากมาย อีกทั้งยังมีสะไบแก้ว และพรวนทองมีรัศมีงดงามราวสายอินทรธนู และสายฟ้าแลบดังแสงอาทิตย์ไม่สามารถจะพรรณนาถึงความงามได้ถ้วนทั่ว เวลาลมพัดจะได้ยินเสียงดังก้อง ราวเสียงพิณพาทย์ฆ้องกลองและแตรสังข์ที่เทวดาตีในเมืองฟ้า

เมื่อขึ้น ๘ คํ่า ๑๕ คํ่า แรม ๘ คํ่า ๑๕ คํ่า หรือ ๑๔ คํ่า ท้าวธตรฐราชผู้ เป็นใหญ่ในหมู่เทวดาบนเขายุคันธร ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของเขากำแพงจักรวาล พร้อมทั้งหมู่คนธรรพ์ที่ประดับประดาไปด้วยเงินและทอง ตั้งแต่ศีรษะตลอดถึงทั่วลำตัว มีเงินทองมากกว่าร้อยล้านมีเครื่องแห่แหนและหอก ดาบ จามรจามรี ล้วนแต่เป็นเงินและทองทั้งสิ้น เทวดาบางพวกถือค้อนถือสากทำด้วยเงินและทอง บางพวกถือธงเงินธงทอง เทวดาทั้งหลายนี้ก็เดินทางมาในอากาศจากเมืองที่ยอดเขายุคันธรนี้ ตรงไปยังทิศตะวันออกของกำแพงจักรวาล

ยังมีท้าวพระยาอีกองค์หนึ่ง ชื่อ ท้าววิรุฬหกราช เป็นใหญ่ในหมู่ผีเสื้อ ผีกุมภัณฑ์ทั้งหลาย กว้างใหญ่ไปจนถึงทิศใต้ของกำแพงจักรวาล เครื่องประดับกายของท้าววิรุฬหกราชและบริการล้วนเป็นแก้วมณีงดงามมาก จำนวนไม่รู้กี่ร้อยกี่พันล้าน หมู่เทวดาถือค้อนและกระบองทำด้วยแก้วมณี ท้าววิรุพหกราชนั้น ทรงม้ามีเครื่องประดับเป็นแก้วมณี นำพลไปทางอากาศไปจนถึงด้านทิศใต้ของกำแพงจักรวาล

นอกจากนั้นก็ยังมีท้าววิรูปักขราช ผู้เป็นใหญ่ปกครองเหล่านาคราช ทั้งหลายตลอดแดนทางทิศตะวันตกของกำแพงจักรวาล มีเทวดาเป็นบริวารไม่รู้ว่ากี่ร้อยล้าน ล้วนประดับประดาไปด้วยแก้วมณีงดงามยิ่ง หมู่เทวดาถือสาก ค้อน จามรี ทำด้วยแก้วมณี ท้าววิรูปักขราชนำพลเดินทางไปในอากาศตรงไปถึงทิศตะวันตกของกำแพงจักรวาล อันเป็นที่ตั้งของเขายุคันธร

ท้าวไพศรพณ์มหาราช ผู้เป็นใหญ่ปกครองหมู่ยักษ์และเทวดาทั้งหลาย ทางด้านทิศเหนือของกำแพงจักรวาล ทางทิศเหนือของเขาพระสุเมรุ เครื่องประดับกายของท้าวไพศรพณ์และบริวารเป็นทองเนื้อสุกงาม หมู่ยักษ์ทั้งหลายบ้างก็ถือ ค้อนถือสากและจามรีล้วนเป็นทองคำทั้งสิ้นไม่รู้ว่ากี่ร้อยล้าน หมู่ยักษ์เหล่านี้มีหน้าตาน่ากลัว ท้าวไพศรพณ์มหาราชทรงม้าสีเหลืองดังทอง ขับพลนำไปถึงกำแพงจักรวาลด้านทิศเหนือเขาพระสุเมรุ เดินทางไปทางอากาศจนถึงเขายุคันธรด้านทิศเหนือ

ที่เขาพระสุเมรุนั้น มีช้างตัวหนึ่งชื่อ ไอยราพต ช้างตัวนี้ไม่ใช่สัตว์เดรัจ- ฉาน เพราะในเมืองสวรรค์ไม่มีสัตว์เดรัจฉานอยู่เลย มีแต่เทวดาทั้งสิ้น มีเทวดาองค์หนึ่งชื่อเอราวัณเทวบุตร ยามเมื่อพระอินทร์เสด็จไปเล่นที่ใดก็ตาม และพระองค์ประสงค์จะทรงช้างไป เอราวัณเทวบุตรก็จะเนรมิตตัวเป็นช้างเผือกเชือกใหญ่ สูง ๑,๒๐๐,๐๐๐ วา มีเศียร ๓๓ เศียร มีเศียรเล็กๆ อีก ๒ เศียรอยู่รอบนอกเศียรใหญ่เหล่านั้น เศียรใหญ่มีขนาด ๒,๐๐๐ วา เศียรต่างๆ ถัดเข้าไปขนาด ๓,๐๐๐ วา, ๔,๐๐๐ วา, ๕,๐๐๐ วา, ๖,๐๐๐ วา แต่ต่อๆ ไปกว้างขึ้นตามลำดับเช่นนี้ เศียรใหญ่ ที่สุดตรงกลางชื่อ สุทัศน์ เป็นที่ประทับของพระอินทร์ กว้างได้ ๒๔๐,๐๐๐ วา เหนือเศียรนี้มีแท่นแก้วกว้าง ๙๖,๐๐๐ วา มีปราสาทตั้งอยู่กลางแท่นแก้วนี้ มีธงแก้ว จำนวนมากสูง ๘,๐๐๐ วา ทำด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพรวนทองคำห้อยประดับ กวัดแกว่งไปมา มีเสียงดังไพเราะนัก ราวกับเสียงพิณพาทย์ในเมืองสวรรค์ในปราสาทนั้น เพดานตกแต่งไว้ด้วยผ้าทิพย์ มีแท่นบรรทมกว้าง ๘,๐๐๐ วา พร้อมด้วยราชอาสน์หมอนใบใหญ่ใบเล็กและหมอนพิง องค์พระอินทร์นั้นสูง ๖,๐๐๐ วา ประดับด้วยอาภรณ์ต่างๆ ทรงประทับเหนือแท่นแก้วบนเศียรช้าง ๓๓ เศียร และทรงให้เทวดาทั้งหลายผู้มีบุญบารมีเท่าพระองค์นั่งเหนือเศียร ๒๒ เศียร

เศียรช้างทั้ง ๓๓ เศียรนั้น แต่ละเศียรมีงา ๗ งา อันหนึ่งยาว ๔๐๐,๐๐๐ วา งาหนึ่งมีสระ ๗ สระ แต่ละสระมีกอบัว ๗ กอ แต่ละกอมีดอกบัว ๗ ดอก ดอกหนึ่งมี ๗ กลีบ กลีบหนึ่งมีนางฟ้ายืนร่ายรำอยู่ ๗ นาง แต่ละนางมีบริวาร ๗ ตน รวมกัน ทั้งหมดแล้ว ช้าง ๓๓ เศียร มีงา ๒๓๑ งา สระ ๑,๖๑๗ สระ กอบัว ๑๑,๓๑๙ กอ ดอกบัว ๗๙,๒๓๓ ดอก ๕๕๔,๖๓๑ กลีบ มีนางฟ้าร่ายรำ ๓,๘๘๒,๔๑๗ นาง มีบริวารทั้งหมด ๒๗,๑๗๖,๙๑๙ นาง ทั้งหมดนี้อยู่ในงาช้างเอราวัณ และยังมีบริเวณกว้าง ๕๐ โยชน์ เป็นที่อยู่ของนางระบำและบริวารทั้งหลายด้วย

เมื่อพระอินทร์เสด็จประทับเหนือแท่นแก้วเหนือเศียรช้างเอราวัณนั้น นางสุธัมมามเหสีผู้ประเสริฐของพระอินทร์พร้อมบริวารประดับด้วยเครื่องถนิมอาภรณ์งดงามด้วยแก้ว ๗ ประการ ก็ประทับเฝ้าอยู่ทางเบื้องซ้ายของพระอินทร์ มเหสีอีกองค์คือ สุชาดา ผู้ทรงศีลมิได้ขาด ประดับเครื่องอาภรณ์พร้อมบริวาร ประทับเฝ้าอยู่ทางเบื้องขวาของพระอินทร์ ส่วนนางสุนันทา มเหสีอีกองค์หนึ่ง ประดับกายด้วยเครื่องประดับทำด้วยแก้ว ๗ ประการ พร้อมบริวารก็ ประทับเฝ้าอยู่ด้านหลังของพระอินทร์ ส่วนนางสุจิตรา มเหสีอีกองค์หนึ่ง ตกแต่งกายงดงาม พร้อมด้วยบริวาร ประทับเฝ้าอยู่ทางเบื้องซ้าย ถัดจากนั้นรอบนอก ออกไปก็มีนางฟ้าที่เป็นมเหสีของพระอินทร์อีก ๙๒ นาง ประทับเฝ้าอยู่ มีดวงหน้างดงามและประดับประดาด้วยเครื่องอาภรณ์ล้วนแต่เป็นแก้วแหวนเงินทองทั้งสิ้น บ้างก็ถือกระออมแก้ว บ้างก็ถือคนที จามรี จามรแก้ว บ้างก็ถือธงแก้วและธงทองแกว่งไกวไปมา เครื่องแห่แหนนี้ล้วนแต่เป็นแก้ว ๗ ประการทั้งสิ้น ถัดออกไปก็มีนางบริวารสาวใช้มากมาย บางคนก็ถือคนทีทองกระออมทอง ถัดออกไปอีกก็มีบรรดานางฟ้าชาวสวรรค์มากมาย ฟ้อนรำถวายพระอินทร์อยู่

มีเทพธิดาองค์หนึ่งชื่อ คิดครา ถือพิณชื่อ มหาวีณา ยามเมื่อนางดีดพิณ อันนี้ พิณอื่นๆ อีก ๖๐,๐๐๐ อัน ก็จะดังขึ้นมาเองด้วย มีเสียงไพเราะนักหนา เทพธิดาอีกองค์หนึ่งชื่อ สาธุ เป่าปี่คู่หนึ่งชื่อ สุภัทรา ยามเมื่อนางเป่าปี่คู่นี้ ปี่อื่นๆ อีก ๖๐,๐๐๐ เลาก็จะดังขึ้นมาเองด้วย มีเสียงไพเราะราวกับมีผู้เป่าด้วย นางฟ้าชื่อ หสัจจนารี ดีดพิณชื่อ มธุรตระ มีเสียงเพราะเป็นที่พึงพอใจ นางฟ้ามณีเมขลา เป่าสังข์ใหญ่ ชื่อ พิชัยสังขะ เมื่อเป่าสังข์อันนี้ สังข์อีก ๖๐,๐๐๐ อัน ก็จะดังขึ้นมาเองด้วยราวกับมีผู้เป่าไพเราะมาก เทพธิดามหาตุมุทิงคสังขะ ตีตะโพนอันหนึ่ง ชื่อ ปุถุพิมพนะ เวลาตีตะโพนนี้ ตะโพนทั้งหลายอีก ๖๐,๐๐๐ อันก็จะดังขึ้นมาด้วย เทพธิดาชื่อ ตปนัคคิ ตีกลองชื่อ อานันทเภรี เวลานางตีกลองนี้ กลองอื่นอีก ๖๐,๐๐๐ ลูก ก็จะดังขึ้นด้วยไพเราะมาก เทพธิดาชื่อ ปนัคคิ ตีกลองหน้าเดียวชื่อ รณมุขเภรี เวลาตีแล้วกลองหน้าเดียวอีก ๖๐,๐๐๐ ลูก ก็จะดังขึ้นมาด้วย เทพธิดานันทา ตีกลองใหญ่ชื่อ โกฬมธุรสสุรเภรี เมื่อตีกลองนี้ กลองใหญ่อื่นๆ อีก ๖๐,๐๐๐ ลูก ก็จะดังขึ้นมาเองอีกด้วย เทพธิดายามา ตีบัณเฑาะว์ชื่อ โบกขรบัณเฑาะว์ ทำให้บัณเฑาะว์อื่นๆ อีก ๖๐,๐๐๐ อันดังขึ้นมาด้วย เทพธิดา สรโฆสสุร เป่าปี่ไฉนแก้ว ชื่อ นันทไฉน เมื่อเป่าปี่นี้ ปี่อื่นๆ อีก ๖๐,๐๐๐ เลาก็จะดังขึ้นมาเองอีกด้วยเช่นกัน ราวกับมีผู้เป่าไพเราะมาก เทพธิดาชื่อ สรพางคณา ตีกลองใหญ่ชื่อ ทัสสโกฏส เมื่อนางตีกลองนี้กลองอื่นๆ อีก ๖๐,๐๐๐ กลองก็จะดังขึ้นมาเอง ไพเราะมาก หมู่เทพธิดาทั้งหลายนี้มากมายนักมีชื่อต่างๆ กัน ถือปัญจางคิกดุริย ๕ สิ่ง ได้แก่ อาตตะะ พิตตะ อาตตพิตตะ ฆนะ และ สุริระ เครื่องดนตรี ๕ อย่างนี้ เวลาบรรเลง จะมีเสียงดังผสมผสานเป็นเสียงเดียวกัน เครื่องดนตรีปัญจางคิกอื่นจำนวน ๖๐,๐๐๐ อัน ซึ่งเป็นพวกเดียวกับปัญจางคิกดุริยะนั้นก็จะดังขึ้นมาเองด้วยราวกับมีผู้ดีดสี ตีเป่าด้วย มีเสียงไพเราะยิ่งนัก

มีคนธรรพ์ตนหนึ่งชื่อ สุธรรมา ตีกลองใหญ่ชื่อ สุรันธะ สะพายเหนือบ่า ด้านหนึ่ง เวลาตีมีผลให้กลองใหญ่อีก ๖๘,๐๐๐ ใบ มีเสียงดังขึ้นพร้อมกันตาม จังหวะเพลงระบำไพเราะยิ่ง ได้ยินไปได้โดยรอบถึง ๔๐๐,๐๐๐ วา เหล่าคนธรรพ์ และเทพธิดาทั้งหลายก็ฟ้อนรำเข้ากับเสียงกลองนี้ ที่เหนือเขาจักรวาลด้านทิศตะวันออก คนธรรพ์อีกตนหนึ่งชื่อ พิมพรุสกะ สะพายกลองหน้าเดียวลูกหนึ่งชื่อ เอกโบกขรเภรี บรรเลงเป็นเพลงคนธรรพ์ ทำให้หมู่กลองหน้าเดียวอีก ๖๘,๐๐๐ ใบ ดังขึ้นมาเองด้วย ไพเราะมากราวกับมีผู้บรรเลง ในบริเวณนั้นโดยรอบ ๔๐๐,๐๐๐ วา หมู่คนธรรพ์ เทพยดาทั้งหลายก็จะเต้นระบำรำฟ้อนไปกับเพลงคนธรรพ์อยู่ที่ปลายกำแพงจักรวาล ทิศใต้ของเขาพระสุเมรุ คนธรรพ์อีกตนหนึ่งชื่อ ทีฆมุขะ สะพายกลองใหญ่ชื่อ มหาภัณฑเภรี ตีกลองนี้อยู่บนกำแพงจักรวาล ด้านทิศตะวันตกของเขาพระสุเมรุเมื่อตีกลองนี้นั้น กลองอื่นๆ ในที่นั้นอีก ๖๘,๐๐๐ ใบก็จะดังขึ้นมาเอง อีกเป็นเสียงเดียวกัน มีหมู่คนธรรพ์เทวดามากมายฟ้อนรำอยู่ในบริเวณนั้นโดยรอบ ๔๐๐,๐๐๐ วา ส่วนคนธรรพ์ชื่อ ปัญจสิขร สะพายกลองใหญ่ชื่อ สัสสสุระ เวลาตีกลองนี้ กลองอื่นอีก ๖๘,๐๐๐ อันก็จะดังขึ้นเองด้วย ในบริเวณโดยรอบ ๔๐๐,๐๐๐ วา หมู่คนธรรพ์เทวดามากมายก็จะฟ้อนรำระบำเต้นอยู่เหนือเขาจักรวาล ด้านทิศเหนือของเขาพระสุเมรุ ทั้งหมดที่พรรณนามานี้คือไพร่ฟ้าข้าไทบริวารของพระอินทร์นั่นเอง รวมทั้งท้าวจตุโลกบาลทั้ง ๔ ก็จะพาบริวารไปเฝ้าพระอินทร์ และยังมีพระยายักษ์อีก ๒๘ ตน พร้อมอาวุธครบครันแห่แหนเข้าเฝ้าพระอินทร์อยู่

พระอินทร์นั้นประดับเครื่องอาภรณ์งดงามดังได้กล่าวแล้ว พร้อมด้วย หมู่เทวดาบริวารทั้งหลายก็ล้วนแต่ประดับด้วยเครื่องอาภรณ์ทำด้วยแก้ว ๗ ประการ มีสีสันต่างๆ งดงามยิ่งเข้าเฝ้าพระอินทร์อยู่มากมายนับไม่ถ้วน รวมทั้งนางฟ้าทั้งหลายที่เป็นมเหสีของพระอินทร์อีก ๒๕,๐๐๐,๐๐๐ องค์ บ้างก็ถือกานํ้า คือ กละออมแก้ว กละออมทอง และฉัตรพัดธงจามรีต่างๆ ประดับประดาสวยงามเกินกว่าจะพรรณนาได้ นอกจากนั้นก็มีหมู่คนธรรพ์ฟ้อนรำอีก ๒๔๐,๐๐๐,๐๐๐ คน ตีกลองตีฉิ่งเป็นเพลงคู่ไปกับเสียงพิณพาทย์ดนตรี ฟ้อนรำเล่นกันทั่วไปที่เขา จักรวาลทั้ง ๔ ทิศ กลิ่นเครื่องหอมดอกไม้กระจายไปทั่วทุกแห่ง ขจรเข้าไปถึงพระอินทร์จนพระองค์ต้องเสด็จลงไปเล่นที่สวนสนุกนั้นด้วย บางครั้งพระอินทร์ ก็เสด็จลงจากข้างไอยราพตดำเนินเล่นไปในสวนสนุกนั้น ท่ามกลางนางฟ้าบริวารทั้งหลาย ประดับด้วยอาภรณ์อันประเสริฐต่างๆ ดำเนินไปในเมืองสวรรค์อันกว้างได้ ๔๘๐,๐๐๐ วา

ด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ของนครดาวดึงส์นี้ มีพระเจดีย์องค์หนึ่งชื่อ พระจุฬามณีเจดีย์ รุ่งเรืองงามประดับด้วยอินทนิล ตั้งแต่กลางองค์เจดีย์ไปจนถึงยอดเป็นทอง ประดับด้วยแก้ว ๗ ประการ สูง ๘๐,๐๐๐ วา มีกำแพงทองล้อมรอบ กำแพงแต่ละด้านยาว ๑๖๐,๐๐๐ วา มีธงปฏากและธงชัย กลด ชุมสายทั้งหลาย ล้วนประดับด้วยแก้วเงินทองมีสีต่างๆ กัน ดำบ้าง แดงบ้าง เหลืองบ้าง ขาวและเขียวก็มี ล้วนแล้วแต่แก้ว ๗ ประการ ทำให้มองดูเลื่อมงามยิ่งนัก เทวดาทั้งหลายก็จะถือเครื่องดนตรีดีดสีตีเป่าต่างๆ มาบรรเลงบูชาถวายพระเจดีย์ทุกวันไม่มีขาด พระอินทร์ได้เสด็จไปนมัสการพระเจดีย์พร้อมหมู่เทพยดาและนางฟ้าบริวารทั้งหลายทรงนำข้าวตอกดอกไม้ ธูปเทียน ของหอมและชวาลาทั้งหลายถวายแก่องค์พระเจดีย์ไม่ได้ขาด และทรงทำปทักษิณพระเจดีย์ทุกวัน

นอกเมืองดาวดึงส์นี้ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ มีอุทยานชื่อบุณฑริกวัน อยู่ใกล้กับอุทยานชื่อมหาวัน สวนบุณฑริกวันนี้มีกำแพงล้อมรอบทั้ง๔ ด้าน ด้านละ ๑๖๐,๐๐๐ วา มีประตูแก้วและมีปราสาทแก้วเหนือประตูนั้นทุกประตูดังได้บรรยายมาแล้ว ในสวนอุทยานนี้มีต้นทองหลางใหญ่ต้นหนึ่งชื่อ ปาริชาตกัลปพฤกษ์ วัดโดยรอบพุ่มไม้ได้ ๒,๔๐๐,๐๐๐ วา โดยรอบต้นได้ ๑๒๐,๐๐๐ วา สูง ๘๐๐,๐๐๐ วา ใต้ต้นไม้นี้มีแท่นศิลาแก้วชื่อ ปัณฑุกัมพล ยาว ๔๘๐,๐๐๐ วา กว้าง ๔๐๐,๐๐๐ วา หนา ๑๒๐,๐๐๐ วา สีแดงเข้มราวดอกสะเอ้ง อ่อนนุ่มราวกับฟูกผ้าและหงอนของราชหงส์ทอง เมื่อพระอินทร์ประทับบนแท่นนี้ แท่นหินจะยุบลงไปเสมอสะดือ เมื่อทรงลุกขึ้น แท่นศิลาก็จะคืนรูปดังเดิม ใกล้กับต้นปาริชาตนั้น มีศาลาใหญ่ชื่อ สุธรรมาเทพยสภาคยศาลา งามยิ่งกว่าศาลาอื่นๆ ความกว้างและยาวเท่ากันคือ ๒,๔๐๐,๐๐๐ วา ความสูง ๔,๐๐๐,๐๐๐ วา วัดโดยรอบได้ ๗,๒๐๐,๐๐๐ วา พื้นศาลาเป็นแก้ว ๗ ประการ มีกำแพงทองล้อมรอบ มีดอกไม้ชนิดหนึ่งชื่อ อาสาพตี มีกลิ่นหอมมาก ดอกไม้นี้บานช้ามาก เวลา ๑ พันปีจึงจะบาน เทวดาทั้งหลายมีใจรักใคร่ดอกไม้นี้ เมื่อเห็นดอกไม้นี้บาน เทวดาจะผลัดเวียนกันไปเฝ้าดอกไม้นั้นตลอดพันปี เพราะใจรักดอกไม้นี้เอง

ดอกทองหลางชื่อ ปาริชาต นั้นร้อยปีจึงจะบาน หมู่เทวดาก็มีใจรักใคร่ ในดอกไม้นี้ เมื่อเห็นว่าดอกไม้กำลังจะบาน ก็จะผลัดเปลี่ยนกันไปเฝ้าจนกว่าดอกไม้จะบาน เมื่อดอกไม้บานทั่วทุกกิ่งก้านแล้ว จะมีแสงรุ่งเรืองงามมาก ส่งแผ่รัศมีไปไกลถึง ๘๐๐,๐๐๐ วา เวลาลมพัดกลิ่นหอมของดอกไม้นี้จะหอมไปได้ไกลถึง ๘๐๐,๐๐๐ วา เหล่าเทวดามิได้ขึ้นเก็บดอกไม้นี้เลยแม้แต่ครั้งเดียว เมื่อเทวดาผู้ใดใคร่จะเก็บดอกไม้นั้นไม่ว่าจะเอาผ้าไปห่อ หรือเอาผะอบไปใส่ ก็จะมีลมพัดดอกไม้นั้นให้หล่นตกไปในที่ที่ต้องการเอง ถ้าเทวดายังไม่ทันรับก็จะมีลมอีกชนิดหนึ่ง พัดดอกไม้เหล่านั้นเข้าไปในสุธรรมาเทวสภาคยศาลา ซึ่งมีธรรมาสน์แก้วกว้าง ๘,๐๐๐ วา อยู่ในศาลานั้น เมื่อดอกปาริชาตินั้นเหี่ยวแล้ว ก็จะมีลมจำพวกหนึ่งมาพัดดอกไม้นั้นออกไปจากสุธรรมาเทวสภาคยศาลานั้น และที่ศาลานั้นมีราชอาสน์ทิพย์ของพระอินทร์ อีกทั้งที่นั่งของเทวดาทั้ง ๓๒ องค์ ที่เคยได้กระทำบุญไว้ร่วมกับพระอินทร์ในปางก่อนเป็นอาสนะทิพย์เช่นกัน และยังมีที่นั่งของเทวดาทั้งหลายปูลาดด้วยผ้าทิพย์เรียงกันตามลำดับ เทวดาบางหมู่มีดอกไม้ทิพย์ปูลาดเป็นที่นั่ง บางหมู่มีดอกกรรณิการ์ทิพย์เป็นที่นั่ง มองดูเหลืองอร่ามเหมือนทองคำสุกปลั่ง ล้วนแต่เป็นที่นั่งของเทวดาทั้งหลายถ้วนทั่วทุกองค์

พระอินทร์เสด็จไปในสุธรรมาเทวสภาคยศาลา เพื่อให้เทวดาทั้งหลาย มาชุมนุมกันในที่นั้น มีลมพัดเอาละอองเกสรดอกไม้ทิพย์ทั้งหลายในนครดาวดึงส์เข้ามาในศาลานั้นแล้วตกลงบนตัวเทวดาซึ่งสูง ๖,๐๐๐ วา ทำให้มองดูเหลืองอร่าม เหมือนแต้มด้วยนํ้าครั่ง หมู่เทวดาเล่นเพลิดเพลินอยู่เช่นนี้เป็นเวลาถึง ๔ เดือน

เมื่อใดเทวดาทั้งหลายในนครดาวดึงส์ต้องการจะฟังธรรม ก็จะมีพรหม ตนหนึ่งชื่อสนังกุมาร ลงมาจากพรหมโลก เนรมิตตนเป็นคนธรรพ์ ชื่อ ปัญจสิขร ปัญจสิขรคนธรรพ์จะขึ้นนั่งเหนือธรรมาสน์เพื่อเทศนาธรรม เหตุที่พรหมเนรมิตตัวเป็นปัญจสิขรคนธรรพ์นั้นเพราะมีรูปงามเป็นที่พึงพอใจแก่เทวดาทั้งหลาย เมื่อยังอยู่ในโลกมนุษย์คนธรรพ์ผู้นี้ได้ทำบุญไว้มาก จึงได้ไปเกิดในจาตุมหา¬ราชิกาสวรรค์ มีกายสูง ๖,๐๐๐ วา ประดับไปด้วยเครื่องอาภรณ์ทั้งหลายล้วนเป็นแก้วเงินทองดูรุ่งเรืองงามราวกับภูเขาทอง ถ้าถอดเครื่องประดับอาภรณ์ออกจากกายคนธรรพ์แล้วใส่เกวียนในมนุษยโลก จะได้ถึง ๑,๐๐๐ เกวียน ส่วนกระแจะจันทน์ที่ทาตัวเทวดานั้น ถ้าขูดออกใส่ตุ่มและไหจะได้ถึง ๙ ตุ่ม ขนาดตุ่ม และไหแต่ละลูกนั้นสามารถจุข้าวได้ถึง ๔ กระเชอ ปัญจสิขรนุ่งผ้าขาวบริสุทธิ์ ใส่ตุ้มหูทั้งสองข้างงามยิ่งนัก เกล้าผมเป็น ๕ เกล้า มุ่นเป็นมวย ๕ มวย ห้อยปลายผมไปทางข้างหลัง การที่คนธรรพ์ผู้นี้เกล้าผมเป็น ๕ เกล้านี้ทำให้ได้ชื่อว่า ปัญจสิขร และเป็นที่พึงใจแก่เทวดาทั้งหลาย หากว่าพรหมสนังกุมารไม่มาเทศนาธรรมให้เทวดาทั้งหลายฟัง บางครั้งเทวดาในสวรรค์ที่เป็นผู้รู้ธรรมก็จะได้รับเชิญให้ขึ้นเทศนาธรรมในที่นั้น บางครั้งพระอินทร์เองก็ทรงขึ้นธรรมาสน์เทศนาธรรมเอง เมื่อใดพระอินทร์ทรงเทศนาธรรม ท้าวจตุโลกบาลทั้ง ๔ ก็จะพาบริวารไปเฝ้าทั้ง ๔ทิศ ของสุธรรมาเทวสภาคยศาลานั้น และหมู่คนธรรพ์ก็จะนำเครื่องดนตรีทั้งหลายมาบรรเลงแล้วร่ายรำกันอยู่ที่ปลายเขากำแพงจักรวาลทั้ง ๔ ด้าน เพื่อถวายแก่พระอินทร์เจ้าดังกล่าวแล้ว

ส่วนท้าวจตุโลกบาลนั้น จะเสด็จตรวจดูคนในโลกนี้ทำความดีความชั่ว ทุกวัน บางวันก็จะใช้เทวดาองค์อื่นๆ มาแทน เช่น ในวันพระ ๘ คํ่า ก็จะใช้เทวบุตรมาแทน ส่วนในวันพระขึ้น ๑๕ คํ่า และวันพระข้างแรมนั้น ท้าวจตุโลกบาลจะเสด็จด้วยพระองค์เองไม่ว่าจะเป็นเทวดาองค์ใด หรือเทวบุตร หรือท้าวจตุโลกบาลเอง มาตรวจตราก็จะถือแผ่นทองเนื้อสุกและดินสอทำด้วยหินแดง เดินไปดูทุกแห่ง ทั่วบ้านเรือนทั้งหลายในโลกมนุษย์นี้ ถ้าเห็นผู้ใดทำบุญทำกรรม ก็จะเขียนชื่อผู้นั้นลงในแผ่นทองนั้นว่า คนนี้ชื่อนี้อยู่บ้านนี้ ได้ทำบุญกุศลเช่นนี้มีอาทิเช่น กราบไหว้เคารพบูชาและปฏิบัติธรรมต่อพระศรีรัตนตรัย เลี้ยงดูบิดามารดา เคารพยำเกรงผู้เฒ่าผู้ชรา รักพี่รักน้อง รักผู้อื่น เช่น พระสงฆ์ ครูอุปัชฌาย์ ถวายผ้ากฐิน สร้างพระเจดีย์ ปลูกกุฎีวิหาร ปลูกต้นศรีมหาโพธิ์ สดับฟังพระ ธรรมเทศนา ถือศีลเมตตาภาวนาสวดมนต์บูชาพระ ให้ทาน เคารพยำเกรง สมณะพราหมณ์ผู้ทรงศีล บูชาธรรมเหล่านี้ ถ้าผู้ใดได้กระทำสิ่งใดก็ดี เทวดาก็จะเขียนชื่อลงในแผ่นทอง แล้วมอบให้แก่ปัญจสิขรเทพบุตรเพื่อไปถวายแก่พระมาตุลี พระมาตุลีจึงนำไปถวายแก่พระอินทร์ เทวดาทั้งหลายจะมาอ่านดูในแผ่นทองนี้ ถ้าเห็นว่าบัญชีรายชื่อในแผ่นทองมีมาก เทวดาก็จะแซ่ซ้องสาธุการยินดีด้วยเห็นว่า มนุษย์ทั้งหลายจะได้เกิดขึ้นมาเป็นเพื่อนตนมากมาย และจตุราบายก็จะว่างเปล่าลง ถ้าเทวดาเห็นบัญชีชื่อในแผ่นทองนั้นน้อย เทวดาทั้งหลายก็เสียใจแล้วกล่าวว่า อนิจจา คนทั้งหลายในมนุษยโลกทำบุญกันน้อยนัก คงจะชวนกันทำบาปมาก คงจะพากันไปเกิดในจตุราบายกันเป็นจำนวนมาก ต่อไปในภายหน้า เมืองสวรรค์ของเรา คงจะว่างลงเป็นแน่ พระอินทร์เจ้าทรงถือแผ่นทองที่มีนามคนที่ทำความบุญความดี ทั้งหลาย แล้วอ่านให้เทวดาทั้งหลายฟัง เมื่อพระอินทร์ทรงอ่านค่อยๆ นั้น ได้ยิน ไปไกลถึง๙๖,๐๐๐ วา แต่ถ้าทรงอ่านเสียงดัง จะได้ยินกังวานไปทั่วนครดาวดึงส์ อันกว้างโดยประมาณถึง ๘๐,๐๐๐,๐๐๐ วา

ยังมีปราสาทแก้วปราสาททองมากมายอันเป็นวิมานของเทวดาทั้งหลาย อยู่ในอากาศสูงเทียมเท่าเขาพระสุเมรุ แผ่ขยายไปจนถึงกำแพงจักรวาลนั้น เรียกว่าดาวดึงส์ เทวดาทั้งหลายนี้มีอายุยืนถึง 9,000 ปีทิพย์ หรือ ๓๖,๐๐๐,๐๐๐ ปี ในเมืองมนุษย์ สมบัติยศศักดิ์ทั้งหลายของพระอินทร์และเหล่าเทวดาที่ได้กล่าวมานั้น ได้มาเพราะได้กระทำบุญกุศลธรรมมาแต่ก่อน ผู้ใดปรารถนาจะได้ไปเกิดในเมืองสวรรค์ อย่าได้ประมาทลืมตน ควรเร่งขวนขวายทำบุญกุศลให้ทาน รักษาศีลเมตตาภาวนา ดูแลบิดามารดา ผู้เฒ่าผู้แก่ ครู อุปัชฌาย์อาจารย์ และสมณพราหมณ์ผู้ทรงศีล ก็จะได้ไปเกิดในสวรรค์ ขอกล่าวถึงเมืองสวรรค์ดาวดึงส์ นี้เพียงเท่านี้

คณะทำงานโครงการวรรณกรรมอาเซียน