บทเห่กล่อมของสุนทรภู่

จับระบำมีความยาว ๓๗ บท มีเนื้อหากล่าวถึงเทวดานางฟ้าที่ออกมาจับระบำอย่างสนุกสนานในฤดูฝน นางเมขลาก็เช่นเดียวกัน ได้ชูแก้วร่ายรำไปมา รามสูรอยากได้แก้ว ก็แกว่งขวานไล่จับนางเมขลา ทำให้เหล่าเทวดาและนางฟ้าพากันตกใจหนีไป เหลือแต่นางเมขลาเท่านั้น

บทเห่กล่อมพระบรรทมเรื่องนี้ขึ้นต้นว่า

เห่เอยเห่สวรรค์        เมื่อวสันต์ฤดูฝน
นักขัตฤกษ์เบิกบน    ให้มืดมนเมฆา
เทวาวลาหก        ให้ฝนตกลงมา
ฝูงเทพเทวา        กับนางฟ้าฟ้อนรำ
เล่นฝนตีโทนทับ        ร่องรับจับระบำ
เป็นคู่เคียงเรียงรำ    ระทวยทำท่วงที
เทพไทไขว่คว้า        นางฟ้าฟ้อนหนี
เรียงล่อรอรี่        รำตีวงเวียน
(พ. ณ ประมวญมารค, “เห่จับระบำ” ประวัติคำกลอนสุนทรภู่, หน้า ๔๔๗)

ในเรื่องนี้กล่าวถึงท่าร่ายรำต่างๆ ด้วย คือ

คลอเคล้าเพราพริ้ง    รำเป็นสิงห์เล่นหาง
หงส์ร่อนกรกาง        ทำนองกวางเดินดง
รำท่าม้าคลี        ไล่หนีตีวง
กินนรินบินลง        เอี้ยวองค์อ่อนเอียง
มังกรช้อนฟอง        ประคองคลอเคียง
ยิ้มพรายชะม้ายเมียง    รอเรียงเคียงนาง
รำนารายณ์กรายศร    มังกรกินหาง
ท่าพระรามตามกวาง    ทำนองนางมโนรา
กรีดเล็บเทพประนม    รำเป็นพรหมสี่หน้า
เมียงชะม้ายชายตา    ไขว่คว้านารี
ฯลฯ
(พ. ณ ประมวญมารค, “เห่จับระบำ” ประวัติคำกลอนสุนทรภู่, หน้า ๔๔๗)

บทเห่กล่อมพระบรรทมเรื่องนี้จบตอนรามสูรขว้างขวานเพื่อแย่งชิงดวงแก้วจากนางเม่ขลา เป็นการอธิบายปรากฏการณ์ธรรมชาติเรื่องฟ้าร้องในฤดูฝน ดังนี้

ยักษ์โถมโจมโจน        นางก็โยนวิเชียร
หลีกลัดฉวัดเฉวียน    ล่อเวียนวงวน
เปรี้ยงเปรี้ยงเสียงขวาน    ก้องสะท้านสากล
ไล่นางกลางฝน            มืดมนในเมฆา
นวลนางนั้นช่างล่อ        รั้งรอร่อนรา
เวียนระไวไปมา            ในจักรราศี เอย
(พ.ณ ประมวญมารค “เห่จับระบำประวัติคำกลอนสุนทรภู่, หน้า ๔๔๙-๔๕๐)

กากีมีความยาวเพียง ๒๒ บท มีเนื้อหากล่าวถึงพระยาครุฑพานางกากีไปวิมานฉิมพลี ระหว่างทางได้พานางไปชมสวรรค์

สุนทรภู่ขึ้นต้นบทเห่กล่อมเรื่องนี้ว่า

เห่เอยเห่กล่าว    ถึงเรื่องราวสกุณา
ครุฑราชปักษา    อุ้มกากีบิน
ล่องลมชมทวีป    ในกลางกลีบเมฆิน
ข้ามคิรีสีขรินทร์    มุจลินท์ชโลธร
ชี้ชมพนมแนว    นั่นเขาแก้วยุคนธร
สัตภัณฑ์สีทันดร        แลสลอนล้วนเต่าปลา
(พ. ณ ประมวญมารค, “เห่เรื่องกากี” ประวัติคำกลอนสุนทรภู่, หน้า ๔๕๐)

เรื่องนี้จบลงด้วยคำบรรยายว่า

พระบอกนางทางพา    ลอยฟ้าสุราลัย
เที่ยวชมเล่นให้เย็นใจ    แล้วกลับไปวิมาน เอย
(พ. ณ ประมวญมารค, “เห่เรื่องกากี” ประวัติคำกลอนสุนทรภู่, หน้า ๔๕๒)

พระอภัยมณีมีความยาว ๑๓๑ บท มากกว่าบทเห่กล่อมเรื่องอื่นๆ มีเนื้อความที่นำมาจากกลอนนิทานเรื่องพระอภัยมณี แต่ตัดมาเป็นตอนๆ รวม ๘ ตอน คือ
๑. ศรีสุวรรณรำพึงถึงนางเกษรา มีความยาว ๑๙ บท
๒. นางสุวรรณมาลีบวชชี มีความยาว ๑๓ บท
๓. สินสมุทรชมธรรมชาติกับนางอรุณรัศมี มีความยาว ๑๗ บท
๔. อรุณรัศมีถามนางสุวรรณมาลีเรื่องจะสึกจากชี มีความยาว ๙ บท
๕. นางละเวงชมธรรมชาติ มีความยาว ๒๙ บท
๖. พระอภัยมณีรำพึงใคร่จะได้เชยชมนางละเวง มีความยาว ๑๙ บท
๗. นางละเวงแสร้งประชวร มีความยาว ๑๒ บท
๘. นางสุลาลีวันขับถวายนางละเวง มีความยาว ๑๓ บท

1. ศรีสุวรรณรำพึงถึงนางเกษรา ศรีสุวรรณคิดถึงเกษรา และคิดว่าจะพานางลงเรือไปท่องทะเล

สุนทรภู่ขึ้นต้นตอนนี้ว่า

เห่เอยเห่ละห้อย        พราหมณ์น้อยศรีสุวรรณ
แรมสํานักตำหนักจันทน์    พระสุริยันสนธยา
ให้อาดูรพูนเทวศ        ถึงแก้วเกษรา
ได้เห็นพักตรลักขณา    ยังติดตาทุกนาที
………………………………………………….
อนาถหนาวเศร้าสร้อย        ให้ละห้อยโหยหวน
นึกเห็นเมื่อเล่นสวน        เลิศล้วนลักขณา
………………………………………………….
โอฐสะอาดดังชาดจิ้ม        เมื่อยามยิ้มดังเลขา
เมื่อเนตรน้องมาต้องตา    ดังสายฟ้ามาฟาดทรวง
(พ. ณ ประมวญมารค, “เห่เรื่องพระอภัยมณี” ประวัติคำกลอนสุนทรภู่, หน้า ๔๕๒-๔๕๓)

ตอนศรีสุวรรณคิดเรื่องจะพานางเกษราท่องทะเล สุนทรภู่บรรยายสัตว์ทะเลว่า

มีต่างต่างกลางทะเล        ทั้งจระเข้เหรา
ฝูงกระโห้ทั้งโลมา        เคลื่อนคลาอยู่ตามกัน
กุ้งกั้งแลมังกร            สลับสลอนหลายพรรณ
นาคราชผาดผัน            ปลาอำพันตะเพียนทอง
วาฬใหญ่ขึ้นไล่คู่            ผุดฟู่พ่นฟอง
เงือกงูดูคะนอง            ลอยล่องชโลธร
กริวกราวก็เต้าตาม        ฉลากฉลามสลับสลอน
คลาเคล้าสำเภาจร        ในสาครรายเรียง
(พ. ณ ประมวญมารค, “เห่เรื่องพระอภัยมณี” ประวัติคำกลอนสุนทรภู่, หน้า ๔๕๓)

ในตอนที่ ๑ นี้ จบด้วยคำบรรยายว่า

นิ่งนึกจนดึกดื่น        ถอนสะอื้นอาลัย
เคลิ้มระงับหลับไป    อยู่ในห้องไสยา เอย
(พ. ณ ประมวญมารค, “เห่เรื่องพระอภัยมณี” ประวัติคำกลอนสุนทรภู่, หน้า ๔๕๔)

๒. นางสุวรรณมาลีบวชชี สุวรรณมาลีบวชชีที่เขารุ้งอยู่กับสินสมุทรและอรุณรัศมี หมั่นบำเพ็ญภาวนาและรักษาศีล

สุนทรภู่ขึ้นต้นตอนนี้ว่า

เห่เอยเห่กล่าว        ถึงพระดาวบศนี
องค์สุวรรณมาลี        บวชด้วยมีศรัทธา
กับสินสมุทรสุดสวาท    อรุณราชนัดดา
อยู่เขารุ้งปลายทุ่งนา    ออกนั่งหน้ากุฎี
แบ่งส่วนกุศลผลบุญ    ให้องค์อรุณรัศมี
สาวสุรางค์นางชี        แต่ล้วนมีศรัทธา
(พ.ณ ประมวญมารค,“เห่เรื่องพระอภัยมณี” ประวัติคำกลอนสุนทรภู่, หน้า ๔๕๔)

ในตอนนี้มีบทชมธรรมชาติบริเวณกุฎิที่เขารุ้ง ดังนี้

ชนีน้อยห้อยโหย        วิเวกโหวยวิงวอน
จังจอกออกหอน        นกนอนรังเรียง
เริงร้องซ้องแซ่        คลอแคลกรีดเสียง
น่าดูเป็นคู่เคียง        แอ่นเอี้ยงแอบอิง
แม่นกกกกอด        ลูกพลอดวอนวิง
แจ้วแจ้วแก้วกะลิง    จับที่กิ่งไทรทอง
(พ. ณ ประมวญมารค, “เห่เรื่องพระอภัยมณี” ประวัติคำกลอนสุนทรภู่, หน้า ๔๕๔)

ตอนนี้จบลงด้วยคำบรรยายภาพนางสุวรรณมาลีว่า

นิ่งระงับหลับตา        อุตส่าห์รักษาอารมณ์
ถึงหอมระรื่นไม่ชื่นชม    ตามเพศพรหมจรรย์ เอย
(พ.ณ ประมวญมารค, “เห่เรื่องพระอภัยมณี” ประวัติคำกลอนสุนทรภู่, หน้า ๔๕๔)

๓. สินสมุทรชมธรรมชาติกับนางอรุณรัศมี สินสมุทรนั่งอยู่ที่ระเบียงกับนางอรุณรัศมี และชมธรรมชาติด้วยกัน ด้วยความที่เป็นเด็ก ทำให้อยากเล่นสนุก ร้องขับสักวาด้วยความหลงลืมว่า กำลังบวชกันอยู่ เมื่อรู้สึกตัวก็บำเพ็ญภาวนาต่อไป ต่อมาอรุณรัศมีหลับ สินสมุทรชมความงามของนาง แล้วหลับตาม

สุนทรภู่เริ่มเรื่องในตอนนี้ว่า
เห่เอยพระราชบุตร    สินสมุทรมุนี
กับอรุณรัศมี    นั่งอยู่ที่น่าชาลา
แย้มสรวลชวนกัน    นั่งฉันน้ำชา
พูดเล่นเจรจา        กับน้องยานารี
(พ.ณ ประมวญมารค, “เห่เรื่องพระอภัยมณี” ประวัติคำกลอนสุนทรภู่, หน้า ๔๕๕)

สินสมุทรและอรุณรัศมีร้องสักวาระหว่างบำเพ็ญภาวนา ดังนี้

เย็นชื่นดื่นดึก        ลืมรำลึกภาวนา
ชวนพระน้องร้องสักรวา    จนหลงว่าขึ้นดังดัง
โอ้ว่าเจ้าการะเกด    ขี่ม้าเทศจะไปท้ายวัง
น้องห้ามไว้ก็ไม่ฟัง    จะแทงฝรั่งลังกา
รู้สึกตัวกลัวกรรม        ชักประคำภาวนา
เดือนส่องต้องศีลา    ดังจินดาดวงดาว
(พ.ณ ประมวญมารค, “เห่เรื่องพระอภัยมณี” ประวัติคำกลอนสุนทรภู่, หน้า ๔๕๕)

สินสมุทรชมความงามของอรุณรัศมีขณะหลับว่า

นวลหน้าเหมือนการะเกด    ดังดวงเนตรของเชษฐา
ถึงนางสวรรค์ชั้นฟ้า        ไม่โสภาเทียมนวล
ชายใดแม้นได้นุช        จะรักสุดแสนสงวน
ยิ้มเยื้อนเหมือนจะชวน    ให้รัญจวนใจชาย
(พ.ณ ประมวญมารค, “เห่เรื่องพระอภัยมณี” ประวัติคำกลอนสุนทรภู่, หน้า ๔๕๖)

ตอนนี้จบลงด้วยคำบรรยายว่าสินสมุทรได้หลับไป ดังนี้

ลมว่าวหนาวขึ้น        หอมระรื่นหฤทัย
งีบระงับหลับใหล    ในที่ไสยา เอย
(พ. ณ ประมวญมารค, “เห่เรื่องพระอภัยมณี” ประวัติคำกลอนสุนทรภู่, หน้า ๔๕๖)

๔. อรุณรัศมีถามนางสุวรรณมาลีเรื่องจะสึกจากชี สินสมุทรและอรุณรัศมีได้บวชตามสุวรรณมาลี อรุณรัศมีถามสุวรรณมาลีว่าจะสึกตามคำนิมนต์ของพระอภัยมณีหรือไม่ สุวรรณมาลีไม่ตอบเพราะตั้งใจบำเพ็ญภาวนา ฝ่ายอรุณรัศมีคิดถึงวัง อยากจะกลับไปอยู่ในวังเดิม

สุนทรภู่ขึ้นต้นเรื่องตอนนี้ว่า

เห่เอยหน่อกษัตริย์        นางอรุณรัศมี
บวชเล่นเล่นก็เป็นชี        กับฤาษีพี่ยา
แอบชะอ้อนนอนเพลา        ว่าพระเจ้าป้าจ๋า
พรหมจรรย์จรรยา        เขาแปลว่าอันใด
พระเจ้าลุงพรุ่งนี้            จะมานิมนต์ไป
หลวงป้าไม่ว่าไร            หรือจะไปตามคำ
(พ.ณ ประมวญมารค,“เห่เรื่องพระอภัยมณี” ประวัติคำกลอนสุนทรภู่, หน้า ๔๕๗)

ตอนนี้จบลงด้วยคำบรรยายว่า

ครั้นเย็นย่ำน้ำค้าง    พร้อยพร่างพฤกษา
ลมเชยรำเพยพา        ชื่นวิญญาเย็น เอย
(พ. ณ ประมวญมารค, “เห่เรื่องพระอภัยมณี” ประวัติคำกลอนสุนทรภู่, หน้า ๔๕๗)

๔. นางละเวงชมธรรมชาติ นางละเวงขี่ม้าหนีพระอภัยเข้าไปในป่า นางชมธรรมชาติ แล้วพักแรมที่เขาอังกาศ

สุนทรภู่ขึ้นต้นตอนนี้ว่า

เห่เอยเห่กล่าว        ถึงลูกสาวเจ้าลังกา
โฉมละเวงวัณฬา        ทรงอาชามากลางไพร
เลี้ยวหลงวงเดิน        พนมเนินพนาลัย
แลเหลียวเปลี่ยวใจ    วิเวกในดงดาล
(พ. ณ ประมวญมารค, “เห่เรื่องพระอภัยมณี” ประวัติคำกลอนสุนทรภู่, หน้า ๔๕๗)

ตอนนางละเวงชมธรรมชาติในป่า มีคำบรรยายว่า

เป็นโกรกกรวยห้วยธาร    หุบละหานเหวหิน
ฝูงปักษาเที่ยวหากิน        บ้างโผบินร่อนเรียง
แจ้วแจ้วแก้วพลอด        ฉอดฉอดฉ่ำเสียง
กระลุมภูเป็นคู่เคียง        เค้าโมงเมียงมองแล
……………………………………………………………..
ทั้งรวยรินอินจันทน์    กะลำพันกฤษณา
เพลินพระทัยไคลคลา    จนสุริยาเย็นรอนรอน
(พ. ณ ประมวลมารค, “เห่เรื่องพระอภัยมณี” ประวัติคำกลอนสุนทรภู่, หน้า ๔๕๘-๔๕๙)
ตอนนี้จบลงด้วยคำบรรยายภาพนางละเวงที่หลับบนแผ่นหินใต้ต้นไทรว่า

ค่อยเอนองค์ลงบนอาสน์    พระเศียรพาดแผ่นผา
ให้หิวโหยโรยรา            นิ่งนิทราตรอมใจ
เสียงจังหรีดกรีดกริ่ง        หริ่งหริ่งเรไร
เคลิ้มระงับหลับไป        ใต้ต้นไทรทอง เอย
(พ. ณ ประมวญมารค, “เห่เรื่องพระอภัยมณี” ประวัติคำกลอนสุนทรภู่, หน้า ๔๖๐)
๖. พระอภัยมณีรำพึงใคร่จะได้เชยชมนางละเวง พระอภัยมณีนั่งท้ายรถนางละเวงขณะเดินทางกลับวัง พระอภัยมณีรำพึงถึงนางละเวง ใคร่จะได้เชยชมนาง แต่ติดขัดที่นางปิดประตูและสลักกลอนไว้

สุนทรภู่เริ่มต้นตอนนี้ว่า

เห่เอยเห่บท            เดินรถในราตรี
พระอภัยมณี            นั่งที่ท้ายรถทรง
บุษบกกระจกกระจ่าง        เห็นรางรางรูปทรง
คลุมประทมห่มองค์        เห็นแต่วงพักตรา
(พ. ณ ประมวญมารค, “เห่เรื่องพระอภัยมณี” ประวัติคำกลอนสุนทรภู่, หน้า ๔๖๐)

พระอภัยมณีรำพึงถึงนางละเวงที่กำลังแสร้งประชวรอยู่ว่า

พี่อุตส่าห์มาด้วย        ก็มิได้ช่วยรักษา
หรือน้องแก้วแววตา    สวรรคาลัยไป
ไม่ขออยู่จะสู้ม้วย    จะตายด้วยแม่ดวงใจ
กอดพระกรถอนฤทัย    วิเวกในดงดอน
(พ. ณ ประมวญมารค, “เห่เรื่องพระอภัยมณี” ประวัติคำกลอนสุนทรภู่, หน้า ๔๖๑)

ตอนนี้จบเรื่องด้วยคำบรรยายว่า

ไฉนดีเจ้าพี่เอ๋ย            จะได้เชยให้ชื่นใจ
อุตส่าห์ตามทรามวัย        มาจนใกล้กัลยา
เพราะฝาติดอยู่นิดเดียว    ให้เสียวเสียวเสน่หา
เขม้นมองที่ช่องฝา        จะใคร่เห็นหน้าพระน้อง เอย
พ. ณ ประมวญมารค, “เห่เรื่องพระอภัยมณี” ประวัติคำกลอนสุนทรภู่, หน้า ๔๖๑)

๗. นางละเวงแสร้งประชวร นางละเวงแสร้งทำเป็นประชวร เห็นพระอภัยมณีมาเดินเวียนวนรอบรถทรงก็สงสาร ต่อมานางสั่งให้สุลาลีวันขับลำถวาย

สุนทรภู่ขึ้นต้นตอนนี้ว่า

เห่เอยเห่เพลง        โฉมลเวงวัณฬา
ทำหลับใหลไสยา    จนล่วงมากลางดง
แลเห็นองค์พระอภัย    เที่ยวเลียบไต่รถทรง
ทำความเพียรเวียนวง    คิดก็สงสารเธอ
ช่างซื่อสุดบุรุษใด    ไม่มีใครจะเสมอ
ช่างง่วงเหงาเฝ้าละเมอ    ช่างไม่เก้อแก่ใจ
เห็นประจักษ์ว่ารักจริง        สู้ทอดทิ้งทัพชัย
มิตอบถ้อยจะน้อยใจ        ครั้นพูดไปจะเป็นทาง
(พ. ณ ประมวญมารค, “เห่เรื่องพระอภัยมณี” ประวัติคำกลอนสุนทรภู่, หน้า ๔๖๒)

และจบลงตอนนางละเวงรับสั่งให้สุลาลีวันขับถวายว่า

เจ้าประดิษฐ์คิดขับ    ให้เพราะจับจิตใจ
จะได้ระงับหลับใหล    ให้ส่างในทรวง เอย
(พ. ณ ประมวญมารค, “เห่เรื่องพระอภัยมณี” ประวัติคำกลอนสุนทรภู่, หน้า ๔๖๓)

๘. นางสุลาลีวันขับถวายนางละเวง นางสุลาลีวันขับถวายตามรับสั่งของนางละเวง มีเนื้อความเกี่ยวกับผู้ชายครํ่าครวญถึงความรักที่มีต่อผู้หญิง เป็นนัยเปรียบเทียบถึงความรักที่พระอภัยมณีมีต่อนางละเวง ได้แต่วนเวียนอยู่รอบรถทรงของนาง

สุนทรภู่เริ่มเรื่องในตอนนี้ว่า

เห่เอยธิดา            โฉมสุลาลีวัน
รับสั่งบังคมคัล        ขึ้นนั่งบนชั้นเกรินทอง
แกล้งประดิษฐ์คิดคำ    ขับลำนำทำนอง
โอ้ยามค่ำย้ำฆ้อง    ให้มัวหมองในวิญญา
จะแลชมพนมพนัส    ไม่ถนัดนัยนา
ช่างมืดมิดทุกทิศา    มืดทั้งฟ้าดินดง
โอ้ว่าพระศศิธร        ช่างลอยร่อนรถทรง
แจ่มกระจ่างสว่างวง    ส่องที่ตรงแกลทอง
เห็นพักตราหล้าโลก    จะส่างโศกเศร้าหมอง
โหยหวนนวลละออง    มณฑาทองที่ต้องใจ
ภุมรินบินค้อยค้อย    มาเชยสร้อยสุมาลัย
มืดมนก็จนใจ        เที่ยวเลียบไต่ตอมดวง
(พ. ณ ประมวญมารค,“เห่เรื่องพระอภัยมณี” ประวัติคำกลอนสุนทรภู่, หน้า ๔๖๓)

ตอนนี้จบลงด้วยคำบรรยายว่า

หนาวลมจะห่มผ้า    หนาวน้ำฟ้าจะผิงไฟ
หนาวทรวงนะดวงใจ    เศร้าฤทัยระทวยทรง
ถึงเสื้อสวมนวมหุ้ม    ไม่เหมือนอุ้มแอบองค์
หอมดอกไม้ที่ในดง    ไม่เหมือนทรงสุคนธา
แป้งสดรสรื่น        ไม่หอมชื่นในนาสา
เห็นอื่นอื่นไม่ชื่นตา    เหมือนได้เห็นหน้าพระน้อง เอย
(พ. ณ ประมวญมารค, “เห่เรื่องพระอภัยมณี” ประวัติคำกลอนสุนทรภู่, หน้า ๔๖๔)

โคบุตร มีความยาวเพียง ๖ บท เป็นบทเห่กล่อมเรื่องสั้นที่สุดในบรรดา ๔ เรื่อง มีเนื้อหากล่าวถึงโคบุตรส่งสารรักไปให้นางอำพันมาลา แล้วให้นกขุนทองนำสารไป

สุนทรภู่แต่งเรื่องตอนนี้ว่า

เห่เอยเห่ถวาย        ถึงเรื่องนิยายแต่ปางหลัง
ให้พระองค์ทรงฟัง    เมื่อแรกตั้งโลกา
มีพระมิ่งมงกุฎ        ชื่อโคบุตรสุริยา
ได้ข่าวพระธิดา        ตรึกตราตรอมใจ
องค์อำพันขวัญเนตร    เนานิเวสน์วังใน
แม้นรู้ที่จะไป        มอบไมตรีนาง
นิ่งนึกตรึกเกรง        จะทรงเพลงยาวพลาง
พอเป็นคำนำทาง    ให้สว่างวิญญา
เขียนสารใส่ตอง        ให้ขุนทองปักษา
ซ้ำสั่งสกุณา        ให้พาสารตรารีบไป
ให้เจ้าสาวสวรรค์    องค์อำพันพิสมัย
ฤาลูกน้อยกลอยใจ    นอนอยู่ในวัง เอย
(พ. ณ ประมวญมารค, “เห่เรื่องโคบุตร” ประวัติคำกลอนสุนทรภู่, หน้า ๔๖๔)

บทเห่กล่อมพระบรรทมทั้ง ๔ เรื่องนี้ใช้เป็นบทเห่กล่อมพระเจ้าลูกเธอในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวในสมัยรัชกาลที่ ๔ ทั้ง ๔ เรื่องนี้ไม่ทราบแน่ชัดว่าสุนทรภู่แต่งเรื่องใดก่อนเรื่องใดหลัง สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรง สันนิษฐานว่าน่าจะมีเรื่องหนึ่งที่สุนทรภู่แต่งขึ้นถวายพระองค์เจ้าลักขณานุคุณ เมื่อทรงมีพระธิดาในสมัยรัชกาลที่ ๓ แต่ไม่ทราบว่าเป็นเรื่องใด ฉันท์ ขำวิไล ก็มีความเห็นเช่นนี้ และยังกล่าวว่าบทเห่กล่อมพระบรรทมที่เหลืออีก ๓ เรื่อง สุนทรภู่คงแต่งถวายพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ตั้งแต่ยังไม่ได้ทรงรับบวรราชาภิเษก

ผู้เขียนคิดว่าคำสันนิษฐานเรื่องสมัยที่แต่งบทเห่กล่อมเหล่านี้ยังขาดหลักฐานที่แน่ชัด ทราบแต่เพียงว่าบทเห่กล่อมทั้ง ๔ เรื่องนี้ใช้เป็นบทเห่กล่อมพระเจ้าลูกเธอ พระเจ้าลูกยาเธอ และเจ้านาย ทั่วทั้งพระราชวัง ตลอดสมัยรัชกาลที่ ๔ จึงได้จัดไว้เป็นผลงานในสมัยนี้ เพราะเข้าใจว่าน่าจะมีบางเรื่องที่แต่งในสมัยรัชกาลที่ ๔ ในคราวที่บทเห่กล่อมพระบรรทมเป็นที่นิยมแพร่หลายมากยิ่งขึ้นก็เป็นได้

บทเห่กล่อมทั้ง ๔ เรื่องนี้ เรื่องพระอภัยมณีมีความยาวมากที่สุด เรื่องโคบุตรสั้นที่สุด ถ้านำทั้ง ๔ เรื่องมารวบรวมไว้ด้วยกัน จะได้ความยาวประมาณ ๑ เล่มสมุดไทย น่าสังเกตว่าบทเห่กล่อมเหล่านี้จะขึ้นต้นเรื่องด้วยคำว่า เห่เอย หรือเห่เอยเห่-จบด้วยคำว่า เอย และมักจะจบด้วยเนื้อหาที่มีตัวละครนอนหลับ คำประพันธ์ที่คล้ายกาพย์ยานี แต่จำนวนคำผิดเพี้ยนไปจากกาพย์ยานี คือในวรรคที่ ๒ และวรรคที่ ๔ นิยมใช้คำเพียง ๕ คำเท่านั้น (กาพย์ยานีต้องใช้ ๖ คำ)

ที่มา:สมชาย  พุ่มสอาด

กาพย์พระไชยสุริยา

พระไชยสุริยา มีความยาวประมาณ ๑ เล่มสมุดไทย แต่งด้วยคำประพันธ์ประเภทกาพย์ ได้แก่ กาพย์ยานี ๑๑ กาพย์ฉบัง ๑๖ และกาพย์สุรางคณางค์ ๒๘ สุนทรภู่แต่งเรื่องนี้ราวปี พ.ศ. ๒๓๖๘ ขณะจำพรรษาอยู่ที่จังหวัดเพชรบุรีในสมัยรัชกาลที่ ๓ จุดประสงค์ในการแต่งเรื่องนี้ก็เพื่อใช้เทียบสอนอ่านภาษาไทยคือเป็นการสอนอ่านหนังสือไทยให้แก่เด็กๆ

เนื้อเรื่องของนิทานเรื่องพระไชยสุริยามีอยู่ว่า มีกษัตริย์พระองค์หนึ่งมีพระนามว่าพระไชยสุริยา ครองเมืองสาวัตถี มีมเหสีทรงพระนามว่าสุมาลีครอบครองบ้านเมืองด้วยความผาสุก ต่อมาพวกข้าราชการ เสนาอำมาตย์ ไม่ประพฤติตนอยู่ในทำนองคลองธรรม ทำให้เกิดอาเพศ มีนํ้าป่าไหลท่วมเมือง นอกจากนี้ยังมีผีป่ามาทำให้ชาวเมืองล้มตายเป็นจำนวนมาก พระไชยสุริยาจึงได้พามเหสีและบริวารเสด็จลงเรือสำเภา ทิ้งบ้านเมืองออกสู่ทะเล เรือสำเภาถูกพายุใหญ่จนเรือแตก พระไชยสุริยาพามเหสีหนีขึ้นฝั่งได้ พระอินทร์เสด็จมาสอนธรรมะแต่พระไชยสุริยาและพระมเหสีทั้ง ๒ พระองค์ปฏิบัติธรรมจนได้เสด็จไปสู่สวรรค์
ตอนต้นเรื่องมีบทไหว้ครูสั้นๆ โดยใช้คำในมาตราแม่ ก กา มีเนื้อความไหว้พระรัตนตรัย บิดามารดา (แสดงว่าแต่งในขณะที่บิดาและมารดายังมีชีวิตอยู่) อาจารย์และเทวดาต่างๆ…

สุนทรภู่แต่งแบบเรียน

กาพย์พระไชยสุริยานั้น ใครๆ ก็ทราบดีว่า สุนทรภู่ผู้แต่งกล่าวถึงคอรัปชั่นของพาราสาวัตถีอย่างเห็นจริง แม้พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ ก็ทรงนำไปอ้างใน “ปลุกใจเสือป่า” แต่ที่ข้าพเจ้านำมาเสนอนี้มีเจตนาจะแสดงเทคนิคของสุนทรภู่ในการแต่งคำอ่านเทียบมาตรา ก. กา ให้เห็นว่าสุนทรภู่มีปรีชาสามารถมากในการประกอบคำเฉพาะในแม่ ก. กา ให้เป็นเรื่องขึ้นได้อย่างมหัศจรรย์ แม้นักแต่งแบบเรียนภายหลังท่านคือ พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) ก็ไม่ยอมแข่งกับท่าน กลับขอยืมมาใช้ในแบบเรียนหลวง คือ มูลบทบรรพกิจ

สุนทรภู่นั้นตามประวัติว่าเคยเป็นครูของเจ้าฟ้า ๓ พระองค์ คือ เจ้าฟ้าอาภรณ์ เจ้าฟ้ากลาง และเจ้าฟ้าปิ๋ว ทั้งสามพระองค์เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย กับเจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดี

เมื่อเป็นครูเจ้าฟ้าทั้งสามนั้น สุนทรภู่คงจะได้เริ่มแต่งแบบเรียนสอนภาษาไทยขั้นต้นขึ้น คือ สอนตั้งแต่แม่ ก. กา แม่กนไปจนกระทั่งถึงแม่เกย ท่านนำเอาเรื่องไชยสุริยามาเป็นเนื้อเรื่อง แต่นักวรรณคดีบางท่านว่าสุนทรภู่แต่งเรื่องพระไชยสุริยาภายหลังคือแต่งในเมื่อท่านบวชอยู่ที่วัดเทพธิดา ข้าพเจ้าสันนิษฐานว่าสุนทรภู่คงแต่งแต่ครั้งเป็นครูเจ้านาย อาจมารวบรวมเป็นเรื่องเดียวกันจากหลายๆ ตอน เมื่อครั้งบวชอยู่กระมัง?

ธรรมดาการสอนหนังสือไทย เมื่อผู้เรียนอ่าน ก. ข.ได้แล้วจึงเรียนประสมอักษรครูโบราณ นิยมผูกถ้อยคำเป็นหมวดหมู่ให้นักเรียนอ่าน สุนทรภู่ก็น่าจะทำเช่นเดียวกันคือแต่งกาพย์เรื่องพระไชยสุริยา สอนศิษย์ของท่าน ปรากฏว่าเรื่องพระไชยสุริยาของสุนทรภู่สอนศิษย์ได้ผลดี ภายหลังคนทั้งหลายก็นำเอากาพย์พระไชยสุริยาของสุนทรภู่ไปสอนศิษย์โดยทั่วกัน ความนิยมแพร่หลายออกไปอย่างกว้างขวาง จนพระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) นักอักษรศาสตร์สมัยรัชากาลที่ ๕ ก็ไม่ยอมแต่งใหม่ เมื่อทำหนังสือมูลบทบรรพกิจเป็นแบบเรียนหลวง ท่านขอยืมเรื่องพระไชยสุริยาของสุนทรภู่นั้นเองมาเป็นบทเรียนในตำราที่ท่านแต่งขึ้นใหม่แท้ๆ น่าจะมีของใหม่ทั้งหมด แต่ท่านคงเห็นว่าของสุนทรภู่วิเศษอยู่แล้วจึงไม่คิดแต่งใหม่ขึ้นสู้ ท่านอาศัยภูมิปัญญาของสุนทรภู่ในลักษณะของนักปราชญ์ที่ยอมยกย่องนักปราชญ์ด้วยกัน

จะขอนำความเรื่องพระไชยสุริยาของสุนทรภู่มาแสดงไว้ในที่นี้ด้วย เพื่อให้เห็นหลักการแต่งหนังสือสอนเด็กเริ่มเรียน ซึ่งในปัจจุบันมีปัญหาทางสังคมเกิดขึ้นข้อหนึ่งเกี่ยวกับเด็กเรียนจบ ป. ๔ แต่อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ บางทีจะช่วยให้นักการศึกษาปัจจุบันเห็นแนวทางบ้างก็เป็นได้

ในตอนสอนอ่านเทียบในแม่ ก.กา สุนทรภู่เริ่มด้วยกาพย์ยานี ๑๑ ดังนี้

สะธุสะจะขอไหว้ พระศรีไตรสรณา พ่อแม่แลครูบา เทวดาในราศี ข้าเจ้าเอาก. ข.เข้ามาต่อ ก.กามี แก้ไขในเท่านี้ ดีมิดีอย่าตรีชา จะร่ำคำต่อไป พาล่อใจกุมารา ธรณีมีราชา เจ้าพาราสาวถี ชื่อ พระไชยสุริยา มีสุดามเหสี ชื่อว่าสุมาลี อยู่บุรีไม่มีภัย ข้าเฝ้าเหล่าเสนา มีกิริยาอฌาไสย พ่อค้ามาแต่ ไกล ได้อาไศยในพารา ไพร่ฟ้าประชาชี เชาบุรีก็ปรีดา ทำไร่เขาไถนา ได้ข้าวปลาและสาลี อยู่มาหมู่ข้าเฝ้า ก็หาเยาวนารี ที่หน้าตาดีดี ทำมะโหรีที่เคหา ค่ำเช้าเฝ้าสีซอ เข้าแต่หอล่อกามา หาได้ให้ภริยา โลโภพาให้บ้าใจ ไม่จำคำพระเจ้า เหไปเข้าภาษาไสย ถือดีมีข้าไทย ฉ้อแต่ไพร่ใส่ขื่อคา คดีที่มีคู่ คือไก่หมูเจ้าสุภา ใครเอาเข้าปลามา ให้สุภาก็ว่าดี ที่แพ้แก้ชนะไม่ถือพระประเวณี ขี้ฉ้อก็ได้ดี ไล่ด่าตีมีอาญา ที่ซื่อถือพระเจ้า ว่าโง่เง่าเต่าปูปลา ผู้เฒ่าเหล่าเมธา ว่าใบ้บ้าสาระยำ ภิกษุสมณะ เล่าก็ละพระสธำม์ คาถาว่าลำนำ ไปเร่รำ เฉโก ไม่จำคำผู้ใหญ่ ศีรษะไม้ใจโยโส ที่ดีมีอโข ข้าขอโมทนาไป พาราสาวถี ใครไม่มีปรานีใคร ดุดื้อถือแต่ใจ ที่ใคร่ได้ใส่เอาพอ ผู้ที่มีฝีมือ ทำดุดื้อไม่ซื้อขอ ไล่คว้าผ้าที่คอ อะไรล่อก็เอาไป ข้าเฝ้าเหล่าเสนา มิได้ว่าหมู่ข้าไทย ถือนํ้าร่ำเข้าไป แต่นํ้าใจไม่นำพา หาได้ใครหาเอา ไพร่ฟ้าเศร้า เปล่าอุรา ผู้ที่มีอาญา ไล่ตีด่าไม่ปรานี ผีป่ามากระทำ มรณกรรมเชาบุรี นํ้าป่าเข้าธานี ก็ไม่มีที่อาศัย ข้าเฝ้าเหล่าเสนา หนีไปหาพาราไกล ชีบาล่าลี้ไป ไม่มีใครในธานี

ต่อมาสุนทรภู่เปลี่ยนเป็นกาพย์ฉบัง ๑๖ เดินความอีก

พระไชยสุริยาภูมี พาพระมเหสี มาที่ในลำสำเภา เข้าปลาหาไปไม่เบา นารีที่เยาว์ ก็เอาไปในเภตรา เถ้าแก่เชาแม่แซ่มา เสนีเสนา ก็มาในลำสำเภา ตีม้าล่อฉ้อใบใส่เสา วายุพยุเพลา สำเภาก็ใช้ใบไป เภตรามาในน้ำไหล ค่ำเช้าเปล่าใจ ที่ในมหาวารี พสุธาอาศัยไม่มี ราชานารี อยู่ที่พระแกลแลดู ปลากะโห้โลมาราหู เหราปลาทู มีอยู่ในนํ้าคลํ่าไป ราชาว้าเหว่หฤไทย วายุพาคลาไคล มาในทะเลเอกา แลไปไม่ปะพสุธา เปล่าใจไนยนา โพล้เพล้เวลาราตรี ราชาว่าแก่เสนี ใครรู้คดี วารีนี้เท่าใดนา ข้าเฝ้าเล่าแก่ราชา ว่าพระมหา วารีนี้ไซร้ใหญ่โต ไหลมาแต่ในคอโค แผ่ไปใหญ่โตมโหฬาลํ้านํ้าไหล บาลีมิได้แก้ไข ข้าพระเจ้าเข้าใจ ผู้ใหญ่ผู้เฒ่าเล่ามา ว่ามีพระยาสกุณาใหญ่โตมโหฬา กายาเท่าเขาคีรี ชื่อว่าพระยาสำภาที ใคร่รู้คดี วารีนี้โตเท่าใด โยโสโผผาถาไป พอพระสุรีใส จะใกล้โพล้เพล้เวลา แลไปไม่ปะพสุธา ย่อท้อรอรา ชีวาก็จะประลัย พอปลามาในนํ้าไหล สกุณาถาไป อาศัยที่ศีรษะปลา ชะแง้แลไปไกลตา จำของ้อปลา ว่าขอสมาอภัย วารีที่เราจะไป ใกล้ฤาว่าไกล ข้าไหว้จะขอมรคา ปลาว่าข้าเจ้าเยาวภา มิได้ไปมาอาศัยอยู่ต่อธรณี สกุณาอาลัยชีวี ลาปลาจรลี สู่ที่ภูผาอาศัย ข้าเฝ้าเล่าแก่ภูวไนย พระเจ้าเข้าใจ ฤไท้- ว้าเหว่เอกา จำไปในทะเวรา พยุใหญ่มา เภตราก็เหเซไป สมอก็เกาเสาใบ ทะลุปรุไป นํ้าไหลเข้าลำสำเภา ผีนํ้าซํ้าไต่ใบเสา เจ้ากรรมซํ้าเอา สำเภาระยำควํ่าไป ราชาคว้ามืออรไท เอาผ้าสะไบ ต่อไว้ไม่ไกลกายา เฒ่าแก่เชาแม่เสนา นํ้าเข้าหูตา จระเข้เหราคร่าไป ราชานารีร่ำไร มีกรรมจำใจ จำไปพอปะพสุธา มีไม้ไทรใหญ่ใบหนา เข้าไปไสยา เวลาพอค่ำรำไร

สุนทรภู่ผูกคำขึ้นสอนศิษย์เก่งจริงๆ นักการศึกษาสมัยใหม่อาจวิจารณ์ว่าท่านใช้ศัพท์บาลีสันสกฤตมาก เกินสติปัญญาเด็กเยาว์วัย แต่ที่จริงเจตนาของท่านบ่งให้อ่านคล่องปากเป็นสำคัญ ยังไม่มุ่งความหมาย เด็กโบราณจึงอ่านล่อกามาโดยเข้าใจว่ามีอีกาเข้ามาเพราะถูกล่อ เลยทำให้เด็กสนุกไปได้ บางคำท่านก็ใช้แม่ ก. กา ไปพลางแทนแม่เกยซึ่งเด็กยังไม่ได้เรียน เช่น เชา แทนชาว ดังนี้เป็นต้น ท่านผูกเรื่องดีจนคนโบราณจำพระไชยสุริยาได้ตั้งแต่แม่ ก.กา จนแม่เกย กาพย์พระไชยสุริยาเป็นแบบเรียนชั้นต้นที่วิเศษแท้

ตอนที่แล้วข้าพเจ้าได้เสนอวิธีแต่งแบบเรียนสอนเด็กของสุนทรภู่ว่าด้วยการแต่งคำเทียบใน แม่ ก. กา ในตอนนี้จึงขอเสนอตอนต่อไปจากมาตรา กน ถึงมาตรา เกย เพื่อให้ท่านผู้อ่านได้อ่าน เรื่องพระไชยสุริยาจนจบ และจะได้สังเกตการแต่งคำเทียบของสุนทรภู่ครบทุกมาตรา

ต่อมาถึงการอ่านแม่ กน สุนทรภู่ใช้กาพย์สุรางคนางค์ ๒๘ ดังนี้

ขึ้นใหม่ในกน ก. กาว่าปน ระคนกันไป เอ็นดูภูธร มานอนในไพร มณฑลต้นไทร แทนไพชยนต์สถาน ส่วนสุมาลี วันทาสามี เทวีอยู่งาน เฝ้าอยู่ดูแล เหมือนแต่ก่อนกาล ให้พระคูบาล สำราญวิญญา พระชวนนวลนอน เข็ญใจไม้ขอน เหมือนหมอนแม่นา ภูธรสอนมนตร์ ให้บ่นภาวนา เย็นค่ำร่ำว่า กันป่าไภยพาน วันนั้นจันทร มีดารากร เป็นบริวาร เห็นสิ้นดินฟ้า ในป่าท่าธาร มาลีคลี่บาน ใบก้านอรชร เย็นฉ่ำน้ำป่า ชื่นชะผกา วายุพาขจร สารพันจันอิน รื่นกลิ่นเกสร แตนต่อคล้อร่อน วาว่อนเวียนระวัน จันทราคลาเคลื่อน กระเวนไพรไก่เถื่อน เตือนเพื่อนขานขัน ปู่เจ้าเขาเขิน กู่เกริ่นหากัน สินธุพุลั่น ครื้นครั่นหวั่นไหว พระฟื้นตื่นนอน ไกลพระนคร สะท้อนถอนฤทัย เช้าตรู่สุริยน ขึ้นพ้นเมรุไกร มีกำม์จำไป ในป่าอารัญ

จะสังเกตได้ว่า มีอักษรสะกดในแม่กนทุกตัวคือ น.ร.ล.ญ.ณ. (ขาด ฬ ตัวเดียว)

ทีนี้มาถึงมาตรา กง สุนทรภู่ว่าใช้ ง สะกดกับนฤคหิตบางคำ ท่านแต่งคำเทียบด้วยกาพย์ฉบัง ๑๖ ดังนี้

ขึ้นกงจงจำสำคัญ ทั้งกนปนกัน รำพันมิ่งไม้ในดง ไกรกร่างยางยูงสูงระหง ตลิงปิงปริงมะยง คันทรงส่งกลิ่นฝิ่นฝาง มะม่วงพลวงพลองช้องนาง หล่นเกลื่อนเถื่อนทาง กินพลางเดินพลาง หว่างเนินเห็นกวางย่างเยื้องชำเลืองเดิน เหมือนอย่างนางเชิญ พระแสงสำอางข้างเคียง เขาสูง ฝูงหงส์ลงเรียง เริงร้องซ้องเสียง สำเนียงน่าฟังวังเวง กลางไพรไก่ขันบันเลง ฟังเสียงเพียงเพลง จะเจ้งจำเรียงเวียงวัง ยูงทองร้องกระโต้งโห่งดัง เพียงฆ้องกลองระฆัง แตรสังข์กังสะดาลขานเสียง กะลิงกะลางนางนวลนอนเรียง พระยาลอคล้อเคียง แอ่นเอี้ยงอีโก้งโทงเทง ค้อนทองเสียงร้องปองเปง เพลินฟังวังเวง อีเก้งเริงร้องลองเชิง ฝูงละมั่งฝังดินกินเพลิง คางแข็งแรงเริง ยืนเบิ่งบึ้งหน้าตาโพลง ป่าสูงยูงยางช้างโขลง อึงคะนึงผึงโผง โยงกันเล่นนํ้าคลํ้าไป

เมื่อขึ้นแม่กก สุนทรภู่ใช้ ก. ข. ฆ. เป็นตัวสะกดตามคำเทียบซึ่งแต่งด้วยกาพย์ยานี ๑๑ ดังนี้

ขึ้นกกตกทุกข์ยาก แสนลำบากจากเวียงไชย มันเผือกเลือกเผาไฟ กินผลไม่ได้เป็นแรง รอนรอนอ่อนอัษฎงค์ พระสุริยงเย็นยอแสง ช่วงดังนํ้าครั่งแดง แฝงเมฆเขาเงาเมรุธร ลิงค่างครางโครกครอก ฝูงจิ้งจอกออกเห่าหอน ชะนีวิเวกวอน นกหกร่อนนอนรังเรียง ลูกนกยกปีกป้อง อ้าปากร้องซ้องแซ่เสียง แม่นกปกปีกเคียง เลี้ยงลูกอ่อนป้อนอาหาร ภูธรนอนเนินเขา เคียงคลึงเคล้าเยาวมาลย์ ตกยากจากศฤงคาร สงสารน้องหมองพักตรา ยากเย็นเห็นหน้าเจ้า สร่างโศกเศร้าเจ้าพี่อา อยู่วังดังจันทรา มาหม่นหมองละอองนวล เพื่อนทุกข์สุขโศกเศร้า จะรักเจ้าเฝ้าสงวน มิ่งขวัญอย่ารัญจวน นวลพักตร์น้องจะหมองศรี ชวนชนกลืนกลํ้ากลิ่น มิรู้สิ้นสุมาลี คลึงเคล้าเย้ายวนยี ที่ทุกข์ร้อนหย่อนเย็นทรวง

เมื่อขึ้นมาตรา กด สุนทรภู่ก็แต่งกาพย์ยานี ๑๑ โดยใช้ตัวสะกดต่างๆ กันดังนี้

ขึ้นกดบทอัศจรรย์ เสียงครื้นครั่นชั้นเขาหลวง นกหกกกรังรวง สัตว์ทั้งปวงง่วงงุนงง แดนดินถิ่นมนุษย์ เสียงดังดุจเพลิงโพลง ตึกกว้านบ้านเรือนโรง โคลงคลอนเคลื่อนขะเยื้อนโยน บ้านช่องคลองเล็กใหญ่ บ้างตื่นไฟตกใจโจน ปลุกเพื่อนตื่นตะโกน ลุกโลดโผนโดนกันเอง พิณพาทย์ระนาดฆ้อง ตะโพนกลองร้องเป็นเพลง ระฆังดังวังเวง โหง่งหง่างเหง่งเก่งก่างดัง ขุนนางต่างลุกวิ่ง ท่านผู้หญิงวิ่งยุดหลัง พันละวันดันตึงตัง พลั้งพลัดตกหกคะเมน พระสงฆ์ลงจากกุฏิ วิ่งอุดตลุดฉุดมือเณร หลวงชีหนีหลวงเณร ลงโคลนเลน เผ่นผาดโผน พวกวัดพลัดเข้าบ้าน ล้านต่อล้านซานเซโดน ต้นไม้ไกวเอนโอน ลิงค่างโจนโผนหกหัน พวกผีที่ปั้นลูก ติดจมูกลูกตาพลัน ขิกขิกระริกกัน ปั้นไม่ทันมันเดือดใจ สององค์ ทรงสังวาส โลกธาตุหวาดหวั่นไหว ตื่นนอนอ่อนอกใจ เดินไม่ได้ให้อาดูร

เมื่อถึงแม่กบ สุนทรภู่แต่งคำเทียบด้วยกาพย์ยานี ๑๑ ว่า

ขึ้นกบจบแม่กด พระดาบสบูชากูณฑ์ ผาสุกรุกขมูล พูนสวัสดิสัตถาวร ระงับหลับเนตรนิ่ง เอนองค์อิงพิงสิงขร เหมือนกับหลับสนิทนอน สังวรศีลอภิญญาณ บำเพ็งเล็งเห็นจบ พื้นพิภพจบจักรวาล สวรรค์ชั้นวิมาน ท่านเห็นแจ้งแหล่งโลกา เข้าฌานนานนับเดือน ไม่ขะเยื้อนเคลื่อนกายา จำศีลกินวาตา เป็นผาสุกทุกเดือนปี วันนั้นครั้นดินไหว เกิดเหตุใหญ่ในปถพี เล็งดูรู้คดี กาลกิณีสี่ประการ ประกอบชอบเป็นผิด กลับจริตผิดโบราณ สามัญอันธพาล ผลาญคนซื่อถือสัตย์ธรรม ลูกศิษย์คิดล้างครู ลูกไม่รู้คุณพ่อมัน ส่อเสียดเบียดเบียนกัน ลอบฆ่าฟันคือตัณหา โลภลาภบาปบคิด โจทก์จับผิดฤษยา อุระพสุธา ป่วนเป็นบ้าฟ้าบดบัง บรรดาสามัญสัตว์ เกิดวิบัติปัตติปาปัง ไตรยุคทุกขตะรัง สังวัจฉระอวสาน

ต่อมาสุนทรภู่จึงแต่งคำเทียบแม่กมด้วยกาพย์ยานี ๑๑ ความว่า

ขึ้นกมสมเด็จจอมอารย์ เอ็นดูภูบาล ผู้ผ่านพาราสาวัตถี ซื่อตรงหลงเล่ห์เสนี กลอกกลับอัปรีย์ บุรีจึงล่มจมไป ประโยชน์จะโปรดภูวไนย นิ่งนั่งตั้งใจ เลื่อมใสสำเร็จเมตตา เปล่งเสียงเพียงพิณอินทรา บอกข้อมรณา คงมาวันหนึ่งถึงตน เบียนเบียดเสียดส่อฉ้อฉล บาปกรรมนำตน ไปทนทุกข์นับกัปกัลป์ เมตตากรุณาสามัญ จะได้ไปสวรรค์เป็นสุขทุกวันหรรษา สมบัติมนุษย์ครุฑา กลอกกลับอัปรา เทวาสมบัติชัชวาลย์ สุขเกษมเปรมปรีดิ์วิมาน อิ่มหนำสำราญ ศฤงคารห้อมล้อมพร้อมเพรียง กระจับปี่สีซอท่อเสียง ขับรำจำเรียง สำเนียงนางฟ้าน่าฟัง เดชะพระกุศลหนหลัง สิ่งใดใจหวังได้ดังมุ่งมาดปรารถนา จริงนะประสกสีกา สวดมนต์ภาวนา เบื้องหน้าจะได้ไปสวรรค์ จบเทศน์เสร็จคำรำพัน พระองค์ทรงธรรม์ ด้นดั้นเมฆาคลาไคล

ในที่สุดสุนทรภู่ก็แต่งแม่เกยคำเทียบโดยใช้กาพย์ฉบัง ๑๖ ว่า

ขึ้นเกยเลยกล่าวท้าวไทย ฟังธรรมนํ้าใจเลื่อมใสศรัทธากล้าหาญ เห็นภัยในขันธสันดาน ตัดห่วงบ่วงมาร สำราญสำเร็จเมตตา สององค์ทรงหนังพยัคฆา จัดจีบกลีบชฎา รักษาศีลถือฤาษี เช้าค่ำทำกิจพิธี กองกูณฑ์อัคคี เป็นที่บูชาถาวร ปถพีเป็นที่บรรจถรณ์ เอนองค์ลงนอน เหนือขอนเขนยเกยเศียร ค่ำเช้าเอากราดกวาดเตียน เหนื่อยยากพากเพียร เรียนธรรมปาเพ็งเคร่งครัน สำเร็จเสร็จได้ไปสวรรค์ เสวยสุขทุกวัน นานนับกัลป์พุทธันดร

ตอนจบพระไชยสุริยาแล้ว สุนทรภู่ได้บอกเจตนาของท่านและสอนเด็กๆ ว่า

ภุมราการุญสุนทร ไว้หวังสั่งสอน เด็กอ่อนอันเยาว์เล่าเรียน ก.ข.ก.กาว่าเวียน หนูน้อยคอยเพียร อ่านเขียนผสมกมเกย ระวังตัวกลัวครูหนูเอ๋ย ไม้เรียวเจียวเหวย กูเคยเข็ดหลาบขวาบเขวียว หันหวดปวดแสบแปลบเสียว หยิกซ้ำช้ำเขียว อย่าเที่ยวเล่นหลงจงจำ บอกไว้ให้ทราบบาปกรรม เรียงเรียบเทียบคำ แนะนำให้เจ้าเอาบุญ เดชะพระมหาการุญ ใครเห็นเป็นคุณ แบ่งบุญให้เราเจ้าเอย

เรื่องพระไชยสุริยาของสุนทรภู่นั้น มีผลสองสถานคือ ผลทางอักขรวิธี กับผลทางวรรณคดี นับได้ว่าเรื่องกาพย์พระไชยสุริยามค่าลํ้าในวงอักษรศาสตร์ไทยเรื่องหนึ่ง

ที่มา:สมชาย  พุ่มสอาด

เสภาพระราชพงศาวดาร

กราบบังคมสมเด็จบดินทร์สูร
พระยศอย่างปางนารายณ์วายุกูล        มาเพิ่มพูนภิญโญในโลกา
ทุกประเทศเขตขอบมานอบน้อม        สะพรั่งพร้อมเป็นสุขทุกภาษา
ขอเดชะพระคุณกรุณา               ด้วยเสภาถวายนิยายความ

นอกจากมีส่วนสร้างความงามในเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผนแล้ว สุนทรภู่ยังแต่งเสภาอีกเรื่องหนึ่งคือ เสภาพระราชพงศาวดาร (มีความยาว ๒ เล่มสมุดไทย)

หนังสือเสภาพระราชพงศาวดาร ดูเหมือนจะเป็นวรรณกรรมชิ้นสุดท้ายของสุนทรภู่ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวดำรัสสั่งให้แต่งสำหรับถวายในเวลาทรงเครื่องใหญ่ และสำหรับสั่งให้นางในส่งมโหรีหลวงด้วย เข้าใจกันว่าสุนทรภู่เริ่มแต่งเมื่อพ.ศ. ๒๓๙๒ เวลานั้นอายุ ๖๘ ปี และกำลังครองตำแหน่งอาลักษณ์ฝ่ายพระราชวังบวรในนามบรรดาศักดิ์พระสุนทรโวหาร อันเป็นบรรดาศักดิ์ขุนนางนักปราชญ์แห่งราชสำนักกรุงรัตนโกสินทร์

เนื้อเรื่องประพันธ์ตามพระราชพงศาวดาร จึงมิจำเป็นต้องนำมากล่าวในที่นี้เพราะทราบกันอยู่แล้ว ในที่นี้จะพินิจแต่ลักษณะหนังสือเสภาพระราชพงศาวดารแต่งเป็นใจความ ๒ ตอน เดิมทีเดียวสุนทรภู่เริ่มตั้งแต่พระเจ้าอู่ทองสร้างกรุงศรีอยุธยา ไปจนถึงทำสงครามกับขอมโดยพระราเมศวร และพระบรมราชา (ขุนหลวงพะงั่ว) สุนทรภู่ยุติเพียงเท่านี้แล้วข้ามไปแต่งตอนสงครามช้างเผือกในรัชกาลพระมหาจักรพรรดิ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงอธิบายว่า คงเป็นเพราะพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชดำริว่า ตอนหลังสงครามกับขอมคราวนั้น ถึงจะแต่งก็ไม่น่าฟังจึงโปรดให้ข้ามไปแต่งตอนสงครามช้างเผือกในแผ่นดินพระมหาจักรพรรดิจนถึงพระเจ้าไชยเชษฐากรุงศรีสัตนาคนหุต ซึ่งยกเข้ามาช่วยกรุงศรีอยุธยาแตกแพ้ นับเป็นตอนที่ ๒ ที่แต่งไม่จบอาจเป็นด้วยสุนทรภู่ ถึงแก่อนิจกรรมลง

พูดถึงศิลปะการประพันธ์เรื่องนี้ สุนทรภู่เพียงแต่ประพันธ์ตามพระราชพงศาวดาร ไม่อิสระเสรีดังเรื่องอื่น เช่นนิราศอิเหนาหรือพระอภัยมณี ซึ่งสุนทรภู่มีอำนาจที่จะวาดจะสร้างได้ตามอำเภอใจ ไม่มีทางที่จะพลิกแพลงให้เกิดรสไพเราะหรือขบขันได้เต็มที่ เมื่อเรื่องบังคับให้อยู่ในกรอบเช่นนี้ ย่อมทำให้สุนทรภู่อึดอัด หากมิเป็นเพราะพระราชดำรัสให้แต่ง สุนทรภู่จะไม่แต่งเลย

ถึงกระนั้นก็ตาม เสภาพระราชพงศาวดารของสุนทรภู่มิใช่จะแห้งแล้งเสียทีเดียว บางแห่งแทรกความขบขันลงไป บางแห่งแทรกคติและคำเปรียบเทียบอันงดงาม ดังจะเสนอให้ชมเป็นตอนๆ ดังนี้

พระเจ้าอู่ทองตรัสแก่พระราเมศวรตอนจะให้ไปรบขอมว่า “พลของเราห้าวหาญชำนาญยุทธ เจียนจะขุดกัมภูชาก็ว่าได้” เป็นการเปรียบความเด่นชัดที่สุด ไม่ใช่เขียนอย่างกลอนพาไปเลย

สุนทรภู่ได้เขียนในสารตอบพระเจ้ากรุงหงษาวดี เมื่อขอช้างเผือกว่า

ในสาราว่าพระมหาจักรพรรดิ    เจ้าจังหวัดเวียงไชยไอศวรรย์
เฉลิมวงศ์ทรงยศทศธรรม์        ครองเขตขันธ์กรุงทวาราวดี
ทรงพระน้องต้องประสงค์ช้างเผือกผู้    เป็นของคู่บุญบำรุงชาวกรุงศรี
อันวิสัยในจังหวัดปัถพี        ผู้ใดมีบุญญากฤดาการ
จึงย่อมจักเกิดช้างแลนางแก้ว    ใช่บุญแล้วถึงจะได้ไว้ถิ่นฐาน
ไม่รุ่งเรืองเครื่องจะอันตรธาน    เหมือนบุราณกล่าวเปรียบทำเทียบความ
ประเวณีมีบุญการุญโลก    อุปโภคคราใดก็ไหลหลาม
มีม้าแก้วแล้วมีช้างมีนางงาม    ศึกสงครามก็มักมาถึงธานี
ซึ่งมิได้ให้ช้างเผือกไปเลี้ยง        เพราะผิดเยี่ยงอย่างพระน้องอย่าหมองศรี
เชิดดำรงหงษาประชาชี    จะได้มีเกียรติยศปรากฎไป

อยากจะขอชมความรู้ภาษาต่างประเทศของสุนทรภู่ คือสามารถนำมาร้อยกรองเป็นกลอน แอะเอาะซึ่งเป็นกลอนยากได้อย่างน่ฟัง ดังนี้

…หม้อข้าวปลาผ้านุ่งคาดพุงพัน    เบียดเสียดกันเกะกะเสียงทะเลาะ
พวกอังวะพม่าว่าละแคะ        มอญว่าแกละอาระเคลิงเกลิงเผนาะ
ลาวว่าเบอเจอละน้อหัวร่อเยาะ    ทวายว่าเถาะยามะเวเฮฮากัน

ตอนพักพลตอนหนึ่ง สุนทรภู่สร้างความสนุกแก่ผู้อ่าน ดังนี้

ให้รำเต้นเล่นสนุกทุกๆ ค่าย        เสียงทวายมอญพม่าเฮฮาฉาว
พวกเชียงใหม่ได้แพนอ้อร้องซอลาว    โอเจ้าสาวสาวเอ๊ยเจ๊ยละน้อ
ของพระองค์ทรงพระอนุญาต    อย่าเคืองขัดตัดขาดที่ปรารถนา
ให้ร่วมแดนแผ่นดินถิ่นสุธา        ฉลองพระคุณมุลลิกาเบื้องหน้าไป

ขุนนางทูลพระมหินทร์ พูดถึงความคดของศัตรู ใจความดีมาก

ฝ่ายขุนคงต่างว่าส่งพระยาราม        หาเลิกล้มกลับตามสัญญาไม่
เห็นเหมือนคำตำราท่านว่าไว้        เคียวอยู่ในนาภีไม่มีตรง
ขอสรุปว่า เสภาพระราชพงศาวดารของสุนทรภู่เป็นหนังสือที่นักหนังสือไม่ควรพลาดเล่มหนึ่ง เพราะหนังสือประเภทนี้มีในวรรณกรรมไทยไม่กี่เล่มเลย

ที่มา:สมชาย  พุ่มสอาด

เสภาขุนช้างขุนแผน ตอนกำเนิดพลายงาม

เสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอนกำเนิดพลายงาม มีความยาวประมาณ ๑ เล่มสมุดไทย สุนทรภู่แต่งระหว่างพ.ศ. ๒๓๖๕-๒๓๖๗ ในสมัยรัชกาลที่ ๒ หลังจากพ้นโทษคือออกจากคุกมาแล้ว เรื่องนี้สุนทรภู่แต่งตามพระบรมราชโองการในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย

๑. เหตุที่สุนทรภู่แต่งขุนช้างขุนแผน
สุนทรภู่ได้เข้าสู่สนามกวีอันมีเกียรติอีกครั้งหนึ่ง เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯ โปรดเกล้าฯ ให้ชำระเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน ทรงขอแรงพวกกวีชั้นเอกแห่งรัชกาลของพระองค์ช่วยกันแต่งคนละตอนสองตอน และมักปิดนามผู้แต่ง เท่าที่เราทราบจนกระทั่งบัดนี้ ตอนกำเนิดพลายงาม เป็นผลงานของท่านสุนทรภู่ มหากวีที่ชาติเป็นหนี้บุญคุณ เนื่องด้วยขุนช้างขุนแผนเป็นการประกวดประชันกัน สุนทรภู่จึงบรรจงกลอนของท่านอย่างสุดฝีมือ ไม่มีกลอนเรื่องใดของท่านที่ประณีตบรรจงเท่า

๒. สังเขปความ
เนื้อเรื่องเฉพาะตอนที่สุนทรภู่แต่งนี้มีว่า วันทองเมื่ออยู่กับขุนช้างนั้น ท้องครบสิบเดือนก็คลอดบุตรชาย เลี้ยงมาจนอายุ ๙ ขวบ หน้าตาเหมือนขุนแผน วันทองจึงตั้งชื่อว่าพลายงาม ขุนช้าง ก็โกรธว่าเด็กคนนี้มิใช่ลูกตัว แต่เป็นลูกของขุนแผนศัตรูของตน จึงอุบายลวงพลายงามไปในป่าจะฆ่าเสีย แต่ได้ผีพรายของขุนแผนช่วยไว้จึงไม่ตาย แล้วพรายจึงไปกระซิบบอกวันทอง วันทองออกตามหาพลายงามด้วยความละห้อยโหย เหมือนมัทรีตามชาลีกัณหา
ตะโกนเรียกพลายงามทรามสวาท        ใจจะขาดคนเดียวเที่ยวตามหา
สะอื้นโอ้โพล้เพล้เดินเอกา            สกุณานอนรังสะพรั่งไพร
เห็นฝูงนกกกบุตรยิ่งสุดเศร้า            โอ้ลูกเราไม่รู้ว่าอยู่ไหน
ชะนีโหวยโหยหวนรัญจวนใจ        ยิ่งอาลัยแลหาน้ำตานอง

ในที่สุดไปพบลูกกำลังร้องไห้อยู่ พลายงามเล่าความชั่วของขุนช้างให้ฟัง แล้ววันทองก็บอกความจริงแก่ลูกว่ามิใช่ลูกขุนช้าง ส่วนขุนแผนซึ่งเป็นพ่อนั้นกำลังติดคุกอยู่ บอกว่ามีแต่ย่าชื่อทองประศรีอยู่กาญจนบุรี ที่วัดเชิงหวาย จะเป็นที่พึ่งได้ พลายงามก็คิดจะไปพึ่งย่า วันนั้นค่ำแล้ววันทองจึงพาลูกไปฝากสมภารชื่อขรัวนาควัดเขาไว้

วันทองกลับบ้านขุนช้างแกล้งทำไม่รู้ไม่ชี้ในเรื่องพลายงาม เมื่อรู้ว่าหายไปก็แสร้งครํ่าครวญจนหลับ รุ่งเช้าวันทองจัดของให้ลูกไปรับลูกที่วัด ลาสมภารแล้วชี้ทางไปเมืองกาญจน์ ครวญครํ่าอย่างน่าปริเทวนา “จะมีผัวผัวก็พลัดกำจัดจาก จนแสนยากอย่างนี้แล้วมิหนำ มามีลูกลูกก็จากวิบากกรรม สะอื้นร่ำรันทดสลดใจ’’ ลูกน้อยกลอยใจก็ปลอบแม่ “แม่รักลูกลูกก็รู้อยู่ว่ารัก คนอื่นสักหมื่นแสนไม่แม้นเหมือน จะกินนอนวอนว่าเมตตาเตือน จะจากเรือนร้างแม่ไปแต่ตัว” วันทองหักอารมณ์อวยพรสั่งสอนลูก และว่า “ลูกผู้ชายลายมือนั้นคือยศ เจ้าจงอตส่าห์ทำสม่ำเสมียน” ตอนพรรณนาที่เด่นที่สุดคือ ตอนแม่ลูกจากกัน

ลูกก็แลดูแม่แม่ดูลูก        ต่างพันผูกเพียงว่าเลือดตาไหล
สะอื้นร่ำอำลาด้วยอาลัย    แล้วแข็งใจจากนางตามทางมา
เหลียวหลังยังเห็นแม่แลเขม้น    แม่ก็เห็นลูกน้อยละห้อยหา
แต่เหลียวเหลียวเลี้ยวลับวับวิญญา    โอ้เปล่าตาต่างสะอื้นยืนตะลึง

เมื่อพลายงามถึงเมืองกาญจน์ รู้กิตติศัพท์จากเด็กๆ ว่าบ้านทองประศรีมีมะยมหวานที่เด็กๆ ชอบไปขโมย ทองประศรีคอยจับเสมอ และ “ร้ายเหมือนกับผีเสื้อแกเหลือตัว ถ้าลูกใครไปเล่นแกเห็นเข้า แกจับเอานมยานฟัดกะบาลหัว” พลายงามจึงให้เด็กเหล่านี้เป็นมัคคุเทศก์พาไปขึ้นมะยมต้นนั้นพร้อมกับเด็กๆ ในที่สุดทองประศรีจึงลงจากเรือนไล่เด็กกระจุยไป ตีไม่ว่าลูกเต้าเหล่าใคร แม้พลายงามจะบอกว่าเป็นหลานมาจากสุพรรณก็ไม่ฟังเสียง พลายงามโดดลงจากต้นมะยมมากราบตีน ก็ไม่วายโดนกระบองทองประศรี

เจ้าพลายงามถอยหลบแล้วนบนอบ    ฉันเจ็บบอบแล้วย่าเมตตาฉัน
ข้าเป็นลูกขุนแผนแสนสะท้าน        ข้างฝายมารดาชื่อแม่วันทอง
จะมาหาย่าชื่อทองประศรี            อย่าเพ่อตีฉันจะเล่าความเศร้าหมอง
ย่าเขม้นเห็นจริงทิ้งกระบอง            กอดประคองรับขวัญกลั้นน้ำตา

นี่เป็นอารมณ์คนแก่ขี้หลง พอทราบว่าเป็นลูกหลานก็ฝนไพลให้ทา อาบน้ำอาบท่าให้เรียบร้อย ด้วยความรัก พลายงามจึงเล่าความจริงให้ฟังตลอด ทองประศรีก็ด่าขุนช้างระงมไป พอคํ่าก็จัดการรับมิ่งขวัญหลาน จัดบายศรีและมีเวียนเทียนบทเชิญขวัญมีทั้งไทย ลาว และทวาย พึงสังเกตว่าสุนทรภู่รู้ภาษาเพื่อนบ้านเป็นอย่างดี และเมื่อนำมาไว้ในกลอนยิ่งเป็นหัสบันเทิงสำคัญนัก

ขวัญพ่อพลายงามทรามสวาท    มาชมภาชนะทองอันผ่องใส
ล้วนของขวัญจันทร์จวงพวงมาลัย        ขวัญอย่าไปป่าเขาลำเนาเนิน
เห็นแต่เนื้อเสือสิงห์ฝูงลิงค่าง    จะอ้างว้างเวียนวกระหกระเหิน
ขวัญมาหาย่าเถิดอย่าเพลิดเพลิน        จงเจริญร้อยปีอย่ามีภัย
แล้วจุดเทียนเวียนวงส่งให้บ่าว    มันโห่กราวเกรียวลั่นสนั่นไหว
คอยรับเทียนเวียนส่งเป็นวงไป    แล้วดับไฟโบกควันให้ทันที
มะพร้าวอ่อนป้อนเจ้าทั้งข้าวขวัญ        กระแจะจันทน์เจิมหน้าเป็นราศี
ให้สาวสาวลาวเวียงที่เสียงดี        มาซอปี่อ้อซั้นทำขวัญนาย

พ่อเมื้อเมืองดง เอาพงเป็นเหย้า        อึดปลา-อึดข้าว ขวัญเจ้าตกหาย
ขวัญอ่อนร่อนเร่ ว้าเหว่สู่กาย        อยู่ปลายยางยูง ท้องทุ่งท้องนา
ขวัญเผือเมื้อเมิน ขอเชิญขวัญพ่อ        ฟังซอเสียงอ้อ ขวัญพ่อแจ้วจ๋า
ข้าวเหนียวเต็มพ้อม ข้าวป้อมเต็มป่า    ขวัญเจ้าจงมา สู่กายพลายเอย

แล้วพวกมอญซ้อนซอเสียงอ้อแอ้        ร้องทะแยย่องกะเหนาะย่ายเตาะเหย
ออระหน่ายพลายงามพ่อทรามเชย    ขวัญเอ๋ยกกกะเนียงเกรียงเถลิง
ให้อยู่ดีกินดีมีเมียสาว                เพียงกะราวกนตะละเลิงเคลิ่ง
มวยบามาขวัญจงบันเทิง            จะเปิงยี่อิกะปิปอน
ทองประศรีดีใจให้เงินบาท            เห็นแก่ทาสพรั่งพร้อมล้อมสลอน
ถึงเวลานาเจ้าเข้าที่นอน            มีฟูกหมอนมุ้งม่านสำราญใจ

พลายงามถามย่าถึงเรื่องพ่อ ทองประศรีเล่าว่าติดคุกมา ๑๐ ปีแล้ว รุ่งเช้าก็ขึ้นช้างพาหลานไปหาพ่อที่อยุธยา เดินทาง ๒ วันครึ่งจึงถึง ความตอนที่ขุนแผนติดคุกเล่าไว้เป็นนัยดังนี้

อยู่เปล่าๆ เล่าก็จนพ้นกำลัง        อุตส่าห์นั่งทำการสานกะทาย
ให้นางแก้วกิริยาช่วยทารัก        ขุนแผนถักขอบรัดกระหวัดหวาย
ใบละบาทคาดไว้ด้วยง่ายดาย    แขวนไว้ขายทงเรือนออกเกลื่อนไป

ทองประศรีแนะให้รู้จักพลายงาม และเล่าเรื่องขุนช้างทำร้าย ขุนแผนโกรธมากคิดจะไปฆ่าขุนช้าง แต่ทองประศรีให้สติและห้ามไว้

โบราณท่านสมมุติมนุษย์นี้        ยากแล้วมีใหม่สำเร็จถึงเจ็ดหน
ที่ทุกข์โศกโรคร้อนคอยผ่อนปรน    คงจะพ้นโทษทัณฑ์ไม่บรรลัย

ขุนแผนมอบให้ทองประศรีอบรมพลายงาม

แล้วลูบหลังสั่งความพลายงามน้อย        เจ้าจงค่อยร่ำเรียนเขียนคาถา
รู้สิ่งไรก็ไม่สู้รู้วิชา                    ไปเบื้องหน้าเติบใหญ่จะให้คุณ

ขุนแผนสอนบุตรพร้อมกับความโศกาดูร

มาหาพ่อพ่อไม่มีสิ่งไรผูก        ยังแต่ลูกประคำจะทำขวัญ
อยู่หอกปืนยืนยงคงกะพัน        ได้ป้องกันกายาข้างหน้าไป

พลายงามขออยู่ในคุกด้วยเพื่อปรนนิบัติพ่อ
ขุนแผนว่าจะอยู่ดูไม่ได้        ในคุกใหญ่ยากแค้นมันแสนเข็ญ
เหมือนกับนรกตกทั้งเป็น        มิได้เว้นโทษทัณฑ์สักวันเลย
แต่พ่อนี้ท่านเจ้ากรมยมราช        อนุญาตให้อยู่ทับในหับเผย
คนทั้งหลายนายมูลก็คุ้นเคย        เขาละเลยพ่อไม่ต้องถูกจองจำ
ทั้งข้าวปลาสารพันทุกวันนี้        พระหมื่นศรีเธอช่วยชุบอุปถัมภ์
ค่อยเบาใจไม่พักต้องตักตำ        คุณท่านล้ำล้นฟ้าด้วยปรานี
ถ้าแม้นเจ้าเล่าเรียนความรู้ได้    จะพาไปพึ่งพระจมื่นศรี
ถวายตัวพระองค์ทรงธานี        จะได้มีเกียรติยศปรากฎไป

แล้วทองประศรีก็พาหลานกลับ ไปอบรมสั่งสอนคาถาอาคมต่างๆ จนอายุได้ ๑๓ ปี

‘‘นัยน์ตากลมคมขำดูดำขลับ    ใครแลรับรักใคร่ปราศรัยถาม”

โกนจุกมีขรัวเกิดสมภารวัดเขาชนไก่ใกล้บ้านเป็นครูขุนแผนมาสวดมนต์ด้วย ท่านว่าขุนแผนว่า

“อ้ายเจ้าชู้กูได้ว่ามาแต่ก่อน        จะทุกข์ร้อนอ่อนหูเพราะผู้หญิง”

แล้วดูพลายงามว่า
“พินิจนั่งดูกายเจ้าพลายงาม
เห็นน่ารักลักขณะก็ฉลาด        จะมีวาสนาดีขี่คานหาม
ถ้าถึงวันชั้นโชคโฉลกยาม        ก็ต้องตามลักขณะว่าจะรวย
แต่มีเมียเสียถนัดปัตนิ            ตัวตำหนิรูปขาวเป็นสาวสวย
แต่อ้ายนี้ขี้หลงจะงงงวย        ต้องถูกด้วยยลโมบโลภโลกีย์
แล้วท่านขวัวหัวร่อว่าออหนู        มันเจ้าชู้กินการหลานอีศรี
ก็แต่ว่าอายุสิบแปดปี            จะได้ที่หมื่นขุนเป็นมุลนาย
ทั้งเมียสาวชาวเหนือเป็นเชื้อแถว    อีนั่นแล้วมันจะมาพาฉิบหาย
อันอ้ายขุนแผนพ่อของออพลาย    จะพ้นปลายเดือนยี่ในปีกุน
นับแต่นี้มีสุขไม่ทุกข์ร้อน        ได้เตียงนอนนั่งเก้าอี้เป็นที่ขุน”
เสียตระกูลสูญลับอัประมาณ    ให้เคลิ้มองค์ทรงกลอนละครนอก
แล้วก็เล่นเสภา “หาเสภามาทั่วที่ตัวดี” ตามี-ตารองศรี-นายทั่ง-นายเพชร-นายมา-พระยานนท์- ตาทองอยู่ พลายงามพอผมยาวก็ตัดมหาดไทย คิดจะถวายตัวและทูลขอให้พ่อพ้นโทษ พลายงามไปหาพ่อบอกว่า “ลูกจะใคร่ให้พระนายถวายตัว’’ พอพลบก็พาลูกไปหาพระหมื่นศรี

“หมื่นศรีร้องเรียกว่ามาสิเกลอ    ด้วยรักใครใจซื่อถือว่าเพื่อน
ไม่บากเบือนหน้าหนีตีเสมอ”

แนะนำให้รู้จักพลายงาม ขอฝากจมื่นศรีเสาวรักษ์ๆ ก็รับอุปการะและอบรมเป็นอย่างดี ตอนหนึ่งสอนว่า

ที่ไม่สู่รู้อะไรผู้ใหญ่เด็ก            มหาดเล็กสามต่อพ่อลูกหลาน
เสียตระกูลสูญลับอัประมาณ    เพราะเกียจคร้านคร่ำคร่าเหมือนพร้ามอญ

พลายงามตามหลังพระหมื่นศรีไปวังทุกวัน ถึงวันดีได้ช่องพระหมื่นศรีก็นำพลายงามถวายตัว ว่าเป็นบุตรขุนแผน มีความรู้ และขอรับราชการเป็นมหาดเล็ก

ครานั้นสมเด็จพระพันวษา        เหลือบเห็นหน้าพลายงามความสงสาร
จะออกพระโอฐโปรดขุนแผนแสนสะท้าน    แต่กรรมนั้นบันดาลดลพระทัย
ให้เคลิ้มองค์ทรงกลอนละครนอก        นึกไม่ออกเวียนวงให้หลงใหล
ลืมประภาษราชกิจที่คิดไว้        กลับเข้าแท่นในที่ศรีไสยา

๓. ข้อสังเกตกระบวนกลอน
ว่าถึงกระบวนกลอนในตอนกำเนิดพลายงามนี้เป็นลักษณะแห่งศิลปะของสุนทรภู่โดยแท้ คือเป็นกลอนที่เต็มไปด้วยสัมผัสในอันเพราะพริ้งยิ่งนัก โดยตลอดเราจะเห็นวรรคละ ๘ คำล้วน นี่เป็นลักษณะที่สุนทรภู่ใช้เขียนเรื่องของท่าน เช่น โคบุตร พระอภัย และลักษณวงศ์ เป็นกระบวนกลอนที่เหมาะสำหรับเรื่องประโลมโลกของท่านโดยเฉพาะ

เมื่อสุนทรภู่มาเขียนกลอนเสภา มีเสียงกล่าวกันว่า ศิลปะของท่านขัดกับลีลาของเสภา กล่าวคือ เสภาเป็นบทสำหรับขับร้อง (และบางทีมีการรำด้วย) ให้เหมาะเจาะกับกิริยาอาการและอารมณ์ต่างๆ
เช่น รัก โศก และดุดัน การใช้คำในวรรคหนึ่งๆ ก็ย่อมต้องเกี่ยวกับอารมณ์อันแสดงออก อาจเป็นวรรคละ ๖-๗ คำเหมาะก็มี ไม่ต้องถึง ๘ คำเสมอไป กลอนเสภาที่ดีจึงนิยมคำมากบ้างน้อยบ้าง เพราะเกี่ยวกับการเอื้อนและจังหวะกรับ จังหวะรำ ให้กลมกลืนกันพอดี จงสังเกตกลอนเสภาที่ชอบขับกันมากคือพระราชนิพนธ์รัชกาลที่ ๒ หรือสำนวนของครูแจ้ง จะเห็นได้ว่ามีลักษณะดังกล่าวนี้ส่วนของสุนทรภู่เป็นกลอน ๘ ล้วน จึงขับเสภาได้ไม่สนิทสนม อาจขัดกับลีลาของศิลปะแห่งเสภาดังที่มีผู้กล่าวไว้กระมัง?

ที่มา:สมชาย  พุ่มสอาด

บทกวีนิพนธ์สุภาษิตสอนสตรี

ตามหนังสือประวัติสุนทรภู่ของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ว่าแต่งราวพ.ศ. ๒๓๘๐-๒๓๘๓ ตอนตกยากต้องพายเรือขายของ เป็นการรวบรวมจริยธรรมสำหรับผู้หญิงไว้อย่างดี ผู้อ่านจะเห็นวัฒนธรรมหญิงไทยได้อย่างชัดเจน

การคบชู้สู่สาว
บ้างมีผัวตัวอยู่เป็นคู่ชื่น        ยังหาอื่นเข้าประคองเป็นสองสาม
ทำรักซ้อนซ่อนสนิทปิดเนื้อความ    จนเลยลามเป็นระฆังดังขึ้นเอง
ครั้นรู้ความถามไถ่ก็ไม่รับ        เขาเฆี่ยนขับตีด่าว่าข่มเหง
พลอยประจบกลบความไปตามเพลง    เพราะผัวเองจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน

ความประหยัด
มีสลึงพึงบรรจบให้ครบบาท        อย่าให้ขาดสิ่งของต้องประสงค์
ถ้ามีน้อยใช้น้อยค่อยบรรจง        อย่าจ่ายลงให้มากจะยากนาน

คำตอนท้าย
อย่าฟังเปล่าเอาแต่กลอนสุนทรเพราะ        จงพิเคราะห์คำเลิศประเสริฐศรี
เอาเป็นแบบสอนตนพ้นราคี                กันบัดสีติฉินเขานินทา

เป็นสาว
เป็นสาวแส้แร่รวยสวนสะอาด        ก็หมายมาดเหมือนมณีอันมีค่า
แม้นแตกร้าวรานร่อยถอยราคา        จะพลอยพาหอมหายจากกายนาง

ปกปิด
อย่าลืมตัวมัวเดินให้เพลินจิต        ระวังปิดปกป้องของสงวน
เป็นนารีที่อายหลายกระบวน        จงสงวนศักดิ์สง่าอย่าให้อาย

นัยน์ตา
อันนัยน์ตาพาตัวให้มัวหมอง            เหมือนทำนองแนะออกบอกกระแส
จริงไม่จริงเขาก็เอาไปเล่าแซ่            คนรังแกมันก็ว่านัยน์ตาคม

รักในอารมณ์
แม้นจะรักรักไว้ในอารมณ์            อย่ารักชมนอกหน้าเป็นราคี
ดังพฤกษาต้องวายุพัดโบก            เขยื้อนโยกก็แต่กิ่งไม่ทิ้งที่
จงยับยั้งชั่งใจเสียให้ดี                เสมือนหนึ่งจามรีรักษากาย

ปีศาจ
อันแม่สื่อคือปีศาจที่อาจหาญ        ใครบนบานเข้าหน่อยก็พลอยโผง
อย่าเชื่อนักมักตับจะคับโครง        มันชักโยงอยากกินแต่สินบน

สุดดี
เป็นสตรีสุดดีแต่เพียงผัว            จะดีชั่วก็แต่ยังกำลังสาว
ลงจนสองสามจืดไม่ยืดยาว            จะกลับหลังยังสาวสิเต็มตรอง

รักนวล
จงรักนวลสงวนงามห้ามใจไว้        อย่าหลงใหลจำคำที่พร่ำสอน
คิดถึงหน้าบิดาและมารดร            อย่ารีบร้อนเร็วนักมักไม่ดี

ซื้อง่ายขายดี
แม้จะเรียนวิชาทางค้าขาย            อย่าปากร้ายพูดจาอัชฌาสัย
จะซื้อง่ายขายดีมีกำไร                ด้วยเขาไม่เคืองจิตระอิดระอา

ลมปาก
เป็นมนุษย์สุดนิยมเพียงลมปาก        จะได้ยากโหยหิวเพราะชิวหา
แม้นพูดดีมีคนเขาเมตตา            จะพูดจาจงพิเคราะห์ให้เหมาะความ

รู้วิชา
รู้วิชาก็ให้รู้เป็นครูเขา            จึงจะเบาแรงตนเร่งขวนขวาย
มีข้าไทใช้สอยค่อยสบาย        ตัวเป็นนายโง่เง่าบ่าวไม่เกรง

เกี่ยวแฝกมุงป่า
อย่าอวดดีมีทรัพย์เที่ยวจับแจก        ทำเกี่ยวแฝกมุมป่าพาฉิบหาย
ใครจะช่วยตัวเราก็เปล่าดาย            อย่ามักง่ายเงินทองของสำคัญ

หญิงสองใจ
ยังมีพวกหนึ่งนั้นขยันยิ่ง        เป็นผู้หญิงสองใจไม่กำหนด
เที่ยวยักย้ายส่ายชมภิรมย์รส    ใครมาจดโผจับรับตะกาง
จะรักไหนก็ไม่รักสมัครมั่น        เล่นประชันเชิงลองทั้งสองข้าง
ชู้ต่อชู้รู้เรื่องเคืองระคาง        ก็ขัดขวางหึงสาจะฆ่าฟัน

อย่าจับปลาสองหัตถ์
อย่าจับปลาสองหัตถ์จะพลัดพลาด    จับให้คงให้ขาดว่าเป็นผัว
จึงจะนับว่าดีไม่มีมัว                ถ้าชายชั่วร้างไปมิใช่ชาย

หญิงเป็นหญิง
เกิดเป็นหญิงให้เห็นว่าเป็นหญิง        อย่าทอดทิ้งกิริยาอัชฌาสัย
เป็นหญิงครึ่งชายครึ่งอย่าพึงใจ         ใครเขาไม่สรรเสริญเมินอารมณ์

อนึ่ง สุภาษิตสอนสตรีนี้ มีนักวิชาการบางท่านได้ทำการศึกษาอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว ลงความเห็นว่าน่าจะไม่ใช่บทกวีนิพนธ์ของสุนทรภู่ แต่เนื่องจากมีความเชื่อกันมานาน จึงนำมาลงไว้ ณ ที่นี้

ที่มา:สมชาย  พุ่มสอาด

เพลงยาวถวายโอวาทของสุนทรภู่

เพลงยาวถวายโอวาท มีความยาวประมาณ ๑ เล่มสมุดไทย สุนทรภู่แต่งเมื่อปีพ.ศ. ๒๓๗๓ ในสมัยรัชกาลที่ ๓ ขณะบวชอยู่ ณ วัดราชบูรณะ (วัดเลียบ) กรุงเทพมหานคร อายุ ๔๕ ปี โดยแต่งเป็นเรืองถวายโอวาทและกราบทูลลาเจ้าฟ้ากลาง และเจ้าฟ้าปิ๋ว ผู้เป็นอนุชาเจ้าฟ้าอาภรณ์ และเป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย

ในเพลงยาวเรื่องนี้มีเนื้อความแสดงความอาลัยเจ้าฟ้ากลางและเจ้าฟ้าปิ๋ว รวมทั้งระลึกถึงพระคุณที่ได้ทรงอุปการะตนมาตอนต้นเรื่อง สุนทรภู่บอกจุดประสงค์ในการแต่งว่า
ควรมิควรจวนจะพรากจากสถาน
จงเขียนความตามใจอาลัยลาน        ขอประทานโทษาอย่าราคี
ด้วยขอบคุณทูลกระหม่อมถนอมรัก    เหมือนผัดพักตร์ผิวหน้าเป็นราศี
เสด็จมาปราศรัยถึงในกุฎี            ดังวารีรดซาบอาบละออง
ทั้งการุณสุนทราคารวะ            ถวายพระวรวงศ์จำนงสนอง
ขอพึ่งบุญมุลิกาฝ่าละออง            พระหน่อสองสุริย์วงศ์ทรงศักดา
ด้วยเดี๋ยวนี้มิได้รองละอองบาท        จะนิราศแรมไปไพรพฤกษา
ต่อถึงพระวสาอื่นจักคืนมา            พระยอดฟ้าสององค์จงเจริญ

เพลงยาวถวายโอวาทนี้มีความเป็นคติอยู่หลายตอน ขอคัดมาเสนอดังนี้
-๑-
ขอพระองค์ทรงยศเหมือนคชบาท        อย่าให้พลาดพลั้งเท้าก้าวถลำ
ระมัดโอษฐ์โปรดให้พระทัยจำ        จะเลิศล้ำลอยฟ้าสุราลัยฯ
-๒-
หนึ่งนักปราชญ์ราชครูซึ่งรู้หลัก        อย่าถือศักดิ์สนทนาอัชฌาสัย อุตส่าห์ถามตามประสงค์จำนงใน        จึงจักได้รู้รอบประกอบการฯ
-๓-
อนึ่งบรรดาข้าไทที่ใจซื่อ            จงนับถือถ่อมศักดิ์สมัครสมาน
อนึ่งคนมนต์ขลังช่างชำนาญ        แม้พบพานผูกไว้เป็นไมตรี
เขาทำชอบปลอบให้น้ำใจชื่น        จึงเริงรื่นรักแรงไม่แหนงหนี
ปรารถนาสารพัดในปฐพี            เอาไมตรีแลกได้ดังใจจง
-๔-
คำโบราณท่านว่าเหล็กแข็งกระด้าง     เอาเงินง้างอ่อนตามความประสงค์ฯ
-๕-
แต่คนร้ายหสายลิ้นย่อมปลิ้นปลอก     เลี้ยงมันหลอกหลอนเล่นเช่นผีอย่าพานพบคบค้าเป็นราคี            เหมือนพาลีหลายหน้าระอาอายฯ
-๖-
อันคนดีมีสัตย์สันทัดเที่ยง            ช่วยชุบเลี้ยงชูเชิดให้เฉิดฉาย
เอาไว้ใช้ใกล้ชิดไม่คิดร้าย            เขารักตายด้วยได้ด้วยใจตรงฯ
-๗-
อันโซ่ตรวนพวนพันมันไม่อยู่            คงมิสู้ซ่อนหมุนในฝุ่นผง
แม้ผูกใจไว้ด้วยปากไม่จากองค์        อุตส่าห์ทรงทราบแบบที่แยบคายฯ
-๘-
อันอ้อยตาลหวานลิ้นแล้วสิ้นซาก        แต่ลมปากหวานหูไม่รู้หาย
แม้เจ็บอื่นหมื่นแสนจะแคลนคลาย    เจ็บจนตายนั้นเพราะเหน็บให้เจ็บใจฯ
-๙-
จะรักชังทั้งสิ้นเพราะลิ้นพลอด        เป็นอย่างยอดแล้วพระองค์อย่าสงสัย
อันช่างปากยากที่จะมีใคร            เขาชอบใช้ช่างมือออกอื้ออึงฯ
-๑๐-
จงโอบอ้อมถ่อมถดพระยศศักดิ์        ถ้าสูงนักแล้วก็เขาเข้าไม่ถึง
ครั้นต่ำนักมักจะคิดผิดรำพึง            พอก้ำกึ่งกลางนั้นขยันนักฯ
-๑๑-
อันความคิดวิทยาเหมือนอาวุธ    ประเสริฐสุดซ่อนไว้เสียในฝัก
สงวนคมสมนึกใครฮึกฮัก         จงค่อยชักเชือดฟันให้บรรลัยฯ
-๑๒-
จับให้มั่นคั้นหมายให้วายวอด    ช่วยให้รอดรักให้ชิดพิสมัย
ตัดให้ขาดปรารถนาหาสิ่งใด     เพียรจงได้ดังประสงค์คงจะดีฯ
-๑๓-
ธรรมดาว่ากษัตริย์อติเรก        เป็นองค์เอกอำนาจดังราชสีห์
เสียงสังหารผลาญสัตว์ในปฐพี    เหตุเพราะมีลมปากนั้นมากนักฯ
-๑๔-
พระผ่านเกล้าเจ้าฟ้าบรรดาศักดิ์    แม้ไม่รักษายศจะอดสู
ซึ่งยศศักดิ์จักประกอบจำรอบรู้    ได้เชิดชูช่วยเฉลิมให้เพิ่มพูนฯ
-๑๕-
ประเพณีที่บำรุงกรุงกษัตริย์        ปฏิพัทธ์ผ่อนผันตามบรรหาร
ต่างพระทัยนัยน์เนตรสังเกตการ    ตามบุราณเรื่องราชนุวัติฯ
-๑๖-
อันข้าไทได้พึ่งเขาจึงรัก        แม้ถอยศักดิ์สิ้นอำนาจวาสนา
เขาหน่ายหนีมิได้อยู่คู่ชีวา        แต่วิชาช่วยกายจนวายปราณฯ
-๑๗-
อย่าฟังฟ้องสองโสตจงโปรดปราน        ด้วยลมพาลพานพัดอยู่อัตราฯ
-๑๘-
อย่างหม่อมฉันอันที่ดีและชั่ว        ถึงลับตัวก็แต่ชื่อเขาลือฉาว
เป็นอาลักษณ์นักเลงทำเพลงยาว        เขมรลาวลือเลื่องถึงเมืองนครฯ

สุนทรภู่จบเรื่องสวัสดืรักษาด้วยการอุทิศส่วนกุศลถวายแด่เจ้าฟ้ากุณฑล เจ้าฟ้าอาภรณ์ เจ้าฟ้ากลางและเจ้าฟ้าปิ๋ว ดังนี้

ควรมิควรส่วนผลานิสงส์        ซึ่งรูปทรงสังวรรัตน์ประภัสสร
ให้สี่องค์ทรงมหาสถาวร        ถวายพรพันวสาขอลาเอย

ที่มา:สมชาย  พุ่มสอาด

สุภาษิตสวัสดิรักษา

ในตอนปลายแห่งรัชกาลที่ ๒ ท่านสุนทรภู่ได้มีงานพิเศษอันเป็นเกียรติประวัติของท่านอีกอย่างหนึ่ง คือโปรดให้สอนหนังสือพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าอาภรณ์ พระราชโอรสองค์ใหญ่ซึ่งประสูติกับเจ้าฟ้ากุลฑลทิพยวดี พระอัครชายา นับว่าสุนทรภู่ได้เป็นครูของเจ้านายซึ่งอาจได้พึ่งพระคุณ ต่อไปในภายหน้า ตอนเป็นครูเจ้าฟ้าอาภรณ์นี้สุนทรภู่ได้ประมวลราชจริยาวัตรอันดีงามขึ้นเป็นหนังสือ เรื่อง “สวัสดิรักษา” ถวายเจ้าฟ้าอาภรณ์ (เรื่องนี้กรมศิลปากรเข้าใจว่าแต่งระหว่าง พ.ศ. ๒๓๖๔- ๒๓๖๗) ซึ่งในระหว่างเวลาใกล้เคียงกันนี้ ในฝรั่งเศสอัลเฟรดเดอะวิญญีแต่ง Cinq Mars ลามาตีน แต่งมรณกรรมของโซคราต และมิญเญแต่งประวัติการปฏิวัติ อนึ่งกรมศิลปากรยังเข้าใจว่าเรื่องสิงหไตรภพตอนต้นๆ ก็คงจะได้เริ่มแต่งถวายเจ้าฟ้าอาภรณ์ในตอนนี้ด้วย สุนทรภู่เรียกพระนามแฝงเจ้าฟ้าอาภรณ์เป็น พระสิงหไตรภพ

เมื่อปีพ.ศ. ๒๕๑๕ นักวรรณคดี ๒ ท่านเถียงกันว่าสุนทรภู่แต่งสวัสดิรักษาถวายเจ้านายพระองค์ใดแน่ ท่านทั้ง ๒ คือ คุณฉันท์ ขำวิไล กับ คุณฉันทิชย์ กระแสสินธุ์ นักศึกษาควรตรวจข้อขัดแย้งของท่านทั้งสองได้จากหนังสือวิทยาสาร ต.ค.-พ.ย. ๒๕๑๖ สำหรับข้าพเจ้า ขอเชื่อตามสมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพไปก่อนว่า แต่งถวายเจ้าฟ้าอาภรณ์โดยมีเหตุผลว่าเป็นครูของเจ้านายพระองค์นี้ ส่วนพระองค์ที่โต้กันไม่มีหลักฐานว่าสุนทรภู่เคยเป็นครู จะอาจเอื้อมไปสอนเทียวหรือ?

สวัสดิรักษา มีความยาวครึ่งเล่มสมุดไทย มีเนื้อความกล่าวถึงเรื่องการปฏิบัติตนเพื่อให้เกิดสิริมงคล เนื้อความดังกล่าวนี้สุนทรภู่มิได้คิดขึ้นเอง แต่นำมาจากสวัสดิรักษาของเก่าซึ่งเรียกกันว่า สวัสดิรักษาคำฉันท์ (ที่จริงเป็นกาพย์ฉบัง ๑๖ ไม่ใช่ฉันท์) เข้าใจว่าเป็นผลงานตอนปลายสมัยอยุธยา

เนื่องจากสวัสดิรักษาคำฉันท์ ซึ่งมีมาแต่ครั้งกรุงเก่าคนอ่านส่วนมากไม่สู้จะเข้าใจ สุนทรภู่จึงนำมาแต่งใหม่เป็นกลอนสุภาพ โดยขึ้นต้นเรื่องสวัสดิรักษาว่า
• สุนทรทำคำสวัสดิรักษา
ถวายพระหน่อบพิตรอิศรา
ตามพระบาลีเฉลิมให้เพิ่มพูน
เป็นของคู่ผู้มีอิสริยยศ
จะปรากฎเกิดลาภไม่สาบสูญ
สืบอายุสุริย์วงศ์พงศ์ประยูร
ให้เพิ่มพูนภิญโญเดโชชัย

คำว่า พระหน่อบพิตรอิศรา นั่นแล ที่คุณฉันท์ ขำวิไล และคุณฉันทิชย์ กระแสสินธุ์ วิจารณ์กัน

“สวัสดิรักษา,’’ เป็นประมวลความเชื่อของคนแต่ก่อนว่า ทำอย่างไรจึงจะเป็นมงคล เช่น เรื่องการนุ่งผ้าเลือกสีตามวัน

วันอาทิตย์สิทธิโชคโศลกดี        เอาเครื่องสีแดงทรงเป็นมงคล
วันจันทร์นั้นควรสีนวลขาว        จะยืนยาวชันษาสถาผล
อังคารม่วงช่วงงามสีครามปน    เป็นมงคลขัตติยาเข้าราวี
เครื่องวันพุธสุดดีด้วยสีแสด        กับเหลืองแปดประดับสลับสี
วันพฤหัสจัดเครื่องเขียวเหลืองดี    วันศุกร์สีเมฆหมอกออกสงคราม
วันเสาร์ทรงเครื่องดำจึงล้ำเลิศ    แสนประเสริฐเสี้ยนศึกจะนึกขาม
หนึ่งพาชีขี่ขับประดับงาม        ให้ต้องตามสีสันจึงกันภัย

หนึ่งพระองค์ทรงเจริญเพลินถนอม    อย่าให้หม่อมห้ามหลับทับหัตถา
ภิรมย์รสอตส่าห์สรงพระคงคา    เจริญราศีสวัสดิ์ขจัดภัย

หนึ่งเขฬะอย่าถ่มเมื่อลมพัด        ไปถูกสัตว์เสื่อมมนต์ดลคาถา
หนึ่งพบปะพระสงฆ์ทรงศีลา        ไม่วันทาถอยถดทั้งยศทรัพย์

หนึ่งเล่าเข้าที่ศรีไสยาสน์        อย่าประมาทหมั่นคำนับลงกับหมอน
เป็นนิรันดร์สรรเสริญเจริญพร    คุณบิดรมารดาคุณอาจารย์

หนึ่งนั้นวันกำเนิดเกิดเกิดสวัสดิ์    อย่าฆ่าสัตว์เสียสง่าทั้งราศี
อายุน้อยถอยเลื่อนทุกเดือนปี    แล้วมักมีทุกข์โศกโรคโรคา

หนึ่งบรรทมลมคล่องทั้งสองฝ่าย    พระบาทซ้ายอย่าพาดพระบาทขวา
ข้างขวาคล่องต้องกลับทับซ้ายมา    เป็นมหามงคลเลิศประเสริฐนัก

สุนทรภู่กล่าวไว้ตอนท้ายเรื่องว่า    การประพฤติปฏิบัติตนให้เกิดมงคลต่างๆ เหล่านี้เป็นเรื่องที่กษัตริย์ควรเรียนรู้ และบอกที่มาของเรื่องที่น่ามาแต่งไว้ดังนี้

ขอพระองค์จงจำ ไว้สำเหนียก    ดังนี้เรียกเรื่องสวัสดิรักษา
สำหรับองค์พงศ์กษัตริย์ขัตติยา    ให้ผ่องผาสุกสวัสดิ์ขจัดภัย
บทโบราณท่านทำเป็นคำฉันท์    แต่คนนั้นมิใคร่แจ้งแถลงไข
จึงกล่าวกลับซับซ้อนเป็นกลอนไว้        หวังจะให้เจนจำได้ชำนาญ
สนองคุณมุลิกาสามิภักดิ์            ให้สูงศักดิ์สืบสมบัติพัสถาน
แม้นผิดเพี้ยนเปลี่ยนเรื่องเบื้องโบราณ    ขอประทานอภัยโทบได้โปรดเอย

ที่มา:สมชาย  พุ่มสอาด

อภัยนุราชบทละครของสุนทรภู่

บทละครเรื่องอภัยนุราชนี้ สุนทรภู่แต่งในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เพื่อถวายพระองค์เจ้าดวงประภาพระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นบทละครสั้นๆ มีความยาว ๑ เล่มสมุดไทย แต่งระหว่าง พ.ศ. ๒๓๘๕-๒๓๙๓ บทละครเรื่องอภัยนุราชนี้ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงกล่าวว่า ผลงานเรื่องนี้สู้เรื่องอื่นๆ ไม่ได้

เนื้อหาของบทละครเรื่องนี้มีว่า พระอภัยนุราชมีมเหสีชื่อทิพมาลี มีโอรสชื่อพระอนันต์ มีธิดาชื่อวรรณา

พระอภัยนุราชประพาสป่าสาลวัน แต่ยิงสัตว์ไม่ได้เลย ทำให้แปลกพระทัย มีผู้เฒ่ากราบทูลว่าเป็นเพราะพระอภัยนุราชไม่ได้บวงสรวงอารักษ์ พระอภัยนุราชกริ้วและดำริว่าอารักษ์แกล้งพระองค์ จึงมีรับสั่งให้เผาศาล อารักษ์แค้นใจคิดแก้แค้นพระอภัยนุราช จึงหักคอนางศรีสาหงแล้วเข้าไปสิงในร่าง พระอภัยนุราชหลงรักนางจะพากลับวัง อำมาตย์ทัดทานก็ถูกสั่งประหาร พระอภัยนุราชจึงได้พานางศรีสาหงเข้าวัง หลงใหลนางไม่ออกว่าราชการงานเมือง นางทิพมาลีให้โอรสและธิดาไปกราบทูลเตือนให้ทรงออกว่าราชการ เมื่อพระอภัยนุราชเสด็จออก นางทิพมาลีเห็นนางศรีสาหง เกิดวิวาทกัน พระอภัยนุราชกริ้วนางทิพมาลี ต่อมานางทิพมาลีทำร้ายนางศรีสาหง นางศรีสาหงแกล้งทำทีว่าถูกทำร้ายจนตาบอดและวอนขอท้าวอภัยนุราชให้ควักตานางทิพมาลีมาใส่ให้ตน พระอภัยนุราชหลงเชื่อมีรับสั่งให้ควักลูกตาและถอดยศนางทิพมาลีให้เป็นโขลนรับใช้อยู่ในวัง พระอนันต์และนางวรรณาเข้าขัดขวาง แต่ขัดขวางไม่สำเร็จ นางศรีสาหงแกล้งทำทีเป็นเอาตานางทิพมาลีมาใส่ตานาง ทำให้สามารถมองเห็นได้ดังเดิม
สุนทรภู่ขึ้นต้นเรื่องอภัยนุราชว่า

มาจะกล่าวบทไป        ถึงท้าวไทอภัยนุราชเรืองศรี
กับโฉมยงองค์ทิพมาลี        ครองบุรีรมเยศเขตคัน
มีโอรสธิดาน่ารัก            ประไพพักตร์ลักษณ์เลิศเฉิดฉัน
เชษฐาชื่อว่าพระอนันต์    น้องชื่อวรรณาสุดาถาวร
คนละปีพี่สิบขวบเศษ        ดังเทเวศร์สุรางค์นางอัปสร
พระวงศาข้าบาทราษฎร    ทุกข์ร้อนไม่มีบีฑา
วันหนึ่งจึงท้าวอภัยนุราช    คิดใคร่ไปประพาสภูผา
ไล่ฝูงโคถึกมฤคา            แรมค้างกลางป่าพนาวัน

ตอนพระอภัยนุราชเดินป่า สุนทรภู่บรรยายว่า
เดินทางหว่างเขาเงาร่ม    เพลินชมเชิงผาพฤกษาไสว
บ้างผลิดอกออกแทรกแตกใบ    ลูกมะไฟมะเฟืองเหลืองระย้า
จำปาดะขนุนกรุ่นหอม        มะปรางปริงกิ่งค้อมริมจอมผา
ร้อยลิ้นอินจันทน์พรรณพวา        ฝูงนกกาจิกเจาะเกาะกิน
บนเขาสูงฝูงหงส์บุหรงร้อง        เยี่ยมหุบห้องปล่องเปลวเหวหิน
ชมเพลินเดินรอบขอบคีรินทร์    มีโกรกสินธุปรุปราย
ริมลำธารศาลเจ้าเก่าแก่        กษัตริย์แต่ก่อนปางสร้างถวาย
เสาศิลาฝากรุผุทลาย            ต้นรังรายรื่นรมย์พนมไพร
(บทละครเรื่องอภัยนุราชของสุนทรภู่, หน้า ๒)

ตอนพระอภัยนุราชกริ้วอารักษ์ สุนทรภู่บรรยายว่า

ฟังทูล                นเรศูรเคืองขัดอัชฌาสัย
จึงตรัสว่าป่าดงพงไพร        ก็อยู่ในเขตแคว้นแคนเรา
เพราะอารักษ์หักแกล้งกูแผลงศร    ไม่แน่นอนเหมือนหมายอายเขา
ไม่ยำเยงเกรงกูดูเบา    เอาไฟเผาศาลให้ไหม้หมดโครง
(บทละครเรื่องอภัยนุราชของสุนทรภู่ หน้า ๔)

ตอนอารักษ์แค้นพระอภัยนุราช สุนทรภู่บรรยายว่า

มาจะกล่าวบทไป    ถึงอารักษ์ที่เขาเผาศาลไหม้
ขึ้นสิงสู่อยู่บนต้นไทร    แค้นท้าวอภัยนุราชบังอาจนัก
แต่ก่อนกูอยู่มาป่านี้    ชาวบุรีเกรงฤทธิ์สิทธิศักดิ์
ถึงเดือนห้ามาเล่นเซ่นวัก    ไม่ทำการหาญหักเหมือนดังนี้
จะแก้แค้นแทนทำให้ส่ำเสีย    ให้เสียลูกเสียเมียเสียกรุงศรี
คิดพลางทางแผลงฤทธี    ไปเรือนอีผีสิงหญิงคนทรง
(บทละครเรื่องอภัยนุราชของสุนทรภู่, หน้า ๕)

เมื่อพระอภัยนุราชพักแรมในป่า ได้ครวญถึงมเหสีว่า

ดอกไม้สดรสรื่นชื่นแช่ม    เหมือนกลิ่นแก้มแจ่มนวลหวนถวิล
หอมบุปผาสารพันลูกจันทน์อิน    ไม่เหมือนกลิ่นนุชเนื้อที่เจือจันทน์
เจ้าพี่เอ๋ยเชยอื่นไม่ชื่น่จิต    เหมือนเชยชิดโฉมน้องประคองขวัญ
มานอนเดียวเปลี่ยวใจในไพรวัน    สะอื้นอั้นอกน้องมัวหมองเอย
(บทละครเรื่องอภัยนุราชของสุนทรภู่, หน้า ๖)

เมื่อพระอภัยนุราชโลมเล้านางศรีสาหง นางกราบทูลว่า

ด้วยเกินสาวคราวแก่แพ้ผม    ไม่ควรคู่ชูชมสมสอง
ที่รุ่นราวชาวเมืองเนืองนอง    อันรูปร่างอย่างน้องไม่ต้องการ
เหมือนเขาเปรียบเทียบความเมื่อยามรัก    น้ำผักต้มขมก็ชมหวาน
เมื่อจืดจางห่างเหินเนิ่นนาน        แต่น้ำตาลว่าเปรี้ยวไม่เหลียวดู
ขอสนองรองบาทเหมือนมาดหมาย    อย่าด่วน ได้ให้อายอดสู
ราชกิจผิดชอบไม่รอบรู้        พระภูวไนยได้เมตตา
(บทละครเรื่องอภัยนุราชของสุนทรภู่, หน้า ๑๑)

พระอภัยนุราชดำรัสตอบว่า

ถึงเจ้าเฒ่าแก่แพ้ผม        สาวพรหมจารีไม่มีเหมือน
อย่าห่างเหเรรวนชวนเชือน    จงเป็นเพื่อนรักพี่ร่วมที่นอน
ที่สาวสาวลาวตายพี่คลายรัก    ที่เคยคู่รู้หลักไว้พักสอน
เขาย่อมว่าปรากฏเป็นบทกลอน    กระต่ายแก่แม่ปลาช่อนงอนชด
(บทละครเรื่องอภัยนุราชของสุนทรภู่, หน้า ๑๑)

ตอนพระอภัยนุราชหลงใหลนางศรีสาหง สุนทรภู่บรรยายว่า

ครั้นรุ่งเช้าท้าวตื่นฟื้นองค์    ให้ลุ่มหลงปลงจิตพิสมัย
ลืมเหล่าสาวสรรค์กำนัลใน    มิได้ว่าขานการบูรี
ลืมเสวยเลยลืมสรงน้ำ        พระพักตร์คล้ำดำหมองเพราะต้องผี
ลืมโอรสธิดาลืมมาลี        เล่นกับศรีสาหงทรงสกา
(บทละครเรื่องอภัยนุราชของสุนทรภู่, หน้า ๑๒)

ตอนนางทิพมาลีวิวาทกับนางศรีสาหง นางศรีสาหงตอบโต้นางทิพมาลีว่า

ริษยาว่านั่งบัลลังก์ทอง    มาถีบถองดูเล่นก็เป็นไร
ตายร้ายตายดีก็ทีหนึ่ง        ที่กูจะละมึงอย่าสงสัย
แท่นทองของพระภูวไนย    ประทานให้ได้อยู่อย่าดูแคลน
มิใช่ข้าอาศัยเมื่อไรเล่า        ของเราเจ้าล่องมาหวงแหน
จะตีปีกฉีกแหกให้แตกแตน    มเหเสือเหลือแสนทำแทนเธอ
(บทละครเรื่องอภัยนุราชของสุนทรภู่, หน้า ๑๗)

นางทิพมาลีตัดพ้อพระอภัยนุราชและโต้ตอบนางศรีสาหงว่า

ทูลเกล้า                    พ่อเจ้าประคุณอย่าฉุนเฉียว
ช่างเชื่ออีผีสิงจริงเจียว            เห็นชุ่ยเห็นเข่นเขี้ยวคอเดียวกัน
ฉะหนักหนอตอแหลอีแก่แรด    ทำออดแอดอ้อนวอนผ่อนผัน
มิยำเยงเกรงองค์พระทรงธรรม์    จะเอาฟันออกจากปากมึง
จะข่มขู่กูนั้นอย่ามั่นหมาย        ตายร้ายตายดีก็ทีหนึ่ง
เฝ้าแต้มเติมเหิมฮึกลึกซึ้ง        ไม่แคล้วแล้วมึงแมวพึ่งพระ
(บทละครเรื่องอภัยนุราชของสุนทรภู่, หน้า ๒๐)

พระอนันต์และนางวรรณาครวญเมื่อทราบว่าพระบิดาให้ควักนัยน์ตาพระมารดาว่า

ถ้าแม้นว่าตาบอดคงวอดวาย    จะขอตายด้วยพระชนนี
จะทูลขอก็เห็นจะไม่ให้            แค้นใจน้อยหน้าอีทาสี
อย่าช้าอยู่ผู้รับสั่งทั้งนี้            เร่งฆ่าตีชีวันให้บรรลัย
พระแม่จ๋าอย่าอยู่เลยพูคะ        ตายเถิดจ้ะประเสริฐไปเกิดใหม่
ลูกดูแม่แลดูลูกผูกใจ            สะอื้นไห้ไม่วายฟายน้ำตา
(บทละครเรื่องอภัยนุราชของสุนทรภู่, หน้า ๒๕)

เรื่องอภัยนุราชจบลงด้วยคำบรรยายว่า

เมื่อนั้น                    พระจอมวังนั่งชมนางโฉมศรี
มาพบเห็นเป็นเมียมิเสียที        ได้เวทีชาวสวรรค์ชั้นฟ้า
พระเนตรน้องสองข้างสว่างแล้ว    ดูผ่องแผ้วผิวพักตร์นวลหนักหนา
พลางกอดเกี้ยวเกลียวกลมภิรมยา    จนโพล้เพล้เวลาราตรี
(บทละครเรื่องอภัยนุราชของสุนทรภู่, หน้า ๓๐)

ที่มา:สมชาย  พุ่มสอาด

ลักษณวงศ์วรรณคดีของสุนทรภู่

วรรณคดีเรื่องลักษณวงศ์เป็นงานชิ้นสำคัญเรื่องหนึ่งของท่านกวีเอกสุนทรภู่ ท่านกวีผู้นี้ข้าพเจ้าเข้าใจว่าท่านคงรู้จักมาบ้างแล้ว จึงจะไม่นำประวัติของท่านมากล่าวละเอียด แต่จะขอกล่าวเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับหนังสือเรื่องลักษณวงศ์เท่านั้น

พูดถึงเรื่องลักษณวงศ์เข้าใจว่านักอ่านรุ่นกลางๆ คนขึ้นไปย่อมรู้จักหรือเคยได้ยินชื่อ แต่นักอ่านรุ่นเยาว์คงจะมีน้อยคนนักที่จะเคยอ่านหรือแม้แต่เคยได้ยินชื่อ ทั้งนี้เพราะเหตุผลหลายประการ เช่นหนังสือเรื่องลักษณวงศ์หาอ่านยากอย่างหนึ่ง เรื่องรสนิยมในการอ่านวรรณคดีประเภทโคลงฉันท์ กาพย์กลอนในสมัยนี้มีน้อยประการหนึ่ง

แต่จะอย่างไรก็ดี เมื่อชาติไทยยอมสดุดีว่าสุนทรภู่เป็นกวีเอกของชาติคนหนึ่งแล้ว การที่เราจะสนทนากันถึงวรรณกรรมเรื่องหนึ่งของสุนทรภู่ก็น่าจะไม่เป็นเรื่องที่ล้าสมัยหรือไร้ประโยชน์เสียทีเดียว ด้วยเหตุนี้ข้าพเจ้าจึงขอนำเรื่องลักษณวงศ์มาสนทนากับท่าน

ข้าพเจ้าขอเรียนว่า หนังสือเรื่องลักษณวงศ์นี้มีลักษณะน่าสังเกตบางประการ ประการแรก ก็คือ วัตถุประสงค์ของการแต่ง คือมีวัตถุประสงค์แตกต่างกับเรื่องอื่นๆ ของสุนทรภู่ แต่ไหนแต่ไรมาสุนทรภู่แต่งหนังสือเพื่อถวายเจ้านายที่ตนได้พึ่งพระคุณเริ่มตั้งต้นแต่วรรณคดีเรื่องแรกคือ โคบุตร ก็ดี วรรณคดีเรื่องพระอภัยมณีซึ่งเป็นวรรณกรรมเยี่ยมยอดของสุนทรภู่ก็ดี ล้วนแต่มีวัตถุประสงค์จะถวายเจ้านายทั้งนั้น ส่วนวรรณคดีเรื่องลักษณวงศ์นี้สุนทรภู่มิได้แต่งเพื่อถวายเจ้านายพระองค์ใด หากแต่แต่งเพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้องตนเอง เพราะสนุทรภู่แต่งเรื่องลักษณวงศ์ไนขณะที่ตนเองหมดที่พึ่งขาดเจ้านายอุปการะดังแต่ก่อน ต้องสัญจรร่อนเร่ลอยเรือขายของไปตามแม่นํ้าลำคลอง และขายสำนวนกลอนลักษณวงศ์เลี้ยงอาตมาอยู่อย่างอาภัพอับจน น่าจะกล่าวได้ว่าในประวัติวรรณคดีไทย สนุทรภู่เป็นคนขายสำนวนประพันธ์หากินได้เป็นคนแรก และถ้าอย่างนั้น วรรณกรรมหากินเรื่องหนึ่งของสุนทรภู่ก็คือ ลักษณวงศ์ ที่เรากำลังพูดถึงกันอยู่นี่เอง ลักษณวงศ์เป็นวรรณกรรมหากินของกวีเอกสุนทรภู่ในยามวิบัติ

ก็เนื้อเรื่องของลักษณะวงศ์นั้นเป็นอย่างไร? จะขอเก็บความมาพอเป็นเค้า สุนทรภู่ได้คลี่คลาย นิยายประโลมโลกของท่านด้วยกลอนเสนาะตลอดเรื่อง เริ่มด้วยท้าวพรหมทัตผู้หลงมายาอิสตรีจนถึงกับสั่งฆ่านางสุวรรณอัมพาผู้มเหสีและลักษณวงศ์ผู้โอรสแต่เดชะบุญแม่ลูกทั้งสองนี้รอดความตายมาได้เพราะเพชฌฆาตปล่อยให้เป็นอิสระ สองแม่ลูกต้องออกเร่ร่อนผจญภัย และในที่สุดต้องพลัดพรากกันเป็นเหตุให้ลักษณวงศ์ตกไปอยู่ยังสำนักหนึ่งร่วมกับนางทิพเกสร ลักษณวงศ์กับทิพเกสรได้สนิทสนมรักใคร่กันมาแต่ปฐมวัย แต่ในตอนหลังทั้งสองมีเหตุต้องพลัดพรากกัน คือลักษณวงศ์ต้องออกติดตามชนนี ส่วนทิพเกสรต้องไปอาศัยอยู่กับเหล่านางกินนรีที่ในถํ้า ครั้นเวลาล่วงไปเมื่อลักษณวงศ์ตามพบชนนีแล้วได้เที่ยวตามหาทิพเกสรหญิงคนรักต่อไปอีก คราวนี้ลักษณะวงศ์มาพบทิพเกสรที่ถํ้านางกินนรี และได้ทิพเกสรหญิงคนรักเป็นชายา
แต่แล้วสุนทรภู่ก็ให้พระและนางของตนพรากกันอีกครั้งหนึ่ง ลักษณวงศ์ไปสู่เมืองอุบลนคร และได้ธิดาเจ้าเมืองชื่อยี่สุ่นเป็นชายา ส่วนทิพเกสรก็ออกติดตามสามีโดยแปลงเพศเป็นพราหมณ์ผู้ชาย เรียกนามตนเองว่าพราหมณ์เกสร เที่ยวสัญจรตามสามีจนในที่สุดมาพบกัน พราหมณ์เกสรได้สมัครเข้าไปอยู่ในราชสำนักของลักษณวงศ์ ลักษณวงศ์โปรดปรานพราหมณ์เกสรยิ่งนัก ทั้งนี้เป็นเหตุให้ยี่สุ่นชายาโกรธแค้น จึงหาอุบายต่างๆ ในทำนองว่าพราหมณ์เกสรล่วงเกินนางในทางชู้สาว ยี่สุ่นจึงแกล้งทูลลักษณวงศ์สวามี จนกระทั่งลักษณวงศ์เกิดโมหาคติสั่งประหารพราหมณ์เกสร ซึ่งที่แท้ก็คือชายาคู่ทุกข์คู่ยากนั่นเอง ทิพเกสรถูกประหารทั้งๆ ที่นางกำลังตั้งครรภ์

นี่คือเรื่องประโลมโลกของสุนทรภู่ที่เรียกนํ้าตาคนไทยอย่างมาก

ปัญหาที่น่าสนใจต่อมามีว่าสุนทรภู่ได้เค้าเรื่องลักษณวงศ์มาจากไหน สุนทรภู่เองได้แสดงไว้ในตอนคำนำเรื่องว่าได้จากเรื่องดึกดำบรรพ์ทำนองชาดก คือกล่าวว่า “นิทานหลังครั้งว่างพระศาสนา เป็นปฐมสมมุติกันสืบมา โดยปัญญาที่ประวิงทั้งหญิงชาย ฉันชื่อภู่รู้เรื่องประจักษ์แจ้ง จึงแสดงคำคิด ประดิษฐ์ถวาย ตามสติริเริ่มเรื่องนิยาย ให้เพริดพรายมธุรสพจนา” คำเกริ่นบอกเรื่องของสุนทรภู่มักเป็นเช่นนี้เสมอ เรื่องโคบุตรสุนทรภู่ก็ว่าได้เค้าเรื่องจากโบราณเช่นเดียวกันนี้

แต่ตามความเป็นจริงเห็นจะไม่ใช่ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ นักค้นคว้าโบราณคดี สำคัญพระองค์หนึ่งทรงเล่าไว้ว่า เรื่องลักษณวงศ์นี้ผู้เฒ่าผู้แก่เล่าว่าสุนทรภู่ได้เค้าเรื่องจากความสัมพันธ์ระหว่างเจ้านายผู้สูงศักดิ์สองพระองค์ คือระหว่างเจ้าฟ้ามงกุฎซึ่งภายหลังได้เถลิงถวัลย์ราชสมบัติเป็นพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กับพระองค์เจ้าหญิงนฤมล เจ้าหญิงพระองค์นี้ดูเหมือนจะเป็นราชธิดากรมพระราชวังบวรฯ มหาเสนานุรักษ์ในรัชกาลที่ ๒ ปรากฏว่าเจ้าฟ้ามงกุฎทรงสิเนหาเจ้าหญิงพระองค์นั้นมากแต่เจ้าหญิงพระองค์นั้นได้ด่วนสิ้นพระชนม์เสียในพระวัยอันเยาว์ ทั้งนี้เป็นเหตุให้เจ้าฟ้ามงกุฎทรงโศกาดูรอาลัยอาวรณ์ในเจ้าหญิงพระองค์นั้นมาก ในคราวงานสดับปกรณ์ เจ้าฟ้ามงกุฎถึงกับ กำสรวลจนนํ้าพระเนตรคลอ สุนทรภู่เมื่อเห็นหรือทราบเรื่องนั้นจึงเก็บมาสร้างเป็นโครงเรื่องลักษณวงศ์ขึ้น เรื่องนี้ปรากฎในพระนิพนธ์เรื่องลิลิตมหามกุฎราชคุณานุสรณ์ของกรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ ดังจะขอคัดมาให้พิจารณาดังนี้

ฟ้ามกุฎสุดสวาทน้อง            นางสุดา อาว์ท่าน
นามพระองค์นฤมล            เมื่อน้อย
ชิงสิ้นพระชนมาย์            เมื่อภิเนก ษกรมแฮ
ยามสดับปกรณ์ท้อนละห้อย        เหิ่มหวน

ทรวงกำสรวลส่อน้ำ    เนตรคลอ เนตรท่าน
จับจิตจนสุนทร        ภู่เย้า
เฉลยลักษณวงศ์กรอ    กลอนเปรียบ ภิเปรยเอย
เยาว์อยู่ยินผู้เถ้า        ถั่งเถิง

ดังนี้ ตามข้อความของโคลงที่ยกมา แสดงว่าสุนทรภู่แต่งเรื่องลักษณวงศ์ขึ้นโดยเค้าเรื่องจากชีวิตจริงๆ ของบุคคลสำคัญในชีวิตของสุนทรภู่เอง คือความสัมพันธ์ระหว่างเจ้านายชั้นสูงทั้งสองพระองค์นั้นจรรโลงใจสุนทรภู่ จนสุนทรภู่นำไปสร้างเป็นโครงเรื่องลักษณวงศ์ขึ้น ดังโคลงกรมพระ- นราธิปฯ ว่า “จับจิตจนสุนทร ภู่เย้า” คำว่า “เย้า” ก็คือล้อนั้นเอง

แต่สุนทรภู่เย้าเจ้าฟ้ามงกุฎเพียงไหน และเย้าอย่างไร เรื่องนี้เราไม่ทราบความสัมพันธ์ระหว่างเจ้านายสองพระองค์นั้นอย่างถี่ถ้วน ทราบแต่ว่าเจ้าหญิงนฤมลมาสิ้นพระชนม์เสียเมื่อรัชกาลที่ ๓ เจ้าฟ้ามงกุฎจึงโศกาลัยอย่างสุดซึ้ง ตามเรื่องสุนทรภู่จึงสร้างให้ทิพเกสรผู้ซื่อสัตย์ได้วายชนม์ลง เป็นเหตุให้ลักษณวงศ์ต้องคร่ำครวญหวนโหยเป็นที่สุด เจตนาของสุนทรภู่ดูเหมือนจะแต่งเรื่องเทียบเรื่องของเจ้านายที่นับถือของตนเพียงเท่านี้ ส่วนรายละเลียดปลีกย่อยอื่นๆ ในเรื่องลักษณวงศ์คงเป็นบทขยาย หรือโครงเรื่องย่อยดังที่เรียกกันในวงประพันธ์ว่า Sub-plot อันเกิดจากความคิดคำนึงประดิษฐ์ประดอยขึ้นทั้งสิ้น การเย้าหรือล้อของสุนทรภู่จึงเป็น “การเย้าด้วยความคารวะ” เท่านั้น

เกี่ยวกับบทบาทของตัวละครเราจะเห็นว่าสุนทรภู่พยายามจะวาดหญิงแบบฉบับขึ้นคนหนึ่ง อย่างทิพเกสร เป็นคนเดียวที่อาภัพอับโชคที่สุดในชีวิต บางทีสุนทรภู่อาจชี้ให้เห็นว่า “คนดีที่ความดีคุ้มครองไม่ได้” ก็มีอยู่เหมือนกันในโลกนี้ สุนทรภู่วาดทิพเกสรให้เป็นเหมือนตัวแทนพระองค์เจ้าหญิงนฤมลกระนั้นหรือ?

ท่านผู้อ่านที่นับถือ ท่านทราบแล้วว่าโลกนี้เป็นกามภพ มนุษย์เป็นปุถุชนผู้หนาแน่นด้วยกิเลส เมื่อสร้างเรื่องลักษณวงศ์นี้สุนทรภู่จึงสร้างปมมืดมนงมงายขึ้นให้กับตัวละคร ปมนั้นคืออวิชชาและ โมหาคติ แล้วจึงคลี่คลายเรื่องออกไปทีละน้อยๆ แทรกแซงปมมืดเหล่านั้นด้วยอารมณ์ปุถุชน มีความรัก ความโกรธ ความหึง และมายาต่างๆ เมื่อได้ทรมานตัวละครพอสมควรแล้ว สุนทรภู่ก็คลายปมมืดนั้นออกทีละน้อยๆ บุคคลที่มากด้วยอวิชชาและโมหาคติก็ค่อยสำนึกตัวในที่สุด และแล้วก็สารภาพความผิด
คนทั้งหลายทำผิดเพราะความรักความหลงอยู่ไม่น้อยเลย สุนทรภู่จึงสร้างท้าวพรหมทัต และลักษณวงศ์ไว้เป็นอุทาหรณ์สำหรับสอนคนไทยในสมัยของสุนทรภู่เรื่องลักษณวงศ์จึงเป็นทั้งมหรสพ และเป็นทั้งแบบเรียนศีลธรรม นี่คือโศกนาฏกรรมที่บรรพชนของเราชื่นชมมาแล้วอย่างจับอกจับใจ

เมื่อข้าพเจ้าศึกษาชีวิตและงานของสุนทรภู่แล้ว เกิดมีความรู้สึกขึ้นอีกอย่างหนึ่งว่า เรื่องลักษณวงศ์นี้อาจเป็นเรื่องชีวิตของสุนทรภู่เองก็ได้ คือสุนทรภู่ถ่ายทอดชีวิตตนเองลงเป็นเรื่องลักษณวงศ์ ทำไมข้าพเจ้าจึงคิดเช่นนั้น ข้าพเจ้าจะขอแสดงเหตุผลต่อไป ขอท่านผู้อ่านทั้งหลายโปรดอภัยด้วยถ้าหากข้อสันนิษฐานของข้าพเจ้าจะผิดไป เจตนาของข้าพเจ้ามีเพียงการสันนิษฐานเพื่อประโยชน์ทางประวัติวรรณคดีไทยอาจผิดก็ได้ อาจถูกสักเล็กน้อยก็ได้

ท่านผู้อ่านที่นับถือ ข้าพเจ้าเข้าใจว่าเรื่องลักษณวงศ์เป็นเรื่องเทียบขอให้เราพิจารณาชื่อเรื่องของตัวละครสำคัญๆ ดู คำว่าลักษณวงศ์ ซึ่งเป็นตัวเอกฝ่ายชายนั้นถ้าจะแปลความหมายก็ว่า วงศ์ที่มีลักษณะอย่างหนึ่งอย่างใดเป็นพิเศษ ถ้าท่านตรวจประวัติวรรณคดีไทยดู ท่านจะทราบได้ว่าพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ในชีวิตของสุนทรภู่เป็นกวีทั้งสิ้น รัชกาลที่ ๑, ที่ ๒, ที่ ๓ และที่ ๔ ทรงพระราชนิพนธ์หนังสือดีๆ มีค่าไว้ทุกพระองค์ แปลว่าราชวงศ์จักรีนี้เป็นราชวงศ์แห่งกวี ความเป็นกวีเป็นลักษณะพิเศษของราชวงศ์จักรี ฉะนี้กระมัง สุนทรภู่ผู้เป็นจินตกวีจึงมองเห็นลักษณะเด่น เลยตั้งชื่อเรื่องของตนว่าลักษณวงศ์ เมื่อเทียบกับพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ที่ตนได้พึ่งพระคุณและมีชีวิตเกี่ยวข้องอยู่ โดยเฉพาะลักษณวงศ์อาจเป็นพระนามที่สุนทรภู่เทียบถึงพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย หรือพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวกระมัง?

ส่วนนามตัวละครเอกฝ่ายหญิงในเรื่องลักษณวงศ์นั้นเล่า มีข้อน่าคิดว่าหมายถึงตัวสุนทรภู่เอง คำว่าทิพเกสรหรือทิพ์เกสรก็มีความหมายในทำนองหอมหวานเป็นชั้นทิพย์ชั้นสวรรค์ ก็นามบรรดาศักดิ์สุนทรโวหารของสุนทรภู่ก็เข้าลักษณะ ดี งาม ไพเราะ จนมีชื่อเสียงหอมหวนนั้นเอง จึงทำให้น่าคิดว่าสุนทรภู่ใช้นางเอกของเรื่องที่ชื่อว่าทิพยเกสรหรือทิพเกสรนั้นหมายถึงตนเอง แต่สุนทรภู่มีชีวิตแบ่งได้เป็น ๒ ยุค คือยุคร่มเย็นเป็นสุข โดยเฉพาะในรัชกาลที่ ๒ กับยุคอาภัพอับจนต้องทนทุกข์ในรัชกาลที่ ๓ ชีวิตของทิพเกสรก็หมายถึงชีวิตตอนเป็นสุขของสุนทรภู่    ส่วนชีวิตตอนลำบากเริ่มตั้งแต่ออกบวชนั้นก็ได้แก่ชีวิตตอนทิพเกสรแปลงตัวเป็นพราหมณ์เกสรนั้นเอง การที่สุนทรภู่ให้ทิพเกสรปลอมตัวเป็นพราหมณ์ก็อ้างว่าเพื่อความปลอดภัยและเราท่านย่อมทราบว่าสุนทรภู่นั้นเคยไปบวชเป็นพระเพื่อหนีภัยในรัชกาลที่ ๓ ฉะนั้นจึงน่าคิดว่าพราหมณ์เกสรก็คือพระสุนทรภู่นั่นเอง

ท่านผู้อ่านที่นับถือ ก่อนจบข้าพเจ้าขอยกข้อสมมุติสักอย่างหนึ่งคือ ถ้าลักษณวงศ์มิใช่เรื่องโบราณดังสุนทรภู่ว่าก็ดี หรือมิใช่เรื่องของเจ้าฟ้ามงกุฎกับพระองค์เจ้าหญิงนฤมลดังที่กรมพระนราธิป ทรงเล่าก็ดี ข้าพเจ้าสงสัยว่าเรื่องลักษณวงศ์น่าจะหมายถึงใครต่อใครในชีวิตของสุนทรภู่อย่างมาก โดยเฉพาะสุนทรภู่อาจจะเคลิ้มไปว่าตนเองคือทิพเกสรหรือพราหมณ์เกสรนั่นเอง สุนทรภู่อาจแต่งเรื่องนี้ในทำนองเรื่องเทียบความปรากฏตอนหนึ่งเหมือนกับชีวิตของสุนทรภู่ในขณะเป็นกวีที่ปรึกษาของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยคือตอนบรรยายถึงความใกล้ชิดระหว่างลักษณวงศ์กับพราหมณ์เกสรว่าดังนี้

“ปางพระองค์ทรงแต่งเรื่องอิเหนา    พราหมณ์ก็เข้าเคียงเขียนอักษรศรี
เมื่อท้าวติดพราหมณ์ก็ต่อพอดี    ท้าวทวีความสวาทประภาษชม”

จากเรื่องลักษณวงศ์นี้ทำให้น่าเข้าใจว่า ตัวนางทิพเกสร สุนทรภู่หมายถึงตนเองในยุคเป็นสุข และพราหมณ์เกสรก็คือสุนทรภู่ตอนตกยาก นับตั้งแต่ออกบวชเป็นต้นไปนั้นเอง ที่ใช้นามทิพเกสรก็หมายถึงเกสรดอกไม้สวรรค์ย่อมหอมหวน เช่นเดียวกับชื่อเสียงอันหอมหวนของสุนทรภู่ตอนก่อนที่ รัชกาลที่ ๒ จะโปรดให้เข้ารับราชการกระมังสุนทรภู่เป็นคนหยิ่งในทางการประพันธ์ แม้ตอนอดอยากก็ยังหยิ่ง แต่นี่เป็นเพียงการสันนิษฐานของข้าพเจ้าอย่างที่คิดเห็นไปเอง ยังไม่มีหลักฐานอันใดดีกว่าการคิดอนุมานเอา แต่ถ้าท่านทราบชีวประวัติของสุนทรภู่แล้ว ท่านจะเห็นว่าเหมือนพราหมณ์เกสรเป็นอย่างมาก จึงขอฝากความคิดนี้แด่เพื่อนนักศึกษาวรรณคดีโดยทั่วกันเพื่อพิจารณาต่อไป

ที่มา:สมชาย  พุ่มสอาด

สิงหไกรภพ

นิทานคำกลอนที่ขึ้นชื่อลือชาอีกเรื่องหนึ่งของสุนทรภู่ที่เด็กๆ สมัยนี้ต่างนิยมชมชอบ เนื่องจากได้มีผู้นำมาทำเป็นบทภาพยนตร์ทางโทรทัศน์เรื่อง สิงหไกรภพ ออกแพร่ภาพจนเด็กๆ ติดกันงอมแงม นับว่าสุนทรภู่สามารถผูกนิทานได้ยอดเยี่ยมจริงๆ

สิงหไกรภพ เป็นนิทานคำกลอนที่มีความยาวรองลงมาจากเรื่องพระอภัยมณี คือมีความ ยาว ๑๕ เล่มสมุดไทย บางคนกล่าวว่าสุนทรภู่แต่งเรื่องนี้เพื่อประชันกับเรื่องไกรทองพระราชนิพนธ์ ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย นายธนิต อยู่โพธิ์ กล่าวว่าสุนทรภู่เริ่มแต่งนิทานเรื่องนี้ ตอนปลายสมัยรัชกาลที่ ๒ (พ.ศ. ๒๓๖๕-๒๓๖๗) เพื่อถวายเจ้าฟ้าอาภรณ์ (ขณะนั้นยังทำหน้าที่ถวายพระอักษรเจ้าฟ้าอาภรณ์อยู่) แล้วมาแต่งต่อในสมัยรัชกาลที่ ๓ เข้าใจว่าแต่งถวายกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ แต่เรื่องค้างอยู่ แต่งไม่จบ

เนื้อหาของนิทานเรื่องนี้มีอยู่ว่า ท้าวอินณุมาศครองเมืองโกญจา มีนางจันทรเป็นมเหสี ไม่มีโอรสหรือธิดา ต่อมาเอาลูกโจรมาเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรมให้ชื่อว่าคงคาประลัย คงคาประลัยชิงราชสมบัติของท้าวอินณุมาศ พระอินทร์ช่วยอุ้มท้าวอินณุมาศและนางจันทรมาอยู่ป่า สองกษัตริย์ปลอมพระองค์เป็นคนสามัญ ไปอาศัยอยู่กับพรานป่าชื่อเพิก จนกระทั่งนางจันทรคลอดโอรส แล้วโอรสองค์นี้ถูกพราหมณ์เทพจินดาขโมยไปเลี้ยงไว้ ยักษ์พินทุมารจับพราหมณ์เทพจินดาและพระโอรสนั้นได้เอาไปเลี้ยงไว้ ตั้งชื่อพระโอรสว่าสิงหไกรภพ เมื่อโตขึ้นพราหมณ์เทพจินดาและสิงหไกรภพขโมยยาวิเศษของยักษ์ แล้วพากันหนีจากไปพราหมณ์เทพจินดาพาสิงหไกรภพไปอยู่ที่บ้านตน สิงหไกรภพทราบว่าตนเป็นลูกกษัตริย์ก็หนีพราหมณ์เทพจินดาออกตามหาบิดามารดา ได้นางสร้อยสุดาธิดาของท้าวจตุรพักตร์ กษัตริย์แห่งเมืองมารันเป็นชายา จนนางตั้งครรภ์แล้วพากันหนีมา ท้าวจตุรพักตร์ตามมาชิงนางสร้อยสุดาคืนไป พราหมณ์เทพจินดาตามสิงหไกรภพกลับไปครองเมืองโกญจา ท้าวจตุรพักตร์ยกทัพมาตีเมือง โกญจา ถูกสิงหไกรภพฆ่าตาย สิงหไกรภพรับนางสร้อยสุดามาอยู่ด้วยกันที่เมืองโกญจนา แล้วให้พราหมณ์เทพจินดาครองเมืองมารันต่อมารามวงศ์โอรสของสิงหไกรภพซึ่งอยู่กับยายที่เมืองมารันเติบโตขึ้นได้ลายายมาเยี่ยมสิงหไกรภพ แต่หลงทางเข้าไปในเมืองยักษ์ ได้นางแก้วกินรีแล้วพลัดพรากจากกัน สิงหไกรภพออกติดตามรามวงศ์ ได้นางเทพกินราเป็นชายา ต่อมานางเทพกินราทำเสน่ห์เพื่อให้สิงหไกรภพหลงใหลตน พราหมณ์เทพจินดาแก้เสน่ห์ให้ ต่อจากนี้รามวงศ์ได้ติดตามหาสิงหไกรภพ แต่ไม่ทันได้พบกัน และเรื่องก็จบเพียงเท่านั้น
สุนทรภู่เริ่มต้นนิทานเรื่องนี้ว่า

ข้าบาทขอประกาศประกอบเรื่อง
แต่ปางหลังยังมีบุรีเรือง    ชื่อว่าเมืองโกญจาสถาวร
นามพระองค์ซึ่งดำรงอาณาราษฎร์    อินณุมาศบพิตรอดิศร
พระนามนางเกศสุรางคนิกร        ชื่อจันทรแก้วกัลยาณี
แสนสนมหมื่นประนมประณตน้อม    ดังดาวล้อมจันทราในราศี
ทั้งเสนาพฤฒามาตย์ราชกระวี    อัญชุลีเพียงพื้นพระโรงเรียง
สำราญรอบขอบคันนิคมเขต        ทั่วประเทศพิณพาทย์ไม่ขาดเสียง
สองพระองค์ทรงธรรมไม่ต่ำเอียง    ไร้แต่เพียงบุตราธิดาดวง
(พ. ณ ประมวญมารค, “สิงหไกรภพ” นิทานคำกลอนสุนทรภู่, หน้า ๙)

ตอนโหรทำนายฝันของนางจันทร แล้วกล่าวว่าท้าวอินณุมาศและนางจันทรจะสูญเสียราช¬สมบัติ ท้าวอินณุมาศปลงตก คิดได้ว่า

เป็นทุกขังอนิจจังอนัตตา    อันเกิดมาเป็นบุคคลไม่พ้นตาย
สุขกับโศกเหมือนหนึ่งโรคสำหรับร่าง    รำพึงพลางหักให้พระทัยหาย
กลับคนเข้าแท่นสุวรรณพรรณราย        ตรัสสอนสายสุดสวาทนาฏอนงค์
สงวนครรภ์ขวัญเนตรเถิดน้องรัก        โหราทักทุกข์แทบจะผุยผง
เรายึดยุดพุทธคุณให้มั่นคง            เป็นทางตรงตราบสิ้นชีวาลา
(พ. ณ ประมวญมารค, “สิงหไกรภพ” นิทานคำกลอนสุนทรภู่, หน้า ๑๕)

สุนทรภู่บรรยายความทุกข์ยากลำบากของนางจันทรขณะอยู่กับพรานเพิกว่า

น่าสงสารทรามวัยพระทัยหาย
ภูษาทรงโจงกระหวัดรัดพระกาย    ฉวยกระบายโกยเข้าลงใส่ครก
ไม่เคยตำก็ถลำถลากพลาด        ออกพรุดพราดเรี่ยรายกระจายหก
ไม่ทันแตกเอาขึ้นหัตถ์ฝัดกระทก    แล้วใส่ครกกลับตำนั้นร่ำไป
(พ. ณ ประมวญมารค, “สิงหไกรภพ” นิทานคำกลอนสุนทรภู่, หน้า ๒๔)

ตอนนางจันทรคลอดพระโอรส สุนทรภู่บรรยายให้เห็นความเศร้าโศกของท้าวอินณุมาศ และนางจันทรที่โอรสมาคลอดกลางป่าว่า

ดูลูกรักวรพักตร์เพียงเพ็ญจันทร์    พระทรงธรรม์กอดลูกแล้วโศกา
นฤบาลว่าสงสารพระลูกแก้ว    เกิดมาแล้วเมื่อพ่อขาดวาสนา
นางจันทรว่าแม้นก่นพ่อเกิดมา    พระวงศาก็จะล้อมอยู่พร้อมเพรียง
พระบิดาว่าแม้นเมื่อได้ฤกษ์        จะเอิกเกริกแตรสังข์ประดังเสียง
พระชนนีว่าจะมีแม่นมเคียง        พระพี่เลี้ยงเฒ่าแก่จะแจจัน
พระปิตุเรศว่าประเทศทุกไทท้าว    ถ้ารู้ข่าวก็จะรีบมาทำขวัญ
พระมารดาว่าพ่อนอนเมื่อกลางวัน    ฝูงกำนัลก็จะเห่ดังเรไร
พระบิดาว่าโอ้มาคลอดเจ้า    กระท่อมเท่ารังกาได้อาศัย
พระมารดาว่าสงสารสายสุดใจ    อู่ก็ไม่มีรองพระองค์เลย
พระทรงฤทธิ์ว่าคิดแล้วใจหาย    เอาหนังควายต่างฟูกเถิดลูกเอ๋ย
พระมารดาว่าขวัญเข้าเจ้าทรามเชย    มาเสวยถันเต้าแม่เต็มทรวง
สองกษัตริย์โทมนัสด้วยลูกน้อย    ยิ่งเศร้าสร้อยคิดคะนึงถึงวังหลวง
แล้วแข็งขืนกลืนโศกไว้ในทรวง    อาทิตย์ล่วงเลยลัดอัสดงค์
(พ. ณ ประมวญมารค, “สิงหไกรภพ” นิทานคำกลอนสุนทรภู่, หน้า ๒๗)

สิงหไกรภพให้คำมั่นสัญญาแก่นางสร้อยสุดาว่า“ถึงม้วยดินสินฟ้าสุราลัย ไม่จากไกลกลอยสวาทแล้วชาตินี้” (พ. ณ ประมวญมารค, “สิงหไกรภพ,, นิทานคำกลอนสุนทรภู่, หน้า ๖๘)

ตอนสิงหไกรภพอุ้มนางสร้อยสุดาหนียักษ์ผู้เป็นบิดา สุนทรภู่บรรยายถึงความว้าเหว่ของสิงหไกรภพขณะที่เหาะไปในท้องฟ้าว่า

จะแลซ้ายสายเมฆวิเวกจิต                ให้หวาดหวิดว้าเหว่ในเวหา
จะเหลียวกลับลับปราสาทหวาดวิญญา        จะแลขวาขวัญหายไม่วายครวญ
(พ. ณ ประมวญมารค, “สิงหไกรภพ” นิทานคำกลอนสุนทรภู่, หน้า ๗๗)

พราหมณ์เทพจินดาเตือนสิงหไกรภพให้รีบไปหาบิดามารดาก่อน แล้วจึงค่อยกลับมาชิงนางสร้อยสุดาคืน โดยให้เหตุผลว่า

พระชนกชนนีเป็นที่ยิ่ง        ไม่ควรทิ้งทอดพระคุณให้สูญหาย
ถึงลูกเมียเสียไปแม้นไม่ตาย        ก็หาง่ายดอกพี่เห็นไม่เป็นไร
พระบิดามารดานั้นหายาก        กำจัดจากแล้วไม่มีที่อาศัย
นางไปอยู่บุรีไม่มีภัย        มาเมื่อไรคงพบประสบกัน
ขอเชิญพ่อหน่อเนื้อในเชื้อแถว    ไปกรุงแก้วโกญจามหาสวรรย์
พระบิตุราชมาตุรงค์เผ่าพงศ์พันธุ์    จะนับวันคอยหาด้วยอาวรณ์
(พ. ณ ประมวญมารค, “สิงหไกรภพ” นิทานคำกลอนสุนทรภู่, หน้า ๙๓)
ตอนสิงหไกรภพชมธรรมชาติแล้วระลึกถึงนางสร้อยสุดา สุนทรภู่เล่นคำได้ดี คือบรรยายว่า

เห็นธารน้ำรำลึกเมื่อเล่นธาร        เริงสำราญหรือรกร้างให้ห่างกัน
เห็นกวางทองย่องเยื้องชำเลืองหลบ    เหมือนแลพบพักตร์ยุพินเมื่อผินผัน
หอมลูกอินกลิ่นระคนปนลูกจันทน์        เหมือนกลิ่นขวัญเนตรรื่นชื่นอารมณ์
นางแย้มงามยามเยื้อนเหมือนเบือนยิ้ม    ให้เชยชิมชื่นชิดสนิทสนม
ดอกเล็บนางอย่างเล็บพระเก็บชม    แต่ไม่คมข่วนเจ็บเหมือนเล็บนาง
รสสุคนธ์เหมือนสุคนธ์ปนแป้งสด    มาร้างรสสุคนธ์น้องให้หมองหมาง
อบเชยเหมือนพี่ชวนเจ้านวลนาง    ออกจากปรางค์มาในห้องหิมวันต์
เห็นสาวหยุดสุดคะนึงคิดถึงสาว    หอมเช้าๆ ชื่นใจเมื่อไก่ขัน
โอ้เต่าร้างเหมือนที่ร้างมาห่างกัน    ทุกคืนวันวายชมให้ตรมตรอม
หอมอบเชยเหมือนพี่ชวนเจ้านวลนาง    ออกจากปรางค์มาในห้องหิมวันต์
เห็นสาวหยุดสุดคะนึงคิดถึงสาว    หอมเช้าๆ ชื่นใจเมื่อไก่ขัน
โอ้เต่าร้างเหมือนพี่ร้างมาห่างกัน        ทุกคืนวันวายชมให้ตรมตรอม
หอมอบเชยเหมือนเมื่อเคยเชยกลิ่นอบ    หอมตระหลบอบกลิ่นไม่สิ้นหอม
พยอมเอ๋ยเคยใจมิใคร่ยอม    ให้ต้องออมอกช้ำทุกค่ำเช้า
เห็นโศกออกดอกอร่ามเมื่อยามโศก    แสนวิโยคโศกทรวงให้ง่วงเหงา
ถึงดอกงามยามโศกเหมือนโรคเรา        มีแต่เศร้าโศกซ้ำนั้นร่ำไป
เห็นยมโดยโดยดิ้นถวิลโหย        เหมือนดิ้นโดยดังจะพาน้ำตาไหล
โอ้ระกำเหมือนกรรมในน้ำใจ    ด้วยมาไกลกลืนช้ำระกำตรม
เห็นกลอยออกดอกดวงเป็นพวงห้อย    เหมือนกลิ่นกลอยใจคิดสนิทสนม
เสน่หาอาวรณ์ร้อนอารมณ์        จะแลชมอื่นๆ ไม่ชื่นใจ
(พ. ณ ประมวญมารค, “สิงหไกรภพ” นิทานคำกลอนสุนทรภู่, หน้า ๙๗)

เมื่อสิงหไกรภพมีสารมาถึงนางสร้อยสุดา ก็ยํ้าถึงความซื่อสัตย์ต่อความรักของพระองค์ที่มีต่อนางว่า

จนม้วยดิ้นสิ้นฟ้ามหาสมุทร        ไม่สิ้นสุดเสน่หาจนอาสัญ
ถึงตัวไปใจคิดเป็นนิรันดร์    ที่รับขวัญเช้าเย็นไม่เว้นวาย
(พ. ณประมวญมารค, “สิงหไกรภพ” นิทานคำกลอนสุนทรภู่, หน้า ๑๑๓)

เมื่อสิงหไกรภพฆ่าท้าวจตุรพักตร์ มเหสีและนางสร้อยสุดาผู้เป็นธิดารวมทั้งญาติอื่นๆ ได้คร่ำครวญอาลัยรักดังนี้

มเหสีตีทรวงเสียงฮักฮัก    โอ้ปิ่นปักปัถพินมาสิ้นสูญ
จะเสียวงศ์พงศ์ยักษ์ศักดิ์ตระกูล    จะตามทูนกระหม่อมม้วยเสียด้วยกัน
พระธิดาว่าโอ้พระปิตุเรศ    เคยปกเกศชุบย้อมถนอมขวัญ
ให้ผาสุกทุกเวลาทิวาวัน    ยังไม่ทันแทนพระคุณมาสูญลับ
พระวงศาว่าทูนกระหม่อมแก้ว    นิพานแล้วมืดเหมือนดังเดือนดับ
นางห้ามแหนแสนอาลัยว่าไปทัพ    เคยคอยรับหรือมาร้างถึงวางวาย
นางพระยาว่าพระคุณมาสูญเสีย    เหมือนศอเมียขาดกระเด็นไม่เห็นหาย
จะโศกช้ำร่ำรับแต่อับอาย    จะสู้ตายให้พ้นทนทรมาน
พระธิดาว่าพระคุณทูนกระหม่อม    เคยถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงลูกหลาน
แต่ครั้งนี้มีโทษไม่โปรดปราน        ไปรอนราญจนสวรรคครรไล
พระวงศาว่าแต่นี้ไม่มีสุข    จะรับทุกข์ทุกเวลาน้ำตาไหล
สนมนางต่างว่านับจะลับไป        จะมิได้เฝ้าองค์พระทรงยศ
ทั้งเสนาข้าเฝ้าเหล่าทหาร    ให้สงสารวิโยคโศกสลด
แต่สองนางอย่างจะม้วยระทวยทด    ทรงกำสรดโศกาด้วยอาวรณ์
(พ. ณ ประมวญมารค, “สิงหไกรภพ” นิทานคำกลอนสุนทรภู่, หน้า ๑๒๓-๑๒๔)

บรรดาสาวสนมกำนัลของสิงหไกรภพ    เมื่อรู้ว่าสิงหไกรภพไม่สนใจพวกตนก็พากันเล่นเพื่อน ดังที่สุนทรภู่บรรยายว่า

เห็นโฉมสร้อยสุดามารศรี
ดังเดือนเพ็งเปล่งฟ้าไม่ราคี    ถึงทั้งมีลูกเต้ายังเพราพริ้ง
ประไพพักตรลักษณะพระวิลาศ    ดูผุดผาดล้ำเลิศประเสริฐหญิง
ที่เหิมฮึกนึกไว้อายใจจริง    เหลือจะชิงชมชิดทำบิดเบือน
แต่ลูกสาวท้าวพระยาพวกข้าหลวง    ทุกกระทรวงห้ามแหนไม่แม้นเหมือน
ต่างเมินหมางห่างแหทำแชเชือน    เที่ยวเล่นเพื่อนพิศวาสละราชการ
(พ. ณ ประมวญมารค, “สิงหไกรภพ” นิทานคำกลอนสุนทรภู่, หน้า ๑๓๓-๑๓๔)

เรื่องสิงหไกรภพค้างอยู่เพียงท้าวกาลเนตรตายเท่านั้น เข้าใจว่าสุนทรภู่ไม่ได้แต่งไว้จนจบเรื่อง

ที่มา:สมชาย  พุ่มสอาด