ศิวลึงค์:สัญญลักษณ์ที่สำคัญของพระศิวะเทพสูงสุดของศาสนาพราหมณ์


ดร.พรหมศักดิ์  เจิมสวัสดิ์

ศิวลึงค์นี้คือสิ่งเคารพอย่างหนึ่งของผู้ที่นับถือศาสนาพราหมณ์ในอินเดีย

วัตถุเคารพนี้คือสัญญลักษณ์ที่สำคัญอย่างหนึ่งของพระศิวะหรืออิศวร  ซึ่งเป็นเทพเคารพสูงสุดของศาสนาพราหมณ์

ศิวลึงค์หรืออวัยวะเพศชายนี้ คือต้นกำเนิดของชีวิตและความอุดมสมบูรณ์ ชีวิตทุกชีวิตในโลก ดำรงอยู่ได้เนื่องมาจากผลของการร่วมกันระหว่างสาระสำคัญของเพศชายและหญิง

อนึ่งอำนาจในการสร้างสรรค์และสืบต่อของอวัยวะเพศนี้ เป็นปัจจัยสำคัญที่มีต่อความอุดมสมบูรณ์ของพื้นแผ่นดิน และพืชพันธุ์ธัญญาหารในโลกอีกด้วย

ลัทธิบูชาศิวลึงค์นี้ เกิดขึ้นในอินเดีย เมื่อ ๕,๐๐๐ ปีมาแล้ว หรือ ๓,๕๐๐ ปีก่อน คริสต์ศักราช เกิดขึ้นครั้งแรกที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย บริเวณลุ่มน้ำสินธุในแคว้นปัญจาบ

จากหลักฐานทางโบราณคดีที่พบในบริเวณเมืองโบราณโมเฮนโจดาโร และฮารัปปา ในแคว้นปัญจาบตะวันตก และทางเหนือของเมืองการาจี เมื่อ ค.ศ. ๑๙๒๒ และ ๑๙๒๔(พ.ศ. ๒๔๖๕ และ ๒๔๖๗) ได้พิสูจน์เรื่องราวเกี่ยวกับลัทธิความเชื่อถือของคนในสมัยนั้น หลักฐานเหล่านี้มีที่ประทับตราทำเป็นรูปผู้ชาย ที่ศีรษะมีเขาสัตว์ และมีสัตว์อยู่ล้อมรอบ

รูปนี้อาจหมายถึงพระศิวะ เทพแห่งสัตว์นั่นเอง

การขุดค้นที่เมืองฮารัปปา ผู้ขุดค้นได้พบหินเล็ก ๆ รูปทรงกระบอกและรูปกลม หินรูปทรงกระบอกอาจหมายถึงสัญญลักษณ์อวัยวะเพศหญิง  ซึ่งเป็นเครื่องหมายของชีวิต เลือดเนื้อ และการสืบต่ออายุ หรือเป็นสัญญลักษณ์ของความเป็นมารดาผู้ประทานความอุดมสมบูรณ์แก่ชีวิตของมนุษยชาตินั่นเอง

ในสมัยหลังต่อมา ชาวฮินดูได้นับถือตรีมูรติ เทพสามพระองค์ซึ่งประกอบด้วยพระพรหมผู้สร้างโลก พระวิษณุหรือนารายณ์ผู้บริหารโลก และพระศิวะผู้ทำลายโลก ลัทธินับถืออวัยวะเพศก็เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องในคติลัทธิศาสนาสมัยนี้ด้วย

พระศิวะนั้นพระองค์เป็นเทพที่มีทั้งความกรุณาและโหดเหี้ยมน่าสะพรึงกลัวมีพระนามต่าง ๆ กันถึง ๔๘ พระนาม เช่น รุทร, อิศวร, มหาเทพ, มหากาล, ปรเมศวร, ปสุบดี, นิลกาฬ, ภูเตศวร, หรเทพ ฯลฯ เป็นต้น พระองค์คือเทพที่มีขี้เถ้าปกคลุมพระวรกาย พระเกศาสยายยาวเป็นเส้นตรง มีรูปพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวบนมุ่นมวยผม มีพระแม่คงคาแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์พุ่งออกมาจากยอดมวยผม พระเนตรโปน และมีพระเนตรที่ ๓ อยู่ตรงกลางหน้าผาก พระเนตรนี้ปิดอยู่ตลอดเวลา

พระศิวะทรงมีเครื่องประดับคือกำไลแกะ มีนาคหรืองูเห่าเป็นสังวาลพันรอบพระศอ และพระวรกายสรวมหนังสือ พาหนะของพระองค์คือ วัวนนทิ หรือนานดิน (Nandin) ซึ่งไทยเราเรียกว่า โคอสุภราช เป็นต้น

อาวุธสัญญลักษณ์ที่สำคัญของพระศิวะคือ ตรีศูล (Trident)

มีมเหสีคือพระนางอุมา หรือปารพตี มีโอรส ๒ องค์ คือ พระขันทกุมาร หรือกาติเกยะ เทพเจ้าแห่งสงคราม ทรงนกยูงเป็นพาหนุ และพระคเณศ หรือพิฆเณศร์ เทพเจ้าแห่งศิลป กรรมการศึกษา ทรงหนูเป็นพาหนะ

ชาวฮินดูที่นับถือพระศิวะ เรียกว่าพวกไศวเวษ ลัทธิไศวนิกาย พวกเขานับถือเทพองค์นี้ ๒ แบบด้วยกัน

แบบแรกบูชาพระองค์ในรูปมนุษย์มี ๒ กรบ้าง ๔ กรบ้าง มีหลายพระนามหลายปาง มีสัญญลักษณ์และถืออาวุธต่างกัน

อีกแบบหนึ่งคือศิวลึงค์ อวัยวะเพศชาย

รูปเคารพปางนี้ทำด้วยหินรูปทรงกระบอกประดิษฐานอยู่ในเทวาลัย และตามที่สาธารณะทั่วไป

ในอินเดียปัจจุบันนี้ เทวสถานที่ประดิษฐานศิวลึงค์ที่มีชื่เสียงที่สุดในอินเดีย คือ กลุ่มถ้ำวิหารที่เอลจูรา เอเลฟันตะ หน้าเมืองบอมเบย์ อินเดียตะวันตก

นอกจากนี้ในอินเดียตะวันออกแถบเบงกอล รัฐอัสสัม พิหาร ก็มีวิหารประดิษฐานศิวลึงค์รวมทั้งในอินเดียใต้บริเวณที่ราบสูงเดคข่าน ทามิลนาดู โอริสสา บูทเนสวาริ ปูรีมัทราส เป็นต้น

รูปเคารพศิวลึงค์ตามสถานที่ดังกล่าวเบื้องต้นนี้มีหลายแบบหลายลักษณะ เช่นมีรูปใบหน้าของคนหรือเทพเจ้าประดับอยู่ที่ผิวของหินแท่งทรงกระบอก เรียกว่า มุขลึงค์ และบางศิวลึงค์ มีรูปหน้าคนประดับอยู่ทั้ง ๔ ด้าน ๔ ทิศเรียกว่า จรุรมุขลึงค์

รูปหน้าคนนี้เขาเชื่อกันว่าเป็นพระพักตร์ของพระศิวะนั่นเอง

บางศิวลึงค์แปลกออกไปคือ มีรูปพระศิวะที่เป็นมนุษย์ยืนอยู่เต็มองค์ที่ผิวของหินที่สลักเป็นรูปอวัยวะเพศชาย ศิวะลึงค์ประเภทนี้มีชื่อว่า Gudimallam Linga และในอินเดียใต้และตะวันตก มีวิหารที่ประดิษฐานศิวลึงค์ทั้งแบบธรรมดาและแบบอยู่รวมกับอวัยวะเพศหญิงก็มี

นอกจากนี้ยังมีชาวฮินดูพวกหนึ่งนิยมทำรูปศิวลึงค์ขนาดเล็กมาห้อยคอเพื่อเป็นเครื่องรางของขลังวัตถุบูชาติดตัว เพื่อความเป็นศิริมงคลชาวฮินดูพวกนี้มีชื่อเฉพาะว่า ลิงคายัต (Lingayat Cult)

ส่วนศิวลึงค์ที่ประดิษฐานอยู่ที่สถานที่บูชากลางแจ้งทั่วอินเดียนั้น มีลักษณะหินรูปทรงกระบอกตั้งอยู่ตรงกลางและมีหินรูปทรงกลมแผ่นหนาเป็นฐาน บางรูปก็มีรูปปั้นเล็ก ๆ ของโคนนทิ นอนหมอบอยู่ตรงหน้าศิวลึงค์ และข้างซ้ายขวาของรูปเคารพนี้ จะมีรูปจำลองขนาดเล็กของตรีศูล อาวุธของพระศิวะปรากฎอยู่ด้วย

ประวัติกำเนิดของศิวลึงค์นี้พิสดารมาก มีหนังสือตำนานนิยายปรัมปราของอินเดียกล่าวถึงกันมากเหตุมากผล จะขอนำมากล่าวไว้บางเรื่อง อย่างเช่น คัมภีร์ฤคเวทที่แต่งระหว่าง ๓,๐๐๐-๒,๐๐๐ ปีก่อนคริสต์ศักราชกล่าวว่า ประชาชนในสมัยพระเวทนับถือพระเป็นเจ้าในแบบของอวัยวะเพศ (Shishna-Vevara)

หนังสืออุปนิษัทหรือปรัชญาของศาสนาพราหมณ์ก็กล่าวถึงศิวลึงค์ว่า เป็นวัตถุที่เกิดขึ้นมาเมื่อ ๕,๐๐๐ ปีก่อนคริสต์ศักราช สิ่งนี้คือพระเจ้าอิสาน ที่ทรงมีอำนาจเหนืออวัยวะเพศหญิงทั้งปวงในโลก เทพเคารพนี้ทรงเป็นประธานของชีวิตสัตว์โลกทั้งปวงด้วย

ส่วนคัมภีร์ปุราณะกล่าวไว้ถึงกำเนิดของศิวลึงค์น่าสนใจมากว่า

ครั้งหนึ่งพระศิวะกำลังสมัครสังวาสกับพระอุมาชายาในที่โล่งแจ้งบนเขาไกรลาส ในขณะเดียวกันนั้น เทพเจ้าองค์อื่น ๆ ได้เสด็จมาที่เขาไกรลาส เพื่อมาเฝ้าถวายความเคารพพระองค์ เทพทั้งหลายมาเห็นเหตุการณ์ต่อหน้าเช่นนั้นเข้าก็หมดความเคารพเลื่อมใสในพระศิวะทันที พากันหัวเราะเยาะเย้ย และแสดงอาการรังเกียจเดียจฉันท์

พระศิวะต่อมาทราบเรื่องนี้เข้าจึงโกรธและเสียใจจนสุดขีด ถึงกับถึงวิสัญญีภาพสิ้นลมหายใจทันที

แต่ก่อนที่จะสวรรคตพระองค์ได้ตรัสว่ารูปใหม่ของพระองค์คืออวัยวะเพศ ลึงค์ ซึ่งจะหมายถึงตัวแทนของพระองค์จะกลายเป็นวัตถุบูชาของผู้ที่นับถือพระองค์ต่อไปในกาลภายหน้า มนุษย์ผู้ใดบูชาลึงค์ในวันที่ ๑๔ ของเดือนมาฆ(กุมภาพันธ์) และบูชาต่อไปในคืนวันที่ ๑๕ ของเดือนนั้นผลบุญจะส่งให้คนนั้นไปจุติบนสวรรค์เขาไกรลาส

ยังมีหลักฐานอื่น ๆ กล่าวถึงกำเนิดที่มาของศิวลึงค์อีกอย่าง เช่นพระศิวะเองได้แสดงเป็นรูปศิวลึงค์ให้บรรดาสาวกของพระองค์ได้เห็นและจดจำ ในวันที่สาวกพากันบูชาเทพตรีมูรติ

วันนั้นพระพรหมและพระนารายณ์(วิษณุ) ได้แสดงอิทธิฤทธิ์ปรากฎให้เห็นในรูปเทพมนุษย์ ส่วนพระศิวะปรากฎร่างในรูปอวัยวะเพศชาย มีดวงตาของพระองค์ประดับประดาอยู่เต็มไปหมด สาวกที่เห็นวัตถุนั้นก็นับถือและเชื่อกันว่าเป็นตัวแทนของพระศิวะอย่างแท้จริง นับตั้งแต่นั้นมา

ตำนานอีกเรื่องหนึ่งกล่าวว่า เป็นเทพที่โปรดในการเสพย์เมถุนกับบรรดาชายาต่าง ๆ ดังนั้นมนุษย์จึงคิดค้นหาวิธีสร้างวัตถุบูชาขึ้นมาเพื่อให้ตรงกับเหตุการณ์หรือลักษณะของพระเป็นเจ้า

มีฤาษีตนหนึ่งชื่อว่า ภิกครุ ได้สร้างวัตถุบูชาเป็นอวัยวะเพศชายเพื่อบูชาพระศิวะ ซึ่งพระองค์ทรงโปรดมาก ดังนั้นจากตัวอย่างแรกที่ฤาษีทำไว้นี้เอง มนุษย์คนอื่น ๆ จึงบูชาเทพองค์นี้ด้วยอวัยวะเพศ นับตั้งแต่นั้นมาจนถึงปัจจุบัน

อีกตำนานหนึ่งกล่าวถึงกำเนิดศิวลึงค์เกี่ยวข้องกับรูปเคารพของพระศิวะในปางที่ชื่อ ลิงกตภวมูรติ มีเรื่องเล่าว่า

ครั้งหนึ่งพระพรหมและพระวิษณุทะเลาะวิวาทกันในเรื่องที่ว่าใครเป็นผู้สร้างโลกที่แท้จริง ในขณะวิวาทกัน ด้วยการใช้อาวุธประหัตประหารกันนั้น ได้มีอวัยวะเพศชายมหึมาเกิดขึ้นต่อหน้าพระพรหมและพระวิษณุ รูปนั้นแสดงอิทธิฤทธิ์ให้เทพทั้งสองละทิฐิพากันเคารพบูชาอวัยวะเพศชายนั้น ซึ่งปรากฎว่าจากการบูชา ทำให้พระศิวะพอพระทัย จึงปรากฎร่างให้เห็นชัดเจนอยู่บนผิวของอวัยวะเพศชาย เป็นรูปประหลาดมีแขนและขาเป็นพัน ๆ มีพระอาทิตย์ พระจันทร์และไฟเป็นตาดวงที่ ๓ กลางหน้าผาก พระศิวะกล่าวกับเทพทั้งสองว่า พระพรหมก็ดี พระวิษณุก็ดีเกิดมาจากสะเอวข้างซ้ายขวาของพระองค์นั่นเอง ดังนั้นพระองค์คือเทพผู้ยิ่งใหญ่ที่สุด ตรัสจบศิวเทพก็อัตรธานหายไป

หลังจากเหตุการณ์นี้มา ศิวลึงค์ก็กลายเป็นวัตถุเคารพที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมนุษย์เทวดาพระเจ้าทั้งหลายมาจนปัจจุบัน

พิธีกรรมบูชาศิวลึงค์ในอินเดียเท่าที่ทราบมา เป็นไปในรูปของการบูชาประจำวันบ้างหรือบูชาในกรณีวันสำคัญเทศกาลนักขัตฤกษ์ทางศาสนาเช่น เทศกาลมหาศิวาราตรี ในเทศกาลนี้ชาวอินเดียจะทำพิธีกันใหญ่โตเอิกเกริก

ส่วนพิธีกรรมบูชาศิวลึงค์โบราณของอินเดียอื่น ๆ ก็มีพิธีหนึ่งชื่อ Saturnalia หรือพิธีพืชมงคล เขาทำกันเพื่อความอุดมสมบูรณ์ของแผ่นดินที่ใช้ในการเพาะปลูก พิธีนี้เริ่มต้นด้วยการบูชาศิวลึงค์ เพื่อความเป็นศิริมงคลและโชคดีนั่นเอง

การบูชาก็คือ เอาน้ำหรือน้ำนมราดรดส่วนบนของหินทรงกระบอก ให้น้ำไหลไปสู่ที่ฐานหินกลม ซึ่งมีร่องน้ำอยู่ น้ำจะไหลลงเบื้องล่าง และเอาข้าวตอกใบมะตูม ดอกไม้ ขนม โปรยลงบนหินแท่งนั้น พลางก้มลงกราบ หรือเอาศีรษะโขกหินเป็นการแสดงคารวะสูงสุด

มีอีกพิธีหนึ่งของอินเดีย บูชาศิวลึงค์เช่นกัน เรีกว่าพิธี Kartikai เขาทำกันในโบสถ์บนยอดเขาในเมือง Arunachala ซึ่งโบสถ์นี้สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์การเกิดขึ้นของพระศิวะในรูปของอวัยวะเพศชายเป็นครั้งแรก

พิธีนี้ทำกันทุกปีระหว่างปลายเดือนพฤศจิกายน หรือต้นเดือนธันวาคม

ทั้งหมดนี้คือเรื่องราวของศิวลึงค์ที่คนไทยรู้จัก เคยเห็นมา ในบ้านเราก็มีศาสนสถานที่สร้างขึ้นเพื่อประดิษฐานศิวลึงค์อยู่หลายแห่ง ตามภาคต่าง ๆของประเทศ แสดงว่าไทยเรารับอิทธิพลวัฒนธรรมอินเดียมาใช้ และรับคติความเชื่อในพระเป็นเจ้าของศาสนาฮินดู มาปะปนกับพระพุทธศาสนามาเป็นเวลานานตั้งแต่ครั้งกรุงสุโขทัย อยุธยา จนถึงปัจจุบันนี้

ซากปรักหักพังของโบราณสถานวัตถุที่สร้างอุทิศให้ศาสนาฮินดูในบ้านเรา คือพยานที่สนับสนุนคำกล่าวที่ว่าศาสนาพราหมณ์และวัฒนธรรมอินเดียเคยมีอิทธิพลอยู่ในบ้านเรานั่นเอง