การเจาะรูในร่างกายหรือทางภาคอีสานเรียกว่า “บ่อง” นั้น มีมาด้วยกันหลายชาติหลายภาษา เช่น ชาวอินเดีย และชาวอาฟริกัน อาจนิยมเจาะรูที่จมูกเพื่อสอดใส่เครื่องประดับ แต่ชนเผ่าอ้ายลาวส่วนมากนิยมเจาะรูที่หู โดยเฉพาะทางภาคอีสานมีการบ่องหูทั้งเพศหญิงเพศชาย ตั้งแต่ยังเด็ก เพศหญิงนิยมบ่องใบหูส่วนล่างสุดทั้งสองข้าง เพื่อใส่ตุ้มหู หรือกระจอนหู (ต่างหู) ส่วนเพศชายนิยมบ่องใบหูเบื้องซ้ายข้างเดียวเท่านั้น เพื่อเสียบดอกไม้ ผู้ชายที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปี ขึ้นไปในภาคอีสานปัจจุบันนี้ที่อยู่ตามชนบทมักจะมีการบ่องหูเบื้องซ้าย
การบ่องในร่างกายตามคำกลอน ซึ่งฝ่ายหญิงจ่ายผะหญาว่า “แม้นบ่บ่อง บ่ให้จ่องขางเฮือน” คือการทำ “แป้นบ่อง” การบ่องประเภทนี้สงสัยว่าจะเนื่องมาจากคตินิยมของพวกนับถือศิวลึงค์ โดยอิทธิพลทางอินเดียโบราณ
กรรมวิธีการบ่องคือต้อง “ถวยแถน” ได้แก่การรูดหนังหุ้มปลายองคชาติของเพศชายแล้วดึงหนังบางย่น ๆ บริเวณใต้ของส่วนปลายให้ยืดออก แล้วใช้ไม้ฝางแหลมแทงให้เป็นรู (ถ้าใช้โลหะจะอักเสบมาก) แล้วใช้สโนติดไว้ในรูจนกว่าแผลจะหายสนิทจึงเอาออก เลยเกิดมีรูถาวรตลอดไป
ประโยชน์ที่ได้รับจากการนี้มีบางทานเล่าให้ฟังว่า เพื่อให้ฝ่ายสามีได้มีโอกาสช่วยภรรยาของตนโดยใช้ขนบางประเภทร้อยเข้าไว้ในรูบ่อง ในกรณีที่ภรรยาของตนไม่สามารถบรรลุจุดสุดยอดได้ ในเวลาร่วมประเวณีตามปกติธรรมดา เปรียบเสมือนการฝังมุกสำหรับชายบางคนทางภาคกลาง ผู้ที่ทำการบ่องแบบนี้มีอยู่ไม่มากนัก แต่เป็นที่ทราบกันทั่วไปในหมู่บ้านใกล้เคียง
เมื่อเวลามีงานบุญพระเวส หรืองานเทศน์มหาชาติประจำปีของแต่ละหมู่บ้าน เมื่อ ๕๐-๖๐ ปี ขึ้นไปนั้น เวลาก่อนพระอาทิตย์ขึ้นของวันงาน มักจะมีการจัดขบวนแห่”ดอกนารี” โดยจัดร้อยพวงมาลัยดอกไม้ขนาดใหญ่ยาวเป็นวา แล้วเอาเส้นด้ายที่ร้อยพวงมาลัยด้านหนึ่งไปผูกไว้กับองคชาติของชายที่มีรูบ่องนั้น จึงจัดให้มีคนช่วยถือพวงมาลัยเดินออกหน้า บางครั้งก็ให้ชายผู้ที่ถูกผูกรูบ่องขึ้นเสลี่ยงคานหามไปในขบวน พร้อมกับมีคนร้องแห่ไปรอบบ้านว่า “แห่ดอกนารี เด้อ ๆๆๆ”
ในพิธีงานบุญพระเวสหรืองานบุญบั้งไฟในสมัยเก่า มักจะมีการทำ “ผาม” หรือ “ตูบ” คือประรำไว้สำหรับให้แขกรับเชิญจากหมู่บ้านต่าง ๆ ได้พักนอนรอบวัด ซึ่งชาวบ้านไกลก่อนจะเข้าวัด มักจะหาบริเวณเนินดินที่มีหนองน้ำจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าแต่งเนื้อแต่งตัวหรือเรียกว่า “เอ้” เสียก่อนบริเวณเหล่านั้นจึงมีชื่อว่า “โนนสาวเอ้” เมื่อแขกรับเชิญจากต่างบ้านเขาตูบหรือผามแล้ว บางครั้งก็อาจจะมีการเล่น “ผีขน” หรือ “ผีโขน” เหมือนกับรูปหุ่นหัวโตทางภาคกลาง ผู้ร่วมแสดงบางคนก็ทำเป็นนุ่งผ้าด้วย “ดางแห” คือตาข่ายแหห่าง ๆ บางคนก็อาจจะเอาการบ่องตนเองออกแสดง บางคนสะพายข่องขาด เสื้อ (ฟูก) หรือหมอนขาด ทำให้ปุยนุ่นฟุ้งกระจายไป บางพวกก็เอาโคลนทาหัวเหมือนคนโกนหัวโล้นเพื่อเข้าพิธีบวช บางพวกเอาหมากอึ(ฟักทอง) ซึ่งนึ่งสุกแล้วสีเหลือง ๆ ทาตะโพกของตนเหมือนคน “ขี้แตก” การละเล่นเหล่านี้มีเพียงปีละหน จึงแสดงได้อย่างสุดเหวี่ยงมุ่งหวังแต่เสาะหาความสนุกสนานสำราญเบิกบานใจเป็นส่วนใหญ่