ประเพณีทอดกฐินของไทย

ประเพณีการทอดกฐินของไทยมีหลักฐานปรากฏว่ามีมาตั้งแต่สมัยสุโขทัยดังปรากฏในศิลาจารึก พ่อขุนรามคำแหง หลักที่ ๑ และได้ถือเป็นประเพณีสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งมีทั้งกฐินที่พระมหากษัตริย์ ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลลงไปจนถึงกฐินของราษฎรประเพณีทอดกฐิน

กฐินมี ๒ ประเภท คือ กฐินราษฎร์ และกฐินหลวง

กฐินหลวง หมายถึง กฐินที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินไปทอดถวายหรือพระราชทานให้พระบรมวงศานุวงศ์และองคมนตรีเป็นผู้แทนพระองค์ไปทอดถวายตามพระอารามหลวง ที่กำหนดไว้ ๑๖ วัด คือ วัดเทพศิรินทราวาส วัดบวรนิเวศวิหาร วัดเบญจมบพิตร วัดพระเชตุพนฯ วัดมกุฎกษัตริย์ฯ วัดมหาธาตุฯ วัดราชบพิธฯ วัดราชประดิษฐ์ฯ วัดราชาธิวาส วัดสุทัศน์ฯ วัดราชโอรสาราม วัดอรุณราชวราราม วัดนิเวศธรรมประวัติ และวัดสุวรรณดาราราม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา วัดพระปฐมเจดีย์ นครปฐม วัดพระศรีมหาธาตุ พิษณุโลก ซึ่งเป็นหน้าที่ของสำนักพระราชวัง ส่วนพระอารามหลวงที่นอกเหนือจาก ๑๖ วัดเป็นหน้าที่ของกรมศาสนา กล่าวคือ หน่วยราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์การคณะชน หรือเอกชน ขอพระราชทานผ่านกรมการศาสนา เพื่อจัดบริวารกฐินให้เป็นของพระราชทาน แล้วผู้ได้รับพระราชทานจัดเพิ่มเติมหรือจัดจตุปัจจัยสมทบ ซึ่งเรียกกันว่า กฐินพระราชทาน แต่ถ้าเสด็จพระราชดำเนินไปถวายวัดใดๆ ตามแต่พระราชอัธยาศัย จะเป็นพระอารามหลวงหรือวัดราษฎร์ก็ตาม เรียกว่า กฐินต้น ซึ่งโดยมากมักจะเสด็จไปถวายผ้ากฐินวัดราษฎร์ที่ขาดการบูรณะ

การทอดกฐินเป็นพระราชประเพณีอย่างหนึ่งที่พระมหากษัตริย์ไทยทรงเป็นธุระบำเพ็ญพระราชกุศลมาตั้งแต่สมัยโบราณ การเสด็จพระราชดำเนินไปถวายผ้าพระกฐินสมัยก่อนมีการเสด็จฯ โดยกระบวนพยุหยาตราทั้งทางสถลมารคและชลมารคเป็นการแห่พระกฐิน ซึ่งจุดมุ่งหมายเดิมของการแห่พระกฐินด้วยกระบวนพยุหยาตรานี้เพื่อจะตรวจตราพลรบ อาวุธยุทธภัณฑ์ และฝึกซ้อมรบ ในสมัยก่อนมีการซ้อมรบปีละ ๒ ครั้ง คือในเดือน ๔-๕ ซึ่งเป็นฤดูเกี่ยวข้าวเก็บเข้ายุ้งฉางครั้งหนึ่ง ในช่วงนี้ จะยกกระบวนพยุหยาตราทางสถลมารคเป็นการซ้อมรบทางบกไปนมัสการพระพุทธบาท การซ้อมรบ อีกครั้งหนึ่งในเดือน ๑๑-๑๒ ซึ่งเป็นฤดูปักดำนาเสร็จแล้ว ในช่วงนี้จะซ้อมรบทางเรือและเป็นระยะเวลา ทอดกฐิน จึงจัดกระบวนพยุหยาตราทางชลมารค ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๗๕ การเสด็จโดยกระบวนพยุหยาตราได้ล้มเลิกไป ทางสำนักพระราชวังได้กำหนดให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวหรือผู้แทนพระองค์ ทอดผ้าพระกฐินเฉพาะพระอารามหลวง ๑๖ วัด พระอารามหลวงนอกเหนือจากนี้ให้เป็นหน้าที่ของกรมการศาสนาจัดบริวารกฐิน ดังได้กล่าวแล้วข้างต้น ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๐๒ และพ.ศ. ๒๕๑๐ ได้จัด ให้มีกระบวนแห่กฐินทางชลมารคอีก ปัจจุบันทางสำนักพระราชวังยังไม่ได้ประกาศยกเลิกการเสด็จ ด้วยกระบวนพยุหยาตราทางชลมารค การเสด็จพระราชดำเนินโดยกระบวนพยุหยาตราทางชลมารคนี้ คงจะมีขึ้นในโอกาสอันควรต่อไป

กฐินราษฎร์ คือ กฐินที่ราษฎรจัดทำขึ้น แบ่งออกเป็น มหากฐินและจุลกฐิน
มหากฐิน คือ การนำผ้าสำเร็จรูปแล้วไปถวายพระดังที่นิยมทำกันอยู่ทุกวันนี้ และมักนิยมเรียกกันว่า กฐิน ถ้าร่วมกันออกทุนทรัพย์และร่วมกันจัดทอดเรียกว่า กฐินสามัคคี

การทอดกฐินนี้ก่อนจะไปทอดกฐินวัดใดจำเป็นต้องไปแสดงความจำนงให้ทางวัดทราบเป็นการล่วงหน้าก่อน เรียกว่า การจองกฐิน ซึ่งจองได้แต่เฉพาะวัดราษฎร์เท่านั้น สำหรับวัดหลวงจะต้องขอพระราชทานผ่านกรมการศาสนาดังได้กล่าวแล้ว เมื่อจองแล้วควรเขียนหนังสือปิดประกาศไว้เพื่อให้รู้ทั่วกัน ว่าวัดนี้จองแล้ว ถือกันว่าใครจองก่อนก็ได้ทอดก่อน แต่ก็เปิดโอกาสให้ผู้มีจิตศรัทธามากกว่าเป็นผู้ได้ทอดก่อน ดังนั้นในคำจองจึงปรากฏชื่อผู้ทอด จำนวนองค์กฐิน บริวารกฐิน กำหนดวันเวลาทอด แต่ถ้าใครมีศรัทธามากกว่านี้จะเป็นผู้ได้ทอด เป็นต้น

การจองกฐินนี้เพื่อให้ทางวัดและชาวบ้านในละแวกนั้นเตรียมการต้อนรับทั้งในเรื่องความสะดวก สบายและอาหารการกิน เมื่อถึงวันกำหนดจะต้องนำผ้าซึ่งจะทำไตรจีวรผืนใดผืนหนึ่งอาจเป็นผ้าขาวยังไม่ได้เย็บ เย็บแล้วยังไม่ได้ย้อมหรือย้อมแล้วก็ได้ เรียกว่าองค์กฐิน และบริวารกฐิน ได้แก่พวกจตุปัจจัยไทยธรรมต่างๆ ซึ่งไม่ได้กำหนดตายตัวว่าจะต้องมีมากน้อยแค่ไหน นอกจากนี้มักจะมีผ้าห่มพระประธานในโบสถ์ด้วยอย่างน้อยผืนหนึ่ง เทียนสำหรับจุดในการสวดพระปาติโมกข์ ๒๔ เล่ม นำไปยังวัดที่จะทอด จะมีการสมโภชองค์กฐินก่อนก็ได้ และเมื่อทอดกฐินเสร็จแล้ว จะฉลองต่ออีกก็ได้ขึ้นอยู่กับกำลังทรัพย์ของเจ้าภาพ ในขณะนำไปทอดอาจมีการแห่กฐิน จะแห่ไปทางนํ้า หรือทางบกขึ้นอยู่ทับการคมนาคมทางไหนจะสะดวกกว่ากัน หรือจะไปอย่างเงียบๆ ก็ได้ เมื่อมาถึงวัดและภิกษุมาพร้อมแล้วผู้ทอดกฐินอุ้มไตรกฐิน พนมมือ หันหน้าไปทางพระพุทธรูปว่า “นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมา
สมฺพุทฺธสฺส” ๓ จบ แล้วหันหน้ามาทางพระสงฆ์กล่าวคำถวายผ้ากฐิว่า

ถ้าเป็นวัดมหานิกาย “อิมํ สปฺปริวารํ กฐินจีวรทุสฺสํ สงฺฆสฺส โอโณชยาม ทุติยมฺปิ อิมํ สปฺปริ¬วารํ กฐินจีวรทุสฺสํ สงฺฆสฺส โอโณชยาม ตติยมฺปิ อิมํ สปฺปริวารํ กฐินจีวรทุสฺสํ สงฺฆสฺส โอโณชยาม”

ส่วนวัดธรรมยุตกล่าวคำถวายดังนี้
“อิมํ ภนฺเต สปฺปริวารํ กฐินทุสุสํ โอโณชยาม สาธุ โน ภนฺเต สงฺโฆ อิมํ สปฺปริวารํ กฐินทุสฺสํ ปฏิคฺคณฺหาตุ ปฏิคฺคเหตฺวา จ อิมินา ทุสฺเสน กฐินํ อมฺหากํ ทีฆรตฺตํ หิตาย สุขาย”

คำกล่าวถวายนี้ หัวหน้าผู้ทอดจะกล่าวนำเป็นคำๆ หรือประโยคก็ได้ หรือกล่าวคนเดียวก็ได้ บางครั้งมีการโยงสายสิญจน์ถึงกันหมดด้วย หรืออาจจะกล่าวคำถวายเป็นภาษาไทยซึ่งแปลจากคำถวายภาษาบาลีก็ได้ เมื่อจบคำถวายแล้วพระสงฆ์รับ “สาธุ” เจ้าภาพประเคนไตรกฐินแก่ภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง (โดยมากมักจะเป็นรูปที่ ๒) หรืออาจวางไว้ข้างหน้าพระสงฆ์ก็ได้ ต่อจากนี้จะถวายบริวารกฐินเลยก็ได้ พระสงฆ์อนุโมทนาเป็นเสร็จพิธี หรือจะรอฟังพระสงฆ์อปโลกนกรรมจึงจะถวายบริวารกฐินก็ได้ การทำอปโลกนกรรม คือ ประกาศมอบผ้ากฐินแก่ภิกษุรูปใดรูปหนึ่งผู้ซึ่งมีจีวรเก่ามีพรรษามาก สามารถกรานกฐินได้ถูกต้อง ฉลาดมีความรอบรู้ธรรมวินัยเป็นต้น ภิกษุ ๒ รูปสวดออกนามภิกษุที่จะเป็นผู้รับผ้ากฐินเพื่อเสนอขออนุมัติจากที่ประชุมสงฆ์ เมื่อไม่มีผู้ใดคัดค้าน ภิกษุอีก ๒ รูปก็สวดประกาศซ้ำเป็นภาษาบาลี เรียกว่าญัตติทุติยกรรม เมื่อไม่มีผู้ใดคัดค้านก็เป็นอันว่าภิกษุที่ได้รับการเสนอนามเป็นผู้รับผ้ากฐินไป เสร็จแล้ว พระสงฆ์อนุโมทนาเป็นอันหมดภาระหน้าที่ของเจ้าภาพ เมื่อเสร็จพิธีแล้วอาจมีการแสดงพระธรรมเทศนาเกี่ยวกับอานิสงส์กฐินหรือไม่มีก็ได้ บางแห่งอาจจัดให้มีการสนุกสนานรื่นเริง มีการแข่งเรือ เล่นเพลงเรือ เป็นต้น หลังจากนี้เป็นวิธีการกรานกฐินซึ่งเป็นหน้าที่ของสงฆ์โดยเฉพาะ กล่าวคือ ภิกษุผู้ครองผ้ากฐินนำผ้ากฐินไปทำเป็นจีวรอย่างใดอย่างหนึ่งให้แล้วเสร็จในวันนั้น และนำมาบอกในที่ประชุมสงฆ์ภายในพระอุโบสถเพื่ออนุโมทนา การทำบุญกฐินนี้ก่อให้เกิดอานิสงส์ ทั้งผู้ทอดและภิกษุสงฆ์ สำหรับภิกษุสงฆ์นั้น มีบัญญัติไว้ในพระวินัยว่าผู้กรานกฐินแล้ว จะได้อานิสงส์ ๕ ประการ คือ
๑. เที่ยวไปไหนไม่ต้องบอกลา
๒. ไม่ต้องถือไตรจีวรไปครบสำรับ
๓. ฉันคณะโภชนได้
๔. ทรงอติเรกจีวรไว้ได้ตามปรารถนา (ในพระวินัยกำหนดให้ภิกษุเก็บผ้าจีวรเกินจากสำรับที่นุ่งไม่ได้ เก็บได้เพียงแค่ ๑๐ วัน หลังจากนี้ต้องสละให้ผู้อื่นไป ถ้ากรานกฐินแล้วเก็บได้เกินกว่านี้)
๕. ลาภที่เกิดขึ้น ให้เป็นของภิกษุผู้จำพรรษาในวัดนั้น ซึ่งได้กรานกฐินแล้ว

การที่พระพุทธเจ้ากำหนดไว้ในพระวินัยให้พระสงฆ์ผู้กรานกฐินแล้วได้รับการยกเว้นเพราะเกิดปัญหาและข้อขัดข้องบางประการ อันก่อให้เกิดความลำบากแก่ภิกษุสงฆ์ เช่น ต้องบอกลา ถ้าอยู่คนเดียว ก็บอกลาไม่ได้ การต้องเอาจีวรไปให้ครบ การฉันอาหารล้อมวงกันไม่ได้ การเก็บจีวรสำรองไว้ไม่ได้นับเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นดังที่พระพุทธองค์ทรงเห็นความลำบากของภิกษุชาวเมืองปาฐา ๓๐ รูป จึงมีพุทธานุญาตให้กรานกฐิน การกรานกฐินนับเป็นความดีความชอบประการหนึ่งที่เป็นหน้าที่ของพระสงฆ์ต้องร่วมมือร่วมใจกัน พระพุทธองค์จึงทรงกำหนดข้อยกเว้นไว้ให้

ส่วนอานิสงส์สำหรับผู้ทอดนั้นเชื่อกันว่าได้บุญกุศลแรง เพราะปีหนึ่งๆ จะมีเพียงครั้งเดียวและมีฤดูกาลทอด เป็นผลให้ผู้ทอดมีจิตใจแจ่มใสและปิติยินดีในบุญกุศลที่ตนเองได้ทำไว้ นอกจากนี้ยังสามารถขจัดความโลภ โกรธ หลง โดยทางอ้อมได้อีกด้วย กล่าวคือกำจัดความโลภในวัตถุทานที่ได้บริจาคแล้วนั้น กำจัดความโกรธเพราะได้ฟังอนุโมทนาบุญนั้น กำจัดความหลงเข้าใจผิดเพราะทำด้วยมือของตนเองในบุญนั้นได้

เมื่อทอดกฐินเสร็จแล้วมักปักธงรูปจระเข้ไว้ที่วัดด้วย จะเป็นที่ศาลาวัด หน้าโบสถ์หรือที่ใดๆ ที่เห็นง่ายเพื่อแสดงให้รู้ว่าวัดนั้นทอดกฐินแล้ว เพราะวัดหนึ่งๆ สามารถรับกฐินได้เพียงปีละครั้งเดียว

จุลกฐิน เป็นกฐินอย่างหนึ่งที่ราษฎรจัดทำขึ้นเป็นพิเศษต่างกับกฐินธรรมดาทั่วๆ ไป กล่าว คือ เริ่มตั้งแต่เก็บฝ้ายมาปั่น  ทอเป็นผืน กะตัดเย็บย้อมให้เสร็จในวันเดียว จุลกฐินจึงหมายถึงผ้าที่ทำสำเร็จมาจากสิ่งเล็กๆ น้อยๆ แต่ในบางท้องถิ่น เรียกว่า กฐินแล่น ซึ่งแปลว่า รีบด่วน จึงเข้าความหมายเพราะจุลกฐินเป็นกฐินที่ต้องเร่งทำให้เสร็จในวันนั้น มักจะทำในระยะเวลาจวนหมดเขตการทอดกฐิน เช่น ในวันขึ้น ๑๔ – ๑๕ คํ่าเดือน ๑๒ เป็นต้น

ความเป็นมาของจุลกฐินเริ่มจากในสมัยพุทธกาล ครั้งที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ที่พระเชตวันมหาวิหาร ทรงเห็นด้วยพระพุทธญาณว่า พระอนุรุทธมีจีวรอันเก่าขาดใช้การเกือบไม่ได้ และก็เป็น
เวลาจวนจะสิ้นสุดกฐินกาลแล้ว จึงรับสั่งให้ประชุมสงฆ์ พระสงฆ์ต่างก็ออกช่วยหาผ้าบังสุกุลจีวรตามที่ต่างๆ แต่ได้ผ้ายังไม่เพียงพอจะเย็บจีวรได้ ความทราบถึงนางเทพธิดาซึ่งเคยเป็นปราณทุติยิกา (ภรรยาเก่า)ของพระเถระในชาติก่อน จึงได้เนรมิตผ้าทิพย์หมกไว้ในกองขยะ เมื่อพระอนุรุทธผ่านมาพบเข้าจึงชักผ้าบังสุกุลแล้วนำไปสมทบในการทำจีวร ในการทำจีวรครั้งนั้นพระพุทธองค์เสด็จเป็นประธานและสนเข็ม พระสงฆ์สาวกพร้อมทั้งคฤหัสถ์ชาย-หญิงได้ช่วยกันโดยพร้อมเพรียง นับว่าเป็นการกระทำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในครั้งนั้น พระพุทธองค์ทรงกำหนดให้ทำผ้าแล้วเสร็จในวันนั้นก่อนอรุณขึ้น เป็นการร่วมแรง ร่วมใจกันของหมู่ภิกษุสงฆ์ ถ้าชักช้าจะทำให้ผู้ครองผ้ากฐิน ไม่ได้ชื่อว่าเป็นผู้สามารถในการกรานกฐิน นอกจากนี้ เพื่อรักษาความศักดิ์สิทธิ์เพราะพระพุทธองค์เสด็จเป็นประธานในที่นั้นด้วย จะเห็นได้ว่า ในตอนแรก ความยากลำบากในการทำจุลกฐินตกอยู่กับพระภิกษุสงฆ์ แต่ปัจจุบันความยากลำบากนี้ตกอยู่แก่ผู้ทอดเพราะต้องจัดการทุกสิ่งทุกอย่าง พระภิกษุสงฆ์เป็นเพียงผู้รับผ้ากฐินและนำไปกรานกฐินเท่านั้น ฉะนั้นจุลกฐินนี้คงมีเค้ามาจากการที่วัดบางวัดไม่ได้รับกฐินหลงเหลืออยู่ และจวนหมดเขตทอดกฐินแล้ว ชาวบ้านจึงช่วยกันขวนขวายจัดทำเมื่อระยะเวลากระชั้นชิด อีกประการหนึ่งสมัยก่อนผ้าสำเร็จรูปยังไม่มีขาย ประกอบกับลักษณะความเป็นอยู่แบบเลี้ยงตนเองและครอบครัวมีกิจการงานอย่างใดก็ร่วมมือกันเมื่อต้องการผ้ากฐินอย่างรีบด่วนเช่นนี้ จึงต้องหาทางและร่วมแรงร่วมใจกันให้เป็นผลสำเร็จ

จุลกฐินนี้นิยมทอดกันในภาคเหนือ แพร่หลายเข้ามายังภาคกลางทางจังหวัดสุโขทัย และเข้ามากรุงเทพฯ เมื่อครั้งรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก น่าจะนำมาจากราชประเพณีครั้งกรุงเก่า ดังปรากฏในหนังสือคำให้การชาวกรุงเก่า หน้า ๒๖๘ ว่า “ถึงวันขึ้น ๑๕ คํ่า (เดือน๑๒) โปรดให้ทำ จุลกฐิน คือ ทอดผ้ากฐินให้เสร็จในวันนั้น” ผู้ทำจุลกฐินส่วนมากจะเป็นผู้มีทรัพย์มาก เพราะต้องอาศัยกำลังคนและทุนทรัพย์มาก ในปัจจุบันไม่ค่อยนิยมทำจุลกฐินกันแล้ว

วิธีทำจุลกฐิน เริ่มตั้งแต่เก็บฝ้ายจากต้น มักจะนำเมล็ดปุยฝ้ายไปผูกไว้ แล้วทำทีไปเก็บมาจากต้นฝ้าย บางตำราก็ว่า เริ่มตั้งแต่ขุดดินทำแปลงปลูกฝ้าย แล้วนำต้นฝ้ายปลูกลง เอาเมล็ดฝ้ายมาผูกติดกับต้น ฝ้าย ซึ่งเป็นเรื่องสมมติอีก เมื่อเก็บเมล็ดฝ้ายมาแล้ว (มักจะใช้สาวพรหมจารีเป็นผู้เก็บ) นำมากรอเป็นด้าย ทอเป็นผืนผ้า กะตัดเย็บย้อม ตากให้แห้งโดยแบ่งหน้าที่กันทำ แล้วนำไปทอดให้พระสงฆ์ได้กรานกฐินทันในวันนั้น

การทอดกฐินชนิดนี้ถือว่าได้อานิสงส์มากกว่าทอดกฐินธรรมดาหลายเท่า เพราะเหตุว่า ทำในช่วงเวลาจำกัด คือ ตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นถึงรุ่งอรุณของวันใหม่ และต้องใช้กำลังคน ทุนทรัพย์มาก ถ้าทำไม่ทัน เป็นอันเสียพิธี ฉะนั้นเมื่อทำเสร็จทันเวลาจึงส่งผลต่อจิตใจของผู้ทำบุญเป็นอย่างมาก

ยังมีกฐินอีกประเภทหนึ่งเรียกว่า กฐินโจร เป็นกฐินที่ราษฎรจัดทำขึ้นในวันจวนจะหมดเขตกฐินกาล คือ ในราวๆ วันขึ้น ๑๔ – ๑๕ คํ่า เดือน ๑๒ ด้วยการสืบหาวัดที่ยังไม่ได้รับการทอดกฐินและจัดหาผ้ากฐินไปทอด เรียกว่ากฐินตก กฐินตกค้าง หรือกฐินจรก็มี เพราะเป็นวัดที่ตกค้างไม่มีผู้ใดมาจองกฐินไว้ ซึ่งตามธรรมดา การทอดกฐินต้องบอกกล่าวล่วงหน้าให้พระภิกษุสงฆ์วัดนั้นทราบล่วงหน้า จะได้เตรียมการต้อนรับและเพื่อมิให้มีการทอดกฐินซํ้า แต่กฐินโจรนี้ไม่มีการบอกล่วงหน้า จู่ๆ ก็ไปเฉยๆ เป็นการจู่โจมไม่ให้พระสงฆ์รู้ ส่วนวิธีการทอดนั้นเหมือนกับการทอดกฐินทั่วไป กล่าวคือเจ้าภาพกล่าวคำถวายผ้ากฐิน ถวายบริวารกฐิน ฟังพระอนุโมทนา เป็นเสร็จพิธี

การทอดกฐินประเภทนี้นับว่าได้อานิสงส์แรงกว่าทอดกฐินธรรมดามาก เพราะเป็นการอนุเคราะห์พระสงฆ์ให้มีโอกาสกรานกฐินในระยะเวลาจวนจะหมดเขตการทอดกฐินอยู่แล้ว

ที่มา:กรมศิลปากร