คานธีกับเหตุร้ายในจัมปารัน

คานธี
การปะทะครั้งแรกกับรัฐบาลอังกฤาในอินเดีย
ดังได้กล่าวมาแล้วดังคำขอร้องของท่านโคเชล มหาตมะคานธีได้เที่ยวดูสถานการณ์ในอินเดียเป็นเวลาปีหนึ่ง เมื่อหนึ่งปีผ่านพ้นไปแล้ว ทำให้ท่านมีความเข้าใจในความเป็นไป ความเป็นอยู่ของอินเดีย ซาบซึ้งกว่าเดิมเป็นหลายเท่า กระนั้นก็ดี หลักการ และวิธีดำเนินการของท่านจะได้เปลี่ยนแปลงไปจากสายเดิมก็หาไม่ ท่านยังยึดถือหลักการอยู่ว่าการร้องขอ การร้องเรียกมิใช่ทางที่สิทธิต่างๆ จะกลับคืนมาได้ อินเดียจำจะต้องแสดงสมรรถภาพ และชิงเอาสิทธิเหล่านั้นกลับคืนมาโดยพลการให้จงได้

ตรงกันกับเวลานั้น ได้เกิดเหตุร้ายขึ้นอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งนับว่าเป็นต้นเหตุให้ท่านคานธีต้องดำเนินนโยบายอีกอันหนึ่ง คือ การขัดขืนกฎหมาย

กล่าวคือ ในมณฑลวิหาร มีหัวเมืองๆ หนึ่งชื่อว่าจัมปารัน ณ ที่นั้น พวกฝรั่งหลายคนจ้างชาวอินเดียทำการเพาะปลูกเป็นอาชีพ ความประพฤติของนายจ้างฝรั่งต่อลูกจ้างอินเดียนั้น มักเป็นไปในทางบีบคั้นมาก ถึงกับข่าวนั้นแพร่ไปทั่วโลก อนึ่ง พวกกรรมกรเพาะปลูกเหล่านั้นมีความประสงค์ที่จะแก้ฐานะให้ดีขึ้น จึงรวมส่วผู้แทนไปยังคองเกรส ซึ่งในปีนั้น (ค.ศ. ๑๙๑๖) ประชุมกันที่เมืองลักขเนา และขอร้องให้ท่านคานธีพูดถึงเหตุการณ์ในปัจจุบัน ให้ที่ประชุมที่คองเกรสเข้าใจถึงฐานะ และเห็นใจพวกกรรมกร แต่ทว่ามหาตมะคานธีไม่ยอมพูดแม้แต่คำเดียว โดยอ้างเหตุว่าท่านยังไม่เคยเห็นเรื่องราวในจัมปารันด้วยตาของท่านเอง ฉะนั้นก่อนที่ท่านจะพูดหรือเสนอบัญญัติประการใด ในอันที่เกี่ยวแก่จัมปารันนั้น ท่านจะต้องไปดูสถานการณ์นั้นด้วยตนเองเสียก่อน

ฉะนั้นเมื่อการประชุมคองเกรสสิ้นสุดลง ท่านก็เตรียมตัวเดินทางไปยังจัมปารันทันที ข้าหลวงประจำจังหวัดจัมปารัน เมื่อได้ยินข่าวว่าท่านคานธีมาเยี่ยมดูเหตุการณ์ในจัมปารัน จึงออกคำสั่งห้ามไม่ให้ท่านเข้าไปในเขตจัมปารัน โดยอ้างเหตุว่า “การเยี่ยมจะเป็นเหตุทำลายความสงบของมหาชน และอาจเกิดความอลหม่านถึงกับเสียชีวิตก็เป็นได้ ฉะนั้นขอให้ท่านรีบไปเสียจากจัมปารันโดยด่วน”

ในการออกคำสั่งเช่นนี้ ข้าหลวงจับเหตุผิดเพราะว่าท่านคานธีมิใช่บุคคลชนิดที่ดำเนินตามกฎหมาย โดยฝ่าฝืนกิจที่ควรทำของตน ฉะนั้นเมื่อท่านได้รับคำสั่งเช่นนี้ท่านจึงได้ให้คำตอบไปว่า “ฉันไม่สามารถที่จะผ่านพ้นเขตแดนจัมปารันไปได้ ทั้งนี้เพราะเห็นประโยชน์ของมหาชน แต่ถ้าว่าทางการยินดีจะลงโทษ ฉันยินยอมรับทุกประการเพราะฝ่าฝืนคำสั่งนี้

ฉันขอคัดค้านอย่างแรงกล้า ถึงข้ออ้างของรัฐบาลที่ว่าความมุ่งหมายของฉัน คือ ชวนก่อให้เกิดการตื่นเต้นไม่สงบราบคาบ ตรงกันข้าม ความปรารถนาของฉัน คือ การแสวงหาความรู้ที่แท้จริงเท่านั้น และนั่นฉันจะพยายามทำไปตราบใดที่ฉันยังเป็นอิสระอยู่”

ตำรวจจึงจับตัวท่านคานธี ส่งไปยังศาลอาญา (วันที่ ๑๗ เดือน กันยายน ค.ศ.๑๙๑๖) ท่านรับสารภาพว่าท่านได้ฝ่าฝืนคำสั่งนั้นจริง ทางการชั้นสูงเล็งเห็นว่าถ้าลงโทษคานธีในกรณีนี้ คงจะเกิดความไม่สงบขึ้นไม่เฉพาะแต่จังหวัดจัมปารันเท่านั้นอาจทั่วอินเดียก็เป็นได้ จึงปล่อยตัวท่านเป็นอิสระ ทั้งได้จัดตั้งคณะกรรมการขึ้นชุดหนึ่งเพื่อทำการสืบสวนถึงสถานการณ์ความจริงของจัมปารัน มีท่านคานธีเข้าเป็นกรรมการคนหนึ่งด้วย

ผลแห่งการสืบสวนคราวนี้ ผลที่สุดคณะกรรมการเห็นว่า ความประพฤติของนายจ้างฝรั่งต่อลูกจ้างอินเดียมีความโหดร้ายเจือปนอยู่ด้วยจริง จึงแนะนำรัฐบาลออกพระราชบัญญัติว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าของที่ดินกับลูกจ้างเฉพาะจังหวัดจัมปารัน (Champaran Agrarian Act) ขึ้นเป็นอันตัดรอนสิทธิของเจ้าของที่ดินได้บางอย่าง ทำให้ลูกจ้างและผู้เช่าที่ดิน ได้รับความร่มเย็นเป็นอย่างมาก

ที่มา:สวามี  สัตยานันทปุรี

มหาตมะคานธีในอินเดีย

คานธี
ถึงแม้นว่าท่านได้รับตำแหน่งผู้แทนท่านโคเชลก็จริงอยู่ แต่ก็ยังไม่สามารถลงมือเชิดฐานะของอินเดียได้ประการใด ทั้งนี้เพราะว่า เวลาที่ทานโคเชลจะถึงแก่กรรม ท่านคานีได้รับปากกับท่านผู้นั้นไว้ว่า ตั้งแต่นี้ไปเป็นเวลากำหนดหนึ่งปี ท่านจะไม่แสดงวิจารณ์ หรือคัดค้านนโยบายของรัฐบาลอีก แต่เมื่อเวลาหนึ่งปีผ่านพ้นไปแล้ว ท่านจะคัดค้านหรือสนับสนุนรัฐบาลนั้นแล้วแต่ความเห็นชอบของตน

การรับปากเช่นนี้ มีสาเหตุ ๒ ประการ ประการหนึ่ง….ฐานะคณะพรรคการเมืองในอินเดียสมัยนั้น และประการที่สอง….ความเห็นของท่านคานธีในฐานะของอินเดียภายใต้การปกครองของอังกฤษ

ขอกล่าวอีกสักหน่อย ในสมัยนั้น อินเดียมีคณะพรรคการเมืองอยู่ ๒ คณะ คือ Moderate กับ Extremists หลักการของคณะพรรค Moderate อาศัยการประนีประนอมและการร้องทุกข์เป็นกรณี จึงไม่เห็นด้วยกับหลักการคัดค้านหรือวิจารณ์นโยบายของรัฐบาลโดยตรง ส่วนคณะพรรค Extremists มีหลักการตรงกันข้าม Extremists อาศัยหลักการก่อให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในหมู่ประชาชน Extremists ไม่เห็นด้วยว่า อินเดียจะไปประนีประนอมกับอังกฤษ เพราะสิทธิที่อินเดียกำลังพยายามจะเรียกกลับคืนมา คือเป็นสิทธิแต่เดิม อังกฤษเป็นฝ่ายที่ทำลายสิทธิเหล่านั้นเสีย ฉะนั้น ถ้าฝ่ายใดต้องการประนีประนอมแล้ว ฝ่ายนั้นต้องเป็นฝ่ายอังกฤษ มิใช่ฝ่ายอินเดีย

ในสมัยนั้น มณฑลเบงคอล กับ มณฑลบอมเบนับว่าเป็นผู้นำในทางการเมือง ตั้งแต่ต้นจนบัดนี้เบงคอลเป็นฝ่าย Extremists และบอมเบเป็นฝ่าย Moderate ท่านโคเชลเคยครองตำแหน่งผู้นำคณะพรรค Moderate ท่านมีความหวังอย่างยิ่งว่า เมื่อท่านสิ้นชีวิตแล้ว ท่านคานธีจะครองตำแหน่งนี้ต่อไป แต่เฉพาะในเวลานี้เอง ท่านคานธีได้แต่งหนังสือขึ้นเล่มหนึ่ง ชือว่า Indian Home Rule มีข้อความสำคัญดังต่อไปนี้

อารยธรรมของโลกโดยทั่วไป อาศัยหลักการแต่อย่างเดียว กระนั้นก็ดี ระดับอารยธรรมของอินเดียสูงกว่าอารยธรรมอื่นๆ เพราะอินเดียสอนให้เรามองเห็นมนุษย์ภายใน คือใจ ยึดถือเอาใจเป็นหลักสำคัญมากยิ่งกว่าวัตถุ ส่วนอารยธรรมตะวันตก ซึ่งอาศัยหลักอุตสาหกรรมเป็นที่ตั้ง สอนให้เราดำเนินชีวิตอย่างฟุ่มเฟือย สอนให้เกิดความเกลียดชังต่อกันและกัน ทำลายมนุษยธรรมเสียและแปลงชีวิตมนุษย์ให้เป็นประหนึ่งเครื่องจัก รัฐบาลอังกฤษกำลังจะนำอารยธรรมชนิดนี้มาสู่มาตุภูมิของเรา พยายามที่จะชนะใจด้วยวัตถุอารยธรรมชนิดนี้ ยึดถือเอาอำนาจทางวัตถุเป็นอำนาจสำคัญ ถ้าจะนำมาใช้ในหลักการของรัฐบาลแล้วจะขัดขวางกับความสันติสุขของประชาชน ทั้งจะนำความหายนะมาสู่อารยธรรมอินเดียด้วย

อาศัยแนวความคิดดังนี้เป็นมาตรฐาน ท่านได้พิจารณาคัดค้านนโยบายของรัฐบาลในอินเดียอย่างแรงกล้า หนังสือเล่มนี้ ได้มีอิทธิพลเหนือชนชาวอินเดียมากถึงกับผู้พิมพ์โฆษณาต้องพิมพ์ปีละหลายๆ ครั้ง

ท่านโคเชลอ่านหนังสือเล่มนี้ รู้สึกหนักใจที่ได้เห็นมติความคิดของท่านคานธีห่างออกไป จากหลักการฝ่าย Moderate ฉะนั้นท่านจึงคิดว่า ถ้าท่านคานธีจะได้เที่ยวดูสถานการณ์ของอินเดียสักปีหนึ่ง ความเห็นของท่านคงจะเปลี่ยนกระแสไปจากสายเดิม

ที่จริง แต่เดิมท่านคานธีมีวิธีการเป็นไปทาง Extremists ส่วนใจของท่าน ยังบ่งถึงหลัก Moderate อยู่เสม คณะพรรค Extremists ดังมีอยู่ในมณฑลเบงคอล มีหลักการที่จะตัดความสัมพันธืกับรัฐบาลอังกฤษทุกประการ ส่วนท่านคานธี ในสมัยก่อนมีความภูมิใจในการได้ร่วมอยู่กับราชอาณาจักรอังกฤษ ดังที่เราเห็นได้จากสุนทรพจน์ ณ ที่ประชุม British Law Dinner เดือนเมษายน ค.ศ. ๑๙๑๕ เมื่อท่านประธาน คือ คอรเบตต อธิการบดีอัยการเชิญท่านคานธีถวายพระพรแด่ราชอาณาจักรอังกฤษ

“ในฐานะที่ฉันเป็นผู้ทำการต่อต้านรัฐบาล ตามหลักสัตยาเคราะห์ ฉันเคยสังเกตมาแล้วว่า ผู้ที่จะต่อต้านตามหลักสัตยาเคราะห์นั้น เขาอยู่ในสถานการณ์เช่นไรก็ตาม ต้องยึดสัจธรรมไว้อย่างแน่วแน่ และในการต่อต้านคราวนี้ ฉันได้สังเกตด้วยว่า ราชอาณาจักรอังกฤษณ อาศัยอุดมคติบางประการ ซึ่งแนชอบมากทีเดียว อุดมคตินั้นๆ คือ คนในบังคับอังกฤษทุกคนมีสิทธิ์และเสรีภาพในกิจการทุกประการ เท่าที่อยู่ภายในขอบเขตแห่งกำลัง เกียรติยศและความรับผิดชอบของตน รัฐบาลอื่นๆ ไม่ยอมที่จะมอบสิทธิและเสรีภาพอย่างกว้างขวางเช่นนี้ ให้แก่ราษฎรของตน(ปรบมือ) ท่านคงทราบกันดีแล้วว่า ถึงฉันไม่ชอบรัฐบาลแบบใดก็ตาม แต่ก็ยังเห็นว่า รัฐบาลที่ปกครองน้อยที่สุด รัฐบาลนั้นแหละคือรัฐบาลที่ดีที่สุด อนึ่ง ฉันได้เห็นมาแล้วว่า ถ้าฉันอยู่ภายในบังคับของรัฐบาลอังกฤาฉันจะได้รับการปกครองน้อยที่สุด เพราะเหตุนี้เองฉันจึงมีความจงรักภักดีต่อราชอาณาจักรอังกฤษ (ปรบมือ)”

ต่อมา ณ ที่ประชุม Y-M-C-A มัทราส ท่านได้กล่าวไว้ว่า
“ฉันเคยเป็นฝ่ายปรปักษ์กับอารยธรรมสมัยใหม่นี้มาแล้ว และทั้งยังเป็นอยู่ด้วย ฉันขอให้ท่านทั้งหลายมองดูเหตุการณ์ต่างๆ ซึ่งกำลังจะเกิดขึ้นในยุโรป ณ บัดนี้ แล้วถ้าท่านเข้าใจว่า ยุโรปกำลังได้รับความทารุณโหดร้ายเพราะอารยธรรมสมัยนี้ ท่านและผู้ใหญ่จะต้องตริตรองดูหลายครั้ง ก่อนที่ท่านจะปล่อยอารยธรรมนั้นให้เข้ามาสู่มาตุภูมิของเรา แต่ฉันเคยได้ยิน ท่านมักพูดว่าในเมื่อผู้ปกครองของเรา นำอารยธรรมนั้นมาสู่มาตุภูมิของเราเสียแล้ว เมื่อกระนั้นเราจะป้องกันได้อย่างไร ขออย่าให้เข้าใจผิด ฉันไม่เชื่อเลยว่า ถ้าเราไม่เตรียมพร้อมที่จะต้อนรับอารยธรรม ผู้ปกครองจะสามารถนำอารยธรรมนั้นมาให้เราได้ เราคงมีกำลังใจพอเพียงที่จะไม่ยอมรับอารยธรรมของเขา โดยไม่ต้องขับไล่เขาเสียก็ได้”

“ฉันยอมตัวที่จะเข้าเป็นฝ่ายรัฐบาลอังกฤษ เพราะฉันเชื่อว่า ฉันสามารถที่จะเรียกร้องความเสมอภาคกับราษฎรทุกคนในราชอาณาจักรอังกฤา ฉันขอเรียกร้องโดยย้ำว่า ฉันมีความเสมอภาค ชาติเรามิใช่ขี้ข้าของใคร ฉันไม่ถือตัวว่าเป็นขี้ข้าของใคร(ปรบมือ) แต่ความสำคัญอยู่ในข้อนี้คือ การกลับคืนสิทธิไม่อยู่ในข้อที่ว่า รัฐบาลอังกฤษจะให้เอง แต่อยู่ข้อที่ว่า เราต้องชิงเอาต่างหาก ฉันต้องการสิทธิ และฉันรู้ว่า จะเรียกสิทธินั้นคืนมาได้อย่างไร นั่นฉันทำได้ก็โดยดำเนินหน้าที่ของฉัน แมกสมูเลอร์ได้กล่าวไว้ว่า อินเดียไม่จำต้องไปหาใครเพื่อเรียนศาสนา ศาสนาอินเดียตั้งอยู่ใน ๔ ตัวคือ D-u-t-y (หน้าที่ป ไม่อยู่ที ๕ ตัว คือ R-i-g-h-t (สิทธิ) ถ้าท่านเชื่อว่าทุกๆ สิ่งที่เราต้องการเราหาไดโดยการดำเนินหน้าที่ของเราแล้ว ก็ขอให้ท่านทั้งหลายจะระลึกถึงหน้าที่ของท่านเสมอ และในการดำเนินหน้าที่นั้นๆ หากจะต้องการต่อสู้อยู่บ้างท่านต้องยอม ไม่ต้องกลัวมนุษย์คนใด”

อาศัยสุนทรพจน์ ทั้ง ๒ คราวนี้ พอที่จะเห็นได้ว่าจิตเดิมของท่านคานียังตั้งมั่นอยู่ในความเชื่อว่า ในราชอาณาจักรอังกฤา ราษฎรมีความเสมอภาคทุกคน ความคิดเห็นว่าดังนี้ได้ค่อยเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรนั้น เราจะเข้าใจได้จากพฤติการณ์ต่อๆ ไปของรัฐบาลอังกฤษทั้งในอินเดียและอังกฤษเอง

ส่วนความคิดเห็นอีกสายหนึ่ง คือ อินเดียจะต้องชิงเอาสิทธิกลับคืนมาจากอังกฤษ มิใช่อังกฤษจะให้เองนั้นเป็นความจริงอยู่ และคงเป็นความจริงตลอดเวลาที่อินเดียยังคงอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษ

ที่มา: สวามี  สัตยานันทปุรี

สงครามโลกกับมหาตมะคานธี

คานที
การกลับมาตุภูมิ
เหตุการณ์ในอาฟริกาใต้ ได้สงบลงอย่างเรียบร้อน กระนั้นก็ดี ท่านคานธีหาได้พักผ่อนตามควรไม่ เพราะเรื่องราวยังไม่ทันจะยุติลง ท่านได้รับข่าวร้ายว่า ท่านโคเชลกำลังป่วยอยู่ที่ลอนดอนอย่างหนัก ฉะนั้น ท่านได้พร้อมกับภรรยารีบเดินทางไปยังลอนดอน โดยมีความประสงค์ที่จะพยาบาลผู้ที่ท่านนับถือว่าเป็นอาจารย์ แต่เป็นโชคดีที่ในเวลาที่ท่านคานีไปถึงกรุงอังกฤษ อาการของท่านโคเชลกำลังจะดีขึ้นโดยลำดับ พ้นระยะที่จะต้องอยู่ภายใต้การควบคุม่ของพยาบาล

ตรงกับเวลานี้ เสียงสงครามดังสนั่นขึ้นทั่วท้องฟ้ายุโรป ขณะที่มหาตมะคานธีพักอยู่กรุงลอนดอนนั้นเอง อังกฤษได้ประกาศสงครามกับเยอรมัน มหาตมะคานธีเห็นเป็นการสมควรที่อินเดีย ในฐานะเป็นส่วนหนึ่งแห่งราชอาณาจักร ควรจะช่วยเหลืออังกฤษ ในคราวเผชิญหน้ากับสงครามโลก ท่านจึงได้ตั้งกองบรรเทาทุกข์ผู้รับอาสาสมัครแห่งอินเดีย (Indian Volunteer Ambulance Corps) ขึ้นกองหนึ่ง มหาตมะคานธีเองและภรรยาของท่าน ก็ได้รับอาสาสมัครเป็นทหารในกองบรรเทาทุกข์เหมือนกัน แต่เนื่องจากสุขภาพของท่านทั้งสองได้เสื่อมโทรมลงเพราะการต่อสู้ในภาคอาฟริกาใต้ จึงไม่สามารถที่จะทำการร่วมมือกับบรรเทาทุกข์เหล่านั้นได้นานนัก ในที่สุด จำต้องกลับไปสู่มาตุภูมิเพื่อรักษาตัวให้หาย บำรุงสุขภาพเสียก่อน

อย่างไรก็ดี การกระทำต่างๆ ของท่านคานธี เท่าที่ได้ทำมาในภาคอาฟริกาใต้ และในตอนต้นแห่งการประกาศสงคราม ได้รับความชมเชยจากรัฐบาลและองค์พระเจ้าแผ่นดินอังกฤษมาก ถึงกับพระราชทานเหรียญไกเซอรี-ฮินด์ ให้ ณ วันปีใหม่แห่ง ค.ศ.๑๙๑๕ เพื่อเป็นเครื่องแสดงความชมเชย พร้อมทั้งรัฐบาลและองค์อธิราช

เป็นธรรมดาที่ปวงชัยชนะในภาคอาฟริกาใต้ จะต้องเป็นเหตุให้ท่านคานธีก้าวขึ้นสู่ฐานะ เป็นที่เคารพบูชาของปวงชนชาวอินเดีย ดังนั้นผู้ร่วมชาติทั้งหลายจึงพากันขนานนามท่านว่า “มาหตมา” ตามตัวแปลว่า ผู้มีใจกว้างขวาง แต่ความหมายบ่งถึงคำว่า มหาบุรุษ ฉะนั้น เมื่อท่านกลับมาสู่มาตุภูมิของท่านแล้ว ท่านจึงได้รับการต้อนรับจากชาวอินเดียอย่างเต็มอกเต้มใจทั่วไป ทั้งท่านเองก็รู้สึกดีอกดีใจที่ได้รับความไว้วางใจ ความเคารพรักจากผู้ร่วมชาติทั้งหลาย แต่มีอุบัติเหตุร้ายแรงเกิดขึ้นรายหนึ่ง ซึ่งได้ทำลายความดีอกดีใจของท่านคานธีและจิตใจทั่วประเทศเสียมิใช่น้อย คือในปีนี้เอง ท่านโคเชลผู้เป็นอภิชาติบุตรแห่งอินเดีย ได้สิ้นชีวิตไป ทำให้อินเดียเต็มเปี่ยมไปด้วยความเศร้าใจอย่างล้นเหลือ

อย่างไรก็ดี งานของประเทศชาติ ย่อมไม่ชงักลงอย่างเด็ดขาด เพราะความตายของผู้นำ จำต้องมีอีกคนหนึ่งเข้ามาครองตำแหน่งนั้นทันที ฉะนั้น ตำแหน่งผู้นำซึ่งว่างเปล่าอยู่ เพราะการสิ้นชีพของท่านโคเชลนั้น มหาตมะคานธีจึงเข้าครองแทนต่อไป

ที่มา: สวามี  สัตยานันทปุรี

มหาตมะคานธีกับสงครามอหิงสา

คานธี
ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการกำจัดสิทธิของชาวอาเซียได้รับพระบรมราชานุมัติ กลับกลายเป็นพระราชบัญญัติขึ้น การร้องทุกข์ การวิงวอนของท่านคานธีต่อผู้ใหญ่ฝ่ายรัฐบาลอังกฤษ ทั้งในภาคอาฟริกาใต้ และกรุงลอนดอน จึงมิเป็นผลแม้แต่ประการใด ฉะนั้นทางแก้ไขกฎหมายอันขัดกับหลักมนุษยธรรมให้หมดฤทธิ์ไปนั้น จึงเหลืออยู่แต่ทางเดียวคือทางการต่อสู้ การต่อต้าน ไม่ยอมดำเนินตามกฎหมาย แม้รัฐบาลจะลงโทษอย่างร้ายแรงเพียงไรก็ตาม

เพราะเหตุนี้เอง ร่างพระราชบัญญัติประกาศใช้เป็นกฎหมายเมื่อใด มหาตมะคานธีก็เริ่มประกาศสงครามต่อรัฐบาลเมื่อนั้น แต่วิธีการของท่านได้ผิดแผกไปจากวิธีการสงครามโดยทั่วๆ ไป กล่าวคือสงครามของท่านเป็นสงครามต่อรัฐบาล ผู้ดำเนินหลักการอันขัดต่อหลักมนุษยธรรม เป็นสงครามต่อนโยบาย ซึ่งชิงเอาสิทธิจากพวกที่ไร้อาวุธ มาสะสมอำนาจของตน เป็นสงครามต่อความไม่จริง ความไม่ยุติธรรม อำนาจของรัฐบาล อาศัยความปองร้ายเป็นหลักดำเนิน และการยึดถืออาวุธเป็นเครื่องอุปกรณ์ ฉะนั้นถ้าจะต่อสู้กับอำนาจนี้ จึงต้องอาศัยความไม่ปองร้ายเป็นหลักดำเนิน และการไม่อ่อนน้อมต่ออำนาจเดรฉานศักดิ์เป็นเครื่องอุปกรณ์ นี้แหละเป็นทางต่อสู้กับอำนาจปองร้ายดังพระบรมศาสดาคือ องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแห่งอินเดีย ทรงชี้ไว้เมื่อ ๒๐๐๐ กว่าปีมาแล้ว มหาตมะคานธีจึงได้เลือกเอาทางนี้ เพื่อต่อสู้กับรัฐบาลอังกฤษ ซึ่งมีอาวุธและอิทธิพลแพร่ไปเกือบทุกมุมโลก

อาศัยการแสดงปาฐกถา การเขียนบทนำลงในหนังสือพิมพ์ และยิ่งไปกว่านั้น อาศัยตนเป็นตัวอย่างท่านปลุกใจบรรดาชาวอินเดียซึ่งพำนักอาศัยอยู่ ณ ภาคอาฟริกาใต้ ไม่ให้อ่อนน้อมต่อรัฐบาลอังกฤา ตราบใดที่ไม่เลิกใช้กฎหมายฉบับใหม่นี้ คนนับจำนวนพันๆ พากันมาร่วมอยู่ภายใต้ธงของท่านคานธี พากันแห่ขบวนเดินไปตามถนนคัดค้านกฎหมายฉบับใหม่ ตามตำบลใหญ่ และตามหัวเมือง มหาชนพากันไปประชุมคัดค้านกฎหมายที่ทำลายมนุษยธรรมนั้น ฝ่ายทางอินเดียซึ่งเป็นบ้านเกิดเมืองนอนของพวกที่กำลังจะได้รับความทรมานจากรัฐบาล หาได้อยู่เฉยๆ ไม่ หนังสือพิมพ์แทบทุกฉบับ สภานิติบัญญัติ มหาชนพากันคัดค้านกฎหมายฉบับนี้ ทั่วภาคอาฟริกาใต้และอินเดียตื่นเต้นไปด้วยการคัดค้านกฎหมายอันขัดต่อหลักอารยธรรม แต่เป็นสิ่งที่น่าเสียใจไม่น้อย ที่ถึงแม้กฎหมายฉบับนี้เกิดขึ้น เพื่อกำจัดสิทธิของชาวอาเซียโดยทั่วไปก็จริงแต่ไม่มีประเทศใดนอกจากประเทศอินเดีย ได้แสดงคำคัดค้านแม้แต่คำเดียว

รัฐบาลเห็นความตื่นเต้นครึกโครมอย่างไม่นึกฝันเช่นนี้รู้สึกแปลกใจในสมรรถภาพของอินเดียผู้ไร้อาวุธ กล้าต่อสู้กับมหาอำนาจเช่นอังกฤาอันประกอบไปด้วยสรรพาวุธที่ทันสมัย จึงเป็นการเหลือวิสัยที่รัฐบาลจะนิ่งอยู่ได้อีก ผลก็คือ รัฐบาลต้องลงมือปราบปรามพวกก่อการไม่สงบทันที แต่ย่อมเป็นธรรมดาที่ผู้ที่ได้อุทิศชีวิตให้แก่ประเทศชาติแล้ว ย่อมไม่มีความกลัวต่อนโยบายการปราบปรามของรัฐบาล ถึงการปราบปรามนั้นจะมีพิษร้ายแรงแฝงอยู่เพียงไรก็ตาม ในที่สุดตอนปลายปี ค.ศ.๑๙๐๗ มหาตมะคานธีและพวกพ้องอีกหลายคนได้ถูกจับ นี่นับเป็นครั้งแรกที่ท่านคานธีได้สถาปนาเรือนจำให้เป็นปูชนียสถานแก่ชาวอินเดียโดยทั่วไป

พวกพ้องของท่าน ได้รับการลงโทษให้จำคุก ๖ เดือน พร้อมทั้งให้ทำงานหนักด้วย ส่วนท่านคานธีให้จำคุกเพียง ๒ เดือน โดยไม่ต้องทำงาน ท่านเห็นความแตกต่างกันในการลงโทษเช่นนี้ จึงคัดค้านขอร้องให้ตนได้รับการลงโทษหนักกว่าคนอื่น เพราะท่านเป็นหัวหน้าผู้ก่อการ แต่ศาลมิยอมปฏิบัติ ตามคำขอร้องของท่าน ทั้งนี้ก็เพราะรัฐบาลเข้าใจเอาว่า ถ้าท่านคานธีต้องรับลงอาญาน้อยกว่าอื่นๆ คนอื่นๆ คงจะคิดน้อยใจ เอาใจออกห่างแตกแยกกับท่านแต่ตรงกันข้าม ผู้ร่วมชาติของท่านคานธี มีความไว้วางใจในตัวท่านเพียงพอ นโยบายนั้นจึงมิได้มีผลเลย

การลงโทษท่านคานธีหรือผู้นำอื่นๆ จะทำการตื่นเต้นและการคัดค้านให้สงบลงก็หาไม่ ตรงกันข้ามประชาชนเห็นความโหดร้ายของฝ่ายรัฐบาล จึงยิ่งรู้สึกไม่พอใจรัฐบาลอย่างแรงกล้าขึ้น ผลที่สุดความเกลียดชังนั้นยิ่งมากขึ้นทุกที

ในที่สุด รัฐบาลสำนึกตัวได้ว่า อำนาจอาวุธและอธรรม ไม่สามารถดับอำนาจใจและธรรมได้ ฉะนั้นหลังจากที่พวกผู้ก่อการ ได้ถูกจำคุกแล้ว ๓ สัปดาห์ก็ถูกปล่อย (General Smutts) หัวหน้าฝ่ายรัฐบาล เริ่มเจรจาเรื่องกฎหมายนี้กับฝ่ายท่านคานธี มีการประนีประนอมกันตามข้อต่อไปนี้ คือ
๑. ชาวอาเซีย สมัครใจที่จะจดทะเบียนลงชื่อได้
๒. รัฐบาลนี้จะถอนกฎหมายนี้ออกทันที และไม่เก็บภาษีคนเข้าเมืองจากชาวอาเซีย

การประนีประนอมนี้ ได้ทำการตกลงกันด้วยปากบ้างเป็นลายลักษณ์อักษรบ้าง ส่วนข้อที่ว่ารัฐบาลจะยกเลิกกฎหมายฉบับนั้น พลเอก สมัตส์ ได้กระทำกับท่านคานธีต่อหน้าพยานฝ่ายรัฐบาลโดยเฉพาะ

ฉะนั้น มหาตมะคานธีจึงประกาศให้ยกเลิกการต่อสู้และไปทำการจดทะเบียนที่ว่าการอำเภอตามข้อตกลง แต่เป็นโชคร้ายสำหรับท่านที่ทางการรัฐบาลยังมิได้ประกาศข้อตกลงนั้นให้เป็นที่รู้กันโดยทั่วไป ชาวอินเดียผู้บ้าเลือดบางคน จึงกลับหุนหันเข้าใจไปว่าท่านคานธีขายชาติให้แก่อังกฤษเสียแล้ว จึงได้ประกาสเลิกการต่อสู้ เพราะความเข้าใจผิดเช่นนี้ พวกเขาจึงพากันไปทุบตีท่านคานธี ในขณะที่ท่านกำลังจะไปที่ว่าการอำเภอ อย่างไรก็ดี ท่านรอดพ้นจากอันตรายนั้นได้ แล้วหลังจากการกลับจากที่ว่าการอำเภอ ท่านได้นำข้อตกลงระหว่างท่านกับรัฐบาล ลงในหนังสือพิมพ์ และกล่าวย้ำว่ารัฐบาลจะถอนกฎหมายนี้พร้อมกับ ภาษี ๓ ปอนด์แน่นอน แต่ด้วยเหตุไรก็ตามรัฐบาลหาได้ดำเนินตามข้อตกลงนั้นไม่ กฎหมายพร้อมทั้งภาษี ๓ ปอนด์ จึงยังขูดเลือดเนื้ออยู่ตามเคย ท่านได้เตือนรัฐบาลแล้วหลายครั้งสิ้นเวลาหลายเดือน แต่รัฐบาลแกล้งทำเหมือนไม่รู้ไม่ชี้ ท่านต่อว่าพลเอก สมัตส์ ว่าเป็นผู้เสียสัตย์ ทั้งแสดงความจำนงว่า ท่านและคณะของท่านจะไม่ไว้วางใจในคำพูดของสมัตส์ หรือของรัฐบาลที่พลเอกสมัตส์เป็นผู้แทนอีก เพราะความเสียสัตย์ทางฝ่ายรัฐบาลเป็นเหตุเช่นนี้ การต่อสู้จึงได้เริ่มฟักตัวขึ้นอีก

ในคราวนี้ ท่านได้ถูกจำคุก ๒ ครั้ง แต่การต่อสู้ก็ยังคงดำเนินอยู่ดังเดิม ชาวอินเดียพากันเดินเข้าเมืองโดยไม่ยอมเสียภาษีแม้แต่สตางค์เดียว แต่ยอมให้เจ้าหน้าที่กักขังตัวไว้ในคุกตลอดเวลาที่รัฐบาลต้องการ ในที่สุดเพื่อจะทำให้มีการแตกร้าวกันขึ้น ระหว่างท่านคานธีกรับคณะรัฐบาล จึงปล่อยตัวท่านคานธีออกเป็นอิสระแต่กักขังคนอื่นไว้ ถึงกระนั้นการต่อสู้ก็ยังหาสิ้นสุดลงไม่ เมื่อท่านได้เห็นว่าการเจรจากับรัฐบาลประจำอาฟริกาใต้มิเป็นผลท่านจึงเดินทางไปยังอังกฤษ เพื่อจะทำการเจรจากับรัฐบาลกลางโดยตรงทีเดียว ในที่สุดมาใน ค.ศ.๑๙๑๑ ได้มีการตกลงชั่วคราวขึ้นระหว่างคณะอินเดียกับรัฐบาล

ข้อตกลง ค.ศ.๑๙๑๑ รัฐบาลจะเสนอร่างพระราชบัญญัติให้ยกเลิกพระราชบัญญัติกำจัดสิทธิของชาวอาเซียเสีย ปี ๑๙๑๑ ผ่านพ้นไปแล้วในห้วงอดีต แต่ฝ่ายรัฐบาลยังคงเงียบอยู่ มาถึง ค.ศ.๑๙๑๒ เรื่องราวจะคืบหน้าต่อไปก็หาไม่ ในปีนี้ท่านโดเชลผู้นำอันลือชื่อของอินเดียในสมัยนั้น และซึ่งท่านคานธีนับถือเสมือนหนึ่งอาจารย์ฝ่ายการเมือง ไปเยี่ยมเยียนอาฟริกาใต้ อาศัยการเจรจาของท่านผู้นี้ คณะมนตรีฝ่ายสภาอาฟริกาใต้ รับภาระที่จะเสนอร่างพระราชบัญญัติให้ยกเลิกพระราชบัญญัติเก่า แต่ ค.ศ.๑๙๑๒ ก็ได้ผ่านพ้นไปในทำนองเดียวกันกับ ค.ศ. ๑๙๑๑ อีก

มาใน ค.ศ. ๑๙๑๓ ท่านคานธีเห็นว่า ออกจะเป็นการเหลือวิสัยที่จะไว้ใจในคำพูดของรัฐบาลอังกฤษ ได้ต่อไปอีก ผลที่สุด อหิงสา ก็ได้เริ่มขึ้นอีกระหว่างสัจธรรมกับอสัจธรรม แต่ทว่ามีกำลังรุนแรงยิ่งกว่าคราวที่แล้วๆ มา

ในที่นี้ ขอกล่าวถึงหลักสงครามอหิงสาสักหน่อยเพราะว่าหลักนี้ ท่านคานธีได้ยึดถือเป็นหลักดำเนินกิจการทั้งปวง ทั้งในภาคอาฟริกาใต้และอินเดีย และหลักนี้เองที่ทำให้ชื่อของท่านคานธี แผ่กระจายไปทั่วโลกกว้างขวางเหมือนกลิ่นดอกไม้

ถ้าหากรัฐบาลดำเนินหลักการ หรือนโยบายขัดกันกับความเห็นของประชาชน ประชาชนอาจจะต่อต้านอำนาจบริหารของรัฐบาลได้ การต่อต้านนี้มีอยู่ ๒ ประการคือต่อต้านโดยคิดทำการประทุษร้ายต่อเจ้าหน้าที่รัฐบาล ๑ ตามภาษาอังกฤษแปลว่า Active resistance ส่วนการต่อต้านประเภทที่ ๒ เรียกว่า Passive resistance

การที่ท่านคานธีได้ต่อต้านอำนาจบริหารของรัฐบาล โดยแสดงตนเป็นผู้ขัดขืนต่อกฎหมายนั้น นับว่าเป็นการต่อต้านประเภทที่ ๒ ฉะนั้นการต่อสู้ระหว่างท่านกับรัฐบาล ท่านจึงเคยกล่าวเสนอว่าเป็น Passive resistance แต่ครั้งหนึ่งท่านได้ไปยังที่ประชุม ชาวฝรั่งแห่งหนึ่งในภาคอาฟริกาใต้ ณ ที่นั้น ท่านได้ยินว่า ชาวฝรั่งมักตีความของคำว่า Passive resistance แคบไปกว่าอย่างที่ท่านหมายอยู่ คือว่า ฝรั่งเข้าใจไปว่า Passive resistance นับว่าเป็นวิธีการของพวกอ่อนแด ผู้ซึ่งไม่สามารถจะทำรัฐประหารโดยการประทุษร้ายได้ เพราะขาดอาวุธ แต่ความจริงในใจเขาคิดอยู่เสมอว่าจะทำการประทุษร้ายรัฐบาล ในเมื่อโอกาสจะมาถึง ฉะนั้น ตามความเข้าใจของฝรั่ง หลัก Passive resistance จึงมีความปองร้ายระบายอยู่ในตัว

ส่วนท่านคานธี ท่านเห็นไปคนละแง่ทีเดียว ท่านเห็นว่าการที่ท่านต่อต้านอำนาจรัฐบาลโดยมิคิดปองร้ายนั้นมิใช่เพราะท่านขาดอาวุธ แต่เพราะท่านเห็นว่า หลักอหิงสาเป็นหลักของเดรแนศักดิ การป้องกันหรือชิงสิทธิโดยอาศัยอาวุธสมกับสัตว์ซึ่งยังข้องอยู่ในมิจฉาจาร หาใช่เป็นทางดำเนินของผู้อ่อนแอไม่…เป็นทางดำเนินของผู้ดำรงอยู่ในสัมมาจารผู้ยึดถือความจริง ถึงจะมีอาวุธ ท่านจะไม่ยอมใช้อาวุธเป็นเครื่องมือ เพราะว่าสิทธิอันชอบด้วยสัจธรรม เราสามารถชิงเอามาเป็นของตนได้ โดยอาศัยความจริง มิใช่โดยอาศัยอาวุธ สัตว์เดรฉานชิงสิทธิโดยอาศัยอาวุธ มนุษย์ผู้ใดยอมตัวลงในระดับเดียวกันกับสัตว์เดรฉานสามารถใช้อาวุธเป็นเครื่องมือได้ แต่ผู้สำนึกตนได้ว่าเป็นมนุษย์ ย่อมไม่ทำเช่นนั้น

เนื่องจากหลักของท่านคานธีมีอยู่เช่นนี้ ฉะนั้นเพื่อจะกันความเข้าใจผิด ท่านจึงเห็นสมควรที่จะเปลี่ยนคำว่า Passive resistance เสีย แล้วบัญญัติศัพท์ใหม่ขึ้น ความจำนงใจดังว่านี้ท่านได้นำไประบายลงในหน้าหนังสือพิมพ์ ทั้งได้ประกาศด้วยว่า ผู้ที่แนะนำศัพท์ที่เหมาะให้ได้ ท่านจะให้รางวัลแก่เขา ญาติของท่านผู้หนึ่งชื่อว่า มคนลาลคานธี แนะนำว่า สทาคฺรห (สตฺ+อาคฺรหะ) การยึดไว้ซึ่งสิ่งที่ดี มหาตมะคานธีเห็นชอบด้วยคำนี้ แต่แปลงเป็นสัตยาคารหะ (สฺย+อาคฺรหะ) การยึดไว้ซึ่งสัจธรรม ท่านมคนลาล จึงได้รับรางวัลตามที่ประกาศไว้ ตั้งแต่นั้นมา หลักการหรือวิธีการต่อสู้ต่อต้านของท่านคานธีจึงเรียกว่า สัตฺยาคฺรหะ และผู้ที่จะสมัครตนเป็นผู้รับอาสาสัตฺยาคฺรหะนี้ จะต้องปฏิญาณตนว่า จะไม่ทำการปองร้ายผู้ใดๆ ถึงแม้ผู้นั้นเขาจะทำร้ายแก่เราเพียงไรก็ตามที

บัดนี้ ขอย้อนกล่าวถึงการต่อสู้ครั้งที่ ๒ ที่ได้ปรารภไว้ตอนต้นอีก เมื่อเกิดมีความเข้าใจอย่างแน่วแน่ว่า รัฐบาลจะไม่รักษาคำพูดของตน ท่านคานธีได้ประกาศสัตยาเคราะห์ขึ้นอีกครั้งหนึ่งในเดือนกันยายน ค.ศ. ๑๙๑๓ การประกาศสัตยาเคราะห์นี้ขยายบริเวณเลยมณฑลทรานสวาลไปถึงเนตาลด้วย ตามพระราชบัญญัติกำจัดสิทธิชาวอาเซียมีว่าชาวอาเซียผู้ใดปรารถนาเข้าเมืองทรานสวาล ต้องเสียภาษีเข้าเมือง ๓ ปอนด์ ฉะนั้นท่านคานธีจึงได้รวบรวมคณะชาวอินเดียคณะหนึ่ง มีจำนวนหลายพัน แล้วนำคณะนี้เดินขบวนเข้าไปในพรมแดนทรานสวาล โดยไม่ยอมเสียภีเข้าเมือง ทุกคนในคณะนี้ได้ปฏิญาณตนว่าจะรับอาญาแทนที่จะเสียภาษีเข้าเมือง มหาตมะคานธีปฏิญาณบัญญัติฉบับนี้ ตราบนั้นท่านจะรับประทานอาหารแต่มื้อเดียว พรรคอาสาสัตยาเคราะห์ ได้เริ่มเดินทางออกจากเนตาลไปสู่พรมแดนทรานสวาล เพื่อเป็นการแสดงน้ำใจไมตรีต่อพรรคอาสาสัตยาเคราะห์ เหล่ากรรมกรทั่วอาฟริกาใต้พากันหยุดงาน (Strike) ทั้งหมด มหาชนจำนวนหมื่นๆ พากันไปประชุมคัดค้านพระราชบัญญัติแทบทุกเมือง ในอาฟริกาและอินเดีย พร้อมๆ กันกับเหตุการณ์นี้ มีเหตุการณ์อีกรายหนึ่งเกิดขึ้น และทำให้การตื่นเต้นรุนแรงยิ่งขึ้นกว่าเดิม กล่าวคือ ศาลสูงแห่งอาฟริกาใต้ อาศัยคำร้องของรัฐบาลได้ออกประกาศ การแต่งงานของหญิง ชาวอินเดียว่าผิดกฎหมายพวกหญิงทั้งหลายจึงพากันเดินขบวนไปตามถนนของทรานสวาล คัดค้านคำพิพากษาของศาลสูง ทางอินเดียก็ได้เรี่ยไรเงิน ส่งไปช่วยเหลือการปฏิวัติตามหลักสัตยาเคราะห์ในอาฟริกาใต้คราวนี้ด้วย

เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ ลอร์ดฮารดินจ์ ผู้สำเร็จราชการของอินเดีย เป็นบุคคลที่น่าสรรเสริญมิใช่น้อยที่ท่านผู้นี้ได้เข้ากับฝ่ายอินเดีย โดยท่านได้ร้องขอให้ตั้งคณะกรรมการขึ้นพิจารณาเหตุการณ์ในอาฟริกาใต้ ในอังกฤษ ลอร์ดแอมปทิลล์ ก็ได้จัดตั้งคณะกรรมการขึ้นพิจารณาคณะหนึ่ง แต่รัฐบาลกล่าวคัดค้าน คณะกรรมการคณะนั้นจึงทำอะไรมิได้ กระนั้นก็ดี เนื่องจากสถานการณ์กำลังตึงเครียดขึ้นทุกที รัฐบาลจึงจำเป็นต้องปล่อยตัวพวกผู้นำออกมา และจัดตั้งคณะกรรมการขึ้นชุดหนึ่ง แต่กรรมการฝ่ายคณะนี้ มิเป็นที่พอใจของอินเดีย มหาตมะคานธีและผู้นำอื่นๆ จึงทำการบอยค๊อตคณะกรรมการนี้ และประกาศห้ามชาวอินเดียทั่วไป ไม่ให้ช่วยเหลือคณะกรรมการดำเนินการพิจารณา

เมื่อได้ปรากฎว่า เพราะความดื้อดึงของฝ่ายรัฐบาลจึงมองไม่เห็นหนทาง ที่สถานการณ์จะกลับมาสู่ปรกติภาพได้ ชาวอังกฤษ ๒ คน ชื่อว่า มร. แอนดรูส์กับเปียรสัน จึงต้องทำการประนีประนอมกัน

ในขณะนั้น เผอิญเกิดมีเหตุการณ์ขึ้นอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งในที่สุดกลับเป็นกรณีให้รัฐบาลอังกฤษกับชาวอินเดียประนีประนอมกันได้ กล่าวคือ ในขณะที่คณะกรรรกรอินเดียกำลังหยุดงานอยู่ และทั้งขณะที่กำลังดำเนินสัตยาเคราะห์อยู่ทั่วทุกแห่งนั้น กรรมกรอังกฤษเกิดหยุดงานตามด้วย ทำให้รัฐบาลอยู่ในแหล่งความลำบากมิใช่น้อย มหาตมะคานธีผู้มีใจตั้งมั่นอยู่ในสัจธรรม จึงประกาศเลิกสัตยาเคราะห์ทันที โดยอ้างเหตุผลว่า หลักอารยธรรมอินเดีย สอนอินเดียไม่ให้ต่อสู้กับฝ่ายที่ตกอยู่ในความลำบาก ฉะนั้นตราบใดที่รัฐบาลยังต่อสู้กับเหตุการณ์อันปัจจุบัน ตราบนั้นชาวอินเดียจะระงับสัตยาเคราะห์ชั่วคราวก่อน

การเห็นน้ำใจรัฐบาลดังว่านี้ เห็นเหตุนำมาซึ่งมิตรภาพระหว่างรัฐบาลอังกฤษกับชาวอินเดีย ในภาคอาฟริกาใต้อีกประการหนึ่ง รัฐบาลเลิกพระราชบัญญัติจำกัดสิทธิชาวอาเซียอย่างเด็ดขาด และยอมให้ชาวอินเดียมีสิทธิเสมอด้วยฐานะพลเรือน (Civil Status) เท่าเทียมกับชาวอังกฤษโดยประการทั้งปวง สงครามอหิงสา ซึ่งได้เริ่มขึ้นแต่ ค.ศ. ๑๙๐๗ จึงได้ยุติลงด้วยสวัสดิภาพใน ค.ศ. ๑๙๑๔ โดยทางหิงสาจำต้องอ่อนน้อมต่อเดชพลแห่งอหิงสา

ที่มา: สวามี  สัตยานันทปุรี

คานธีกับพระราชบัญญัติกำจัดสิทธิชาวผิวเหลือง

คานธี
เมื่อการกบฏสิ้นสุดลง ท่านคานธีได้กลับไปสู่โยฮันสเบอก ทำการว่าความไปตามเคย แต่การดำเนินอาชีพด้วยความสงบสุข ดูเหมือนจะไม่มีอยู่ในดวงตาของท่าน ฉะนั้นเมื่อการกบฏผ่านพ้นไปแล้วไม่กี่วันนัก รัฐบาลทรานสวาลประกาศว่าจะเสนอร่างพระราชบัญญัติจำกัดสิทธิชาวอาเซียฉบับแก้ไข (Draft Asiatic Law Amendment Ordinance) ขึ้น ให้สภานิติบัญญัติพิจารณา เป็นธรรมดาในเหตุการณ์เช่นนี้ มหาตมะคานธีจะนิ่งเงียบอยู่เฉยๆ ทำดูดายดังคนทั่วไปมิได้เป็นแน่ ท่านเข้าใจได้ทันทีว่า ถ้าชาวอินเดียส่วนรวมไม่ทำการคัดค้านการใช้พระราชบัญญัตินี้เสียในขั้นต้น ผลร้ายจะบังเกิดขึ้นแก่ชาวอินเดียอย่างแน่ท่านจึงได้เรียกประชุมคณะผู้ใหญ่ชาวอินเดียในอาฟริกาใต้เพื่อหารือว่า ควรปฏิบัติอย่างไร ที่ประชุมได้ลงมติเป็นเอกฉันท์ว่า รัฐบาลจะทำอย่างไรก็จงทำเถิด ชาวอินเดียจะไม่ยอมดำเนินตามพระราชบัญญัตินี้เป็นอันขาด เพื่อซ้อมความเข้าใจในเรื่องนี้ให้แน่นอนทั่วไป และเพื่อก่ออานุภาพขึ้นในจิตใจของชนชาวอินเดีย ที่พำนักอาศัยอยู่ ณ ที่นั้น ท่านจึงได้กำหนดวันทำการปฏิญาณตนว่าจะไม่ยอมดำเนินตามพระราชบัญญัติ ที่สภานิติบัญญัติได้เสนอขึ้นนี้โดยเด็ดขาดและมีโอกาสเมื่อใดจะขัดขืนเมื่อนั้น วันที่ ๑๑ กันยายน ค.ศ. ๑๙๐๖ ท่านได้นัดประชุมทำการปฏิญาณตนดังกล่าวแล้ว ทั้งท้าให้รัฐบาลลงโทษในฐานะเป็นผู้ขัดขืนกฏหมายได้ตามแต่รัฐบาลจะเห็นสมควร

อนึ่ง ถึงรัฐบาลทรานสวาลจะเป็นผู้เสนอร่างพระราชบัญญัตินั้นก็จริง แต่การที่จะประกาศใช้เป็นพระราชบัญญัติได้นั้น ต้องอาศัยการทรงเห็นชอบของพระเจ้ากรุงอังกฤษ ฉะนั้น ท่านคานธีจึงเห็นเป็นการสมควรที่จะต้องเดินทางไปยังประเทศอังกฤษ เพื่อทำการเจรจากับผู้ใหญ่ในวงการรัฐบาล ขอให้สั่งระงับร่างพระราชบัญญัตินี้ มิให้ออกเป็นกฎหมายได้ ในที่สุดแห่งการคัดค้านของลอร์ด เอลกิน ได้ออกคำสั่งให้งดการพิจารณาร่างพระราชบัญญัตินี้ไว้ชั่วคราว แต่การสั่งงดนี้หาได้ยืดเวลาอยู่นานเท่าไรไม่ คืออีกไม่กี่วันร่างนั้นกลับได้รับการยินยอมจากสภานิติบัญญัติอีก แล้วโดยอาศัยพระบรมราชานุมัติ ทางการของรัฐบาลได้ประกาศใช้เป็นพระราชบัญญัติจนได้

การสงครามตามหลักอหิงสา ระหว่างท่านคานธีกับรัฐบาลอังกฤษเริ่มขึ้นแต่นี้ไป

ที่มา:สวามี  สัตยานันทปุรี

คานธีผู้พยาบาลกาฬโรคและนำกองบรรเทาทุกข์

คานธี

ในปี ค.ศ. ๑๙๐๔ กาฬโรคได้ระบาดขึ้นในเมืองโยฮันสเบอก (Johanesburg) ทั้งนี้เพราะทางการเทศบาบซึ่งมีสมาชิกล้วนเป็นชาวอังกฤา ไม่ค่อยจะเอาใจใส่ในความเป็นอยู่ของชาวผิวเหลือง หนังสือพิมพ์ Indian Opinion ได้ลงบทนำแนะนำเทศบาลให้แก้ไขการสุขาภิบาลของเมืองโดยทั่วไป ถึงกระนั้นถ้าตำบลนั้นๆ ไม่เป็นที่อยู่ของฝรั่ง ทางการเทศบาลก็หาได้เอาใจใส่ประการใดไม่

เมื่อกาฬโรคแรกเกิด ยังไม่ระบาดแพร่หลาย มีคนป่วยตายเพียง ๒-๓ ราย ท่านคานธีได้ยื่นหนังสือขอความช่วยเหลือจากรัฐบาลให้จัดการปราบเสียแต่เนิ่นๆ แต่ทางการของรัฐบาลกลับทำไม่รู้ไม่ชี้ และปฏิเสธข่าวเสียสิ้น รายงานร้องทุกข์ของท่านจึงมิเป็นผลแม้แต่น้อย

ต่อมาอีกอาทิตย์หนึ่งเท่านั้น กาฬโรคได้แพร่ไปทั่วเมืองถึงกับทางการของรัฐบาลและเทศบาลไม่สามารถที่จะปฏิเสธข่าวได้อีก กระนั้นก็ดี ทางการยังหาได้จัดการประการใดไม่ มหาตมะคานธีเมื่อเห็นว่ากาฬโรคกำลังระบาดยิ่งขึ้น แต่เทศบาลยังนิ่งนอนใจอยู่เหมือนทองไม่รู้ร้อน จึงพร้อมกับมิตรสหาย ๒-๓ คน จัดการตั้งโรงพยาบาลส่วนตัวขึ้น และท่านเองก็ได้ลงมือทำหน้าที่เป็นผู้พยาบาลด้วย ในกิจการส่วนนี้ แม้เทศบาลที่เคยเพิกเฉยก็ได้ชมเชยท่านคานธี ผู้อุทิศชีวิตร่างกายสำหรับสาธารณะประโยชน์เช่นนี้เหมือนกัน

ในที่สุด กาฬโรคได้สงบลง โดยได้ผลาญชีวิตพลเมืองเสียมิใช่น้อย แต่ทว่าก่อนที่พิษร้ายแห่งกาฬโรคจะหมดสิ้นลงนั้น เหตุการณ์อันน่าหวาดเสียวได้แทรกขึ้นอีกรายหนึ่ง ทำให้ท่านคานธีจำต้องอำลาบ้านเรือนอันสงบสุขไปทำการบรรเทาทุกข์ในสนามรบ อันชุ่มชื้นไปด้วยหยาดโลหิต สาเหตุนี้ เนื่องมาแต่การกบฏของชาวเมืองต่อรัฐบาลอังกฤษนั้น เป็นเรื่องเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของอาฟริกาใต้ จึงไม่จำเป็นที่จะกล่าวในที่นี้ ขอพูดเพียงแต่ว่า การเป็นอยู่อย่างอิสระเป็นนิสัยสันดานของมนุษย์ แม้ตลอดถึงสัตว์ด้วย มนุษย์ถึงจะเป็นอนารยะชนสักเพียงไรก็ตาม ย่อมไม่ยอมที่จะแลกเปลี่ยนอิสรภาพ กับอารยธรรมคือไม่ยอมที่จะรับเอาอารยธรรมโดยเสียสละความเป็นอิสระจึงย่อมเป็นธรรมดาที่ชาวพื้นเมือง จะก่อการกบฎต่อรัฐบาลที่ทำลายอิสรภาพของเขา โดยอาศัยการอำนวยอารยธรรมเป็นเครื่องตัดรอนอิสรภาพลง

ท่านคานธีได้สันนิษฐานไว้แต่ก่อนแล้วว่า เรื่องราวระหว่างรัฐบาลอังกฤษกับชาวพื้นเมืองนั้น ในที่สุดจะเป็นเหตุให้นองเลือด จึงได้ส่งครอบครัวไปอยู่เสียที่นิคมพีนิกส์ และได้จัดกองบรรเทาทุกข์ชาวอินเดียเตรียมล่วงหน้าไว้

ในการจัดการบรรเทาทุกข์ครั้งนี้ ชั้นแรกเมื่อท่านได้มองเห็นสถานการณืของชาวพื้นเมืองอันน่าอนาถ ท่านต้องต่อสู้กับใจตนเองหลายครั้งหลายหนว่า การที่ท่านยอมตนเข้าเป็นฝ่ายอังกฤษนั้น เป็นการชอบด้วยธรรมหรือ ฝ่ายที่ประกอบด้วยอาวุธทันสมัย ถูกต้องตามหลักวิทยาศาสตร์ เข้ามาแย่งชิงท้องถิ่นที่อยู่ที่กินของผู้อื่น ทำลายอิสรภาพของเขา ยึดที่ดินไว้เป็นของตน และเหยียบย่ำเจ้าของเดิมลงเป็นทาส ฝ่ายนั้นชอบด้วยธรรมหรือว่า ฝ่ายที่กล้าต่อต้านฝ่ายบุกรุกด้วยมือเปล่า พลีชีวิตเพื่อรักษาอิสรภาพล้มตายระเนระนาดอยู่ตามพื้นเหมือนมดที่ถูกบี้ถูกเฆี่ยนจนหนังถลอกปอกเปิดล้มสลบอยู่ตามใต้พุ่มไม้ และในบ้านเรือนของตน ฝ่ายนั้นชอบด้วยธรรม คำตอบปัญหานี้ ท่านได้รับหลังจากการนึกคิดและการพบเห็นความเป็นไปแห่งการกบฏคราวนี้นี้น คือประวัติชีวิตต่อไปของท่านคานธี

ที่มา:สวามี  สัตยานันทปุรี

มหาตมะคานธีกับอานุภาพของรัสกิน (Ruskin)

คานธี
กิจการต่างๆ ที่ท่านคานธีเริ่มกระทำขึ้นดังนี้ได้ดำเนินไปด้วยดี แต่การที่จะทำการติดต่อระหว่างชาวอินเดียกับชาวยุโรปในภาคอาฟริกาใต้นั้น ท่านได้เห็นเป็นความจำเป็นที่ชาวอินเดียควรจะมีหนังสือพิมพ์สักฉบับหนึ่งเป็นปากเสียงของตน อาศัยเหตุนี้ในปลาย ค.ศ.๑๙๐๓ ท่านจึงได้ออกหนังสือพิมพ์ประจำวัน ชื่อว่า Indian Opinion ฉบับหนึ่ง มีข่าวสารและความเห็นลงทั้ง ๔ ภาษา คือ อังกฤษ คุชราต ฮินดี และ ตามิล แต่ในที่สุดเพราะเหตุการณ์ต่างๆ บังคับ จึงได้ตัดส่วนฮินดีและตามิลเสีย คงไว้แต่ภาษาอังกฤษกับคุชราต ๒ ภาค

มาตอนปลาย ค.ศ.๑๙๐๓ ปรากฎว่า รายจ่ายของหนังสือพิมพ์ มีจำนวนเงินสูงกว่ารายได้ ฉะนั้นท่านจึงเดินทางจากทรานสวาลไปสู่เดอร์บัน เมื่องที่ตั้งสำนักงานหนังสือพิมพ์เพื่อจะสืบสวนดูว่า เหตุไฉนการเงินของหนังสือพิมพ์จึงไม่เจริญเท่าที่ควรเป็น

ในการเดินทางคราวนี้ ท่านได้นำหนังสือของรัสกินเล่มหนึ่งชื่อว่า Unto This Last ติดตัวไปด้วย เพื่อแก้ความเบื่อหน่ายและเหงาหงอยในการเดินทาง หนังสือเล่มนี้ได้แนะนำความคิดให้แก่ท่านหลายประการ กล่าวคือ สถานะและเหตุการณ์แวดล้อมของเมือง บังคับให้เราต้องใช้จ่ายมากกว่าความจำเป็น ซึ่งเสียไปเปล่าๆ โดยมิได้บังเกิดผลแต่ประการใด มิหนำซ้ำยังเป็นเหตุกีดขวางความเจริญทางใจ ไม่ให้ความคิดเห็นของตนปรากฎออกมาได้เอง เปลี่ยนชีวิตมนุษย์ให้ดำเนินอยู่ตามกฎตายตัวดังเครื่องจักร บังคับให้บุคคลถือพรรคถือพวก เกิดแตกร้าวขึ้นระหว่างกันเอง

อาศัยแนวความคิดของรัสกินเป็นแว่น ท่านได้เล็งเห็นฐานวิวาทระหว่างชาวอินเดียกับชาววอังกฤษ ว่าเนื่องมาแต่สถานการณ์บังคับ มนุษย์เป็นผู้มีใจรักโดยนิสัยความเกลียดชังต่อกันและกันที่แซกแซงเข้ามาอยู่ในใจนั้น มิใช่เป็นนิสัยที่แท้ของมนุษย์ เหตุการณ์แห่งอารยะธรรมที่จงใจบุคคลให้อพยพเข้ามาอยู่ในเมือง เหตุการณ์ดังว่านี้แหละได้เปลี่ยนแปลงมนุษย์ผู้มีใจรักใคร่กัน ให้เป็นผู้มีใจเกลียดชังต่อกันและกัน

ฉะนั้นถ้าเราต้องการตัดความเกลียดชัง เราจำต้องเลิกชีวิตในเมือง หรือชีวิตตามหลักการของเมือง แล้วสำนักอาศัยอยู่ในชนบท คือเป็นชนบทที่มีส่วนความดีของเมืองแต่ไม่มีส่วนร้าย มีความสะดวกในทางความเจริญดังมีอยู่ในเมือง แต่ไม่มีเหตุการณ์ใดๆ ที่จะก่อให้ความปองร้ายเกิดขึ้นระหว่างหมู่ชน

ครั้นคิดดังนี้แล้ว ท่านคานธีก็ได้ล่งมือดำเนินตามรูปความคิดเช่นว่านี้ให้ปรากฎเป็นประจักษ์ผล ดังมีชัดอยู่ในภูมิลำเนาพีนิกส์

พีนิกส์เป็นนิคมใหญ่แห่งหนึ่ง ห่างไปจากเมืองเดอร์บันประมาณ ๑๒ ไมล์ เป็นที่ทำไร่อ้อย ณ ที่นั้น ท่านได้ซื้อที่ดินประมาณ ๒๕๐ ไร่ (๑๐๐ เอเกอร) ห่างไปจากสถานีรถไฟประมาณ ๒ ไมล์ ท่านได้ย้ายที่ทำการหนังสือพิมพ์พร้อมกับโรงพิมพ์ไปตั้งที่นิคมนี้ แล้วได้เชื้อเชิญทั้งชาวอินเดียและยุโรปให้มาตั้งภูมิลำเนาอยู่ที่นั้น โดยมีเงื่อนไขดังต่อไปนี้ คือ
๑. ต้องดูแลจัดการควบคุมกิจการของหนังสือพิมพ์โรงพิมพ์และที่ดิน
๒. ต้องปฏิญาณตนว่า จะไม่ดำเนินชีวิตอย่างฟุ่มเฟือย รับเงินเดือนๆ ละไม่มากกว่า ๓ ปอนด์
๓. กำไรจากหนังสือพิมพ์ ฯลฯ หากมีบ้าง จะแบ่งรับเท่าๆ กัน
๔. ให้ที่ดินแก่ท่านคานธีเป็นส่วนตัว ๕ ไร่ ณ ที่ท่านจะทำการเพาะปลูก และอุทิศชีวิตเพื่อสาธารณะประโยชน์

มีทั้งชาวอินเดียและอังกฤษ พากันไปสำนักอาศัยนิคมพีนิกส์ และหนังสือพิมพ์ Indian Opinion  ก็ได้เป็นปากเสียงของคณะนี้ ในการต่อมาเงื่อนไขดังกล่าวแล้วก็มีการดัดแปลงไปบ้าง เพื่อให้สมกาลสมัย ส่วนหลักการยังคงอยู่ดังเดิม ในที่สุดคณะนิคมพีนิกส์ ค่อยๆ ขยายวงการของตน รับหน้าที่ส่งเสริมการวิทยาทานสำหรับเด็กคนจนทั่วอาฟริกาใต้ มีจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งแสนห้าหมื่นคน

ที่มา:สวามี  สัตยานันทปุรี

การกลับอินเดียของคานธี

คานธี
สงคราวบัวร์ ได้สิ้นสุดลงโดยอังกฤษเป็นฝ่ายชนะ แต่กิจการอันหนักหน้าที่ท่านคานธีได้กระทำไปในอันเกี่ยวแก่กองบรรเทาทุกข์นั้นเป็นเหตุให้ท่านเสียสุขภาพไปอย่างมากมาย ท่านจึงได้ตกลงใจที่จะกลับอินเดียพร้อมกับครอบครัวและดำเนินอาชีพทางว่าความที่เมืองบอมเบสืบไป

ก่อนที่ท่านจะจากอาฟริกา ผู้ร่วมชาติของท่านได้มอบจานทอง เครื่องเพชรและของอย่างอื่นๆ ให้แก่ท่านและครอบครัว เพื่อเป็นเครื่องระลึกและแสดงความเคารพนับถือท่านผู้มีน้ำใจเสียสละ ท่านคานธีได้แสดงความขอบใจในไมตรีจิตของชาวอินเดียในอาฟริกาใต้เป็นอย่างยิ่ง แต่ไม่ยอมรับเครื่องสักการะบูชาอันมีค่าเหล่านั้นไว้เป็นส่วนตัว แต่ได้ขอร้องให้ใช้เครื่องสักการะบูชาอันมีค่าเหล่านั้นเป็นต้นทุนช่วยเหลือพวกคนจนผู้ร่วมชาติของท่าน ถึงจะมีความเสียใจที่ท่านไม่ยอมรับเครื่องอาภรณ์นั้นอยู่บ้าง แต่ก็พากันรู้สึกดีอกดีใจที่ได้เห็นผู้นำของตนเป็นผู้มีนิสัยสันดานเต็มเปี่ยมไปด้วยความเสียสละ

อย่างไรก็ดี พอมาถึงบอมเบ ท่านก็ได้สมัครเข้าเป็นสมาชิกแห่งคองเกรส (Indian National Congress) และสละเวลาอันมีค่าดำเนินกิจการแห่งคองเกรสให้เจริญรุ่งเรืองขึ้นโดยลำดับกาล แต่ความจริง กิจการที่ท่านได้ปรารภไว้ในอาฟริการนั้น ยังหาเกิดผลสำเร็จสมดังความประสงค์ไม่ ภาษี ๓ ปอนด์ก็ยังคงทำหน้าที่ขูดเลือดขูดเนื้ออยู่ดังเดิม และพระราชบัญญัติต่างๆ ที่กำจัดสิทธิ์ของชาวผิวเหลืองก็ยังยืนกรานอยู่ตามเคย เมื่อเหตุการณ์เป็นดังนี้ เผอิญมีโอกาสอันดีมาถึงเข้า กล่าวคือ มีข่าวทางราชการประกาศว่า มร.เซมเบอรเลน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเมืองขึ้น จะไปเยี่ยมอาฟริกาใต้เป็นทางการ ชาวอินเดียจึงตกลงใจฉวยโอกาสนี้ร้องทุกข์ต่อรัฐมนตรีโดยตรง แต่การกระทำเช่นนี้ย่อมต้องอาศัยผู้นำที่เก่งกล้าเป็นสำคัญ ฉะนั้นคณะกรรมการเนตาลคองเกรส จึงโทรเลขไปเชื้อเชิญท่านคานธีกลับโดยเร็ว เพื่อรับภาระแห่งการ้องทุกข์ต่อท่านรัฐมนตรีดังกล่าวแล้ว

ไม่ต้องสงสัย เรื่องอาชีพก็ดี หรือเรื่องความสุขส่วนตัว ส่วนครอบครัวก็ดี จะขัดขวางบุคคลผู้มีจิตใจประเสริฐเหมือนท่านคานธี ไม่ให้ดำเนินกิจการอันเกี่ยวแก่การรับใช้ประเทศชาติไว้ได้ ฉะนั้นพอได้รับโทรเลขดังว่านี้ท่านก็เตรียมตัวพร้อมเพื่อเดินทางกลับไปยัง อาฟริกาใต้ทันที

เมื่อมาถึงเนตาล การร้องทุกข์ภายใต้การควบคุมของท่านคานธีก็ดำเนินไปด้วยดี ทั้งนี้เพราะรัฐบาลเนตาลกับชาวอังกฤษ ณ ที่นั้นมีความเคารถนับถือท่านคานธี จึงไม่ได้คัดค้านการร้องทุกข์ที่มหาตมะคานธีเป็นผู้นำ แต่ว่ามาถึงแคว้นทรานสวาล เกิดมีอุปสรรคขึ้นข้อหนึ่ง คือทั้งชาวอังกฤษ ณ แดนทรานสวาลมองเห็นท่านคานธีประหนึ่งว่า ผู้อริกับเขา เป็นผู้นำความหายนะมาสู่เขา ฉะนั้นเมื่อเขาเห็นว่าท่านคานธีตั้งตัวเข้าเป็นผู้นำคณะร้องทุกข์นั้น ทั้งนี้โดยอ้างเหตุผลว่าผู้ที่จะมีสิทธิ์ในการ้องทุกข์ ต้องเป็นผู้มีหลักแหล่งอยู่ในทรานสวาล ในที่สุดคณะร้องทุกข์ก็ต้องดำเนินการ้องทุกข์ไปตามลำพัง โดยท่านคานธีไม่ได้มีส่วนเข้าร่วมด้วย

การกระทำของรัฐบาลเช่นนี้ เป็นเหตุชวนให้ชาวอินเดียเกิดความสงสัยในความหวังดีของอังกฤษต่ออินเดีย ฉะนั้นความสัมพันธ์ระหว่างชาวอินเดีย กับรัฐบาลอาฟริกาใต้จึงตึงเครียดขึ้นทุกที ทำให้พวกเขารู้สึกหนักใจว่า ถ้าเกิดปะทะกันขึ้นระหว่างอินเดียและรัฐบาลแล้ว ใครจะเป็นผู้นำเขาเล่า เหตุนั้นพวกเขาจึงได้ขอร้องให้ท่านคานธีพักอยู่ที่อาฟริกาใต้สืบไป ท่านคานธีตรึกตรองเห็นพ้องว่า ถ้าท่านไม่อยู่ สิทธิของชาวอินเดียในอาฟริกาใต้จะดับสูญไปในเวลาไม่เร็วก็ไม่ช้า จึงตกลงใจที่จะพักอยู่ที่ทรานสวาลต่อไป เมื่อตกลงดังนั้นท่านจึงได้สมัครเข้าว่าความในศาลสูงแห่งทรานสวาล และในทางดำเนินกิจการเพื่อป้องกันสิทธิและผลประโยชน์ของชาวอินเดีย ท่านก็ได้ร่วมกับผู้อื่นๆ จัดตั้ง  Transvaal British Indian Association ขึ้นในเมืองทรานสวาล เมื่อ ค.ศ.๑๙๐๓

ที่มา: สวามี  สัตยานันทปุรี

บทบาทของคานธีในสงครามบัวร์

คานธี
ในปี ๑๘๙๙ เกิดสงครามขึ้นระหว่างอังกฤษกับพวกบัวร์ ท่านคานธีจึงได้ถือโอกาสนั้น ชี้แจงให้รัฐบาลอังกฤษเห็นว่าอินเดียสามารถจะร้องขอสิทธิได้ฉันใด ก็ย่อมสามารถในอันที่จะรับผิดชอบ และพลีชีวิตเพื่อประโยชน์แห่งราชอาณาจักรได้ฉันนั้น ในชั้นต้นรัฐบาลคัดค้านไม่ยอมให้จัดตั้งกองบรรเทาทุกข์แห่งอินเดียขึ้น ตามคำที่คานธีได้ขอร้องมานั้น แต่ในที่สุดรัฐาลได้อนุโลมตามคำขอร้องทั้งสิ้น ฉะนั้นกองบรรเทาทุกข์อินเดียจึงเป็นอันจัดตั้งขึ้นได้ตามประสงค์ และได้มีผู้รับอาสาสมัครประมาณ ๒,๐๐๐ กว่าคน กิจการของกองบรรเทาทุกข์นี้ได้ดำเนินไปด้วยดีเป็นระเบียบเรียบร้อยที่สุด จนได้รับความชมเชยจากทางราชการทหารของอังกฤษและรัฐบาลโดยทั่วไปอีกด้วยเป็นอันมาก ฝรั่งคนหนึ่ง ได้เขียนข้อความเกี่ยวด้วยกิจการของกองนี้ลงในหนังสือพิมพ์ Illustrated Star แห่งโยฮันสเบอกว่าการพบนายคานธีครั้งแรกของฉัน ได้เกิดขึ้นภายในสถานการณ์อันแปลกประหลาดมาก คือบนถนนเสบียนค็อปหลังจากเวลาที่กองทหารอังกฤษถอยหนี ในเดือนมกราคม ค.ศ.๑๘๙๙ เย็นวันก่อนนี้ ฉันได้เห็นกองลาของอินเดียกำลังเคลื่อนขบวนไปตามลาดเขาค๊อป บรรทุกน้ำไปส่งกองทหารที่ต้องอาวุธ นอนเจ็บอยู่ตามเชิงเขานั้น ลาทุกตัวมีถังน้ำขนาดใหญ่บรรทุกไปถังหนึ่ง และชาวอินเดียเดินจูงลาไปตัวละคน กระสุนที่กำลังตกลงมาเหมือนห่าฝน หาสามารถหยุดชงักการก้าวหน้าของกองแปลกประหลาดนี้ไว้ได้ไม่ เมื่อคนอินเดียคนหนึ่งล้มตายลง อีกคนหนึ่งก็กระโดดข้ามมารับหน้าที่ว่างอยู่ทันที ต่อจากนั้นก็เริ่มเข้าจับหน้าที่ที่น่าสยดสยอง คือการนำทหารที่ได้รับบาดเจ็บ และเก็บซากศพไป งานแผนกนี้คานธีได้จัดเตรียมตั้งขึ้นที่เนตาล

ในการดำเนินกิจการแผนกนี้ ชาวอินเดียได้แสดงนิสัย ความอดทน ต่อความทุกข์ยากกรากกรำไว้อย่างสูงสุด และรูปงานของเขาที่ได้เป็นพยานยืนยันควาททรหดอดทนและมานะก้าวหน้าอย่างดียิ่งนั้น ฉันจะนำเอามาบรรยายเผยให้เห็นความจริง ณ บัดนี้ นั้นก็คือหลังจากเสร็จการงานแล้วคืนหนึ่งตลอดคืน ซึ่งเป็นเหตุทำให้ร่างกายอันแข็งแกร่งที่สุด ถึงกับต้องล้มลงกับที่ ฉันได้พบปะกับคานธีในเวลาตอนเช้าตรู่ ท่านกำลังนั่งรับขนมปัง อันเป็นอาหารสำหรับกองพันอยู่ข้างริมถนน เหล่าทหารของกองพันบัวร์ทุกคน ต่างเสียขวัญแสดงหน้าตาจ๋อยหงอยเหามาก ท่าทางไม่มีความร่าเริงเลย แต่ทว่าสำหรับคานธีหน้าตายังสดชื่นแสดงน้ำใจออกมาให้เห็นความแก่นกล้าที่สุดกระทั่งมีความไว้ใจตัวที่สุด คำสนทนาของท่านกอปร์พร้อมไปด้วยกำลังใจเต็มที่ ดวงหน้ายิ้มละไมสื่อถึงกรุณาอันซาบซึ้ง การพบปะกับท่านครั้งนี้นับว่าเป็นการบังเอิญแท้ๆ ถึงกระนั้นก็ยังได้เป็นเหตุปลูกมิตรภาพขึ้นได้อย่างถาวรมั่นคงยิ่ง ฉันได้พบบุรุษนั้นพร้อมด้วยกองบรรเทาทุกข์กองเล็กๆ กองหนึ่งของท่าน ในสนามรบ หลายตำบลตลอดจนขณะที่รบกันอยู่ในเนตาลทุกๆ แห่ง ทุกๆ ตำบลที่ต้องการกองบรรเทาทุกข์ของท่านคานธีปรากฎอยู่เสมอ ความกล้าอย่างลืมนึกถึงอันตรายนี้เอง จนเป็นเหตุให้ทหารกองนี้ต้องเสียชีวิตไปอย่างมากมาย ถึงกับทางการได้ออกคำสั่งห้ามไม่ให้พวกเขาไปในบริเวณระยะลูกปืน คานธีได้ปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างเต็มที่ และเมื่อชาวยุโรปผู้ที่สนับสนุนคานธีในการขอตั้งกองบรรเทาทุกข์ขึ้นนั้น ได้เชื้อเชิญท่านคานธีและแสดงเกียรติอย่างสูงในฐานะที่ท่านได้ดำเนินกิจการดังกล่าวมานี้ ให้ลุล่วงไปได้อย่างดี ท่านได้ตอบรับเพียงว่าฉันได้ปฏิบัติหน้าที่ให้สำเร็จไปด้วยดีเท่านั้น

ที่มา:สวามี  สัตยานันทปุรี

พายุใหญ่ในชีวิตมหาตมะคานธี

คานธี
เนื่องจากชาวอินเดียในอาฟริกาใต้ทั้งหลายร่วมือกันช่วยคัดค้านร่างพระราชบัญญัติ อันว่าด้วยการเก็บภาษีกรรมกรชาวอินเดียอย่างแรงกล้า รัฐบาลอังกฤษจึงเล็งเห็นเป็นการจำเป็นยิ่งที่จะต้องเปิดการเจรจาขึ้นระหว่างรัฐบาลกับอินเดีย ส่วนตัวท่านคานธีเล่าก็เห็นว่าเจรจานั้นจะต้องกินเวลานาน จึงเป็นการจำเป็นแท้ที่ท่านจะต้องพักอยู่ในอาฟริกาใต้อีกนาน อาศัยเหตุนี้ ท่านจึงรีบกลับไปสู่อินเดียในปลายปี ค.ศ.๑๘๙๕ แล้วพาบุตรภรรยาไปอยู่ในอาฟริกาใต้

ในคราวนี้ Natal Indian Congress ได้ขอร้องต่อท่านว่า เมื่อท่านกลับสู่อินเดียแล้ว ขอให้ท่านเผยความเป็นอยู่ของชาวอินเดียในอาฟริกาใต้ ให้ชาวอินเดียในอินเดียทราบความจริงทั้งนี้เพื่อสะดวกแก่การเจรจา และเพื่อให้ชาวอินเดียในอินเดียเห็นอกเห็นใจ แล้วจะได้ช่วยกันสนับสนุนการคัดค้านร่างพระราชบัญญัติฉบับนั้น หรือเพื่อต่อสู้รัฐบาลในประการอื่นๆ ถ้าหากจะเกิดมีขึ้นไซร้

ฉะนั้นต่อมาเมื่อท่านคานธีกลับสู่อินเดียแล้ว ท่านจึงได้ลงมือเปิดเผยความเป็นอยู่ของชาวอินเดียในอาฟริกาใต้อย่างไม่รีรอ โดยอาศัยการแสดงปาฐกถา การประพันธ์และการนำข้อความต่างๆ ลงในหนังสือพิมพ์

การเผยข่าวนี้ ได้กลายเป็นเหตุการณ์กระทบกระเทือนถึงชาวผิวขาวในอาฟริกาใต้ และทั้งฝรั่งในอังกฤษเองด้วยถึงกับผู้ส่งข่าวของบริษัทรอยเตอร์ได้ส่งโทรเลขไปยังเนตาลว่า “เอกสารฉบับหนึ่ง พิมพ์ประกาศในอินเดียแถลงว่า ชาวอินเดียในเนตาลถูกปล้น ถูกหมิ่นประมาท และถูกเหยียดหยามเหมือนสัตว์ และดูเหมือนจะไม่มีลู่ทางที่จะแก้ไขให้กลับดีได้” หนังสือพิมพ์ Times of India เสนอความเห็นให้สอบสวนข้อกล่าวหาอันไม่มีมูลความจริงดังกล่าวนั้นให้ได้

ข่าวรอยเตอร์ดังกล่าวนี้ หาเป็นความจริงทั้งหมดไม่แต่ทว่าเป็นความจริงอยู่เฉพาะส่วน เพราะเอกสารเท่าที่ท่านคานธีจัดพิมพ์ขึ้นนั้น พูดถึงความเป็นอยู่ของชาวอินเดียในอาฟริกาใต้อย่างถี่ถ้วนครบครันจริงๆ จะได้บ่งถึงความโหดร้ายของฝรั่งแง่เดียวก็หาไม่

จะอย่างไรก็ดี คราวนี้ ท่านคานธีได้พักอยู่ในอินเดียประมาณ ๖ เดือน ตลอดเวลาที่ท่านพักอยู่นี้ท่านได้ใช้เวลาและทุนทรัพย์เฉลยข่าวของอาฟริกาใต้ ทั่วทุกหัวเมืองใหญ่ของอินเดีย ทั้งได้หาโอกาสพบปะปราศรัยหารือกับผู้นำผู้มีชื่อเสียงของอินเดียในสมัยนั้นด้วย

เมื่อสถานการณ์กำลังจะเป็นไปดังนั้น เผอิญท่านได้รับโทรเลขจากเดอร์บันว่า “สภาปาลิเมนต์จะมีการประชุมกันในเดือนมกราคม ขอให้ท่านรีบกลับไป”

ครั้นท่านได้รับโทรเลขแล้ว ก็ได้รีบจัดแจงเดินทางไปอาฟริกาใต้อีกครั้งหนึ่ง การไปคราวนี้ได้พาบุตร ๒ คน ภรรยาและหลานคนหนึ่งไปด้วย ในต้นเดือนธันวาคม ค.ศ. ๑๘๙๖ พร้อมด้วยบุตรภรรยาและหลานชายได้โดยสารเรือเมล์กุรแลนท์ ในเที่ยวนี้มีเรือกาทรเดินทางไปด้วยลำหนึ่ง มีผู้โดยสารรวมทั้ง ๒ ลำ ประมาณ ๘๐๐ คน ในจำนวนนี้เป็นชาวอินเดียเป็นส่วนมาก

ก่อนที่เรือจะถึงท่า ท่านได้รับข่าวจากครันขามว่าพวกฝรั่งในอาฟริกาใต้ประชุมกันคิดจะหาทางทำร้ายท่านคานธีในการที่ท่านนำข่าวของอาฟริกาใต้ไปเปิดเผยในอินเดีย ฉะนั้นการไปอาฟริกาใต้คราวนี้ขอให้ระมัดระวังให้จงหนัก

ข่าวนี้จะทำให้คานธีเกิดความสะทกสะท้านกลัวแม้แต่น้อยก็หาไม่ ท่านนึกอยู่ในใจเสมอว่าฝ่ายใดอาศัยสัจธรรมเป็นทางดำเนิน ในที่สุดจะต้องได้รับชัยชนะ

วันที่ ๑๘ ธันวาคม ค.ศ. ๑๘๙๖ ข่าวได้แผ่กระจายไปทั่วอาฟริกาใต้ว่า คานธีกำลังนำนายช่าง กรรมกรฯ ที่สามารถเดินทางมายังอาฟริกาใต้ ทั้งนี้เพื่อจะขับไล่นายช่างและกรรมกรเก่าๆ เสีย การกระจายข่าวอกุศลอันปราศจากความจริงนี้ ได้เป็นเหตุให้เกิดความตื่นเต้นขึ้นในชนชาวฝรั่งทั่วทุกชั้น จึงได้เกิดมีการประชุมกันขึ้นในพวกผิวขาวกันเอง เพื่อหาทางประทุษร้ายท่านคานธี ในขณะที่ท่านลงจากเรือเมลย์ สถานะการค้าแห่งเดอร์บันได้ตึงเครียดจนถึงกับอธิบดีอัยการ มร. เอสโคมบ์ ไม่กล้าคัดค้านความเห็นของประชาชนชาวฝรั่ง มิหนำยังกลับเข้าสนับสนุนพวกนั้นอีกด้วย ฉะนั้น จึงออกคำสั่งให้กัปตันนำเรือลำที่ท่านมหาตมะคานธีและชาวอินเดียอื่นโดยสารมาไปเทียบที่ด่านป้องกันโรค และบรรดาผู้โดยสารทั้งหมด ตราบใดที่ยังไม่ได้รับอนุญาตจากรัฐบาลยังขึ้นจากเรือไม่ได้

ความจริง การเดินทางมายังอาฟริกาใต้ของชาวอินเดียในเที่ยวเมล์นี้ มหาตมะคานธีไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยเลย และทั้งท่านได้ยอมรับสารภาพด้วยว่า ท่านไม่รู้จักมักจี่กับคนเหล่านั้น นอกจาก ๒-๓ คนเท่านั้น

ระหว่างการเดินทางนี้ บรรดาผู้โดยสารเรือทั้งหมดต่างเพลิดเพลินค่าเวลาด้วยเกมสนุกๆ วันหนึ่งท่านกัปตันเรือได้เชิญผู้โดยสารเรือชั้น ๑ ทุกคน ไปรับอาหารร่วมกัน มหาตมะคานธีก็ได้รับเชิญไปด้วยเหมือนกัน หลังจากอาหาร หน้าที่แสดงสุนทรพจน์ตกเป็นหน้าที่ของท่านคานธีท่านแสดงเรื่องวัฒนธรรมตะวันตก ใจความสำคัญที่ท่านแสดงในวันนั้น คือ วัฒนธรรมตะวันตกมีหลักดำเนินคือการปองร้ายกัน แต่ทว่าวัฒนธรรมตะวันออก ดำเนินไปตามหลักความไม่ปองร้ายคืออหิงสาเสมอ เมื่อท่านกัปตันได้สดับข้อความนั้นก็อดยิ้มไม่ได้ เพราะค่าที่ล่วงรู้ถึงเงาอันตรายที่กำลังคอยท่าท่านคานธีอยู่ฝั่งอาฟริกาใต้ จึงยิ้มพลางพูดพลางว่า “ชาวฝรั่งในที่นี้ไม่ได้พากันมาทำร้ายท่าน ถ้าหากว่าเขาสามารถจะทำร้ายท่านจริงๆ แล้วไซร้ ท่านจะดำเนินไปตามหลักไม่ปองร้ายได้อย่างไรหรือ

ท่านคานธีตอบทันควันว่า “ฉันหวังว่า พระเจ้าคงจะทรงกระทำใจของฉันให้บริสุทธิ์หมดจด ถึงกับฉันสามารถยกโทษเขา และทั้งไม่ปองร้ายเขาด้วย ฉันสงสารพวกเขา เพราะพวกเขาอ่อนความรู้และความกะด้างมาก แต่ฉันรู้อย่างแน่นอนว่า ใจของเขาจะต้องรับรองโดยมิต้องสงสัยว่า การกระทำของฉันเป็นการกระทำที่ถูกต้องเพราะเหตุนี้แหละฉันจึงไม่โกรธเขาฉะนี้”

อย่างไรก็ดี ในที่สุดเมื่อเรือไปถึงอาฟริกาใต้แล้ว รัฐบาลได้สั่งให้กักเรือไว้ที่ด่านป้องกันโรค โดยไม่มีเวลากำหนดว่าจะเข้าเทียบท่าเรือได้เมื่อไร

เมื่อเรือถูกกักอยู่ที่ด่านป้องกันโรคนั้นหลายวัน โดยรัฐบาลก็ไม่มีคำสั่งอย่างไร และชี้แจงเหตุผลให้ชัดแจ้งว่าเพราะเหตุไร ดังนั้นเจ้าของเรือชาวอินเดียจึงเห็นว่าจำเป็นจะต้องฟ้องรัฐบาล และเรียกค่าเสียหายชดเชย แจ้งให้รัฐบาลทราบวัตถุประสงค์ของตน ในที่สุดเมื่อรัฐบาลได้รับคำขู่จากเจ้าของเรือดังนั้น ก็จำใจต้องสั่งให้ปล่อยเรือจากด่านป้องกันโรคโดยเร็ว

พวกฝรั่งบ้าเลือดนับจำนวนพันๆ คอยอยู่ที่ท่าเรือเพื่อฉวยโอกาสทำร้ายท่านคานธี ในขณะที่ท่านขึ้นบก ฝ่ายผู้กำกับการตำรวจเกรงไปว่า ท่านคานธีจะมีอันตราย จึงรีบลงไปในเรือห้ามท่านคานธีไม่ให้ขึ้นบกก่อนเวลาค่ำ แต่ท่านผู้มีชีวิตปราศจากความหวาดกลัวสิ่งทั้งปวงไม่ยอมปฏิบัติตามคำแนะนำโดยความหวังดีนั้น โดยอ้างเหตุว่า ตัวท่านเองไม่ได้กระทำความผิดคิดร้ายใครแม้แต่ประการใดไว้ ในขณะนั้นมีทนายความชาวฝรั่งที่ท่านคานธีไว้อกไว้ใจในความยุติธรรม และเกียรติยศแห่งผิวผู้หนึ่ง ลงไปต้อนรับท่านคานธีในเรือ ฉะนั้นท่านจึงได้ตกลงใจขึ้นบกโดยเร็ว

แต่อนิจจา ความไว้วางใจของท่านกลับเป็นสิ่งผิดหวังทั้งหมด ท่านยังมิทันก้าวเท้าขึ้นเหยียบดินเลย พวกฝรั่งที่คอยอยู่ด้วยความกระหายเลือด ได้พากันวิ่งกรูเข้าไปทุบตีท่านจนเกือบสิ้นชีวิตลงในขณะนั้น เผอิญภรรยาของท่านผู้กำกับการตำรวจเห็นฝูงคนกำลังดังเกรียวกราวเอ็ดอึงอยู่ จึงเข้าไปดูเห็นท่านคานธีก็จำได้ จึงวิ่งเข้าไปช่วยเหลือเอาร่มบังศีรษะของท่านคานธีไว้ไม่ให้เป็นอันตราย อาศัยความช่วยเหลือของท่านสุภาพสตรีผู้มีใจกรุณานี้ ท่านจึงสามารถลงจากเรือและไปอาศัยอยู่ในบ้านชาวอินเดียผู้หนึ่งได้ พวกฝรั่งผู้มีใจเปี่ยมไปด้วยเลือดอาฆาตก็มิได้รอช้า พากันแห่ไปบ้านนั้นโดยเร็ว และได้แต่งเพลงร้องปลุกใจพวกเพื่อนด้วยกันขึ้นบทหนึ่ง

ว่า “มาด้วยกัน พวกเราเอ๋ย มาด้วยกัน จับคานธีไปแขวนคอ ที่ต้นมะขามโน้น” และทั้งได้พูดขู่ว่าจะเผาบ้านและห้างร้านของชาวอินเดีย ผู้ให้คานธีพำนักอาศัยนั้นเสียสิ้น

คำขู่นี้ทำให้ท่านคานธีกลัวไปว่า พวกฝรั่งเหล่านั้นจะเผาบ้านและห้างร้านของเพื่อนเสียจริงๆ จึงได้ปลอมตัวเป็นพลตำรวจ ในเครื่องแบบที่ผู้กำกับการตำรวจจัดหามาให้แล้วหลบหนีไปให้พ้นจากห้วงอันตรายนั้นได้

เมื่อท่านหลบหนีพ้นจากอันตรายไปได้แล้ว ผู้กำกับการตำรวจจึงบอกแก่พวกฝรั่งว่า คานธีได้ไปเสียนายแล้ว ถ้าไม่เชื่อก็ขอให้พวกเขาเข้าตรวจค้นดูในบ้านนั้น พวกเขาพากันเข้าไปตรวจค้นดูจนทั่ว เมื่อไม่พบตัวคานธีจริงๆ ก็ค่อยๆ แยกกระจายกันกลับไปที่อยู่ของตนสิ้น

ข่าวการทำร้ายร่างกายคานธีครั้งนี้ ได้เกิดเป็นโกลาหลดังกระฉ่อนข้ามมหาสมุทรไปถึงเกาะอังกฤษด้วย มร.เซมเบอรเลน ส่งโทรเลขให้ทางการตำรวจและทางบ้านเมืองจับตัวผู้ร้ายให้ได้ทั้งหมด และจงให้ความยุติธรรมแก่คานธี มร. เอสโคมบ์ จึงได้เรียกท่านคานธีมาแนะนำให้ฟ้องร้องต่อศาลแต่ท่านได้แสดงความจำนงใจออกมาให้ฟังว่า การฟ้องร้องฝูงชนนั้นผิดกับหลักการของท่าน เพราะว่าฝูงชนเป็นผู้เขลาเบาปัญญาไร้ความรู้ การมุทลุดุดันดังได้กระทำมาแล้วนั้น เกิดขึ้นเพราะต่างคนต่างเข้าใจผิดกันทั้งนั้น อันที่จริงการเรื่องนี้ย่อมเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะต้องเป็นผู้แก้ความเข้าใจของมหาชน แต่รัฐบาลหาได้กระทำดังนั้นไม่ เพราะฉะนั้นผลแห่งความอาฆาตท่านได้รับจากมหาชน แต่เพราะความผิดของรัฐบาลต่างหาก ท่านจึงไม่ปรารถนาที่จะดำเนินการฟ้องร้องผู้ไม่มีความผิดนั้น

ต่อมาพวกฝรั่งผู้มีใจหยาบช้าเหล่านั้น เมื่อรู้สึกสำนึกผิดได้ ก็ได้ขออภัยโทษทางหนังสือพิมพ์ เรื่องราวจึงเป็นอันสงบเงียบลงเพียงแค่นั้น

ต่อมาอีกหลายปี สมัยเมื่อเกียรติคุณของท่านคานธีแผ่กระจายไปทั่วอาณาจักรอังกฤษแล้ว มร. เอส โคมบ์ ได้ไปหาท่าน และพูดขออภัยโทษในคราวที่ตนได้เคยพลั้งพลาดไปโดยหันเหเข้ากับมหาชนผู้ผิด เนื่องจากในเวลานั้นยังไม่รู้จักคานธีดี

ถัดจากเวลาสนทนาปราศรัยกันนั้น อีกครึ่งชั่วโมง มร. เอสโคมบ์ ลาจากท่านคานธีกลับไปบ้าน เผอิญเดินไปได้กึ่งทาง เกิดโรคหัวใจหยุดขึ้น จึงล้มตายอยู่กลางทางนั้นเอง

ที่มา:สวามี  สัตยานันทปุรี