เครื่องเป่า
ขลุ่ย
ขลุ่ย คงจะเป็นเครื่องเป่าดั้งเดิมของไทยคิดทำขึ้นเอง แต่รูปร่างไปเหมือนกับ “มุราลี” ของอินเดีย ขลุ่ยของเราทำด้วยไม้รวกปล้องยาว ๆ ไว้ข้อทางปลายแต่เจาะทะลุข้อและใช้ไฟย่างให้แห้งตบแต่งผิวให้ไหม้เกรียมเป็นลวดลายสวยงาม ด้านหน้าเจาะรูกลม ๆ เรียงแถวกัน ๗ รู สำหรับนิ้วปิดเปิดเพื่อเปลี่ยนเสียง ตรงที่ใช้เป่าไม่มีลิ้นอย่างลิ้นปี่ เขาทำไม้อุดเต็มปล้องแต่ปาดด้านล่างไว้ ด้านหนึ่งให้มีช่องไม้อุดนั้นเรียกกันว่า “ดาก” ด้านหลังใต้ดากลงมาปากตอนล่างเป็นทางเฉียง ไม่เจาะทะลุตรงเหมือนด้านข้างและด้านหน้า รูนี้เรียกว่า “รูปากนกแก้ว” ใต้รูปากนกแก้วลงมาเจาะรูอีก ๑ รู เรียกว่า “รูนิ้วค้ำ” เพราะเวลาเป่า ต้องเอานิ้วหัวแม่มือค้ำปิดเปิดที่รูนั้น เหนือรูนิ้วค้ำเบื้องหลังและเหนือรูบนของ ๗ รูด้านหน้าแต่ อยู่ทางด้านขวาเจาะรูอีกรูหนึ่งเรียกว่า “รูเยื่อ” เพราะโดยปรกติ แต่ก่อนใช้เยื่อในปล้องไม้ไผ่ ปิดรูนั้น ทางปลายเลาของขลุ่ย มีรูอีก ๔ รู เจาะตรงกันข้าม แต่เหลื่อมกันเล็กน้อย รูหน้ากับรูหลังตรงกันแต่อยู่สูงขึ้นมานิดหน่อย รูขวารูซ้ายเจาะตรงกันอยู่ใต้ลงไปเล็กน้อย รูขวากับรูซ้ายนี้ โดยปรกติใช้ร้อยเชือกสำหรับแขวนเก็บหรือคล้องมือถือ จึงเลยเรียกกันว่า “รูร้อยเชือก” รวมทั้งหมดขลุ่ยเลาหนึ่งมี ๑๔ รูด้วยกัน
ขลุ่ย นอกจากเป่าเล่นเป็นการบันเทิงแล้ว ยังใช้เป่าร่วมในวงเครื่องสายและวงมโหรีกับในวงปี่พาทย์ ไม้นวมและวงปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์อีกด้วย
ขลุ่ยมี ๓ ชนิด คือ
ก. ขลุ่ยหลีบ
ข. ขลุ่ยเพียงออ
ค. ขลุ่ยอู้
ปี่
ปี่ เห็นจะเป็นเครื่องดนตรีของไทยแท้ ชาวไทยเรารู้จักประดิษฐ์ขึ้นใช้มาแต่ก่อนเก่า เพราะวิธีเป่าและลักษณะการเจาะรู ไม่เหมือนหรือซ้ำแบบกับเครื่องเป่าของชาติใด ๆ ตามปรกติทำด้วยไม้แก่นหรือไม้จริง เช่น ไม้ชิงชัน และไม้พะยุง กลึงให้เป็นรูปบานหัวบานท้ายและตรงกลางป่องเจาะภายในกลวงตลอดเวลา ทางหัวที่ใส่ลิ้นเป็นช่องรูเล็ก ทางปลายปากรูใหญ่ตอนหัวและตอนท้ายนี้เขาเอาชันหรือวัตถุอย่างอื่นมาหล่อเสริมขึ้นอีกราวข้างละครึ่ง ซม. เรียกว่า “ทวน” ทางหัวเรียกว่า “ทวนบน” และทางท้ายเรียกว่า “ทวนล่าง” ตอนป่องกลางนั้นเจาะรูนิ้วสำหรับเปลี่ยนเสียงเรียงลงมาตามข้างเลาปี่ ๖ รู คือ รูตอนบนเจาะเรียงลงมา ๔ รู แล้วเว้นระยะเล็กน้อยเจาะรูล่างอีก ๒ รู ตอนกลางเลาตรงป่องกลางมักกลึงขวั้นเป็นเกลียวคู่ ๑๔ คู่ไว้ระยะพองามที่รูเป่าตอนทวนบนใส่ลิ้นปี่สำหรับเป่าลิ้นปี่ทำด้วยใบตาลซ้อน ๔ ชั้น ตัดกลมผูกติดกับท่อลมเล็ก ๆ ซึ่งเรียกว่า “กำพวด” เรียวยาวสัก ๕ ซม. กำพวดนี้ทำด้วยทองเหลือง หรือด้วยเงิน ด้วยนาคหรือโลหะอย่างอื่น
ปี่ชนิดนี้ แต่เดิมคงจะใช้เป่านำวงดนตรีสำหรับบรรเลงประกอบการเล่นหนัง(ใหญ่) ประกอบการแสดงโขนและละครนอก เรียกปี่นอกมีระดับเสียงสูง ต่อมาเมื่อมีการปรับปรุงละครใน จึงแก้ไขเครื่องดนตรีให้เหมาะสมกับผู้หญิงแสดง เรียก ปี่ใน มีระดับเสียงต่ำ ส่วนปี่ที่ใช้เป่าประกอบการเล่นหนัง (ใหญ่) ซึ่งมีขนาดและสำเนียงอยู่กลางระหว่างปี่นอกกับปี่ในนั้น เรียกว่า “ปี่กลาง”
ปี่อ้อ
ปี่อ้อ เป็นปี่โบราณของไทยอย่างหนึ่ง ตัวปี่(เลา) ทำด้วยไม้รวกปล้องเดียวไม่มีข้อยาวประมาณ ๒๔ ซม. เขียนลวดลายด้วยการลนไฟให้ไหม้เกรียม เฉพาะที่ต้องการหัวท้ายเลี่ยมด้วยทองเหลืองหรือเงินเพื่อป้องกันมิให้แตกเจาะรูสำหรับปิดเปิดนิ้วเรียงตามลำดับด้าน ๗ รู และมีรูนิ้วค้ำด้าน หลัง ๑ รู เช่นเดียวกับขลุ่ย ลิ้นทำด้วยไม้อ้อลำเล็ก ๆ เป็นเครื่องดนตรีที่ร่วมอยู่ในวงเครื่องสายมาก่อน ขลุ่ยเพียงออและขลุ่ยหลีบ
ปี่ซอ
ปี่ซอ ทำด้วยลำไม้รวก มีขนาดยาวสั้นและเล็กใหญ่ต่าง ๆ ตามแต่เสียงที่ต้องการสำหรับหนึ่ง ๆ มี ๓ เล่ม, ๕ เล่ม หรือ ๗ เล่ม (เรียก “เล่ม” ไม่เรียก “เลา”) ปี่ซอขนาดเล็กยาวประมาณ ๔๕ ซม. ขนาดอื่น ก็โตขึ้นไป
ปี่ซอที่ใช้ ๓ เล่มนั้น เล่มเล็กเป็นปี่เอก เรียกว่า ปี่ต้อย เล่มต่อไปเรียกว่าปี่กลาง ส่วนเล่มใหญ่ก็เรียกว่า ปี่ใหญ่ ลักษณะของการเล่นอาจแบ่งออกตามทำนองเพลงได้เป็น ๕ อย่าง คือ ๑. ใช้กับทำนองเชียงใหม่มักใช้ “ซึง” ซึ่งเป็นเครื่องดีดชนิดหนึ่ง บรรเลงร่วมด้วย ๒. ใช้กับทำนองเพลงเงี้ยว จะใช้ปี่ ๓ เล่มล้วนก็ได้ แต่ตามปรกติเขาใช้ปี่เอก หรือปี่ต้อยเล่นร่วมกับ “ซึง” ตัดปี่กลางกับปี่ใหญ่ออก ๓. ใช้กับเพลงจ๊อย เป็นเพลงรำพันรักสำหรับไปแอ่วสาวใช้สี “สะล้อ” เข้ากับปี่เล็กคือปี่เอกเป็นเครื่องบรรเลงคลอ นิยมเล่นในตอนค่ำ ๆ เวลามีอากาศสดชื่น พวกชายหนุ่มก็พากันไปตามบ้านที่มีสาว แล้วบรรเลงขับร้องหรือไม่ก็พากันเดิน “จ๊อย” ไปตามทางในละแวกบ้าน เพลงจ๊อยนี้เล่นกันเฉพาะแต่หมู่ผู้ชาย ผู้หญิงไม่ต้องตอบ ๔. ใช้กับทำนองพระลอเป็นการใช้ประกอบในการขับเรื่องพระลอ โดยเฉพาะอีกแบบหนึ่ง ถ้ายักย้ายนำไปใช้กับเรื่องอื่นมักขัดข้อง ๕. ใช้กับเพลงทำนองพม่า เช่นมีสร้อยเพลง “เซเลเมา”
ปี่ชนิดนี้ เรียกกันอีกอย่างหนึ่งว่า “ปี่จุม” หรือ ปี่ “พายัพ” ชาวไทยในท้องถิ่นจังหวัดลำปาง ลำพูน เชียงใหม่ และเชียงราย ซึ่งเป็นภาคพายัพของประเทศไทย นิยมเล่นกันมาก
แคน
แคน เป็นเครื่องเป่าของชนชาวไทยนิยมเล่นกันมาแต่โบราณ ทำด้วยไม้ซางลำขนาดสักเท่านิ้วมือ ใส่ลิ้นตรงกลางลำ และทำลิ้นแบบเดียวกับลิ้นปี่ซอแล้วเอามาเรียงลำดับผูกติดกันเข้าเป็น ๒ แถว ๆ ละ ๗ ลำ เรียงลำใหญ่ไว้เป็นคู่หน้า ลำย่อมไว้เป็นคู่ถัด ๆ ไปรวม ๗ คู่ แคนเลาหนึ่งก็ใช้ไม้ซาง ๑๔ ลำ ทุกลำเจาะข้อทะลุตลอด และต้องเรียงให้กลางลำ ตรงที่ใส่ลิ้นนั้นอยู่ระดับเดียวกัน แล้วเอาไม้จริงมาถากเจาะรูสำหรับเป่า เรียกว่า “เต้า” หรือ “เต้านม” เอาลำไม้ซางที่เรียงไว้ ๗ คู่นั้น สอดให้เต้าประกบอยู่ตรงที่ใส่ลิ้นไว้ แล้วเอาชันหรือรังแมงขี้สูด หรือขี้ผึ้ง พอกมีให้ลมที่เป่าออกและสูดเข้ารั่ว
แคนของไทยเราอาจเรียกได้ว่า MOUTH ORGAN มีรูปลักษณะตลอดจนวิธีเป่าคล้ายกับของญี่ปุ่น คือ ใช้อุ้งมือทั้งสองประคองตรงเต้าและใช้นิ้วมือปิดเปิดรูไม้ซาง เอาปากเป่าตรงหัวเต้าที่เจาะรูไว้ ชาวไทยทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย และพี่น้องชาวลาวในประเทศลาว นิยมใช้เป่าประกอบการเล่นพื้นเมือง ที่เรียกว่าหมอลำหมอแคน
ปี่ไฉน
ปี่ไฉน ทำเป็น ๒ ท่อน ถอดออกจากกันได้ ท่อนบนเรียวยาวเรียกว่า “เลาปี่” ท่อนล่างบานปลายเรียกว่า “ลำโพง” เมื่อนำมาสวมกันเข้า จะมีรูปร่างเรียวบานปลายคล้ายดอกลำโพง ทำด้วยไม้และงาก็มี ยาวประมาณ ๑๙ ซม. ลิ้นปี่ไฉนก็ทำเหมือนลิ้นปี่ไทย คือมีกำพวดปลายผูกลิ้นใบตาล ตอนที่สอดใส่ในเลาปี่เคียนด้วยเส้นด้าน แต่เหนือเส้นด้ายที่เคียนนั้น เขาทำ “กระบังลม” แผ่นกลม ๆ บาง ๆ ด้วยโลหะ หรือกะลาสำหรับรองริมฝีปากเพื่อเวลาเป่าจะได้ไม่เมื่อยปาก
ปี่ไฉนนี้ เข้าใจว่า เราได้แบบอย่างมาจากเครื่องดนตรีของอินเดียพบในหนังสือเก่าของเรา เช่น ในโคลงนิราศหริภุญชัย เรียกเครื่องเป่าชนิดนี้ว่า “สละไนย” และในลิลิตยวนพ่าย เรียกว่า “ทรไน” ส่วนในไตรภูมิพระร่วงพูดถึง “ปี่ไฉนแก้ว” แสดงว่าเราคงรู้จักและนำมาใช้ตั้งแต่สมัยสุโขทัย หรือก่อนนั้น
ปี่ไฉน ที่ไทยนำเอามาใช้ อาจนำไปใช้ในการประโคมคู่กับแตรสังข์ เช่น เวลาพระมหากษัตริย์เสด็จออกในพระราชพิธีนำไปใช้ในกระบวนแห่ซึ่ง “จ่าปี่” ใช้เป่านำกลองชนะในกระบวนแห่พระบรมศพ และศพเจ้านายคู่กับปี่ชวา
ปี่ชวา
ปี่ชวา ทำเป็น ๒ ท่อนเหมือนปี่ไฉน รูปร่างลักษณะก็เหมือนปี่ไฉนทุกอย่าง แต่มีขนาดยาว ทำด้วยไม้จริงหรืองา ที่ทำต่างจากปี่ไฉนก็คือตอนบนที่ใส่ลิ้นปี่ ทำให้บานออกเล็กน้อยลักษณะของลิ้นปี่มีขนาดยาวกว่าปี่ชวาเล็กน้อย เรานำเอาปี่ชวามาใช้แต่เมื่อไรไม่อาจทราบได้ แต่คงจะนำมาใช้คราวเดียวกับกลองแขก และเมื่อสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น เช่นมีกล่าวถึงใน “ลิลิตยวนพ่าย” ว่า
สรวญศรัพทคฤโฆษฆ้อง
กล้องไชย
ทุมพ่างแตรสังข์ ชวา
ปี่ห้อ
ซึ่งคงจะหมายถึง ปี่ชวา และปี่ห้อหรือปี่อ้อ ปี่ชวาใช้คู่กับกลองแขก เช่น เป่า ประกอบการเล่นกระบี่กระบองและประกอบการแสดงละครเรื่องอิเหนาตอน รำกริช และใช้ในวงปี่พาทย์นางหงส์ กับใช้ในวงดนตรีที่เรียกว่าวง “ปี่ชวากลองแขก” หรือ วง “กลองแขกปี่ชวา” วงเครื่องสายปี่ชวา และวง “บัวลอย” ทั้งนำไปใช้เป่าในกระบวนแห่ ซึ่ง “จ่าปี่” เป่านำกลองชนะในกระบวนพยุหยาตราด้วย
ปี่มอญ
ปี่มอญ ทำเป็น ๒ ทอ่นเหมือนปี่ชวา แต่ขนาดใหญ่กว่าและยาวกว่าคอท่อน “เลาปี่” ทำด้วยไม้จริงกลึงจนเรียว ยาวประมาณ ๕๐ ซม. ตอนใกล้หัวเลาปี่ระยะสัก ๖ ซม. กลึงเป็นลูกคั่น ด้านบนเจาะรูเรียงนิ้ว ๗ รู กับมีรูค้ำ ๑ รูด้วย ส่วนท่อน “ลำโพง” ยาวประมาณ ๒๓ ซม. ทำด้วยทองเหลืองหรือโลหะอย่าง ช่องปากลำใหญ่กว้าง 10 ซม. ปี่มอญ ใช้บรรเลงในวงปี่พาทย์มอญ หรือ ที่ ปรากฏในหมายรับสั่ง แต่ก่อนเรียกไว้ว่า “ ปีพาทย์รามัญ ” และบรรเลงร่วมกับกลองแอว์ บางกรณีด้วย
แตร
แตร เป็นชื่อที่ใช้เรียกเครื่องเป่าชนิดที่ทำด้วยโลหะทั่ว ๆ ไป แตรที่ใช้ในงานพระราชพิธีของไทยแต่โบราณมามี ๒ ชนิดคือ
ก. แตรงอน
แตรงอนนี้เข้าใจว่าเราได้แบบอย่างมาจากอินเดีย เพราะอินเดียมีแตรรูปนี้ใช้สำหรับเป่าเป็นสัญญาณในกระบวนแห่และในงานพระราชพิธี แตรงอนใช้อยู่ในพระราชพิธีของเราทำด้วยโลหะชุบเงิน และทำเป็น ๒ ท่อน สวมต่อกัน ท่อนเป่าหลอดเป่าลมโค้งเรียวเล็กยาวประมาณ ๒๒ ซม. ปากตรงที่เป่าทำบานรับริมฝีปาก วัดผ่านศูนย์กลางราว ๓ ซม. ท่อนลำโพงยาวประมาณ ๒๘ ซม. ปากกว้างราว ๗ ซม. มีเส้นเชือกหรือริบบิ้นผูกโยงท่อนเป่ากับท่อนลำโพงไว้ด้วยกัน
ในหนังสือสมุทรโฆษคำฉันท์เรียกแตรงอนว่า “กาหล” และใช้ประโคมในกระบวนรบ เช่นกล่าวว่า
กึกก้องด้วยกาหลและสังข์
ขประนังทั้งเภรี
และในหนังสือปุณโณวาทคำฉันท์ ก็เรียกว่า “กาหฬ” ใช้บรรเลงในขบวนพยุหยาตรา ทางชลมารค เช่นกล่าวว่า
เสด็จดลฉนวนพระอรณพ
ขนานน่าวาสุกรี
แตรสังข์ประโคมดุริยดนตรี
มหรธึกและกาหฬ
ข. แตรฝรั่ง
แตรฝรั่งนั้น ในหนังสือกฎมนเทียรบาลโบราณเรียกว่า แตรลงโพง ปรากฎในหมายรับสั่งครั้งรัชกาลที่ ๑ เรียกว่า แตรวิลันดา คงจะเป็นแตรที่ฝรั่งฮอลันดาเป็นชาติแรก นำเข้ามาให้เรารู้จัก แตรที่ระบุชื่อไว้ว่า แตรลำโพงก็ดี แตรฝรั่งก็ดี แตรวิลันดาก็ดี คงหมายถึงแตรอย่างเดียวกันนั่นเอง
สังข์
สังข์ เป็นหอยทะเลชนิดหนึ่งเปลือกขรุขระ ต้องเอามาขัดให้เกลี้ยงเกลาเสียก่อนแล้วเจาะก้นหอยให้ทะลุ เป็นรูเป่า ไม่มีลิ้น ต้องเป่าด้วยริมฝีปากของตนเอง ปรากฎว่า ในอินเดียนำมาใช้เป็นเครื่องเป่ากันแต่ดึกดำบรรพ์ และนับถือเป็นของศักดิ์สิทธิ์