เม่งจื๊อกับยุคสมัยของเขา

ยุคสมัยที่เม่งจื๊อมีชีวิตอยู่นั้น จำเป็นจะต้องมีอรรถาธิบายเพิ่มเติมบ้างเล็กน้อย ยุคสมัยนั้นนักประวัติศาสตร์เรียกว่าเป็นศักราชแห่งสมัยจั้นกว๋อ (Ch’an Kuo) หรือ สมัยสงครามของแคว้นต่างๆ ดังที่เราได้ทราบมาแล้ว สมัยนี้เป็นสมัยของความระส่ำระสาย รัฐบาลกลางของราชวงศ์โจว สูญสิ้นอำนาจในการปกครอง เกิดการต่อสู้แย่งชิงอำนาจกันในหมู่เจ้าผู้ครองแคว้นต่างๆ ตามมา ยุคสมัยแห่งการสงครามระหว่างแคว้นต่างๆ นี้อาจอธิบายสภาพได้ดังนี้

ประการที่หนึ่ง การสงครามเป็นลักษณะเด่นของยุค ในหลายระดับด้วยกัน ด้านหนึ่งแคว้นที่มีอำนาจโดยประมาณมีอยู่แล้วเจ็ดแคว้น ต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงอำนาจและตำแหน่งเพื่อครองบัลลังก์ของพระจักรพรรดิ อีกด้านหนึ่งอันเป็นผลที่เกิดจากสภาพของการแก่งแย่งชิงอำนาจกันของแคว้นใหญ่เหล่านี้ คือ แคว้นเล็กแคว้นน้อยทั้งหลายที่มีอำนาจอ่อนแอ ถูกบังคับให้ต้องป้องกันตนเอง และต้องต่อสู้เพื่อการอยู่รอดของแคว้นของตน พระมหาอุปราชเหวินของแคว้นเถิง  ได้ร้องขอคำแนะนำจากเม่งจื๊อ โดยสรุปสถานการณ์ว่าดังนี้

แคว้นเถิงเป็นแคว้นเล็ก ถึงแม้ข้าพเจ้าจะรับใช้แคว้นใหญ่ทั้งหลายอย่างสุดกำลังแล้ว เราก็ยังไม่สามารถจะรอดพ้นจากความทุกข์ยากที่ได้รับจากพวกแคว้นเหล่านี้ได้ ข้าพเจ้าควรจะกระทำอย่างไรดี จึงจะพ้นจากสถานการณ์อันลำบากนี้ได้?

ประการที่สอง การสงครามนำมาซึ่งภาวะอันหนักเรื่องการบำรุงรักษาทหาร ไม่แต่เท่านั้น ยังต้องมีการเก็บภาษีอย่างสูงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ผลที่บังเกิดแก่ประชาชนก็คือ ความยากจนอย่างน่าเวทนาในปีที่การเก็บเกี่ยวได้ผลดี และต้องอดอยากจนถึงสิ้นชีวิตในปีที่ขาดแคลนแห้งแล้ง

ประการที่สาม  สมัยนี้เป็นสมัยที่มีนักการเมืองและผู้มีสติปัญญาเดินทางไปมาบ่อยๆ ที่จริงแล้วไม่ได้ทำให้เกิดผลอะไรเลย นอกจากการฉกฉวยเอาโอกาสนี้ เพื่อทำการค้าขายในระดับสูงเท่านั้นเอง  พระเจ้าหุยของแคว้นเหลียงนั้นไม่ใช่เจ้าครองแคว้นคนเดียวที่ห้อมล้อมตนด้วยพวกที่มีสติปัญญาเป็นเลิศเท่าที่จะหาได้เท่านั้น ในสมัยที่ต้องกะเสือกกะสนดิ้นรนแสวงหาความสำเร็จเช่นยุคนี้นั้น เจ้าครองแคว้นศักดินาที่ยังไม่มีความมั่นคงปลอดภัยเพียงพอต่างแสวงหาผู้มีสติปัญญามา เป็นที่ปรึกษาจากทุกหนทุกแห่งเท่าที่จะหาได้ทั้งนั้น ส่วนบุคคลผู้มีสติปัญญาเล่า ก็ฉวยเอาโอกาสนี้เพื่อแสวงหาอำนาจและอิทธิพลใส่ตนเองบ่อยครั้ง ที่ปรากฏว่านายของแคว้นต่างๆ กลายเป็นตัวหมากรุกที่อยู่ในกำมือของที่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญของตนไป

เมื่อที่ปรึกษาโกรธ เจ้านายทั้งหลายเกิดตัวสั่นงันงกด้วยความหวาดกลัว เมื่อที่ปรึกษาลาออกจากราชการไปใช้ชีวิตอย่างสงบ โลกก็เต็มไปด้วยความสงบ

ประการที่สี่ ซึ่งเป็นความจริงสำหรับสมัยที่มีความขัดแย้งกันเช่นนี้เสมอในประวัติศาสตร์ของโลก คือ เป็นยุคที่มีความเคลื่อนไหวทางสติปัญญาอย่างรุนแรง ซึ่งทำให้มีสำนักคิดต่างๆ เกิดขึ้นอย่างมากมาย อันเป็นความคิดที่นอกรีตที่แตกต่างไปจากประเพณีเดิม ซึ่งมีผลเป็นการบั่นทอนปรัชญาขงจื๊อตามที่เคยนับถือกันมา ลักษณะอันนี้ของยุคเป็นลักษณะที่สำคัญยิ่งสำหรับการศึกษาของเรา เพราะว่า ลักษณะนี้เองที่เป็นเครื่องกระตุ้นให้เม่งจื๊ออุทิศชีวิตของตนเพื่อพิทักษ์รักษาปรัชญาของขงจื๊อไว้ได้อย่างดี ลักษณะอันนี้จะสังเกตเห็นได้อย่างดีจากคำตอบที่สานุศิษย์คนหนึ่ง ถามเม่งจื๊อว่า ทำไมเม่งจื๊อจึงชอบการอภิปรายโต้เถียงมากนัก

ถูกต้อง ทำไมข้าพเจ้าจึงชอบการอภิปรายโต้เถียงเสียจริง?
แต่มันเป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าช่วยไม่ได้……ในสมัยโบราณ พระจักรพรรดิยู้ (Yu) ผู้ยิ่งใหญ่ ได้สร้างทำนบทดน้ำไม่ให้ท่วมบ้านเมือง บ้านเมืองก็กลับคืนสู่ความสงบเรียบร้อย พระมหาอุปราชแห่งแคว้นโจว กลืนเอาพวกหยี (Yi) และพวกตี่ (Ti) ซึ่งเป็นคนป่าเถื่อนและขับไล่สัตว์ร้ายทั้งหลายออกไปจากบ้านเมืองประชาชนทั้งหลายก็อยู่เย็นเป็นสุข ท่านขงจื๊อได้นิพนธ์คัมภีร์ฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง พวกเสนาบดีเลวทรามทั้งหลาย ต่างหนาวๆ ร้อนๆ ด้วยความเกรงกลัว…ข้าพเจ้าเองก็จะเจริญรอยตามปรมาจารย์ทั้งหลายเหล่านี้ เพื่อปรับจิตใจของมนุษย์ให้ซื่อตรง กวาดล้างคติความคิดนอกรีตนอกรอย จำกัดขอบเขตการกระทำที่ไม่เหมาะสมและห้ามปรามคำพูดที่เหลวไหล ถ้าการกระทำของข้าพเจ้าเช่นนั้นเกิดขึ้นเพราะข้าพเจ้าชอบโต้เถียงอภิปรายแล้ว ก็เป็นสิ่งที่ช่วยไม่ได้

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เม่งจื๊อโจมตีหยางจื๊อ ม่อจื๊อ ด้วยคำพูดที่ชัดเจนแจ่มแจ้งดังนี้

คำพูดของหยางจื๊อ และของ ม่อจื๊อ แพร่สะพัดไปทั่วทั้งโลก ถ้าประชาชนไม่ถือเอาความคิดเห็นของหยางจื๊อแล้ว พวกเขาก็จะต้องรับเอาความคิดเห็นของม่อจื๊อ แต่คำสอนของหยางจื๊อเรื่อง “บุคคลแต่ละคนเพื่อตัวเอง” นั้นเป็นเครื่องทำลายการที่จะต้องมีกษัตริย์ปกครองบ้านเมือง และหลักคำสอนของม่อจื๊อที่ว่ามีบิดามารดาไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป การไม่มีบิดามารดา การไม่มีกษัตริย์ปกครองบ้านเมืองนั้น เป็นการลดค่าของมนุษย์ลงมาสู่ระดับของสัตว์ที่ป่าเถื่อนถ้าไม่มีการยับยั้งคำสอนของหยางจื๊อและคำสอนของม่อจื๊อ และไม่มีการส่งเสริมคำสอนของขงจื๊อแล้ว คำสอนอันนอกลู่นอกทางจะชักจูงประชาชนให้หลงผิด และเปิดหนทางของการมีมนุษยธรรมและการดำรงชีวิตตามทำนองคลองธรรม ถ้าไม่มีมนุษยธรรมและการดำรงชีวิตตามธรรมนองคลองธรรมแล้ว สัตว์ป่าจะเข้ามาห้ำหั่นกันและกัน

ยิ่งไปกว่านั้นเม่งจื๊อไม่ได้แสดงความปราณีอันใดแก่นักปรัชญาจากแคว้นทางใต้ ซึ่งรับนับถือเอาคำสอนของ เซนหนุง (Shen Nung) หรือ เทพเจ้าแห่งชาวนาเลย พวกแคว้นทางใต้มีความเชื่อในเรื่องการดำรงชีวิตอยู่อย่างเรียบง่าย ถึงขนาดที่ต้องให้กษัตริย์ลงมาทำงานปลูกข้าวในนาเพื่อเป็นอาหารของตนด้วยตนเอง เม่งจื๊อเห็นว่าทรรศนะเช่นนนี้เป็นทรรศนะที่นาขบขัน และชี้ให้เห็นว่า การงานปกครองบ้านเมืองกับการใช้แรงงานในการทำนานั้น เป็นสิ่งที่ดำเนินไปด้วยกันไม่ได้

เหตุผลคือว่า งานบางชนิดนั้นเป็นงานที่เหมาะสมสำหรับคนใหญ่โต งานบางชนิดนั้นเป็นงานที่เหมาะสมสำหรับคนเล็กน้อยสามัญ บุคคลทุกคนจะต้องอาศัยผลผลิตจากแรงงานของบุคคลอื่นทั้งนั้น สิ่งทั้งหลายในโลกจะต้องปั่นป่วนยุ่งเหยิงไปหมด ถ้ากษัตริย์ต้องมาทำสิ่งของเครื่องใช้ของตนด้วยตนเอง ด้วยเหตุนี้ จึงมีคำกล่าวว่า “บุคคลบางคนทำงานด้วยสมอง บุคคลบางคนทำงานด้วยแรงกาย บุคคลที่ทำงานด้วยสมองเป็นผู้ปกครองบ้านเมือง บุคคลที่ทำงานด้วยแรงกายเป็นผู้ผลิตอาหาร บุคคลที่เป็นผู้ปกครองเป็นผู้ได้รับอาหารมาบริโภค” นี้เป็นหลักที่ยอมรับนับถือกันโดยทั่วไปทั้งโลก

ด้วยการมีภาพของโลกที่ปั่นป่วนยุ่งเหยิงอย่างนี้อยู่ในใจ ฉะนั้นจึงเป็นการง่ายสำหรับเราที่จะเข้าใจ การที่เม่งจื๊อพยายามแสวงหาอย่างแข็งขัน ซึ่งกษัตริย์ผู้รู้แจ้ง ผู้สามารถจัดบ้านเมืองให้มีความสงบสุขและมีเสถียรภาพอันเป็นยอดปรารถนาของยุคสมัยแห่งสงครามระหว่างแคว้นต่างๆ แต่ในที่สุดเม่งจื๊อจำต้อง สรุปความคิดเห็นของตนไว้ว่า

โดยปกติแล้ว ในทุกช่วงระยะเวลาของห้าร้อยปี จะต้องมีกษัตริย์ที่ดีเกิดขึ้นพระองค์หนึ่งเสมอ…ตามจำนวนปีที่กล่าวนี้แล้ว บัดนี้เวลาที่ว่านั้นก็ล่วงเลยไปนานแล้ว ถ้าว่าตามสภาพการณ์ของยุคสมัยแล้ว เราอาจจะคาดหวังได้ว่า กษัตริย์ที่ว่านี้ควรจะอุบัติขึ้นมาแล้ว แต่สวรรค์คงจะไม่ปรารถนาที่จะให้มีสันติสุขและการปกครองที่ดีเกิดขึ้นในโลกกระมัง เราจึงยังไม่พบบุคคลดังกล่าว ถ้าหากว่านี้เป็นความประสงค์ของสวรรค์แล้วจะมีใครอีกเล่า ที่จะเป็นผู้สร้างบุคคลเช่นนี้ขึ้นมาให้นอกจากข้าพเจ้า?

ที่มา:สกล  นิลวรรณ

ชีวิตและงานนิพนธ์ของเม่งจื๊อ

เม่งจื๊อ
จงปฏิบัติต่อผู้สูงอายุในครอบครัวของท่านด้วยความเหมาะสม แล้วขยายการปฏิบัตินั้นไปถึงผู้สูงอายุของครอบครัวอื่นด้วย จงปฏิบัติต่อเด็กในครอบครัวของท่านด้วยความเหมาะสม แล้วขยายการปฏิบัตินั้นไปถึงเด็กๆ ของครอบครัวอื่นด้วย
Meng Tsu เล่ม 1 ตอน 1 บทที่ VII

ก่อนสิ้นสมัยราชวงศ์โจว ได้เกิดมีสำนักสอนปรัชญาของขงจื๊อขึ้นหลายแห่ง แต่ก็ยังไม่มีบุคคลใดที่มีสติปัญญาเลิศถึงขนาดที่จะเป็นหลักประกันความคงอยู่ของปรัชญาขงจื๊อได้ จนกระทั่งสมัยของเม่งจื๊อ เม่งจื๊อเป็นบุคคลที่มีความสามารถในการพูดที่จับใจ มีความกล้าหาญทางจริยธรรม และมีสติปัญญาอันลึกซึ้ง เม่งจื๊อเป็นบุคคลที่เผยแพร่คำสอนของขงจื๊อออกไปอย่างกว้างขวาง ในขณะเดียวกันเม่งจื๊อก็โจมตีคำสอนที่บิดเบือนไปจากปรัชญาของขงจื๊อด้วย ผลงานที่เขาทำให้ปรัชญาขงจื๊อแพร่หลายออกไปประกอบด้วยการต่อสู้เพื่อป้องกันคำสอนอันบริสุทธิ์ของขงจื๊อนั้น ทำให้เม่งจื๊อได้รับการยกย่องนับถือจากบุคคลทั่วไปว่า เป็นนักปรัชญาคนสำคัญที่สุดรองลงไปจากขงจื๊อ เป็น “ปรมาจารย์คนที่สอง”

ชีวิตและงานนิพนธ์
เม่งจื๊อหรืออาจารย์เม้ง มีชื่ออีกชื่อหนึ่งว่า เม่ง โข (Meng K’o) เขาเกิดเมื่อประมาณร้อยปีเศษหลังจากมาณกรรมของขงจื๊อ ชีวิตของเขาประมาณว่าอยู่ระหว่างปี 372-289 ก่อน ค.ศ. ทำนองเดียวกันกับขงจื๊อ เม่งจื๊อมีนิยายที่เกี่ยวกันกับการกำเนิดของเขามากมาย กล่าวกันว่า มีทูตสวรรค์มาปรากฏแก่มารดาของเขาขณะที่เขากำลังเกิดนั้นมีแสงสว่างเป็นสีรุ้งปรากฏสว่างไปทั่วบริเวณ นิยายเหล่านี้ก็มีลักษณะคล้ายกันกับนิยายที่เกี่ยวกับขงจื๊อ คือ เป็นเครื่องแสดงถึงความเคารพและศรัทธาที่ประชาชนชาวจีนมีต่อเม่งจื๊อ มากกว่าจะเป็นเรื่องของความเป็นจริง

เม่งจื๊อเป็นคนชาวเมืองโซ่ว (Tsou) ปัจจุบันเป็นอำเภอ โซ่วเซียน (Tsou Hsien) อยู่ในแคว้นชานตุง (Shantung) เล่ากันว่าเม่งจื๊อมีเชื้อสายมาจากสกุลเม่งซุน ซึ่งเป็นสกุลผู้ดีมีอิทธิพลของแคว้นหลู เมื่อราชวงศ์โจวกำลังเสื่อมจะศูนย์สิ้นอำนาจลงนั้น ครอบครัวของสกุลเม่ง ได้อพยพจากแคว้นหลูไปพำนักอยู่ที่แคว้นโซ่ว เม่งจื๊อเหมือนกับขงจื๊อคือ ต้องกำพร้าบิดาตั้งแต่เมื่อยังอายุยังน้อย บิดาของเขาถึงแก่กรรมเมื่อเขาอายุได้สามขวบ เขาจึงรับการเลี้ยงดูและการอบรมสั่งสอนจากมารดาเม้ง (Meng) ของเขาเป็นอย่างดี ชื่อของมารดาเม้งของเขานั้น เป็นชื่อที่กล่าวขวัญด้วยความยกย่องกันภายในครอบครัวของชาวจีนมาจวบกระทั่งทุกวันนี้

เรื่องเกี่ยวกับมารดาเม้งของเขานั้น คือ นางต้องย้ายบ้านถึงสามครั้ง เพื่อแสวงหาสิ่งแวดล้อมที่ดีงามเพื่อเลี้ยงลูกชายของนาง ครั้งแรกครอบครัวของนางอาศัยอยู่ใกล้กับฌาปนสถาน ต่อมานางพบว่าลูกชายของนางชอบเล่นแต่เรื่องการฝังศพและการไว้ทุกข์ให้แก่คนตาย นางจึงย้ายบ้านเป็นครั้งที่สองไปอยู่ใกล้ตลาด ซึ่งทำให้ลูกชายของนางไปสนใจในเรื่องการเล่นซื้อเล่นขาย นางก็ไม่พอใจ นางจึงต้องย้ายบ้านเป็นครั้งที่สาม คราวนี้นางไปอยู่ใกล้กับโรงเรียน ณ ที่บ้านแห่งนี้ บุตรชายของนางมีโอกาสที่จะเลียนแบบของครู ของนักเรียน ของโรงเรียนนั้นได้อย่างอิสระ ทำให้มารดาของเม่งจื๊อมีความพอใจมาก เรื่องของมารดาเม้งในเรื่องนี้และเรื่องอื่นๆ ที่เอาใจใส่ในการเลี้ยงดูลูกนั้น จึงกลายเป็นเรื่องที่บันดาลใจบรรดาผู้เป็นมารดาทั้งหลายในครอบครัวของชาวจีนนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

เม่งจื๊อ มีความเคารพนับถือขงจื๊อว่าเป็นปรมาจารย์ ที่เป็นแบบอย่างของชีวิตของเขา ตั้งแต่เขายังเยาว์วัยอยู่ ครั้งหนึ่งเขากล่าว่า

นับตั้งแต่สมัยที่เริ่มมีชีวิตของมนุษย์ปรากฏขึ้นในโลกมาจนตราบเท่าทุกวันนี้ ยังไม่มีบุคคลใดที่อาจถือเอาได้ว่าเป็นขงจื๊อคนที่สองได้เลย….ความปรารถนาของข้าพเจ้า คือ เรียนรู้เพื่อจะได้เป็นเหมือนท่านขงจื๊อ…ถึงแม้ว่าข้าพเจ้าจะไม่สามารถเป็นสานุศิษย์ของท่านขงจื๊อเองได้ก็ตาม แต่ข้าพเจ้าก็จะพยายามศึกษาและเจริญคุณธรรมของท่านขงจื๊อเอาจากบุคคลผู้เคยเป็นสานุศิษย์ของท่านมา

แต่ปรมาจารย์ทั้งสองท่านนี้ มีอุปนิสัยใจคอแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงทีเดียว ขงจื๊อเป็นคนเก็บความรู้สึก เป็นสุภาพบุรุษผู้ประณีตรอบคอบและระมัดระวังในการพูด ส่วนเม่งจื๊อนั้นเป็นคนเปิดเผย เป็นนักพูดคนสำคัญของยุค มีชื่อเสียงเลื่องลือในเรื่องปฏิภาณไหวพริบ เมื่อมีผู้ถามปัญหายากๆ หรือเมื่อถูกกล่าวถากถางโจมตี ขงจื๊อมักจะนิ่งเฉยและอ้อนวอนขอความช่วยเหลือจากสวรรค์ให้ลงมาเป็นพยาน แต่เม่งจื๊อไม่ใช่บุคคลเช่นนั้น ลักษณะของเม่งจื๊อนั้น จะต้องตอบโต้ห้ำหั่นกับคู่ต่อสู้และต้อนคู่ต่อสู้ให้เป็นฝ่ายจนมุมทุกครั้งไป

ชีวิตงานของเม่งจื๊อ ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในครึ่งหลังของศตวรรษที่สี่ก่อน ค.ศ. เป็นสมัยที่จีนเก่ากำลังจะสูญสิ้นไป และการเปลี่ยนแปลงใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้น สมัยนี้เป็นสมัยที่มีความปั่นป่วนทางสังคม ขาดเสถียรภาพในทางการเมือง ขาดหลักการทางสติปัญญา ผลก็คือ ความพยายามของเม่งจื๊อในทางด้านการเมืองไม่ประสบความสำเร็จมากไปกว่าความพยายามของขงจื๊อแต่อย่างใดเลย ในบทนิพนธ์เรื่องบันทึกประวัติหรือ ซี่ จี่ (Shih Chi) ของ สุมาเฉี๋ยน (Ssu-ma Ch’ien) นั้นเราอ่านพบข้อความว่า

หลังจากที่ได้ศึกษาคำสอนของขงจื๊อเป็นอย่างดีแล้ว เม่งจื๊อไปทำราชการอยู่กับพระเจ้าซ่วน แห่งแคว้นฉี๋ (King Hsuan of Ch’i) แต่พระเจ้าซ่วนไม่ยอมปฏิบัติตามหลักการของเม่งจื๊อ ดังนั้นเม่งจื๊อจึงเดินทางต่อไปยังแคว้นเหลียง (Liang) แต่พระเจ้าหุยของแคว้นเหลียง (King Hui) ก็ไม่ยอมรับฟังคำแนะนำของเขา สำหรับบรรดาเจ้าผู้ครองแคว้นทั้งหลายแล้ว คำพูดของเม่งจื๊อ เป็นเหมือนคำสวดมนต์ของพวกหมอผี ไม่มีพื้นฐานของความเป็นจริงรองรับแต่อย่างใด

ตรงกันข้ามกับลำดับเหตุการณ์ที่ปรากฏในบทอ้างที่ยกมาข้างบนนี้ ในปัจจุบันนี้เป็นที่เชื่อกันว่า เม่งจื๊อได้พักอยู่ที่แคว้นเหลียงก่อนแล้วจึงเดินทางไปแคว้นฉี๋ เขาได้ไปที่แคว้นเหลียง ในปี 320 ก่อน ค.ศ. แล้วเดินทางไปสู่แคว้นฉี๋ ในปี 318 ก่อน ค.ศ.

บันทึกเกี่ยวกับการพำนักอยู่ของเม่งจื๊อที่แคว้นเหลียงนั้น แสดงถึงความยุ่งยากต่างๆ ที่เขาได้ประสบอย่างชนิดที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เหตุที่เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้นั้นเป็นเพราะว่า การพบปะระหว่างเม่งจื๊อกับเจ้าผู้ครองแคว้นนั้นที่จริงแล้ว คือการขัดแย้งกันระหว่างโลกของวัตถุ กับโลกของจิตใจ ในสมัยที่บ้านเมืองมีแต่การจลาจลวุ่นวาย พระเจ้าหุยของแคว้นเหลียงพยายามแก้ไขจุดอ่อนของพระองค์ โดยการแสวงหาบุคคลผู้มีสติปัญญาเท่าที่จะหาได้มาร่วมงาน ฉะนั้นเม่งจื๊อซึ่งมีความสนใจในเรื่องการเมืองอยู่แล้ว จึงไปสู่ราชสำนักของแคว้นเหลียง ชื่อเสียงของเม่งจื๊อทำให้ได้รับการต้อนรับจากพระเจ้าหุยเป็นอย่างดี แต่เมื่อพระเจ้าหุยขอคำแนะนำเรื่องการแสวงหาประโยชน์เพื่อราชอาณาจักรของพระองค์ พระเจ้าหุยจึงเห็นว่าคำแนะนำของเม่งจื๊อนั้น มีประโยชน์แก่การแสวงหาอำนาจของพระองค์น้อยมาก ความคิดที่จะแสวงหาผลประโยชน์นั้นเป็นความคิดที่ขัดแย้งกับทรรศนะของเม่งจื๊อ เม่งจื๊อ กล่าวถวายคำแนะนำว่า

เราจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า คำแนะนำของเม่งจื๊อนั้นเป็นคำแนะนำที่ทวนกระแสลม ไม่มีใครรับฟัง เม่งจื๊อพบว่าตนเองนั้นมีโอกาสที่จะรับใช้ราชการบ้านเมืองน้อยเหลือเกิน ในยุคสมัยที่สุขสงบแล้ว เม่งจื๊ออาจมีหวังที่จะพบกับความสำเร็จได้มากกว่านี้ แต่สภาพการณ์อันฉุกเฉินของยุค ทำให้ความพยายามของเขาต้องล้มเหลว เม่งจื๊อพำนักอยู่ในแคว้นเหลียง จนถึงปลายปี 319 ก่อน ค.ศ. เมื่อพระเจ้าหุยสวรรคตลง และพระเจ้าเซียง (King Hsiang) ราชบุตรของพระองค์ขึ้นครองราชย์ต่อไป ภายหลังจากที่ได้เข้าเฝ้าพระเจ้าเซียง กษัตริญืหนุ่มเป็นครั้งแรกแล้ว
เม่งจื๊อกล่าวว่า

เมื่อข้าพเจ้ามองดูพระองค์แต่ไกล พระองค์ดูไม่มีท่าทางเหมือนกษัตริย์เลย เมื่อข้าพเจ้าไปใกล้พระองค์ ข้าพเจ้าไม่เกิดความรู้สึกเคารพนับถือในตัวพระองค์เลย

ที่จริงแล้ว เม่งจื๊อมีความรู้สึกรังเกียจและสะอิดสะเอียนอย่างยิ่ง ในไม่ช้าเขาก็จากแคว้นเหลียงไปสู่แคว้นฉี๋

แคว้นฉี๋ เป็นแคว้นที่สงบนิ่งมาเป็นเวลานานถึงสองศตวรรษ แต่ภายใต้การปกครองของพระเจ้าซ่วน แคว้นฉี๋ได้เจริญรุ่งเรืองเด่นขึ้นมา พระองค์ทรงเปิดประตูต้อนรับบุคคลผู้มีสติปัญญาทุกคนที่กระหายในเรื่องของการเมือง ฉะนั้นจึงมีบุคคลผู้มีชื่อเสียงเด่นๆ และผู้มีความรู้และสติปัญญาหลั่งไหลมาสู่ราชสำนักของพระองค์เป็นจำนวนมาก พระองค์จัดสถานที่อยู่อันสง่างามให้ ให้รางวับและรายได้ตอบแทนอย่างงดงาม รวมทั้งยศถาบรรดาศักดิ์ที่มีเกียรติ พระองค์ทรงให้ทุกสิ่งทุกอย่างยกเว้นแต่ตำแหน่งในราชการบ้านเมืองเท่านั้น ทั้งนี้เพื่อให้บุคคลเหล่านั้นมีเวลาว่างเป็นอิสระพอที่จะศึกษาหาความรู้ทางวิชาการแต่อย่างเดียว และมีหน้าที่ให้คำปรึกษาในเรื่องการปกครองบ้านเมืองและบรรยายวิชาความรู้ต่างๆ ให้แก่พระองค์เท่านั้น

เมื่อพระเจ้าซ่วนได้ทราบว่าเม่งจื๊อ กำลังเดินทางมาสู่แคว้นฉี๋ พระองค์จึงส่งพระราชบุตรของพระองค์ไปต้อนรับถึงที่ชายเมือง และเมื่อพระเจ้าซ่วนมอบตำแหน่งสูงในราชสำนักให้แก่เขา เม่งจื๊อ รู้สึกว่าแคว้นนี้คือตลาด ที่มีลู่ทางดีพอที่เขาจะขายสินค้าของตนได้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตามปัญหายุ่งยากเก่าๆ  ก็ยังคงมีอยู่ เพราะว่าพระเจ้าซ่วนนั้นก็เหมือนกับเจ้าผู้ครองแคว้นต่างๆ ทั้งหลายคือ มีความสนใจอยู่ที่การเพิ่มพูนกำลังทางทหารเพื่อที่จะได้มาซึ่งบัลลังก์แห่งพระจักรพรรดิ และมีความอ่อนแอที่เห็นได้อย่างชัดเจนในเรื่องสตรีและทรัพย์สมบัติ เม่งจื๊อ ซึ่งมีความชำนาญในเรื่องวรรณคดี และความรู้ทั้งหลายได้พยายามปรับตนให้เข้ากับอัธยาศัยของพระเจ้าซ่วน เขาถวายคำแนะนำว่า การที่จะเป็นพระจักรพรรดินั้น เป็นสิ่งที่ไม่เหลือวิสัย ถึงแม้พระองค์จะมีความอ่อนแอบางประการ ถ้าหากว่าพระองค์มีความยินยอมที่จะแบ่งปันความสุขส่วนตัวของพระองค์ให้แก่ประชาชนพลเมือง แต่ในที่สุด เม่งจื๊อก็ไม่อาจต้านทานกับการเป็นตัวของตนเองที่แท้จริงได้  ฉะนั้นความเปิดเผยตรงไปตรงมาของเขาจึงทำให้เขาต้องปลีกตัวออกจากพระเจ้าซ่วน ดังปรากฏในบทสนทนาต่อไปนี้ เม่งจื๊อ ได้ทูลถามพระเจ้าซ่วนว่า

“สมมติว่า เสนาบดีคนหนึ่งของพระองค์ จำเป็นจะต้องเดินทางไปต่างเมือง จึงได้มอบให้เพื่อนคนหนึ่งเป็นผู้ดูแลบุตรและภรรยาของตน แต่เมื่อเขากลับจากการเดินทางมาแล้ว พบว่า บุตรและภรรยาของเขาต้องอดอยากและทนหนาวอยู่ เสนาบดีคนนั้นควรจะทำอย่างไรดี กับเพื่อนของเขา?
“ไล่เพื่อนคนนั้นไป” พระองค์ทรงตอบ
“สมมติว่า หัวหน้าผู้พิพากษาของพระองค์ไม่สามารถควบคุมเจ้าหน้าที่ในบังคับบัญชาของตนได้ พระองค์จะทรงจัดการกับหัวหน้าผู้พิพากษาคนนั้นอย่างไร?”
“ไล่ออกไป” คือคำตอบอันฉับพลันของพระองค์
“ทีนี้ สมมติว่า ภายในอาณาจักรของพระองค์นี้ มีแต่การปกครองที่เลว พระองค์จะทรงทำอย่างไร?”
พระเจ้าซ่วน ทรงเบือนพระพักตร์หนีแล้วเปลี่ยนเรื่องอื่นทันที

พระเจ้าซ่วนทรงสุภาพและรับฟังคำแนะนำปรึกษาของเม่งจื๊อด้วยไมตรีอันดี แต่พระองค์ไม่เคยสนใจมากมายถึงขนาดที่จะนำทฤษฎีของ
เม่งจื๊อไปทดลองปฏิบัติในการปกครองบ้านเมืองของพระองค์ เมื่อกาลเวลาล่วงไป เม่งจื๊อจึงรู้สึกว่าสิ่งที่เขาได้รับนั้นก็เป็นแต่เพียงการรับฟังอันสงบอย่างตั้งใจ และอย่างสุภาพเท่านั้นเอง ซึ่งไม่บังเกิดผลดีแต่อย่างใด ด้วยเหตุนี้เขาจึงเดินทางออกจากแคว้นฉี๋ไป

เหมือนกับขงจื๊อ เม่งจื๊อไม่เคยหมดหวังอย่างสิ้นเชิง ถึงแม้ว่าเขาจะยอมรับในที่สุดว่า ความพยายามของเขานั้นไร้ผล เขามีอายุหกสิบเจ็ดปีแล้ว ในตอนที่เขาออกจากแคว้นฉี๋ใน ปี 312 ก่อน ค.ศ. เพื่อแสวงหากษัตริย์ผู้มีความรู้แจ้งต่อไป

เม่งจื๊อมามีโอกาสอีกครั้งหนึ่งในราชสำนักแห่งแคว้นเถิง (T’eng) ซึ่งเป็นแคว้นเล็กๆ อยู่ระหว่างแคว้นที่มีกำลังอำนาจสองแคว้นคือ แคว้นฉู่และแคว้นฉี๋ พระมหาอุปราชเหวินแห่งแคว้นเถิง มีความลำบากใจในการป้องกันตนให้พ้นจากการรุกรานของแคว้นใกล้เคียงที่มีอำนาจ พระองค์จึงไปขอความช่วยเหลือจากเม่งจื๊อ เม่งจื๊อปฏิเสธไม่ยอมรับตำแหน่งอันสูงที่พระเจ้าเหวินทรงมอบให้ เพราะเม่งจื๊อรู้สึกว่าการมอบตำแหน่งให้นั้นปราศจากความบริสุทธิ์ใจ แต่เขาได้ให้คำแนะนำแก่พระมหาอุปราชเหวินหลายประการด้วยกัน สิ่งสำคัญที่สุดคือเรื่อง การปฏิรูปที่ดิน ที่เรียกกันว่า จิ้งเถียน (Ching-T’ien) หรือระบบการทำนาบ่อ แต่เม่งจื๊อพำนักอยู่ในแคว้นเถิงชั่วระยะเวลาอันสั้น ในปี 307 ก่อน ค.ศ. เขาเดินทางไปสู่แคว้นหลู แล้วก็ใช้ชีวิตส่วนตัวอย่างสงบ อุทิศตนให้กับการเผยแพร่ความรู้ให้แก่คนหนุ่ม และการเขียนบทนิพนธ์ทางปรัชญาของเขาที่เรียกชื่อว่า เม่งจื๊อ เหมือนขงจื๊อ คือ เม่งจื๊อ เป็นนักการศึกษาที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี เป็นที่รักใคร่ของสานุศิษย์ บทนิพนธ์เรื่องเม่งจื๊อของเขาถือว่าเป็นบทนิพนธ์ที่สำคัญที่สุดเล่มหนึ่งของสำนักปรัชญาขงจื๊อในปี 289 ก่อน ค.ศ. เมื่ออายุได้แปดสิบสี่ปี เม่งจื๊อได้ถึงกาลมาณะในแคว้นอันเป็นมาตุภูมิของเขานั้นเอง

ที่มา:สกล  นิลวรรณ

ขงจื๊อและวิทยาการชั้นสูงทั้งหก

(The Six Classics)
ข้าพเจ้าเป็นผู้ถ่ายทอดความรู้ ข้าพเจ้ามิใช่ผู้สร้างความรู้
ข้าพเจ้ามีความรักและศรัทธาในวิทยาการแห่งอดีต

ถึงแม้ว่าจะยังเป็นเรื่องที่ยังคงโต้เถียงกันที่ยังไม่ยุติก็ตาม ปัจจุบันนี้ก็เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปแล้วว่า คำกล่าวที่แสดงอาการถ่อมตนที่ยกมาข้างต้นนั้น เป็นคำกล่าวที่ถูกต้องไม่มากก็น้อย กล่าวคือความรู้ส่วนใหญ่ที่เรียกว่า วิทยาการหกประการของขงจื๊อนั้น เป็นวิชาความรู้ที่มีมาก่อนยุคสมัยของขงจื๊อ แต่วิชาความรู้เหล่านี้ขงจื๊อเป็นบุคคลผู้ที่ได้รักษาและถ่ายทอดมาสู่บุคคลรุ่นหลังๆ ด้วยความพยายามอันพากเพียรของขงจื๊อ ขงจื๊อเริ่มต้นด้วยการศึกษาความรู้ที่มีมาแต่สมัยโบราณด้วยความหวังว่า จะนำพาความรู้เหล่านั้นมาใช้ในการปกครองบ้านเมืองตามสภาพที่เป็นจริง จนกระทั่งในบั้นปลายของชีวิตที่ขงจื๊อได้หันมาเรียบเรียงและบันทึกวิชาความรู้เหล่านี้ขึ้นไว้ เพื่อประโยชน์ของบุคคลในรุ่นข้างหน้าสืบต่อไป ในระหว่างที่เขาทำงานเรียบเรียงบันทึกวิชาความรู้เหล่านี้นั้น เขาได้เพิ่มความหมายใหม่อันเป็นผลจากประสบการณ์แห่งความเข้าใจทางจริยธรรมของเขาให้กับวิทยาการโบราณนั้นด้วย

ฉะนั้น จะเห็นได้ชัดเจนว่าการทำความรู้จักกับวิทยาการหกประการนี้ เป็นสิ่งจำเป็นในการที่จะเข้าใจถึงผลงานอันมีคุณค่าของขงจื๊อได้

1. บทนิพนธ์เรื่อง ซู่ จิง (Shu ching) หรือ คัมภีร์แห่งประวัติศาสตร์ เป็นบันทึกทางประวัติศาสตร์ ที่ขงจื๊อเป็นผู้รวบรวมและเรียบเรียงขึ้น บรรจุเรื่องราวต่างๆ ของราชวงศ์ต่างๆ ประมาณหนึ่งร้อยเรื่อง ครอบคลุมกาลเวลาตั้งแต่ศตวรรษที่ยี่สิบถึงศตวรรษที่แปดก่อน ค.ศ. ขงจื๊อเรียงลำดับเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์เหล่านี้ ตามลำดับของกาลเวลา และเขียนคำนำของเรื่องเหตุการณ์เหล่านั้น เนื้อเรื่องส่วนใหญ่ของบทนิพนธ์นี้ได้มาจากหอพระสมุดของราชสำนักราชวงศ์โจว ประกอบด้วยบทสนทนาเกี่ยวกับปัญหาของการปกครองบ้านเมืองระหว่างพระจักรพรรดิ์และเสนาบดี เค้าโครงของนโยบายของแคว้นต่างๆ คำสาบานเพื่อสร้างขวัญแก่ทหารก่อนออกทำสงคราม จารึก พระบรมราชโองการและบันทึกเรื่องราวของพระราชพิธีต่างๆ ส่วนย่อยของบทนิพนธ์เล่มนี้ เป็นบทรวบรวมเรื่องและคำกล่าวของบุคคลสำคัญๆ ของราชวงศ์ในสมัยโบราณ เอกสารเหล่านี้ แทรกไปด้วยความคิดที่เกี่ยวกับศาสนา และข้อความที่เป็นบทสนใจในเรื่องต่างๆ

ขงจื๊อรวบรวมและเรียบเรียงเอกสารเหล่านี้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจะให้นักศึกษาได้คุ้นเคยกับข้อเท็จจริงที่เป็นสาเหตุของความเจริญและของความเสื่อมของราชวงศ์ต่างๆ ในบรรดาเรื่องทั้งหมดหนึ่งร้อยเรื่องนั้น มีอยู่เพียงยี่สิบแปดเรื่องเท่านั้นที่ยังคงเหลืออยู่ในบทนิพนธ์คัมภีร์แห่งประวัติศาสตร์ที่มีอยู่ในปัจจุบัน นับว่าเป็นเอกสารทางประวัติศาสตร์ที่ดีที่สุดที่มีอยู่ในการศึกษาประวัติศาสตร์และคติความคิดทางการเมืองของจีนในสมัยโบราณ

2. บทนิพนธ์เรื่อง ซี่ จิง (Shih ching) หรือ คัมภีร์เรื่องกวีนิพนธ์ เป็นบทนิพนธ์ที่รวบรวมบทกวีที่แพร่หลาย ที่เขียนขึ้นในช่วงระยะเวลา 500 ปี ระหว่างสมัยเริ่มต้นของราชวงศ์โจว (ศตวรรษที่ 12 ก่อน ค.ศ.) กับ สมัยฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง (ศตวรรษที่ 8 ถึง 5 ก่อน ค.ศ.) ขงจื๊อได้เลือกสรรเอาบทกวีนิพนธ์จำนวน 305 ชิ้น จากบรรดาบทกวีนิพนธ์ทั้งหมด 3,000 ชิ้น แล้วจัดใหม่ภายใต้หัวข้อเรื่องสี่หัวข้อ หัวข้อที่หนึ่งคือ บทกวีนิพนธ์ที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างเพศ หัวข้อที่สอง คือบทกวีนิพนธ์ตามประเพณีนิยมเล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับงานรื่นเริงธรรมดาสามัญ หัวข้อที่สาม คือ บทกวีนิพนธ์ตามประเพณีนิยมที่สำคัญเกี่ยวกับงานพระราชพิธี หัวข้อที่สี่คือบทกวีนิพนธ์เกี่ยวกับการบูชาบวงสรวงที่ใช้ฟ้อนรำในศาสนสถาน และการรื่นเริงสนุกสนานต่างๆ บทกวีนิพนธ์ทั้งหมดนี้ขงจื๊อใช้เป็นบทเรียนพื้นฐานเพื่อสอนแก่นักศึกษาในวิชากวีนิพนธ์

ฉะนั้น เหตุผลของขงจื๊อในการแสดงกวีนิพนธ์ จึงมีหลายประการในระหว่างฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง เป็นธรรมเนียมของสังคมผู้ดีที่จะมีบทแทรกการสนทนาด้วยบทกวีนิพนธ์ ด้วยเหตุนี้ขงจื๊อ จึงกล่าวว่า

ถ้าปราศจากการศึกษาเรื่องบทกวีนิพนธ์แล้ว
บุคคลก็จะไม่สามารถจดจำถ้อยคำต่างๆ ได้

นอกจากเพื่อประโยชน์ในการช่วยความจำถ้อยคำแล้ว ขงจื๊อยังย้ำความสำคัญของกวีนิพนธ์ในด้านคุณค่าทางจริยธรรม และกล่าวสรุปประโยชน์ของการศึกษากวีนิพนธ์ไว้ดังนี้

กวีนิพนธ์ทำให้เกิดแรงบันดาลใจ นำไปสู่การคิดคำนึงถึงความทรงจำเก่าๆ กวีนิพนธ์เป็นเครื่องเสริมสร้างการสมาคมและเป็นการระบายความไม่สมหวังของบุคคลในการศึกษากวีนิพนธ์นั้น บุคคลได้เรียนรู้วิธีการรับใช้บิดามารดาและเจ้านายของตน นอกจากนี้บุคคลยังได้รู้จักคุ้นเคยกับชื่อต่างๆ ของนก และสัตว์ ต้นไม้และใบหญ้าต่างๆ

3. บทนิพนธ์เรื่องหยาว (Yao) หรือดนตรี ในยุคสมัยของขงจื๊อ ดนตรีมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับกวีนิพนธ์ ด้วยเหตุนี้ เมื่อขงจื๊อรวบรวมบทกวีนิพนธ์ของโบราณอยู่นั้น เขาจึงเรียบเรียงดนตรีเป็นภูมิหลังของบทกวีนิพนธ์ของแต่ละบทที่เขาได้คัดเลือกเป็นครั้งสุดท้ายไว้ด้วย  โดยการปรับปรุงจากดนตรีที่มีอยู่เดิม หรือไม่ก็ประพันธ์ขึ้นมาใหม่ นี้คือเรื่องราวทั้งหมดที่เรารู้เกี่ยวกับผลงานของขงจื๊อ เกี่ยวกับดนตรีเพราะว่า บทดนตรีที่เขารวบรวมไว้นั้นไม่มีเหลือตกมาถึงทุกวันนี้เลยแม้แต่บทเดียว เรารู้แต่เพียงว่ามีบทดนตรีอยู่สี่ประเภท เหมือนกับที่มีบทกวีนิพนธ์อยู่สี่หัวข้อเรื่อง คือ ดนตรีแบบแคว้นเซ่า(Shao misic) ดนตรีแบบแคว้นโจว (Chou) ดนตรีแบบประเพณีนิยม และดนตรีแบบศาสนสถาน ขงจื๊อนั้นมีความรู้ในเรื่องของการดนตรีเป็นอย่างดี และตัวขงจื๊อเองก็เป็นนักเล่นดนตรีด้วยนั้น เราอาจอนุมานเอาจากข้อความที่ขงจื้อกล่าว คล้ายกับผู้ชำนาญในการดนตรีถึงปรามาจารย์ทางดนตรีของแคว้นหลู ว่า

หลักมูลฐานของดนตรีนั้นดูเหมือนจะเป็นดังนี้ คือ ในตอนเริ่มต้นการเล่นเพลงนั้น เครื่องดนตรีทุกชิ้นควรจะมีเสียงกังวานกลมกลืนกัน เมื่อดนตรีบรรเลงไปตามบทเพลงแล้ว จังหวะเพลงควรจะชัดและระดับเสียงควรจะแจ่มใส แล้วบทเพลงนั้นควรจะดำเนินไปด้วยเสียงที่ประสานกลมกลืนกันอย่างดี ไม่มีเสียงแตกระคายเคืองโสตประสาทจนกระทั่ง จบบทเพลง

เหมือนดังที่เราคาด ขงจื๊อถือว่าดนตรีนั้นมีผลอย่างสำคัญในด้านจริยธรรม และมีความเชื่อมั่นว่า ดนตรีนั้นไม่แต่เพียง “ประสานกลมกลืนความรู้สึกนึกคิดของบุคคลเท่านั้น” แต่ยัง “นำความสับสนวุ่นวายของสังคมไปสู่ความเป็นระเบียบ” อีกด้วย เพื่อที่จะเสริมกำลังทางด้านจริยธรรมของดนตรี ขงจื๊อมีความเห็นว่า ดนตรีนั้นควรจะเผยแพร่ให้กว้างขวางภายในกฎเกณฑ์ที่รัฐบาลกำหนดขึ้น ตัวอย่างเช่น ขงจื๊อเสนอให้มีการตรวจสอบดนตรีแบบแคว้นเจ็ง (Cheng) ด้วยเหตุผลที่ว่าเป็นดนตรีที่ไม่สุภาพและเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความรู้สึกที่ไม่พึงปรารถนา

ความพึงพอใจที่ขงจื๊อได้รับจากผลงานทางด้านดนตรีของเขานั้น มีปรากฏให้เห็นในข้อความต่อไปนี้ ซึ่งคัดมาจากปกิณกะนิพนธ์ของขงจื๊อ

เฉพาะแต่เมื่อข้าพเจ้ากลับมาจากแคว้นเหว่ย มาถึงแคว้นหลูเท่านั้นที่ข้าพเจ้าเริ่มจัดรูปของดนตรีให้เข้าร่องรอย ดนตรีแบบประเพณีนิยม และดนตรีแบบศาสนสถานนั้นได้รับการปรับปรุงให้มีระเบียบอย่างเหมาะสม

4. บทนิพนธ์เรื่อง หลี จี่ (Li Chi) หรือ คัมภีร์แห่งจารีตประเพณี “ถ้าไม่มีการศึกษาเรื่องจารีตประเพณี บุคคลจะไม่สามารถสร้างฐานะของตนเองได้” ในสมัยโบราณ จารีตประเพณีนั้นจำกัดอยู่แต่การปฏิบัติกิจทางศาสนา แต่ต่อมาภายหลังจารีตประเพณีได้ขยายครอบคลุมกิจการโลกเกือบทุกชนิดด้วย รวมทั้งเหตุการณ์เช่น การต่อสู้ในการยิงธนู และการประชุมของเจ้านายผู้ครองแคว้นต่างๆ ด้วยเหตุนี้ หลี จึงอาจนิยามได้ว่าหมายถึง แบบหรือจารีตประเพณี และขนบธรรมเนียมการประพฤติปฏิบัติทางสังคมของจีนในสมัยโบราณ

นานมาแล้วก่อนสมัยของขงจื๊อ ได้มีประมวลหลักปฏิบัติที่ไม่ได้บันทึกเขียนไว้อยู่แล้วเรียกกันว่า หลี (Li) แต่พระมหาอุปราชแห่งแคว้นโจว เป็นบุคคลแรกที่กำหนดและวางเป็นหลักเกณฑ์ไว้เป็นลายลักษณ์อักษร คงจะต้องมีความแตกต่างกันบ้างระหว่างหลักที่เขียนขึ้นไว้ กับหลักปฏิบัติที่มีมาแต่ก่อนที่ไม่ได้เขียนเหมือนดังเช่นที่จะต้องมีความแตกต่างระหว่างขนบธรรมเนียมของหลี ของแคว้นต่างๆ ขนบธรรมเนียมของหลีของบางแคว้นนั้นด้วยความไม่รู้เท่าถึงการณ์ กลับนำไปสู่การปฏิบัติที่ตรงกันข้ามกับเจตนารมณ์ของหลีก็มี

จากบทอ้างอิงที่ปรากฏในงานนิพนธ์ของเขา เราได้ทราบว่าขงจื๊อเป็นผู้รวบรวมบทนิพนธ์เกี่ยวกับจารีตประเพณี เพื่อแก้ไขสภาพการณ์ที่ไม่พึงปรารถนาเหล่านี้ ถึงแม้ว่าขงจื๊อจะเป็นผู้มีความรู้ดีในเรื่องของจารีตประเพณี ไม่แต่เพียงของราชวงศ์โจวเท่านั้น แต่ของราชวงศ์อีกสองราชวงศ์ก่อนหน้าราชวงศ์โจว คือ ราชวงศ์เสี่ย ราชวงศ์ซ้อง ก็ตาม แต่จารีตประเพณีที่ “สมบูรณ์และสง่างาม” ของราชวงศ์โจวนั้น เป็นที่พอใจของขงจื๊อมากกว่า นี้ไม่ใช่สิ่งที่น่าประหลาดเลย เพราะว่าขงจื๊อนั้นเป็นผู้มีความคิดในเรื่องจารีตประเพณีทั้งหลายในแบบอนุรักษ์นิยม เขาย้ำถึงเรื่องบ่อเกิดและความสำคัญของจารีตประเพณีในสมัยโบราณ แล้วเตือนให้ระลึกว่าหลี นั้นคือการแสดงออกของความรู้สึกนึกคิดของจารีตประเพณีเหล่านั้น เขาวิจารณ์การปฏิบัติตามจารีตประเพณีที่เสื่อมโทรมลงในสมัยของเขา ถ้ามีแต่จารีตประเพณีที่ปราศจากความรู้สึกนึกคิดอันแท้จริงที่เป็นสาระสำคัญของจารีตประเพณีด้วยแล้ว มันก็เป็นแต่เพียงจารีตประเพณีที่จอมปลอมเท่านั้นเอง ขงจื๊อถามขึ้นอย่างโกรธเคืองว่า

เมื่อบุคคลกล่าวถึงจารีตประเพณีนั้น เขาหมายถึงแต่การกำนัลด้วยหยก และผ้าไหม เท่านั้นหรือ?

ในโอกาสอีกครั้งหนึ่ง ขงจื๊อกล่าวว่า

……สำหรับจารีตประเพณีในการไว้ทุกข์ให้คนถึงแก่กรรมไปนั้น ควรจะมีความเศร้าโศกอย่างแท้จริง มากกว่าการพิถีพิถันกันในเรื่องรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ของการจัดพิธีการ

5. บทนิพนธ์ยี่ จิง (Yi Ching) หรือ คัมภีร์แห่งการเปลี่ยนแปลงในบรรดาบทนิพนธ์สมัยโบราณทั้งปวง ที่ขงจื๊อศึกษานั้น บทนิพนธ์เรื่อง ยี่จิง หรือ คัมภีร์แห่งการเปลี่ยนแปลงเป็นเป็นหนังสือที่เขาชอบมากที่สุด เขาใช้หนังสือเล่มนี้บ่อยที่สุด จนต้องเปลี่ยนเส้นเชือกที่ใช้มัดหนังสือเล่มนี้ถึงสามครั้ง หนังสือเล่มนี้มีเรื่องของปรัชญาที่น่าทึ่ง ที่อาศัยหลักของเส้นตรงสามเส้นแปดกลุ่ม หรือปากว้า ประกอบด้วยเส้นตรงสามเส้นสองชนิด คือ ชนิดหนึ่งสองเส้นในกลุ่มนั้นก็ได้ เส้นตรงแบบปากว้านี้กล่าวกันว่าคิดขึ้นในรัชสมัยของพระเจ้าฟู สี (Fu shi) เกิดปี 2852 ก่อน ค.ศ. จากรอยแตกอันลึกลับบนกระดองเต่า ต่อมาพระเจ้าหวิน (Wen) แห่งแคว้นโจวและพระราชบุตร คือ พระมหาอุปราชแห่งแคว้นโจว เป็นผู้คิดความหมายของปากว้าขึ้นก่อนของขงจื๊อ หนังสือยี่จิงใช้ประโยชน์ในการพยากรณ์ จากปากว้านี้ชาวจีนใช้เป็นสื่อเพื่อทำความเข้าใจความลึกลับของโลกจักรวาล และเป็นเครื่องชี้แนวทางให้ประชาชนหลีกเลี่ยงเคราะห์ร้าย และใช้โอกาสของตนให้เป็นประโยชน์อย่างดีที่สุด ทำนองเดียวกันกับ บทนิพนธ์เรื่องกวีนิพนธ์ หนังสือเล่มนี้ แสดงถึงอัจฉริยภาพของคนจีนในสมัยโบราณ ที่นำเอาเรื่องของชีวิตประจำวันมาผสมกับเรื่องของสุนทรีย์ศาสตร์ หนังสือยี่จิงก็แสดงถึงอัจฉริยภาพของคนจีนในสมัยโบราณที่เอาเรื่องของสัญลักษณ์ที่เป็นศิลปะง่ายๆ ธรรมดามาเป็นเครื่องแสดงถึงความรู้อันลึกลับ ที่มีลักษณะเป็นทั้งหนังสือปรัชญาและหนังสือศิลปะ เป็นการผสมผสานของความคิดที่เป็นนามธรรม เข้ากับสิ่งที่เป็นรูปธรรม

ตามคัมภีร์แห่งการเปลี่ยนแปลงแล้ว โลกจักรวาลนี้ประกอบขึ้นด้วยหยินและหยาง เส้นตรงติดต่อทั้งเส้นแทนหยาง(——-) เส้นตรงที่แยกแทนหยิน (- -) หยางและหยินเป็นพลังสองอย่างของธรรมชาติ หยางเป็นบุรุษ หยินเป็นสตรี หยางและหยินเป็นสวรรค์และแผ่นดิน เป็นดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ เป็นแสงสว่างและความมืด เป็นชีวิตและความตาย จะเห็นได้ชัดว่าสัญลักษณ์พื้นฐานสองอย่างนี้มีขอบเขตจำกัด และมีลักษณะเรียบง่าย ไม่สามารถจะใช้ได้กว้างขวาง ต่อมา นักปราชญ์ในสมัยโบราณจึงเกิดความคิดนำเอาเส้นตรงสองแบบนี้มาประกอบเป็นสามเส้นขึ้นผลคือ เป็นเส้นตรงสามเส้น แปดกลุ่ม ที่เรียกว่า ปากว้า เป็นสัญลักษณ์ของปรากฏการณ์ในธรรมชาติ คือ สวรรค์ แผ่นดิน ฟ้าร้อง น้ำ ภูเขา ลม ไฟ หนองบึง

เส้นตรงสามเส้นแปดกลุ่มนี้ ยังไม่ได้มีความหมายทางปรัชญาอันใด ต่อมาขงจื๊อได้เพิ่มคำอธิบายผนวกเข้าไปและได้ขยายเส้นตรงสามเส้น แปดกลุ่ม ออกเป็นเส้นตรงหกเส้นหกสิบสี่กลุ่ม เส้นตรงหกเส้นแต่ละกลุ่ม เป็นสัญลักษณ์แทนปรากฏการณ์ของโลกจักรวาลหนึ่งอย่างหรือหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นปรากฏการณ์ที่เกี่ยวกับธรรมชาติ ตัวอย่าง เช่น คำว่า เยอ (ye) ประกอบขึ้นด้วยเส้นตรงสามเส้น ที่แปลว่า ลม ไม้ และการแทรกซึมเข้าไปผสมกับเส้นตรงสามเส้น ที่แปลว่าฟ้าร้อง การเคลื่อนไหว และความเจริญงอกงาม ฉะนั้น เส้นตรงหกเส้นที่เรียกว่า เยอ จึงเป็นสัญลักษณ์ของไม้อยู่ข้างบน และความเจริญงอกงามอยู่ข้างล่าง

6. บทนิพนธ์เรื่องชุนชิว (Ch’un Ch’iu) หรือจดหมายเหตุแห่งฤดูใบไม้ผลิ และฤดูใบไม้ร่วง ขงจื๊อเป็นผู้รวบรวมและแต่งเติมบ้างเล็กน้อย จดหมายเหตุชุนชิว หรือฤดูใบไม้ผลิ และฤดูใบไม้ร่วงนี้ โดยทั่วไปแล้วถือว่าเป็นผลงานอันแท้จริงชิ้นเดียวของขงจื๊อเป็นบันทึกเหตุการณ์สำคัญๆ ตามลำดับปีที่เกิดขึ้นในแคว้นหลูนับตั้งแต่ปีแรกที่พระมหาอุปราชหยิน (Duke of Yin) ขึ้นครองราชย์ ในปี 722 ก่อน ค.ศ. จนกระทั่งถึงปีที่ 14 ของรัชสมัยของพระมหาอุปราชอ๋าย (Duke Ai) ในปี 481 ก่อน ค.ศ. จดหมายเหตุนี้ ได้ชื่อมาจากธรรมเนียมที่บอก ปี เดือน วัน และฤดูลงข้างหน้าเหตุการณ์ที่บังเกิดขึ้นที่ลงบันทึกไว้ เนื่องจากฤดูใบไม้ผลินั้น รวมเอาฤดูร้อนเข้าไว้ด้วย และฤดูใบไม้ร่วงรวมเอาฤดูหนาวไว้ด้วย ฉะนั้นในการบันทึก จึงมีคำว่าฤดูใบไม้ผลิ และฤดูใบไม้ร่วงปรากฏอยู่อย่างมากมาย จดหมายเหตุนี้จึงมีชื่อว่า จดหมายเหตุแห่งฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง

คัมภีร์นี้เป็นเหมือนสมุดบันทึกที่มีเหตุการณ์ทั้งหลายทั้งเรื่องใหญ่และเรื่องเล็ก เป็นประดุจลูกปัดที่ร้อยด้วยสายใยแห่งวันเวลา เรื่องที่บันทึกเป็นเรื่องสั้นที่สุดที่จะทำได้ ครอบคลุมเรื่องราวของมนุษย์ และปรากฏการณ์ของธรรมชาติทั้งหมดเท่าที่จะมีอยู่ในจินตนาการของมนุษย์ การบันทึกนี้ดีในแง่ของการรวบรวมเรื่องราวต่างๆ แต่มีข้อมูลไม่เพียงพอที่จะเรียกไว้ว่าเป็นประวัติศาสตร์แต่ความสำคัญของหนังสือนี้ มิใช่อยู่ที่การเป็นแบบฉบับของประวัติศาสตร์ แต่อยู่ที่คุณลักษณะอื่นๆ กล่าวคือ ประการแรก ขงจื๊อแสดงลักษณะที่แตกต่างไปจากธรรมเนียมเดิม ถึงแม้ว่าเรื่องราวที่เขาบันทึกจะอาศัยบันทึกทางราชการ ของแคว้นหลูเป็นหลัก แต่ขงจื๊อไม่ยึดถือทรรศนะของแคว้นของตน อันเป็นทรรศนะที่คับแคบเป็นหลัก แต่ย้ำความสำคัญของความสัมพันธ์ระหว่างแคว้นต่างๆ รวมทั้งความสุขสงบและความสามัคคีของแคว้นต่างๆ  ประการที่สองในหนังสือเล่มนี้ ขงจื๊อได้สอนเรื่องหน้าที่อันศักดิ์สิทธิ์ของความจงรักภักดี ซึ่งเรียกกันโดยทั่วไปในหนังสือนี้ว่า ชุนชิวไต้ยี่ (Ch’un Ch’iu Tai Yi) หรือ “หลักอันสำคัญแห่งเกียรติยศและหน้าที่ของฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง” ความเลวทราม ความชั่วร้ายต่างๆ ของสมัยดังกล่าวนั้น ขงจื๊อบันทึกไว้โดยไม่มีการเคลือบแฝงแต่อย่างใด เขาแสดงความคิดเห็นของตนอย่างสุจริตใจ ทั้งในด้านที่ยกย่องและตำหนิ ความคิดเห็นของเขานี้แหละที่แสดงถึงปรัชญาทำนองบทสอนใจ ความมุ่งหมายอันสำคัญของจดหมายเหตุนี้คือ การกำหนดหลักเกณฑ์ของการปกครองที่ดี การชี้นำให้เจ้าผู้ครองแคว้นต่างๆ ที่แก่งแย่งแข่งดีกันให้หันกลับมาสู่ทำนองคลองธรรม และตำหนิเสนาบดีที่ประพฤติตนไม่เหมาะสม เพื่อเป็นการผดุงรักษาความสุขสงบ และสามัคคีระหว่างแคว้นต่างๆ ประการที่สาม การบันทึกประวัติศาสตร์นั้นตามธรรมเนียมแล้วเป็นหน้าที่ทางราชการของบ้านเมือง แต่ขงจื๊อทำให้ประวัติศาสตร์เป็นเรื่องแพร่หลายไปสู่ประชาชน เขาเป็นผู้ทำให้ประวัติศาสตร์เป็นแขนงวิชาหนึ่งที่ประชาชนทั่วไปควรศึกษา นอกจากนี้แล้ว โดยที่คัมภีร์ฤดูใบไม้ผลิ และฤดูใบไม้ร่วงมีข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ต่างๆ มากมาย ฉะนั้นจึงอาจถือได้ว่าเป็นจดหมายเหตุที่เป็นหลักของการเมืองของจีนด้วย

บทวิเคราะห์
ภูเขาใหญ่ยังพังทลาย
ขื่อคานแข็งแรงยังรู้หัก
นักปราชญ์ก็ย่อมร่วงโรยไปเป็นธรรมดา

นี้คือ คำพูดที่ขงจื๊อรำพึงกับตนเองในเช้าตรู่วันหนึ่ง เมื่อตื่นขึ้นจากความฝันที่เป็นลางแห่งมรณกรรมของเขา เขากล่าวรำพึงกับตนเองต่อไปว่า

เพราะกษัตริย์ผู้รู้แจ้งยังไม่เกิด ฉะนั้นจึงไม่มีบุคคลใด ภายใต้แผ่นฝ้านี้ ที่จะรับเอาข้าพเจ้าไปเป็นครู ข้าพเจ้าเกรงว่า บัดนี้ ที่สุดแห่งชีวิตของข้าพเจ้ากำลังใกล้เข้ามาแล้ว

ขงจื๊อนอนซมอยู่ในที่นอน และถึงแก่กรรมลงหลังจากนั้นเจ็ดวัน เป็นเดือนที่สี่ของปี 499 ก่อน ค.ศ. ขณะที่เขาอายุได้เจ็บสิบสามปี

ศพของเขาถูกฝังไว้ใกล้กับเมืองที่เป็นบ้านเกิดของเขา มีสานุศิษย์ของเขาหลายคนอยู่ที่หลุมฝังศพของเขา ไว้ทุกข์ให้เขาเป็นเวลานานถึงสามปี ถึงแม้ว่าบัดนี้กาลเวลาจะล่วงเลยไปนานถึงยี่สิบห้าศตวรรษ แต่ในเกือบทุกเมืองจะมีวิหารของขงจื๊อ ที่มีผู้เคารพนับถือขงจื๊อไปเคารพสักการะตามฤดูกาลและไปประกอบพิธีการตามที่ขงจื๊อเคยสอนไว้ ในบรรดาวิหารของขงจื๊อนี้ จะมีคำจารึกเป็นข้อความว่า

“ท่านผู้ประกอบเป็นองค์สามร่วมกับฟ้าและแผ่นดิน” กล่าวคือ ในบุคลิกภาพของขงจื๊อนั้น พลังทั้งสองของสวรรค์และแผ่นดินได้มาผสมกลมกลืนกันเป็นภาวะที่สมบูรณ์และบริบูรณ์ยิ่งคำจารึกแสดงถึงความเคารพนับถือที่ประชาชนชาวจีนทั้งหลายมีต่อขงจื๊อ

อิทธิพลของขงจื๊อที่มีต่อชีวิตด้านสติปัญญาของประชาชนชาวจีนนั้นยังคงมีอยู่ตลอดไปเป็นเวลาเกือบสองพันปี โดยไม่มีสิ่งใดจะทำลายให้เสื่อมลงได้ คำสอนของขงจื๊อได้รับการนับถือว่าเป็นวิชาการคู่บ้านคู่เมือง บทนิพนธ์ของขงจื๊อได้รับการยกย่องว่าเป็นบทนิพนธ์ชั้นสูง  ที่ใช้ศึกษาในโรงเรียนต่างๆ หลักจริยธรรมของขงจื๊อนับถือกันว่าเป็นมาตรฐานของสังคม ที่จริงแล้วประชาชนชาวจีนในส่วนที่เป็นสาระสำคัญเป็นผู้มีทรรศนะ และความรู้สึกนึกคิดแบบของขงจื๊อทั้งหมดมียกเว้น แต่อิทธิพลของพุทธศาสนาและปรัชญาเต๋าที่แทรกอยู่ในศิลปะและอักษรศาสตร์แล้ว อาจกล่าวได้ว่า วัฒนธรรมจีน กับปรัชญาของขงจื๊อนั้น แทบจะเป็นสิ่งเดียวกัน ถ้าหากไม่เป็นสิ่งเดียวกันโดยสมบูรณ์

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเหตุการณ์ทั้งหลายในประเทศจีนสมัยใหม่นั้นมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ฉะนั้นจึงเป็นการดีที่เราจะพิจารณาทบทวนดูทรรศนะทางประวัติศาสตร์และทางประเพณีของคนจีนที่มีต่อขงจื๊อ และคำสอนของขงจื๊อ จุดที่ดีที่สุดที่จะเป็นจุดเริ่มต้นของการพิจารณาทบทวนปรัชญาของขงจื๊อนั้นคือ หลักคำสอนเรื่อง เหยิน

ตามที่เราได้ทราบมาแล้ว เหยินนั้นเป็นความสำคัญของความสัมพันธ์ของมนุษย์ เหยินสอนให้บุคคลเป็นนักการปกครองที่ดี เป็นพลเมืองที่ดี เป็นบิดามารดาที่ดี เป็นบุตรที่ดี เป็นสามีที่ดี เป็นภรรยาที่ดี และเป็นเพื่อนที่ดี เหยินสอนเรื่องความรักภักดีที่มีต่อบิดามารดา และความรักฉันท์พี่น้อง ความยุติธรรมและความเที่ยงธรรม ความกรุณาและความรักต่อกันและกัน สิ่งทั้งหมดเป็นหลักของความประพฤติปฏิบัติของชาวจีน และเป็นหลักที่ทำให้มนุษย์ทั้งปวงในโลกเป็นพี่น้องกัน ในฐานะดังกล่าว เหยินจึงเป็นปัจจัยอันสำคัญที่ถ่ายทอดและสืบต่อวัฒนธรรมจีน ถ้าหากอารยธรรมในสมัยปัจจุบันจะคงอยู่ต่อไปแล้ว ความสัมพันธ์ของมนุษย์ จะต้องตั้งอยู่บนรากฐานของหลักคำสอนเรื่องเหยิน หาใช่อยู่บนหลักของการใช้อำนาจครอบครองและแสวงประโยชน์ดังเช่นที่เป็นอยู่นี้ไม่

แต่ปรัชญาของขงจื๊อนั้น ก็มีข้อบกพร่องเหมือนกัน ในประการแรก เป็นปรัชญาที่มุ่งแต่มนุษย์โดยเฉพาะมากเกินไป ปรัชญาของขงจื๊อว่าด้วยเรื่องการปฏิบัติต่อกิจการต่างๆ ของมนุษย์ แต่ได้พูดถึงเรื่องการควบคุมสิ่งแวดล้อมที่เป็นพลังงานทางฟิสิกส์เลย ปรัชญาขงจื๊อพยายามทำความเข้าใจเรื่องหมิง (ชะตากรรมของชีวิต) แต่ไม่พยายามเอาชนะชะตากรรมของชีวิตเลย ปรัชญาของขงจื๊อพยายามแสงหาทางสายกลางที่พอเหมาะพอควร ไม่ต้องการทางสุดขอบและวิธีการรุกราน ขงจื๊อแสดงปรัชญาเช่นนี้ออกมา เมื่อเขากล่าวว่า

แม้จะดำรงชีวิตอยู่ด้วยเมล็ดข้าวทีหยาบ ผักสามัญธรรมดาและน้ำเปล่าๆ พร้อมกับแขนคู้อยู่กับหมอน ข้าพเจ้าก็มีความสุข ทรัพย์สมบัติและเกียรติยศที่ได้มาโดยมิชอบนั้น สำหรับข้าพเจ้าแล้ว ก็เป็นเหมือนเมฆที่เลื่อนลอย

และอีกครั้งหนึ่ง เขากล่าว่า

ข้าพเจ้าไม่ได้ตัดพ้อต่อสวรรค์ ข้าพเจ้าไม่ได้ตัดพ้อต่อมนุษย์ แต่โดยที่ได้ศึกษาจากสิ่งที่ต่ำที่สุด ข้าพเจ้าถึงได้รู้จักสิ่งที่สูงที่สุดและประเสริฐที่สุด สวรรค์เท่านั้นที่รู้จักข้าพเจ้าดี

แต่โชคไม่อำนวย ขณะที่ปรัชญา ของขงจื๊อยกย่องความอดทนพากเพียรของบุคคลนั้น ชีวิตแห่งอุดมคติเช่นนี้ หามีผลอันใดต่อการส่งเสริมความเจริญก้าวหน้าทางสังคมและเศรษฐกิจแต่อย่างใดไม่ ปรัชญาขงจื๊อละเลยต่อความเจริญก้าวหน้าของอารยธรรมของโลก และมองข้ามความสำคัญของความต้องการทางวัตถุของมนุษย์ที่เปลี่ยนแปลงเรื่อยไป ปรัชญาขงจื๊อเป็นปรัชญาที่อนุรักษ์สภาวะเดิม ไม่มีอิทธิพลชักนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง เป็นปรัชญาฝ่ายริดรอนมากกว่าเป็นปรัชญาฝ่ายเสริมสร้าง เป็นปรัชญาที่ต้องใช้ความพยายามและความอดกลั้น ไม่ใช่ปรัชญาเพื่อความเจริญก้าวหน้า เพราะอุปกรณ์แห่งความเจริญก้าวหน้านั้นคือ การประดิษฐ์และการคิดค้นสิ่งใหม่อันเป็นสิ่งที่ปรัชญาขงจื๊อไม่ได้วางรากฐานไว้เลย

ข้อบกพร่องที่สำคัญอีกประการหนึ่งของปรัชญาขงจื๊อคือความเคารพนับถือในอดีต ปรัชญาขงจื๊อนั้นสร้างขึ้นบนรากฐานของโบราณคดี และย้ำความสำคัญของอดีตมากมายจนละเลยเรื่องการปรับอดีตให้เข้ากันกับสภาพของอารยธรรมที่เปลี่ยนแปลงไป จนความเคยชินในการแสวงหาจากอดีต ปรัชญาของขงจื๊อประสบความสำเร็จในด้านถ่ายทอดสืบต่อมาและผดุงรักษาความดีงามในอดีต แต่เป็นอุปสรรคขัดขวางความคิดใหม่และพลังแห่งความเจริญก้าวหน้าทั้งปวงในฐานะที่เป็นอนุรักษ์ประเพณี ขงจื๊อมีความรู้สึกว่าบุคคลทุกคนปฏิบัติตามประเพณีแล้วสังคมจะเป็นสังคมที่สมบูรณ์ ฉะนั้น ควรจะต้องมีการทะนุบำรุงประเพณีแต่ดั้งเดิม และไม่ควรปฏิรูปให้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม คติความคิดต่างๆ ในสมัยโบราณ ควรจะเป็นสิ่งที่เคารพนับถือไม่ใช่สิ่งที่นำมาวิพากษ์วิจารณ์ ผลของปรัชญาขงจื๊อ คือ เป็นการอนุรักษ์นิยมที่เสียสมดุล จนนักปฏิวัติของจีนสมัยใหม่ถือเป็นข้อตำหนิติเตียนอย่างรุนแรง

ข้อบกพร่องประการสุดท้ายของขงจื๊อ คือการไม่ยอมรับนับถือคุณต่าและความสำคัญของสามัญชนในระบบความคิดทางการปกครอง แม้ว่าเขาจะย้ำความสำคัญของความสัมพันธ์อันดีระหว่างนักการปกครองและประชาชนผู้ถูกปกครอง และจัดการศึกษาให้แพร่หลายก็ตาม ขงจื๊อดูเหมือนจะเน้นความสำคัญของนักการปกครองมากเป็นพิเศษ จนละเลยเรื่องสิทธิของประชาชนผู้ถูกปกครองไปสิ้น

กษัตริย์นั้นเป็นลม สามัญชนเป็นหญ้า
หญ้าต้องลู่ไปตามกระแสลมอยู่เป็นนิจ

ความคิดที่คล้ายคลึงกันนี้ มีปรากฏอยู่ในหลักมูลฐานสามประการของการปกครองที่ดีที่สุด คือ

ประการแรก ถ้าจะให้ธรรมะครอบงำไปทั่วโลกแล้ว พระจักรพรรดิต้องจัดให้มีจารีตประเพณี ดนตรี และการลงโทษ ประการที่สอง ถ้าจะให้ธรรมะครอบงำไปทั่วโลกแล้ว อำนาจในการปกครองทั้งหลายจะต้องไม่อยู่ในมือของบรรดาเสนาบดีทั้งหลาย ประการที่สาม ถ้าจะให้ธรรมะครอบงำไปทั่วโลกแล้ว ประชาชนคนสามัญจะต้องไม่วิพากษ์วิจารณ์การปกครองของบ้านเมือง

เราควรจะเข้าใจขงจื๊อได้ว่า ขงจื๊อนั้นรับราชการภายใต้กษัตริย์หรือพระจักรพรรดิ เพราะเขานั้นมีความชิงชังรังเกียจในการสงครามที่เจ้าผู้ครองแคว้นต่างๆ และพวกสกุลชั้นสูงต่างๆ เป็นผู้ก่อขึ้น โลกที่มีการปกครองอันแข็งแรงอยู่เป็นศูนย์กลางแห่งเดียวนั้น ดูเหมือนจะเป็นรูปแบบการปกครองที่มีเสถียรภาพอย่างยิ่งที่สุดสำหรับเขา แต่ตามความเป็นจริงแล้วทรรศนะในทางการเมืองแบบนี้ ถึงแม้จะมีความจำเป็นในขั้นแรกเพื่อสร้างเสถียรภาพทางสังคมก็ตาม ต่อมาถูกโจมตีอย่างหนัก เพราะเหตุที่นักการเมืองและพระจักรพรรดิทั้งหลาย ใช้ความสำคัญของคำสอนของขงจื๊อเป็นข้ออ้าง เพื่อใช้อำนาจปกครองอย่างเผด็จการของตนต่อไป

ถึงแม้ว่าจะมีข้อบกพร่องนานาประการตามที่กล่าวมานี้ก็ตาม แต่ปรัชญาของขงจื๊อก็เป็นปรัชญาที่มีความสำคัญอย่างที่สุดปรัชญาหนึ่งเท่าที่โลกเคยมีมา ที่จริงแล้ว ความคิดอันสำคัญเรื่องเหยินอันเป็นยอดของความสัมพันธ์ของมนุษย์นั้น เป็นทรรศนะที่มีประโยชน์อย่างใหญ่หลวงสำหรับปรัชญาการเมือง และปรัชญาจริยศาสตร์ ยิ่งไปกว่านั้นถึงแม้ว่าเราจะปฏิเสธไม่ยอมเชื่อว่า ขงจื๊อจะเป็นผู้ช่วยโลกปัจจุบันให้พ้นจากความหายนะได้ก็ตาม แต่บทบาทของขงจื๊อในฐานะที่เป็นครูผู้ให้แรงบันดาลใจ ผู้อุทิศตนให้แก่การเผยแพร่ความรู้อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยนั้น ก็เป็นสิ่งที่มีค่าสูงยิ่งที่ประวัติศาสตร์ได้บันทึกไว้ และงานนิพนธ์ของขงจื๊อนั้น ถือกันว่าเป็นงานนิพนธ์ชั้นยอด ชั้นหนึ่งของโลกทีเดียว

ที่มา:สกล  นิลวรรณ

ขงจื๊อในฐานะนักปรัชญา

ในความคิดทั้งหมดของข้าพเจ้านั้น ข้าพเจ้ามีความคิดที่เป็นหัวใจอันสำคัญอยู่อย่างเดียวเท่านั้นเอง

ในบรรดาความรู้ทั้งหลายทั้งปวงที่ขงจื๊อสอนนั้น หัวใจอันสำคัญของความคิดทั้งหมดของขงจื๊อ คือ ทฤษฎีแห่งเหยิน (Jen) หรือ ความมีจิตใจเป็นมนุษย์ ส่วนคติความคิดอื่นๆ ของเขานั้นต่างเป็นข้ออนุมานมาจากทฤษฎีแห่งความคิดนี้เท่านั้น หลักจริยธรรม หลักการเมือง อุดมคติของชีวิตทั้งหมดไหลหลั่งออกมาจากทฤษฎีแห่งเหยินนี้เท่านั้นเอง

เหยิน แสดงถึง อุดมคติของขงจื๊อเกี่ยวกับการปลูกฝังมนุษยธรรม การพัฒนาคุณสมบัติของมนุษย์ ยกระดับบุคลิกภาพของมนุษย์ และเทิดทูนยกย่องสิทธิของมนุษย์ จู ซี่ (Chu His) ค.ศ. 1130-1200 ซึ่งเป็นนักปราชญ์ผู้มีชื่อเสียงในวิทยาการของขงจื๊อในสมัยราชวงศ์ซุง (Sung Dynasty) ได้นิยามความหมายของคำว่า เหยิน ว่าหมายถึง “คุณธรรมของวิญญาณ” หลักการแห่งความรัก” และ “ศูนย์กลางแห่งสวรรค์และแผ่นดิน” ตัวอักษรของคำว่า เหยินประกอบด้วยอักขระสองตัว คือ “คน” กับ “สอง” แสดงถึงว่า ความสำคัญนั้นมิใช่อยู่ที่คน แต่อยู่ที่ความสัมพันธ์ที่คนมีต่อเพื่อนมนุษย์ของตน ขงจื๊อถือว่า ความสัมพันธ์ของมนุษย์นั้นควรจะตั้งอยู่บนฐานของความรู้สึกทางจริยธรรมเรื่อง
เหยินอันเป็นตัวนำไปสู่ความพยายามทั้งสร้างสรรค์สิ่งที่เป็นคุณประโยชน์แก่บุคคลอื่น ขงจื๊อกล่าวว่า “เหยิน ประกอบด้วยความรักที่มีต่อบุคคลอื่น” ที่จริงแล้วขงจื๊อถือว่า เหยิน นั้นไม่แต่เป็นคุณธรรมชนิดพิเศษเท่านั้น แต่เป็นคุณธรรมทั้งหมดผสมกัน ฉะนั้นเหยินอาจนิยามได้ว่าเป็น “คุณธรรมอันสมบูรณ์”

คติความคิดเรื่อง เหยิน นี้อาจแสดงออกใน ความคิดเรื่องเซี่ยว (Hsiao) หรือความรักในบิดามารดา และ ตี่ (ti) หรือความรักในความเป็นพี่น้องกัน ความคิดในเรื่องความรักทั้งสองแบบนี้แสดงถึงความรู้สึกของมนุษย์ที่ปราศจากความเห็นแก่ตัวเหมือนกัน-ความรักที่มีต่อบิดามารดา แสดงถึงภาวะของสายสัมพันธ์ทางจิตใจในอนันตภาวะ แห่งกาลเวลาและความรักในความเป็นพี่น้องกัน  แสดงถึงภาวะของสายสัมพันธ์ทางจิตใจในอนันตภาวะแห่งเทศะมิติ

คนหนุ่ม เมื่ออยู่บ้านควรมั่นในความรักที่มีต่อบิดามารดาเมื่ออยู่ต่างแดน ควรยึดมั่นในความรักของความเป็นพี่น้องกัน เขาควรจะมีความสุจริตใจอย่างจริงจัง ให้ความรักแก่บุคคลทุกคนและยึดมั่นอยู่ใน เหยิน

ขงจื๊อ ด้วยสายตาอันแหลมคมในความรู้สึกด้านปฏิบัติ ได้ถือเอาคุณธรรมแห่งความรักที่มีต่อบิดามารดา และความรักฉันท์พี่น้องนี้เป็นหลักอันสำคัญของโครงสร้างของสังคม โดยการแผ่ขยายคุณธรรมทั้งสองประการนี้ในทางมิติของเวลาและของเทศะ และโดยการแผ่ขยายอิทธิพลของคุณธรรมทั้งสองประการนี้ไปสู่คุณธรรมทั้งสองประการนี้ไปสู่คุณธรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องด้วยทั้งหมด ขงจื๊อได้สร้างคุณธรรมทั้งสองนี้ให้เป็นพันธะที่สร้างความมั่นคงให้แก่สังคม และเป็นเครื่องเชื่อมโยงบุคคลรุ่นต่างๆ ที่เกิดสืบต่อกันมา ในขอบเขตที่กว้างขวางที่สุดแล้วความรักในบิดามารดา และความรักฉันท์พี่น้องนี้ คือ เหตุผลมูลฐานของความรักที่มนุษย์พึงมีต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน

ในบทนิพนธ์ เรื่องปกิณกะนิพนธ์ของขงจื๊อ ได้มีการกล่าวถึงคติความคิดสองประการที่คล้ายคลึงกันนี้ คือ ความคิดเรื่อง จุง (Chung) หรือความซื่อตรงต่อกันและกัน และ ซู่ (shu) หรือการเห็นแก่ประโยชน์ของส่วนรวม คติความคิดเรื่องจุงนั้นหมายถึงภาวะของจิตใจเมื่อบุคคลมีความซื่อตรงต่อตนเองอย่างสมบูรณ์ ส่วนคติความคิดเรื่องซู่ นั้นหมายถึงภาวะของจิตใจเมื่อบุคคลมีความเข้าใจและมีความเห็นอกเห็นใจอันสมบูรณ์ต่อโลกภายนอก ตัวอักษรในภาษาจีนของคำว่า จุงประกอบด้วยคำว่า “กลาง” กับ “หัวใจ” ด้วนหัวใจของคนอยู่ในตรงกลาง บุคคลจะมีความซื่อตรงต่อตนเองก็โดยการมีความเห็นอกเห็นใจบุคคลอื่น ขงจื๊อกล่าวเป็นถ้อยคำว่า

บุคคลผู้มีเหยิน นั้น คือบุคคลที่ปรารถนาจะผดุงตนเองไว้โดยการผดุงบุคคลอื่น และปรารถนาจะพัฒนาตนให้เจริญโดยการพัฒนาบุคคลอื่นให้เจริญ

จุงเป็นการปฏิบัติธรรมของเหยิน ในวิถีทางที่สร้างสรรค์

อักษรจีนของคำว่า ซู่ มีความหมายว่า “ประดุจดังหัวใจของตน” กล่าวคือ ปฏิบัติต่อคนอื่นเหมือนดังที่หัวใจของตนปรารถนาจะให้ทำ สำหรับความสำคัญของ ซู่นี้ ขงจื๊อกล่าวว่า

อย่ากระทำต่อบุคคลอื่นในสิ่งที่ตนเองไม่พึงปรารถนา

นี้เป็นการปฏิบัติธรรมะของเหยินในวิถีทางที่ปฏิเสธ คติความคิดเรื่อง จุงและซู่ เป็นคติความคิดอันเดียวกันกับคติความคิดเรื่อง เซี่ยวและ ตี่ เพียงแต่ว่าคติความคิดเรื่องเซี่ยวและตี่นี้ อ้างถึงความสัมพันธ์ภายในครอบครัวเป็นสำคัญ ในขณะที่คติความคิดเรื่อง จุง และ ซู่ นั้น อ้างถึงขอบเขตที่กว้างขวางกว่า และมีความหมายที่กว้างขวางกว่า ในคติความคิดทั้งสองแบบนี้ ย้ำความสำคัญอยู่ที่ภาวะของจิตใจที่มีความรักอันแท้จริงที่ปราศจากความเห็นแก่ตัวเป็นหลักแห่งพลัง

หลักการเรื่อง เหยิน กลายเป็นองค์ประกอบอันสำคัญในการสืบช่วงและถ่ายทอดวัฒนธรรมของจีน และเอกลักษณ์ของจีน หลักการเรื่องเหยินยังไม่เคยเผชิญกับระบบความคิดอันใดที่สามารถจะต่อต้านพลังแห่งคติธรรมของเหยินได้เลย บทเรียนของหลักการเรื่องเหยินในเรื่อง ความยุติธรรม ความเป็นธรรม การมีจิตใจประกอบด้วยทรรศนะอันกว้างขวาง และการมีความรักใคร่ในเพื่อนมนุษย์ด้วยกันนั้น ยังคงเป็นปรัชญาที่ได้ประโยชน์จนกระทั่งทุกวันนี้ เหมือนดังที่ได้เคยมาแล้วแต่อดีต ไม่เฉพาะแต่ในดินแดนแห่งอาณาจักรจีนเท่านั้น แต่ทั่วทั้งโลกทั้งหมดด้วย

ที่มา:สกล  นิลวรรณ

ขงจื๊อในฐานะนักการศึกษา

ในการศึกษา ไม่มีการแบ่งชั้นวรรณะ
ความใฝ่ฝันทะเยอทะยานของขงจื๊อนั้นอยู่ที่เรื่องการเมือง แต่ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของขงจื๊อนั้นอยู่ที่เรื่องการศึกษา ขงจื๊อเป็นนักการศึกษาที่มีความชำนิชำนาญอย่างสูงและมีชื่อเสียงอย่างยิ่ง มีกลุ่มคนหนุ่มที่มีลักษณะแตกต่างกันมากมายทุกชนิด ผู้กระหายความรู้ รุมล้อมเขาอยู่ตลอดเวลาพร้อมกับสิ่งที่มีจำนวนเล็กน้อยที่สุดเท่ากับเนื้อแห้งสักมัดหนึ่งเป็นค่าสอน คนหนุ่มเหล่านี้มาหาขงจื๊อเพื่อขอรับการศึกษาในเรื่องของ หลี (Li) หรือจารีตประเพณี รวมทั้งศิลปะต่างๆ ที่เกี่ยวพันกับจารีตประเพณี การศึกษาแบบนี้เป็นของใหม่อันสำคัญอย่างยิ่งที่เกิดขึ้นในโลกแห่งสมัยราชวงศ์โจวก่อนหน้าสมัยนี้ การศึกษาทุกสาขาวิชาอยู่ในการดูแลของพวกคนชั้นสูง ซึ่งถ่ายทอดกันมาตามสายสกุล ไม่มีบุคคลใดแต่ลำพังที่จะทำการสอนวิชาความรู้ แก่สามัญชนโดยทั่วไปแต่อย่างใดเลย ฉะนั้นขงจื๊อจึงเป็นครูคนแรกของจีนที่ทำให้การศึกษาแพร่หลายไปถึงบุคคลทั่วไป ขงจื๊อยืนยันว่าข้าพเจ้าไม่เคยปฏิเสธที่จะสอนวิชาความรู้ให้แก่บุคคลใดที่กระหายอยากจะศึกษาเลย ถึงแม้ว่าเขาจะมีแต่เนื้อแห้งมัดเดียวมาให้ข้าพเจ้าเป็นค่าสอนก็ตาม

เงื่อนไขของเขามีอย่างเดียวเท่านั้น คือจะไม่สอนบุคคลที่ไม่กระหายอยากรู้ หรือจะไม่สอนบุคคลที่ไม่สามารถสร้างความคิดเห็นของตนเองได้ เขากล่าวต่อไปว่า

ข้าพเจ้าจะไม่สอนอีกต่อไป ซึ่งบุคคลที่หลังจากข้าพเจ้าบอกแง่หนึ่งของเรื่องให้แล้ว ก็ยังไม่สามารถอนุมานเรื่องที่เหลืออีกสามแง่ได้

ความสำคัญของขงจื๊อนั้น พิสูจน์ได้จากข้อเท็จจริงที่ว่านับตั้งแต่สมัยขงจื๊อเป็นต้นมา การศึกษาได้กลายเป็นสิ่งสำคัญสำหรับคนหนุ่มผู้มีสติปัญญาทั้งหลาย ซึ่งโดยอาศัยการศึกษาและความมานะพยายามของตนสามารถจะเจริญเติบโตจากฐานะอันต่ำต้อยของตนไปสู่ความมียศศักดิ์สูงขึ้นได้

เมื่อขงจื๊อลาออกจากราชการไปสู่ชีวิตส่วนตัวตามลำพังนั้น ขงจื๊อได้ดึงดูดคนหนุ่มผู้มีหน่วยก้านดีจากแว่นแคว้นต่างๆ ของจีนให้มาศึกษากับเขา ในบรรดาคนหนุ่มเหล่านี้ มีหลายคนเป็นผู้มีชื่อเสียงโด่งดังในเรื่องคุณธรรม อักษรศาสตร์และการเมือง เมื่อขงจื๊อถูกเรียกให้กลับไปยังแคว้นมาตุภูมิของตน เขาได้ชักชวนพระมหาอุปราชแห่งแคว้นหลู ให้รับเอาสานุศิษย์ของเขาเข้ามาทำราชการด้วย ถึงแม้ว่าจะเป็นการกล่าวที่ค่อนข้างจะเกินความเป็นจริงไปบ้างก็ตาม กล่าวกันว่า สานุศิษย์ของขงจื๊อนั้นมีไม่น้อยไปกว่าสามพันคน อย่างไรก็ตาม สานุศิษย์ของขงจื๊อที่เราสามารถจะรู้จักชื่อได้อย่างแน่นอนนั้นมีอยู่เพียงเจ็ดสิบสองคนเท่านั้น และมีเพียงยี่สิบห้าคนเท่านั้นที่มีรายชื่อปรากฏอยู่ในบันทึกประวัติศาสตร์ของชาติจีน

สานุศิษย์ที่ติดตามเขาไปในการพเนจร และได้รับการศึกษาจากขงจื๊อด้วยตนเองนั้น แบ่งออกเป็นสี่กลุ่ม กลุ่มที่หนึ่ง คือ บุคคลที่มีชื่อเสียงในด้านของคุณธรรม กลุ่มที่สองเป็นบุคคลผู้มีชื่อเสียงในด้านศิลปะของการพูด กลุ่มที่สามเป็นบุคคลผู้มีชื่อเสียงในด้านของการปกครองบ้านเมือง กลุ่มที่สี่เป็นบุคคลผู้มีชื่อเสียงในด้านวรรณคดี สานุศิษย์อาวุโสเหล่านี้ต่อมาได้กลายเป็นนักปราชญ์และนักคิดที่มีชื่อเสียงขึ้นมาด้วยความสามารถของตนหลายคน  โดยผ่านสานุศิษย์เหล่านี้เองที่ขงจื๊อมีอิทธิพลต่อการสร้างวัฒนธรรมของจีนขึ้น และทำให้ขงจื๊อได้รับฉายานามว่าเป็น “ซู่หวั่ง Su wang” หรือ “กษัตริย์ผู้ปราศจากคธา” ซึ่งมีผู้เคารพนับถือในสติปัญญาของท่านตลอดมาทุกยุคทุกสมัย

โดยทั่วไปแล้ว การศึกษาที่ขงจื๊อให้แก่ประชาชนนั้น เป็นการศึกษาในด้านจริยธรรมและด้านศิลปะ ในด้านศิลปะนั้นมีจารีตประเพณี ดนตรี กวีนิพนธ์เป็นวิชาพื้นฐาน ตามทรรศนะของขงจื๊อนั้น จารีตประเพณีในฐานะที่เป็นสถาบัน มีส่วนควบคุมจิตใจและนำทางของความปรารถนาให้ไปในทางที่ดีงาม ดนตรีในฐานะที่เป็น “พลังจริยธรรม” เป็นสิ่งกล่อมเกลาธรรมชาติของคน และบันดาลใจให้เกิดความรู้สึกด้านจริยธรรมขึ้น เพราะฉะนั้นศิลปะนั้นจึงมีความสำคัญในตนเองและเป็นพื้นฐานของการศึกษาด้านจริยธรรมด้วย ขงจื๊อกล่าวว่า

อุปนิสัยของเรานั้นปลูกฝังขึ้นได้โดยกวีนิพนธ์ สถาปนาให้มั่นคงได้ด้วยจารีตประเพณี และให้สมบูรณ์ได้ด้วยดนตรี

นอกจากกวีนิพนธ์ จารีตประเพณีและดนตรีแล้ว ซู่-Shu หรือประวัติศาสตร์หยี-Yi หรือการเปลี่ยนแปลง และ ซุนชิว หรือฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง ก็มีส่วนด้วย ทั้งหมดนี้ประกอบกันเข้าเป็นวิทยาการชั้นสูงหกประการ (Six Classics) อันเป็นมรดกทางวัฒนธรรมแห่งอดีต และต่อมากลายเป็นถ้อยคำสามัญ หมายถึง เนื้อหาสาระของการศึกษาวิทยาการชั้นสูงดังกล่าว ในบทนิพนธ์เรื่อง จวงจื้อ-Chuang Tzu ของปรัชญาเต๋า นี้ ได้กล่าวถึงวัตถุประสงค์ของวิทยาการเหล่านี้แต่ละวิชา ดังนี้

กวีนิพนธ์ คือ เพื่อสอนอุดมคติ
ประวัติศาสตร์ คือ เพื่อสอนเหตุการณ์
จารีตประเพณี คือ เพื่อสอนความประพฤติ
ดนตรี คือ เพื่อสอนความประสานสัมพันธ์
การเปลี่ยนแปลง คือ เพื่อสอนพลังงานคู่ที่มีอยู่ในโลกจักรวาล
ฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วงนั้น เพื่อสอนหลักอันสำคัญแห่งเกียรติยศและหน้าที่

ตามที่ได้กล่าวแล้วเป็นข้อสังเกตในการใช้ศิลปะเพื่อประโยชน์ทางด้านปฏิบัติในชีวิตจริงนั้น การศึกษานั้นย้ำความสำคัญเรื่องการพัฒนาบุคลิกภาพของบุคคลมากกว่าการแสวงหาความรู้หรือประโยชน์ของความรู้แต่อย่างเดียว เกี่ยวกับวิธีการของการศึกษานั้น ขงจื๊อกล่าวว่า

ศึกษาโดยไม่มีความคิดเป็นของไร้ประโยชน์
มีความคิด แต่ไม่มีการศึกษาเป็นของอันตราย

ขงจื๊อ มีความคิดเห็นต่อไปว่า เหนือสิ่งอื่นใดทั้งปวงนั้น บุคคลควรจะมีความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งในสภาพของความจริงของข้อจำกัดของตนเอง ครั้งหนึ่งขงจื๊อกล่าวแก่ จื้อหลู ว่า

ขอให้ข้าพเจ้าสอนหนทางแห่งความรู้ให้แก่ท่าน
จงกล่าวว่า ท่านรู้ เมื่อท่านรู้จริงๆ และจงยอมรับว่าท่านไม่รู้ ในสิ่งที่ท่านไม่รู้ นี้คือหนทางไปสู่ความรู้

องค์ประกอบขั้นมูลฐาน ที่แฝงอยู่ภายใต้ความกระตือรือร้นของขงจื๊อที่จะให้การศึกษาแก่บุคคลทั่วไปนั้น คือ ความเห็นของเขาที่ว่า มนุษย์นั้นส่วนใหญ่แล้วมีลักษณะเหมือนกัน เมื่อกำเนิดแต่มาแตกต่างกันเพราะนิสัยและความแปลกปลอมต่างๆ ที่ได้ทีหลัง กล่าวคือ โดยความรู้นั้นเอง สิ่งที่ขงจื๊อสนใจเป็นอย่างยิ่งนั้นคือ ต้องการประกันว่าความรู้ที่บุคคลได้รับเอาภายหลังจากกำเนิดว่าจะเป็นเครื่องชักนำให้บุคคลเลือกสรรเอาแต่สิ่งที่ดีงามของชีวิต ด้วยเหตุนี้ ขงจื๊อจึงมองดูหน้าที่ของตนในฐานะนักการศึกษานั้น ว่าเป็นนักจริยธรรม และนักจริยศาสตร์ วัตถุประสงค์ของงานของเขาคือให้การศึกษาแก่บุคคลเพื่อว่าบุคคลจะได้เลือกสรรเอาแต่สิ่งที่ดีงาม โดยการที่บุคคลเลือกเอาแต่สิ่งที่ดีงามนั้น จะเป็นการปรับปรุงชีวิตของตนและของมนุษย์ชาติโดยส่วนรวมไปด้วยในตัว

ประการสุดท้าย สำหรับตัวของเขาเองนั้น ขงจื๊อกล่าวว่า
มีบางคนกระทำโดยไม่รู้ว่าทำไมเขาจึงกระทำเช่นนั้น แต่ข้าพเจ้าไม่เหมือนบุคคลเหล่านั้น ข้าพเจ้าได้ยินได้ฟังมามาก แล้วเลือกปฏิบัติแต่สิ่งที่ดีงาม ข้าพเจ้าได้เห็นได้รู้มามาก แล้วข้าพเจ้าศึกษาและจดจำไว้นี้ ทำให้ข้าพเจ้าเข้าไปใกล้กับความรู้ที่แท้จริง

และอีกครั้งหนึ่ง เขาอธิบายลักษณะของเขาในฐานะที่เป็นครูผู้มีหน้าที่ คือ

…บันทึกสิ่งทั้งหลายด้วยอาการอันสงบ
เทิดทูนคุณค่าของความรู้แม้จะได้ศึกษารู้มากมายประการใดก็ตาม และไม่เคยเบื่อหน่ายในการถ่ายทอดวิชาความรู้ให้แก่บุคคลอื่นเลย

นี้คือ บุคลิกลักษณะของบุคคลผู้เป็นครูคนสำคัญยิ่งที่สุดในประวัติศาสตร์ของจีน ซึ่งเป็นธรรมดาที่ วันเกิดของท่านได้รับการยกย่องว่าเป็น “วันครูของชาติ”

ที่มา:สกล  นิลวรรณ

ขงจื๊อในฐานะนักการปกครอง

ขอให้พระราชาจงเป็นพระราชา
ขอให้เสนาบดีจงเป็นเสนาบดี
ขอให้บิดาจงเป็นบิดา
ขอให้บุตรจงเป็นบุตร

ขงจื๊อมีชีวิตอยู่ในยุคสมัยที่อำนาจของราชวงศ์โจวในฐานะที่เป็นศูนย์กลางของแคว้นต่างๆ กำลังเสื่อมลง ทำให้แคว้นต่างๆ ที่มีเจ้าปกครองของตนเองแข็งตัวเป็นอิสระ นักประวัติศาสตร์จีนเรียกยุคนี้ว่า ยุคชุนชิว หรือยุคฤดูใบไม้ผลิ-ใบไม้ร่วง (722-481 ก่อน ค.ศ.) ยุคหลังจากนั้นไปเรียกว่ายุคจันกว่อ (Chan Kuo) หรือยุคแห่งการสงครามระหว่างแคว้นต่างๆ (408-222 ก่อน ค.ศ.) เป็นยุคสมัยที่อำนาจจากส่วนกลางของราชวงศ์โจว เสื่อมโทรมจนถึงที่สุดเป็นจุดแห่งการพังทะลายของโครงสร้างทางสังคม และการเมืองก่อให้เกิดการสงครามอยู่ตลอดเวลาไม่มีวันหยุด  ในฐานะที่เป็นผู้ประกาศความคิดเรื่องการมีระเบียบและการมีคุณธรรม ขงจื๊อจึงสอนให้ต่อต้านกับความวุ่นวายที่เกิดขึ้น  โดยย้ำความสำคัญของความรับผิดชอบที่มีแฝงอยู่ในความสัมพันธ์ของมนุษย์-ความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนกับรัฐและแม้กระทั่งความสัมพันธ์ของสมาชิกในครอบครัวเดียวกัน ขงจื๊อได้เคยเห็นความวุ่นวายเกิดขึ้นในโลก  ในเมื่อพระราชาไม่ได้ปฏิบัติตนเยี่ยงพระราชา เสนาบดีไม่ปฏิบัติตนเยี่ยงเสนาบดี เป็นต้นฉะนั้น ขงจื๊อจึงมีความคิดเห็นว่าก้าวแรกที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงโลกที่ปราศจากความสงบเรียบร้อยนั้น คือ การทำให้ทุกคนยอมรับและปฏิบัติตามหน้าที่ฐานะอันเหมาะสมของตน

อุดมคติอันสูงสุดของขงจื๊อคือ การมีรัฐปกครองโลกทั้งหมด ซึ่งขงจื๊อเรียกว่าเป็น “มหาอาณาจักร” (Grand Commonwealth) หรือ ต้าตุง (Ta Tung) ทฤษฎีความคิดของขงจื๊อเรื่อง มหาอาณาจักรนี้ มีอยู่ในบทความเรื่อง หลี หยุ่น (Lu Yuh) หรือวิวัฒนาการแห่งจารีตประเพณี ซึ่งเป็นบทความบทหนึ่งในคัมภีร์ หลี จี่ (Li Chi) (คัมภีร์แห่งจารีตประเพณี) ความเจริญก้าวหน้าของสัมคมในขั้นแรก คือ โลกที่เต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวาย ขั้นที่สองคือ โลกที่มีความสงบสุขบ้างเล็กน้อย หรือ มีสภาพที่จะนำไปสู่ความสงบ คือ แคว้นต่างๆ มีความสุข มีความสงบ ขึ้นที่สามคือ ขั้นของมหาอาณาจักรอันเป็นอุดมคติ ซึ่งมีอรรถาธิบายไว้ดังนี้

เมื่อมีการปฏิบัติตามหลักของเต๋า อันยิ่งใหญ่แล้ว วิญญาณของความสุข ของประชาชนจะครอบคลุมไปทั่วทั้งโลก บุคคลผู้มีสติปัญญาและมีคุณธรรมจะได้รับเลือกให้อยู่ในตำแหน่งที่มีความรับผิดชอบ จะมีการย้ำความสำคัญของความสุจริตใจต่อกันและกัน จะมีการปลูกฝังเรื่องความเป็นพี่น้องกัน เพราะฉะนั้น มนุษย์จะไม่มีความรัก เฉพาะแต่ในบิดามารดาของตนเท่านั้น หรือปฏิบัติดีต่อบุตรหลานของตนเองเท่านั้น บุคคลผู้สูงอายุจะได้รับการดูแลจนกระทั่งตาย บุคคลที่มีร่างกายแข็งแรงเป็นปกติจะมีงานทำ คนหนุ่มจะมีทางทำมาหากินเลี้ยงดูตนเอง สตรีหม้าย เด็กกำพร้า และบุคคลที่ไม่มีลูกหลายคอยดูแลเอาใจใส่ ตลอดทั้งบุคคลผู้ที่ไม่ปกติเพราะโรคภัยไข้เจ็บจะได้รับความเมตตากรุณา บุรุษจะมีงานที่เหมาะสมทำสตรีจะมีบ้านและครอบครัวที่ดี มนุษย์จะรังเกียจแต่การที่ได้เห็นสิ่งของทั้งหลาย มีอยู่เกลื่อนกลาดโดยไร้ประโยชน์ แต่ก็ไม่ได้สะสมเอาไว้เพื่อประโยชน์ของตนแต่ฝ่ายเดียว เขาไม่ชอบที่พลังงานของตนไม่ได้นำไปใช้อย่างเต็มที่ แต่พวกเขาใช้พลังงานของเขาไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของตนแต่ฝ่ายเดียว เพทุบายที่เห็นแก่ตัวจะถูกกำจัดไม่ยอมให้เกิดขึ้นได้ ขโมย นักหยิบฉวย คนคดโกง ไม่มี ประตูหน้าบ้านของบุคคลทุกคนเปิดอยู่ตลอดเวลา โดยไม่หวาดเกรงว่าจะมีอันตรายอันใด นี้คือสภาพการณ์ของยุคแห่งมหาอาณาจักร

ในการวางโครงการของชีวิตของคนนั้น ขงจื๊อ ถือเอาพระมหาอุปราชแห่งแคว้นโจวเป็นบุคคลในอุดมคติ  ฉะนั้นเพื่อที่จะสร้างมหาอาณาจักรที่ปกครองโลก ให้เป็นความจริงขึ้นมานั้น ประการแรก ขงจื๊อจะต้องรอคอยให้ “กษัตริย์ผู้มีความรู้แจ้ง” (enlightened sovereign) ปรากฏตนขึ้นมาก่อน อันเป็นบุคคลที่ขงจื๊อจะยอมรับใช้ เหมือนดังเช่นพระมหาอุปราชแห่งแคว้นโจว รับใช้ราชวงศ์โจวฉะนั้น

ถ้าหากชะตาชีวิตของเขากำหนดมาไม่ให้เขาได้รับใช้ “กษัตริย์ผู้รู้แจ้ง” แล้ว เขาก็ขอให้ได้มีนักปกครองที่มีความสนใจอย่างจริงจัง  ในการปกครองที่จะมอบให้เขาได้มีความรับผิดชอบในตำแหน่งสูง และเชื่อในคำแนะนำของเขาเหมือนดังที่ พระมหาอุปราช (Huan) แห่งแคว้น ฉี๋ (Ch’i) ได้มอบความไว้วางใจให้แก่ กวน จุง (Kuan Chung) รัฐบุรุษผู้มีชื่อเสียงในศตวรรษที่เจ็ดก่อน ค.ศ. ฉะนั้น และถึงแม้ว่าโอกาสอย่างนี้ก็ไม่มี เขาปรารถนาจะแสวงหางานในแคว้นเล็กๆ เพื่อวางแบบอย่างของการปกครองที่ดี เหมือนดังที่ จื้อ ชัน (Tzu) (Ch’an) นักรัฐบุรุษที่มีชื่อในศตวรรษที่ 6 ก่อน ค.ศ. กระทำให้แคว้นเจ็ง (Cheng) ฉะนั้น

ไม่ว่าในกรณีใดก็ตาม ขงจื๊อไม่ได้เป็นแต่เพียงนักอุดมคติ เขาไม่ได้ให้แต่เพียงภาพอันสมบูรณ์ของสังคมของมนุษย์ที่พึงประสงค์เท่านั้น แต่เขายังวางแผนการที่จะปฏิบัติให้ลุล่วงตามอุดมคตินั้นให้ได้ในชีวิตของเขา ยิ่งกว่านั้น เมื่อ จื้อ กุง (Tzu Kung) สานุศิษย์รักของเขาคนหนึ่ง ถามเขาถึงหลักสำคัญของการปกครองที่ดี ขงจื๊อได้กำหนดหลักสำคัญที่ตรงกับความเป็นจริงได้สามประการ คือ มีอาหารอย่างอุดมสมบูรณ์ มีอาวุธอย่างเพียงพอ และประชาชนมีความไว้วางใจ (ซิน-Hsin) ในการปกครองของบ้านเมือง ในกลักสามประการนี้ ขงจื๊อถือว่า หลักอันสำคัญที่สุดนั้นคือ ความไว้วางใจของประชาชนที่มีต่อรัฐบาล ถ้าปราศจากสิ่งนี้แล้ว รัฐบาลก็อยู่ไม่ได้ ขงจื๊อได้กล่าวไว้ในที่แห่งหนึ่งว่า

นักการปกครองนั้น จะไม่สนใจในเรื่องความขาดแคลนโภคทรัพย์ แต่จะสนใจในการกระจายโภคทรัพย์อย่างเป็นธรรมในหมู่ประชาชน นักปกครองนั้นจะไม่สนใจในความยากจน แต่จะสนใจในเรื่องสวัสดิภาพของประชาชนในเมื่อ บ้านเมืองมีการกระจายโภคทรัพย์อย่างเป็นธรรม ความยากจนก็ไม่มี ในเมื่อมีความสุขสงบ ประชาชนก็จะไม่บ่นเรื่องความขัดสน และเมื่อประชาชน มีความพอใจในสภาพของตนแล้ว การที่ประชาชนจะลุกขึ้นต่อสู้รัฐบาลก็ไม่มี

จุดอ่อนแอของแคว้นหลู คือ การไม่มีสวัสดิภาพในสังคม และการไม่มีความเป็นธรรมในทางเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นสิ่งที่ขงจื๊อพยายามแก้ไข แต่ประสบความสำเร็จน้อยมาก ถึงแม้ว่าพระมหาอุปราชเจา จะครองแคว้นหลู แต่ท่านก็เป็นเพียงเจว็ดอยู่ในกำมือของสกุลที่มีอิทธิพลอย่างใหญ่หลวงอยู่สามสกุล คือ สกุล จี้ ซุน (Chi Sun) สกุล ซู่ ซุน (Shu Sun) และสกุล เม้งซุน (Meng Sun) หัวหน้าของสกุลทั้งสามสกุลนี้เป็นเสนาบดีที่สำคัญๆ สามกระทรวง คือกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงโยธาธิการ และกระทรวงกลาโหม ในปี 517 ก่อน ค.ศ. เมื่อขงจื๊อ กลับมาจากการไปเยี่ยมแคว้นหลวงของพระเจ้าจักรพรรดินั้น พระมหาอุปราชเจา ถูกขับไล่ออกไปจากแคว้นหลู เพราะการจลาจลภายในแคว้น จนต้องหนีไปอยู่แคว้น ฉี๋ (Ch’i) ซึ่งเป็นแคว้นที่มีอาณาเขตติดต่อกับแคว้นหลูไปทางทิศเหนือ

เพื่อแสดงความไม่เห็นด้วยกับเหตุการณ์อันไม่มีระเบียบของสมัยนั้น ขงจื๊อจึงเร่งรีบเดินทางไปยังแคว้นฉี๋ ตามขบวนเสด็จของพระมหาอุปราชไปด้วย แต่ได้มุ่งตรงไปยังเมืองหลวงของแคว้นฉี๋ ชื่อ หลิน-จื๊อ (Lin-Tzu) ซึ่งอยู่ห่างจากแคว้นหลูไปทางทิศเหนือประมาณหลายร้อยไมล์ ความตั้งใจของเขาคือ เพื่อชักชวนพระมหาอุปราชจิง (Ching) ของแคว้นฉี๋ เพราะว่าแคว้นฉี๋เป็นแคว้นที่ใกล้เคียงแคว้นเดียวเท่านั้น ที่สามารถจะมีอิทธิพลเหนือเหตุการณ์ต่างๆ ของแคว้นหลูได้ แต่พระมหาอุปราชจิงแห่งแคว้นฉี๋นั้น แม้จะทึ่งในความมีสติปัญญาของขงจื๊อเป็นอย่างมาก แต่ก็ลังเลไม่ยอมรับขงจื๊อไว้ในราชการของแคว้นฉี๋ ขงจื๊อจึงต้องกลับมายังแคว้นหลู

การเดินทางของขงจื๊อไปยังแคว้นฉี๋ครั้งนั้น ไม่ได้เป็นการเปล่าประโยชน์ไปเสียงทั้งหมดทีเดียว เพราะว่าเป็นครั้งแรกที่ขงจื๊อได้มีโอกาสได้ลิ้มรสของความไพเราะของดนตรีเซ่า (Shao) ซึ่งสันนิษฐานกันว่าเป็นดนตรีที่ประพันธ์ขึ้นโดยพระเจ้าซุ่น (Shun) ซึ่งเป็นพระจักรพรรดินักปราชญ์ในสมัย 2255-2205 ก่อน ค.ศ. เขารู้สึกจับใจในลีลาอันไพเราะอย่างยิ่งของดนตรีเซ่า จนไม่ยอมแตะต้องอาหารเป็นเวลานานถึงสามเดือน ขงจื๊อยืนยันว่า “ข้าพเจ้าไม่เคยคิดเลยว่า ดนตรีนั้นจะมีความไพเราะซาบซึ้งถึงปานนี้”

ขงจื๊อยังคงอยู่ในแคว้นหลูเป็นระยะเวลานาน นอกวงการของราชการเพราะว่าเป็นยุคสมัยที่มีแต่ความโกลาหลวุ่นวาย หลังจากพระมหาอุปราชเจาผู้ถูกเนรเทศถึงแก่สวรรคตไปแล้ว พระมหาอุปราชติง (Ting) ผู้เป็นมหาอุปราชองค์ใหม่ก็กลายเป็นเจว็ดของสกุลผู้มีอิทธิพลทั้งสามต่อไป สิ่งที่เลวยิ่งไปกว่านั้นก็คือ บรรดาเสนาบดีที่สำคัญๆ ถูกจับไปขังหรือไม่ก็ถูกขับไล่ออกไปจากอาณาจักรของตน โดย หยาง ฮู (Yang Hu) ซึ่งเป็นขุนนางผู้ใหญ่ของสกุลจี้ ซุน ซึ่งบัดนี้กลายเป็นสกุลที่มีอำนาจย่างแท้จริงในแคว้นหลู ต่อมา เม้ง อี จื้อ (Meng I Tzu) ซึ่งเคยเป็นศิษย์ของขงจื๊อได้ต่อสู้และปราบอิทธิพลของอย่างฮูได้ จึงได้มีอำนาจในบ้านเมืองขึ้น และจากอิทธิพลของ เม้ง อี จื้อ นี้เองที่ทำให้ขงจื๊อได้รับการแต่งตั้งเป็นหัวหน้าผู้พิพากษาของเมือง เจง-ตู (Cheng-Tu) ซึ่งเป็นเมืองตั้งอยู่ห่างจากนครหลวงออกไปประมาณยี่สิบแปดไมล์ ต่อมาขงจื๊อได้รับแต่งตั้งให้เป็นเสนาบดีกระทรวงยุติธรรมที่มีความสำคัญเป็นรองจากกระทรวงการศึกษาธิการ กระทรวงโยธาธิการ และกระทรวงกลาโหม ที่มีหัวหน้าของสกุลอิทธิพลทั้งสามสกุลเป็นเสนาบดีอยู่เท่านั้น

ถึงแม้ว่าเวลาที่ขงจื๊อดำรงตำแหน่งสำคัญในบ้านเมืองนี้ จะเป็นเวลาถึงยี่สิบห้าปีหลังจากมรณกรรมของ จื้อ ชัน (Tzu Ch’an) ซึ่งเป็นรัฐบุรุษผู้มีชื่อเสียงของแคว้นเจ็ง (Cheng) ก็ตาม แต่บุคลิกลักษณะและความสามารถของ จื้อ ชัน ก็มีอิทธิพลอย่างลึกซึ้งต่อการปฏิรูปสังคมของขงจื๊อทั้งหมด ขงจื้อกล่าวว่า

จื้อ ชัน มีคุณธรรมสี่ประการของ จุน จื้อ (Chun Tzu) หรือมหาบุรุษ คือ มีความสุภาพในความประพฤติส่วนตัว มีความละเอียดถี่ถ้วนในการรับใช้เจ้านาย มีความเมตตา กรุณาในการปฏิบัติต่อประชาชน และมีความเที่ยงธรรมในการกำหนดหน้าที่การงานให้ประชาชน

ขงจื๊อได้ปฏิบัติตนตามแบบอย่างของจื้อชันเป็นอย่างดี ทำให้เกิดการปรับปรุงในเรื่องกิริยามารยาท และศีลธรรมจรรยาของประชาชนในแคว้นหลูเป็นอย่างมาก จนเป็นที่อิจฉาของแคว้นต่างๆ ที่อยู่ใกล้เคียง ในบรรดาสิ่งทั้งหลายที่ปรับปรุงนั้น ขงจื๊อย้ำความสำคัญเรื่องการเลี้ยงดูประชาชนให้พอเพียง ได้มีการกำหนดอาหารสำหรับคนแก่และคนหนุ่มแตกต่างกัน มีการกำหนดงานให้ทำโดยเหมาะสมกับกำลังวังชาของบุคคล ในยุคนั้นบุรุษเป็นคนสัตย์ซื่อ สตรีเป็นหญิงบริสุทธิ์ ประชาชนถึงกับมีประเพณีแสดงความเป็นระเบียบ โดยการเดินตามถนนคนละซีก สิ่งของที่มีค่าวางไว้ตามถนนหนทางโดยไม่ต้องกลัวว่าจะสูญหาย คนเลี้ยงแกะเลิกธรรมเนียมให้แกะกินน้ำก่อนจะนำไปขาย คนต่างเมืองที่เดินทางมายังแคว้นหลูจะมีความสบายใจไม่ต้องเกรงภัยต่างๆ

ความสำเร็จของขงจื๊อนี้แสดงให้เห็นว่า ขงจื๊อเป็นนักปฏิบัติที่แท้จริง มีเหตุการณ์ที่แสดงถึงบุคลิกภาพของขงจื๊ออยู่เรื่องหนึ่งที่บันทึกไว้ว่า ครั้งหนึ่งขงจื๊อตามเสด็จพระมหาอุปราชของแคว้นหลูไปเจรจากับพระมหาอุปราชแห่งแคว้นฉี๋ที่เมือง เจีย-กู้ (Chia-Ku) เพื่อตกลงข้อพิพาทเก่าๆ และเพื่อสร้างความเป็นมิตรแก่กัน หัวหน้าพนักงานของฝ่ายมหาอุปราชของแคว้นฉี๋ตั้งชื่อขงจื๊อว่า “บุรุษผู้มีแต่จารีตประเพณี แต่ปราศจากความกล้าหาญ” ได้แนะนำเจ้านายของตนให้ใช้อำนาจแห่งอาวุธบังคับพระมหาอุปราชแห่งแคว้นหลู และผนึกแคว้นหลูเข้าไว้ในอาณาจักรเสีย แต่ขงจื๊อดำเนินการเจรจาด้วยความเชี่ยวชาญ ซึ่งไม่แต่เพียงได้ขจัดปัดเป่าอันตรายแก่บ้านเมืองที่จะบังเกิดขึ้นนั้นเท่านั้นไม่ แต่ยังชักจูงให้พระมหาอุปราชแห่งแคว้นฉี๋ ได้ลงพระนามในสัญญามิตรภาพ พร้อมกับคืนดินแดนที่ได้ยึดเอาไปแต่ก่อนนั้นคืนให้แก่แคว้นหลูด้วย

ชัยชนะของขงจื๊อในการเจรจาในครั้งนี้ เพิ่มพูนความนิยมในตัวขงจื๊อมากขึ้น และทำให้ฐานะตำแหน่งของขงจื๊อมีอิทธิพลมากขึ้น หลังจากนั้นไม่นาน ขงจื๊อได้เริ่มการปฏิรูปภายในแคว้นหลู เรียกว่า “การรณรงค์เพื่อทำลายนครอันมั่งคงสามแห่ง” (Destruction of Three Fortified Cities Campaign) มีเมืองใหญ่ในแคว้นหลูอยู่สามแห่ง คือ เมืองปี่ (Pi) เมืองหัว (Hou) และเมืองเจ็ง (Cheng) ซึ่งมีสกุลจี้ซุน ซู่ซุน และเม้งซุน มีอำนาจครอบครองอยู่ตามลำดับนั้น มักจะเป็นที่มั่นที่ทำให้เกิดการจลาจลวุ่นวายภายในแคว้นขึ้นอยู่เสมอ ฉะนั้นวัตถุประสงค์ของการรณรงค์ครั้งนี้จึงมีเป็นสองประการ ประการแรกคือ เพื่อระมัดระวังมิให้เกิดการจลาจลภายในบ้านเมืองจากผู้มีอำนาจเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ขึ้นอีก ประการที่สอง เพื่อป้องกันไม่ให้สกุลทั้งสามขยายอำนาจอิทธิพลมากขึ้น ขงจื๊ออุทิศตนให้แก่การงานอันนี้อย่างแข็งขัน และก็ประสบความสำเร็จในการทำลายอิทธิพลในเมืองปี่ และเมืองหัวลงได้ แต่สกุลเม้งซุนนั้นยังคงมีอิทธิพลอยู่ในเมืองเจ็งต่อไป เพราะว่าเจ้าเมืองเจ็ง ซึ่งเคยเป็นสานุศิษย์เก่าคนหนึ่งของขงจื๊อ เพิกเฉยต่อคำสั่งของขงจื๊อที่ให้กวาดล้างสกุลอิทธิพลนั้น

ภายใต้สถานการณ์ปกติแล้ว เมืองเจ็งก็คงจะไม่ต่อต้านกับคำสั่งของขงจื๊อได้ แต่ในขณะที่ขงจื๊อกำลังปรับปรุงเหตุการณ์ทั้งหลายของแคว้นของตนอยู่นั้น บุคคลผู้มีเจตนาร้ายได้รวมตัวกัน เพื่อทำการแก้แค้นขงจื๊อ ผลจากการปฏิรูปเหตุการณ์ภายในแคว้นหลู ทำให้ขงจื๊อสร้างอิทธิพลของพระมหาอุปราชมากขึ้น และลดอำนาจของพวกเสนาบดีลง ฉะนั้นความไว้วางใจที่สกุลอิทธิพลทั้งสามเคยมีต่อขงจื๊อนั้น นับวันจะถึงเวลาที่สิ้นสุดลง ถ้าตราบใดที่ขงจื๊อยังมีตำแหน่งในบ้านเมืองอยู่ ตราบนั้นอำนาจในบ้านเมืองทั้งหลายจะมารวมอยู่ที่พระมหาอุปราช และอำนาจอิทธิพลของสกุลทั้งสามที่เคยมีมาแต่เดิมนับวันจะหมดลง ด้วยความหวาดเกรงในชื่อเสียงของขงจื๊อ และความริษยาในความนิยมที่ขงจื๊อได้รับ พวกสกุลทั้งสามจึงมีความเกลียดชังและไม่ไว้วางใจในขงจื๊อต่อไป และเลิกสนับสนุนขงจื๊อนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

ขณะเดียวกัน พระมหาอุปราชแห่งแคว้นฉี๋ หลังจากพ่ายแพ้แก่กลวิธีของขงจื๊อในการเจรจาที่เมืองเจียกู้แล้ว มีความปรารถนาที่จะต่อต้านอิทธิพลของ “บุรุษแห่งจารีรตประเพณี” โดยการสร้างความแตกแยกให้เกิดขึ้นระหว่างขงจื๊อกับพระมหาอุปราช ผู้เป็นนายของขงจื๊อ พระมหาอุปราชแห่งแคว้นฉี๋ จึงใช้ “ยุทธวิธีแห่งสตรีงาม” คือแทนที่จะส่งกองทหารที่กล้ารบและรัฐบุรุษผู้ฉลาดสุขุม แต่กลับส่งสาวงามจำนวนแปดสิบนาง มีความเชี่ยวชาญในการฟ้อนรำขับร้อง แต่งกายด้วยเสื้อผ้าอันสวยงาม พร้อมทั้งม้าดีสีขาวสลับดำจำนวนหนึ่งร้อยยี่สิบตัวมาเป็นบรรณาการ พระมหาอุปราชแห่งแคว้นหลู ซึ่งยังหนุ่มแน่นและหลงใหลในกามคุณอยู่ก็ติดกับ และปล่อยตัวแสวงหาความสุขสำราญ ละทิ้งบทเรียนคำสอนเรื่องความวางตัวอันเหมาะสมทั้งปวงที่ขงจื๊อเคยสอนให้จนหมดสิ้น พระมหาอุปราชทรงหลงใหลอยู่ในกามสุขอยู่เป็นเวลาติดต่อกันถึงสามวันสามคืน ไม่ออกว่าราชาการอันใด ไม่สนใจในขงจื๊อแต่ประการใด หลังจากนั้นไม่นาน ขงจื๊อก็ลาออกจากราชการไปดำรงชีวิตร่อนเร่พเนจรต่อไป

มีเหตุการณ์อันหนึ่ง โดยเฉพาะที่เป็นตัวเร่งให้ขงจื๊อลาออกจากราชการ คือ ในปีหนึ่งๆ นั้น จะต้องมีพระราชพิธีที่สำคัญสามครั้ง คือ ครั้งหนึ่งในฤดูใบไม้ผลิ และอีกสองครั้งในวันที่ดวงอาทิตย์อยู่ตรงเส้นศูนย์สูตร ในราชพิธีฤดูใบไม้ผลินั้น พระมหาอุปราชแห่งแคว้นหลูจะต้องเส้นสรวงบูชายัญด้วยสัตว์เพื่อเป็นการแสดงความกตัญญูต่อสวรรค์และดิน เนื่องจากเวลาพระราชพิธีกำลังใกล้เข้ามา ขงจื๊อหวังว่าความสำคัญและความศักดิ์สิทธิ์ของพระราชพิธีนี้ คงจะเป็นเครื่องยับยั้งความหลงใหลในการซ้องเสพกามสุขของพระมหาอุปราชลง แต่ปรากฏว่า พระราชพิธีนั้นดำเนินไปอย่างลวกๆ และบรรณาการที่เคยส่งให้ขงจื๊อเป็นประจำทุกปีนั้นก็ถูกงด ขงจื๊อรู้สึกผิดหวังและเบื่อหน่ายเป็นอย่างยิ่ง สิ่งเดียวที่เขาจะทำได้คือ การยื่นใบลาแล้วเดินทางออกจากแคว้นหลูไปพร้อมกับสานุศิษย์ จำนวนหยิบมือหนึ่ง นี้คือปี 497 ก่อน ค.ศ.

หลังจากเป็นเวลานานถึงสิบสี่ปี ที่ขงจื๊อเดินทางจากแคว้นหนึ่งไปสู่แคว้นหนึ่งเพื่อแสวงหาผู้อุปถัมภ์และแสวงหาโอกาสที่จะสร้างบ้านเมืองที่มีการปกครองในแบบอุดมคติของเขา ถึงแม้ว่าการเดินทางของเขาในระยะนี้จะไม่มีรายละเอียด แต่ก็เป็นที่รู้กันว่าครั้งแรกขงจื๊อไปที่แคว้นเหว่ย (Wei) ซึ่งเป็นแคว้นที่มีพลเมืองมาก มีโอกาสดีที่จะพัฒนาให้เจริญรุ่งเรืองได้ เขาเกิดความคิดขึ้นมาทันทีทันใดว่า แคว้นเหว่ยนั้นต้องการความมั่งคั่งทางโภคทรัพย์ก่อนแล้วต้องการการศึกษาเป็นประการที่สอง ขงจื๊ออุทานต่อหน้าสานุศิษย์ของตนว่า

ถ้าข้าพเจ้าได้รับมอบหมายให้มีตำแหน่งรับผิดชอบแล้ว ข้าพเจ้าสามารถจะปรับปรุงบ้านเมืองให้ดีขึ้นได้ภายในเวลาหนึ่งปี และสามารถทำให้สำเร็จตามความคิดได้ภายในเวลาสามปี

แต่พระมหาอุปราชแห่งแคว้นเหว่ยในขณะนั้น กำลังหมกมุ่นอยู่กับความสวยงามและความเย้ายวนของนางสนมผู้มีเสน่ห์คนหนึ่งอยู่ ฉะนั้นบุรุษผู้มีคุณธรรมอันสมถะดังเช่นขงจื๊อนั้นจึงไม่ใช่บุคคลผู้อยู่ในรสนิยมของท่าน ฉะนั้น ขงจื๊อจึงเห็นได้ชัดว่า ราชสำนักของแคว้นเหว่ยนั้น ไม่ใช่สถานที่อันเหมาะสมสำหรับตน ขงจื๊อจึงออกจากแคว้นเหว่ยไปสู่แคว้นอื่นต่อไป

หลังจากนั้น ชีวิตร่อนแร่ของขงจื๊อไม่มีผู้ใดล่วงรู้มากนัก แต่ก็คงจะไม่ผิดความจริงถ้าจะกล่าว่า ขงจื๊อได้ไปเยี่ยมแคว้นสุง (Sung) แคว้นเจ็น (Chen) และแคว้นฉู่ (Ch’u) หลังจากที่อยู่ในแคว้นแจ็นเป็นเวลาหลายปี ขงจื๊อได้กลับไปยังแคว้นเหว่ยในปี 483 ก่อน ค.ศ. ในปีนั้นเอง ขณะที่เขามีอายุประมาณหกสิบแปดปีนั้น เขาถูกเรียกตัวให้กลับไปยังแคว้นหลู ขณะที่เขาเดินทางเที่ยวไปนั้น เขาได้พบก็แต่คำบอกปัดปฏิเสธและความผิดหวัง ไม่มีเจ้าครองแคว้นใดปรารถนาจะฟังความคิดเห็นของเขาเลย มีหลายครั้งที่เขาจำต้องเผชิญกับความยากลำบากและอันตราย ขณะที่เขาเดินทางอยู่ในแคว้นสุงนั้น ขงจื๊อกับสานุศิษย์แทบจะเอาชีวิตไม่รอดจากกองทหารที่ ฮ้วนถุย (Huan T’ui) เสนาบดีของแคว้นสุงส่งมารบกวนครั้งหนึ่ง ประชาชนของเมืองก๋วง (Kuang) เข้าใจว่าขงจื๊อนั้นคือ หยางฮู (Yang Hu) ศัตรูเก่าผู้มีกำลัง จึงเข้าทำการล้อมจับขงจื๊อ ด้วยความอดทนและการวางท่าอย่างสง่าไม่เกรงของขงจื๊อเท่านั้น ที่ทำให้ขงจื๊อสงบอารมณ์ได้ไม่หวั่นไหว จนประชาชนชาวเมืองก๋วง จำได้ว่าเขาคือขงจื๊อ อีกคราวหนึ่ง ขณะที่ขงจื๊อและสานุศิษย์ เดินทางอยู่นอกเมือง ต้องขาดแคลนอาหารและเสบียง จนแทบจะอดอาหารตาย ความกล้าหาญและความตั้งใจอันเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ของขงจื๊อนั้น จะเห็นได้จากคำกล่าวของขงจื๊อเมื่อเผชิญกับสถานการณ์อันลำบากดังนี้

อุดมบุรุษนั้น แม้จะเผชิญกับความทุกข์ยาก ก็หาแสดงการหวั่นไหวไม่ คนเล็กๆ เท่านั้นที่ยอมละเมิดศีลธรรม เมื่อถึงคราวอับจน

ขงจื๊อเป็นผู้ยึดมั่นอยู่ในคำสอนของตน และอดทนต่อความยากลำบากด้วยความกล้าหาญอย่างเยี่ยมยอด โดยไม่มีการบ่น ขณะที่เขาไม่เผชิญกับฐานะที่ลำบากนั้น เขาก็มักจะถูกวิจารณ์และเยาะเย้ย โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากพวกนิยมในปรัชญาเต๋า

มาถึงตอนนี้ ขงจื๊อและสานุศิษย์ได้พบกับผู้ใช้ชีวิตอยู่อย่างวิเวกสองคน คือบุคคลที่ถอนตนออกมาจากโลกด้วยความรังเกียจในความผันแปรไม่แน่นอนของเหตุการณ์ของยุคสมัย ท่านผู้อยู่อย่างวิเวกคนหนึ่งในสองคนนี้ กล่าวกับ จื้อหลู (Tsu Lu) สานุศิษย์คนหนึ่งของขงจื๊อว่า

“โลกทั้งโลกปั่นป่วนเหมือนทะเลที่กำลังบ้าคลั่ง แล้วขงจื๊อนั้นเป็นใครกันถึงจะมาเปลี่ยนแปลงโลกได้? เจ้านั้นกำลังติดตามบุคคลที่หลบลี้หนีจากคนนี้ จากคนนั้นไปเรื่อยๆ มันจะเป็นการไม่ดีไปกว่านั้นหรือ ถ้าเจ้าจะติดตามบุคคลที่ถอนตนออกจากโลกทั้งโลกเช่นข้านี้?”

เมื่อจื้อหลู นำเรื่องนี้มาเล่าให้ขงจื๊อฟัง ขงจื๊อได้ให้คำตอบที่ดีที่สุด ดังนี้

เรานั้นไม่อาจจะอยู่ร่วมกับนกและสัตว์ทั้งหลายได้ ถ้าเราไม่อยู่กับเพื่อนมนุษย์เหมือนกันแล้ว เราจะอยู่กับใครล์

ในโอกาสที่คล้ายกันนั้น จื๊อหลู กล่าวขึ้นอย่างตรงไปตรงมาแทนอาจารย์ของตน เป็นถ้อยคำที่สรุป เหตุผลที่ขงจื๊อต้องเดินทางต่อไปเรื่อยๆ แม้จะไม่สมหวัง แต่ก็ไม่ย่อท้อว่า

การปฏิเสธไม่ยอมรับใช้ราชการนั้นเป็นสิ่งไม่ถูกต้อง ความสัมพันธ์ระหว่างคนแก่กับคนหนุ่มนั้นจะต้องมีอยู่ฉันใด เราจะทิ้งความสัมพันธ์ของนักการปกครองกับประชาชนผู้ถูกปกครองได้อย่างไรกัน?  ถ้าบุคคลปรารถนาจะสร้างความบริสุทธิ์ของตนแล้ว บุคคลต้องละเลยความสัมพันธ์ที่เกี่ยวกับมนุษย์ทั้งหมด บุคคลผู้ยิ่งใหญ่นั้น จะต้องรับใช้บ้านเมืองเพราะว่าเป็นหน้าที่ของตนที่จะต้องปฏิบัติเช่นนี้ ถึงแม้ว่าเขาจะทราบดีว่าการรับใช้บ้านเมืองนั้น เขาจะต้องประสบกับความล้มเหลวก็ตาม

ข้อความประโยคสุดท้ายจากคัมภีร์ปกิณกะนิพนธ์ของขงจื้อที่ควรแก่การสังเกตคือ

เมื่อจื๊อหลู มาถึงเมืองซีเหมิน (Shi-men) เพื่อค้างคืนนั้น คนเฝ้าประตูเมืองถามว่า “ท่านมาจากไหน?”
“ข้าพเจ้ามาจากขงจื๊อ”
“อ๋อ คนที่ขันอาสาทำในสิ่งที่ตนรู้เป็นอย่างดีว่าถ้าทำไปก็เป็นเรื่องไร้ประโยชน์ คนนั้นใช่ไหม?”

ประโยคสุดท้ายนั้นคือ ภาพอธิบายอันสมบูรณ์เกี่ยวกับขงจื๊อ

ที่มา:สกล  นิลวรรณ

วิวัฒนาการของปรัชญาจีน

อรรถาธิบายของวิวัฒนาการของปรัชญาจีน
1. ปรัชญาขงจื๊อ เสื่อมโทรมลงหลังจากสมัยของเม่งจื๊อ ระหว่าง รัชสมัยของราชวงศ์ฮั่น (206 ก ค.ศ.-ค.ศ. 220) ปรัชญาขงจื๊อ ฟื้นคืนชีพขึ้นมา และเจริญขึ้นเป็นวิทยาการคู่บ้านคู่เมือง

2. ปรัชญาเก่า ปรัชญาคู่แข่งอันสำคัญของปรัชญาขงจื๊อมีอิทธิพล อย่างสำคัญในหมู่วงการนักการปกครองของบ้านเมือง ในรัชสมัยราชวงศ์ฮั่นตอนต้น คำสอนเรื่อง หวู เว่ย ของ ปรัชญาเต๋า ได้รับการนับถือเอาเป็นนโยบายของรัฐ ส่วนความลึกลับของปรัชญาเต๋านั้นถือเอาว่าเป็นเรื่องความเชื่อและศรัทธาของบุคคลแต่ละคน

3. ปรัชญาม่อจื๊อ ไม่อาจฟื้นตัวขึ้นมาเป็นปรัชญาที่สำคัญได้อีกต่อไปหลังจากการเผาของพระเจ้าจิ๋น ในปี 213 ก่อน ค.ศ.

4. ปรัชญานิติธรรม ต่อมาเสื่อมอิทธิพลลง เพราะว่ามีความเกี่ยวพันกับการปกครองแบบทรราชย์ของราชวงศ์ จิ๋น (221-207 ก่อน ค.ศ.)

5. พุทธศาสนา ถูกนำมาเผยแพร่จากประเทศอินเดียในศตวรรษที่หนึ่ง ของคริสตศักราช หรือก่อนหน้านั้นเล็กน้อย ได้ปะทะกับปรัชญาเต๋า กลายเป็นพุทธศาสนาแบบจีน วิวัฒนาการขึ้นมาเป็นพุทธศาสนาแบบฌาน หรือ แบบเซ็น

6. มาถึงสมัยที่ปรัชญาขงจื๊อ ได้ตั้งมั่นคงดีแล้ว ระหว่างรัชสมัยราชวงศ์ฮั่น และราชวงศ์อื่นๆ ต่อมา ปรัชญาขงจื๊อได้ปะทะกับคำสอนของปรัชญาเต๋า และพุทธศาสนา ผลคือในรัชสมัยของราชวงศ์ซ้อง (ค.ศ 960-1279) ได้เผยโฉมหน้าขึ้นมาเป็นปรัชญา หลี่ เสว เจีย Li Hsueh Chia หรือการศึกษาคัมภีร์หลี่ ซึ่งตะวันตกเรียกกันว่า Neo-Confucianism หรือ ปรัชญาขงจื๊อรูปแบบใหม่ เป็นการผสมของปรัชญาขงจื๊อ ปรัชญาเต๋า และพุทธศาสนานี้ เป็นปรัชญาขงจื๊อในแบบที่ใกล้ เคียงกับปรัชญาขงจื๊อ ที่ตกทอดมาถึงเวลาปัจจุบันนี้

7. ระหว่างรัชสมัยของราชวงศ์เช็ง หรือ แมนจู ได้มีปรัชญาเชิงวิจารณ์และสงสัย (criticism and Skepticism) เกิดขึ้นเป็นอิสระ โจมตีปรัชญาขงจื๊อใหม่ในสมัยต่อไป นักวิจารณ์พวกนี้ ซึ่งยังคงมีปรากฏอยู่ จนกระทั่งทุกวันนี้ อุทิศตนให้แก่การศึกษาด้านภาษาและวิจารณ์เนื้อหาของคำสอน โดยไม่สนใจเรื่องการแสวงหาความรู้ทางปรัชญาเลย ด้วยเหตุนี้ จึงไม่อาจกำหนดเอาว่าเป็น สำนักปรัชญาที่แท้จริงได้

8. แนวโน้มของความคิดในการเคลื่อนไหวของวัฒนธรรมใหม่ (New Culture Movement) ซึ่งเจริญถึงขีดสูงสุดใน ค.ศ. 1919  มุ่งสู่การปรับตนเป็นแบบตะวันตก ดังที่แสดงออกในรูปของปรัชญาปฏิฐานนิยม (positivism) ปรัชญาปฏิบัตินิยม (pagmatism) และปรัชญาสสารนิยม (materialism) กระบวนการวัฒนธรรมใหม่นี้นำไปสู่การซักถามและการวิจารณ์สถาบันทางสังคมและทรรศนะต่างๆ ที่นับถือกันมาตามประเพณีอย่างกว้างขวาง ในรูปของทรรศนะของปรัชญาประโยชน์นิยม (utilitarianism) และปรัชญาปฏิบัตินิยม (pragmatism)

9. กระบวนการชาตินิยม (Nationalism) เริ่มกันใน ค.ศ. 1926 เป็นผลทำให้เกิดการสถาปนารัฐบาลคณะชาติขึ้น ภายใต้การเป็นผู้นำของเจียง ไค เช็ค และคณะพรรคกั๊กมินตั้งหลักสามประการของประชาชน (san Min Chu I-ซาน หมิน จู่ อี้) เป็นหลักมูลฐานของกระบวนการชาตินิยมในสมัยนี้ คำสอนของขงจื๊อได้รับการเผยแพร่ว่าเป็นหลักทางจิตใจของขบวนการคณะชาติเพื่อต่อต้านลัทธิคอมมูนิสต์

10. กระบวนการวัฒนธรรมใหม่ที่เกิดขึ้น ใน ค.ศ. 1919 เป็นเครื่องกรุยทางให้แก่ลัทธิคอมมิวนิสต์จีน ซึ่งเป็นเรื่องแปลกที่มีลักษณะหลายประการเหมือนปรัชญานิติธรรม (Legalism) ทั้งคอมมิวนิสต์และปรัชญานิติธรรม ปฏิเสธสิ่งทั้งหลายที่เคยมีมาตามประเพณี ปรัชญาทั้งสองตำหนิปรัชญาขงจื๊อ ปรัชญาทั้งสองสนับสนุนการปกครองแบบใช้อำนาจและแบบเผด็จการ ฉะนั้นในสายตาของประชาชนชาวจีนนั้น ลัทธิคอมมิวนิสต์นั้น คือ การฟื้นตัวของปรัชญานิติธรรมนั้นเอง

ที่มา:สกล  นิลวรรณ

ปฐมกำเนิดของปรัชญาจีน

กระแสธารแห่งคติความคิดทางปรัชญาของจีนที่สำคัญสองสายคือ ปรัชญาเต๋าและปรัชญาขงจื๊อ ที่เกิดขึ้นในศตวรรษที่หกก่อนคริสต์ศักราช  โดยการสอนของเล่าจื๊อและขงจื๊อตามลำดับ  แต่ถึงแม้ว่าปรัชญาทั้งสองจะมีความสำคัญและมีปฐมกำเนิดก่อนปรัชญาอื่น แต่ปรัชญาทั้งสองก็หาเป็นตัวแทนของปรัชญาดั้งเดิมของปรัชญาจีนไม่ เพราะเราทราบว่าทั้งขงจื๊อ และเล่าจื๊อได้ศึกษาและนำเอาปรัชญาที่มีมาก่อนหน้าสมัยของเขามาใช้ในคำสอนของปรัชญาของตน

ในบรรดางานทางปรัชญาของสมัยโบราณที่สำคัญนั้น สิ่งที่ถือกันว่าเป็นบ่อเกิดของปรัชญาจีนนั้นคือ ความคิดเรื่อง ปา กว้า (Pa Kua) หรือเส้นตรงสามเส้นแปดชนิด (Eight Trigrams) ประกอบด้วยเส้นตรงสามเส้น จัดเข้ากันเป็นกลุ่มมีจำนวนแปดกลุ่ม แล้ววางเรียงกันเป็นวงกลม  สันนิษฐานกันว่าคติความคิดเรื่อง ปา กว้า นี้ วิวัฒนาการขึ้นมาจากรอยแตกบนกระดองเต่า ซึ่งพระเจ้า ฝูซี (Fu His) ซึ่งเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์พระองค์หนึ่ง ในสมัยปรัมปราเป็นผู้คิดขึ้น เส้นตรงสามเส้นนั้นมีลักษณะสองแบบ คือเป็นแบบเส้นตรงติดต่อกันไม่มีรอยแยก (——-) แบบหนึ่ง เรียกว่า หยัง เหย่า (Yang-Yao) เป็นสัญลักษณ์ของเพศชายหรือฝ่ายบวก เส้นตรงอีกแบบหนึ่งเป็นเส้นตรงมีรอยแยกตรงกลางเส้น (- -) ยิน เหย่า (Yin-Yao) เป็นสัญลักษณ์ของเพศหญิง หรือฝ่ายลบ ตามตำนานเล่าว่าพระเจ้าเหวิน (King Wen) ผู้สถาปนาราชวงศ์โจว (Chou) และพระมหาอุปราชแห่งแคว้นโจว (the Duke of Chou) เป็นผู้จัดรวบรวมเส้นตรงสามเส้นแปดกลุ่มนี้ให้เป็นระบบแห่งความคิดขึ้นมา ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาความคิดเรื่องปา กว้า นี้จึงกลายเป็นพื้นฐานของวิชาอภิปรัชญาและวิชาไสยศาสตร์ ตามที่มีบันทึกอยู่ในหนังสือ ยิ จิง (Yi Ching) หรือบทนิพนธ์ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลง (Book of changes)

เส้นตรงสามเส้นแปดกลุ่มนี้ เป็นสัญลักษณ์ของธาตุหลัก หรือองค์ประกอบอันสำคัญของโลกจักรวาลแปดอย่าง ได้แก่ สวรรค์ ดิน ฟ้าร้อง น้ำ ภูเขา ลม ไฟ และหนองบึง ซึ่งมีลักษณะด้านนามธรรมของธาตุทั้งแปดนั้นประกอบอยู่ด้วยธาตุแต่ละธาตุด้วย ต่อมา เส้นตรงสามเส้นแปดกลุ่มนี้ ถูกนำมาผสมกันเป็น เส้นตรงหกเส้นหกสิบสี่กลุ่ม แต่ละกลุ่มสมมติว่าเป็นสัญลักษณ์ของปรากฏการณ์ของโลกจักรวาลอย่างหนึ่งๆ ทั้งที่เป็นปรากฎการณ์ของธรรมชาติและของมนุษย์ เส้นตรงหกเส้นหกสิบสี่กลุ่ม (Sixty-four Hexatrams) นี้สมมติกันว่าเป็นสัญลักษณ์ของสิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่บังเกิดขึ้นในโลกจักรวาลนี้ทั้งหมด

ความสำคัญของสัญลักษณ์ของเส้นตรงดังกล่าวนี้  ไม่ได้เป็นการกล่าวที่เกิดความเป็นจริงเลย ก่อนสมัยของขงจื๊อ มีคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์บันทึกเรื่องสัญลักษณ์นี้ไว้ คัมภีร์นี้มีชื่อว่า ยิ (Yi) ใช้สำหรับการพยากรณ์และอธิบายปรากฏการณ์ต่างๆ ของธรรมชาติ ตลอดทั้งความยุ่งยากซับซ้อนทั้งหลายในกิจการต่างๆ ๆ ของมนุษย์ ต่อมาภายหลัง สานุศิษย์ของปรัชญาขงจื๊อและปรัชญาเต๋า ได้ใช้คัมภีร์ ยิ นี้ เป็นเครื่องมืออธิบายคติความคิดทางปรัชญาของตน คัมภีร์ ยิ จิง นี้ยังเป็นประดุจสะพานที่เชื่อมโยงคำสอนที่แตกต่างกันของปรัชญาเต๋า และปรัชญาขงจื๊อ

หนังสือหรือคัมภีร์เก่าแก่ที่มีความสำคัญเป็นอย่างมากอีกเล่มหนึ่ง คือ คัมภีร์ ซู จิง (Shu Ching) หรือ คัมภีร์แห่งประวัติศาสตร์ (Book of History) เอกสารต่างๆ ที่ประกอบเป็นคัมภีร์เล่มนี้ตั้งแต่เริ่มแรกเป็นเอกสารทั้งหมดมีจำนวนหนึ่งร้อยเรื่อง ควบคุมระยะเวลานานถึงสิบหกศตวรรษ คือตั้งแต่ 2400 ถึง 800 ปีก่อน ค.ศ. คัมภีร์นี้นับเป็นเอกสารทางประวัติศาสตร์ที่ดีที่สุดเท่าที่มีอยู่ในปัจจุบัน ในการศึกษาเรื่องประวัติศาสตร์ การเมือง และคติความคิดต่างๆ ของจีนในสมัยโบราณ

ข้อสังเกตอันหนึ่งที่ควรจะกล่าวถึงเกี่ยวกับปฐมกำเนิดของปรัชญาจีน นอกเหนือไปจากภาวการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญดังกล่าวแล้ว ปรัชญาตะวันตกนั้นโดยทั่วไปแล้วเป็นผลผลิตของกรีกในศตวรรษที่หกก่อนคริสตศักราช ในสมัยก่อนหน้านั้นพวกกรีกที่อยู่บนทวีปใหญ่ ได้อพยพลงมาอยู่ในเกาะต่างๆ รอบบริเวณนั้น ที่อยู่ในทะเลอีเจียน (Aegian) ไปจนถึง ซิชิลี อิตาลีตอนใต้ เอเชียไมเนอร์ พูดให้สั้นก็คือ ไปอยู่ทั่วโลกที่รู้จักกันในสมัยนั้นทั้งหมด สภาพเช่นนี้เป็นธรรมดาอยู่เองย่อมก่อให้เกิดความอยากรู้เกี่ยวกับโลก และบทบาทของมนุษย์ผู้อยู่ในโลกจึงเกิดเป็นการเสาะแสวงหาข้อเท็จจริง  และกฎเกณฑ์ต่างๆ ของธรรมชาติขึ้น การเสาะแสวงหาความรู้แบบนี้นำไปสู่ความสัมพันธ์ของปรัชญากับวิทยาศาสตร์ ซึ่งทำให้นักปรัชญาของกรีกในสมัยนั้นต้องเป็นบุคคลที่สนใจในวิทยาศาสตร์ไปด้วยในขณะเดียวกัน เช่นไพทากอรัส เปลโต และอริสโตเติล เป็นต้น

แต่สภาพการณ์ในประเทศจีนในสมัยโบราณนั้นแตกต่างไปจากกรีก ประเทศจีนสมัยนั้นตั้งอยู่ในตอนกลางของดินแดนผืนใหญ่ของเอเซียตะวันออก ครอบครองอาณาจักรอันกว้างใหญ่ ซึ่งไม่ทำให้เกิดความจำเป็นอันใดที่จะต้องค้นหาผืนแผ่นดินนอกอาณาจักรของตน  ฉะนั้นจึงไม่เป็นการแปลกที่คนจีนจะเห็นว่า โลกของมนุษย์นั้นไม่มีความสำคัญสำหรับคนจีนสมัยนั้นยิ่งกว่าโลกของธรรมชาติ คติความคิดต่างๆ ของคนจีนจึงมุ่งไปที่ปัญหาของการเมือง แทนที่จะมุ่งไปสู่ปัญหาของวิทยาศาสตร์ ผลก็คือว่าในขณะที่นักปราชญ์ของกรีกเป็นนักวิทยาศาสตร์ และนักปรัชญานั้น นักปราชญ์ของจีนเป็นนักทฤษฎีการเมืองและนักปรัชญา ความสนใจในเรื่องสถาบันทางสังคมและทางการเมือง ตามที่เริ่มมีขึ้นตั้งแต่กษัตริย์ผู้เป็นปราชญ์ตั้งแต่สมัยบุรพกาลโน้น  ถึงแม้ว่าจะไม่ได้สร้างสรรค์เป็นระบบของปรัชญาที่เหมาะสม แต่ก็ได้ประกอบกันเป็นสาระสำคัญของคัมภีร์ ซู จิง (Shu Ching) หรือคัมภีร์แห่งประวัติศาสตร์ ความสนใจในแขนงการเมืองและสังคมนี้เองที่เป็นจุดเริ่มต้นอันแท้จริงของปรัชญาจีน

ปรัชญาจีนในยุคสมัยมาตรฐาน (The Classical Age)
สมัยราชวงศ์ โจว (The Dhou Period) ระยะเวลาระหว่าง 1122-256 ก่อน ค.ศ. นั้น นักประวัติศาสตร์แห่งวัฒนธรรมจีนถือกันว่าเป็นยุคสมัยแห่งมาตรฐาน (Classical Age) ถ้าจะเปรียบเทียบกับกรีกก็คือ สมัยทองของกรีก เพราะว่ามีลักษณะคล้ายกับวัฒนธรรมของกรีก คือเป็นสมัยที่ได้สร้างมาตรฐานทางวัฒนธรรมขึ้นไว้ในสังคม ปรัชญาจีนในสมัยหลังจากนั้นเป็นต้นมา ต่างถือเอาคำสอนของนักปรัชญาในสมัยราชวงศ์โจวเป็นหลักทั้งสิ้น

ประมาณปี 900 ก่อน ค.ศ. อาณาจักรศักดินาของราชวงศ์โจว เริ่มแสดงอาการของความเสื่อมโทรม  เจ้าผู้ครองนครของแคว้นเล็กแคว้นน้อยทั้งหลายเริ่มมีอำนาจแข็งขึ้น และทำการรบพุ่งต่อสู้กันเอง ทำให้แคว้นที่มีกำลังอ่อนเสื่อมอำนาจสูญสิ้นไปเป็นจำนวนมาก แคว้นที่เหลือคือแคว้นที่มีกำลัง แคว้นเหล่านี้ก็เริ่มแสดงอำนาจแข็งกระด้างต่ออาณาจักรราชวงศ์โจว ด้วยการยุยงเจ้าผู้ครองแคว้นต่างๆ ที่มีอำนาจขึ้นมานี้ ถึงแม้จะไม่เป็นในลักษณะที่ช่วยเหลืออย่างเปิดเผยก็ตามทำให้เผ่าคนป่าจากทิศตะวันตกของประเทศจีน ซึ่งมีวัฒนธรรมยังไม่เจริญ ยกพวกลงมาโจมตีแคว้นโจวบุกรุกเข้าอาณาจักรของราชวงศ์ โจว ซึ่งปัจจุบันนี้คือ มณฑลชานสี (Shansi) ใกล้กับเมืองซีอาน (Sian) ประมาณปี 771 ก่อน ค.ศ. ราชวงศ์โจวได้ย้ายเมืองหลวงไปทางทิศตะวันออกของเมืองโล้หยี (Loyi) ปัจจุบันคือเมืองโล้หยัง (Loyang) อยู่ในแคว้นโฮหนัน (Honan) นับตั้งแต่นั้นมาราชวงศ์นี้จึงมีชื่อเรียกว่า ราชวงศ์โจวตะวันออก หลังจากนั้นก็ถึง ยุคสมัยชุนชิว (Ch’un Ch’in) หรือสมัยฤดูใบไม้ผลิ และฤดูใบไม้ร่วง ระหว่างปี 722-481 ก่อน ค.ศ. หลังจากนั้นก็เป็น ยุคสมัย จั้นกว๋อง (Chan-Kuo) หรือยุคแห่งการสงครามระหว่างแคว้นต่างๆ ระหว่างปี 480-222 ก่อน ค.ศ. ซึ่งเป็นสมัยที่แคว้นต่างๆ มีบทบาทและอำนาจมากขึ้น ส่วนประเจ้าเหนือหัวของราชวงศ์โจวนั้นเสื่อมอำนาจลงมีฐานะเป็นแต่เพียงในนามเท่านั้นเอง

ในสมัยจั้นกว๋อนี้ เป็นสมัยที่เต็มไปด้วยการเคลื่อนไหวอย่างรุนแรงทั้งในด้านการเมืองการสังคม และสติปัญญา เป็นช่วงสมัยที่สถาบันเก่าๆ และขนบธรรมเนียมเก่าๆ ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างแหลกลาน สภาพการณ์ของยุคสมัยนี้เลวร้ายอย่างที่สุด จนเกิดการวิพากษ์วิจารณ์การขัดแย้งขึ้นอย่างมากมาย ทำให้เกิดเป็นสำนักคิดทางปรัชญาขึ้นเป็นจำนวนมาก การอุบัติขึ้นของปรากฏการณ์ แห่งการวิพากษ์วิจารณ์อันนี้ของชาวจีนนั้น คือการตื่นตัวของสิ่งที่ทวีปยุโรปในคริสต์ศตวรรษที่สิบแปดเรียกกันว่า วิญญาณแห่งสมัยใหม่ วิญญาณแห่งเสรีภาพนิยม วิญญาณแห่งการแสวงหาความจริง วิญญาณแห่งสมัยใหม่ของจีนเป็นตัวผลักดันให้เกิดความคิดความเห็นต่างๆ ขึ้น แพร่หลายไปอย่างมากมาย จิตใจของคนจีนซึ่งแต่ก่อนนั้นเคยอยู่แต่ในกรอบของประเพณี ดูเหมือนจะระเบิดพลุ่งออกมาจากขอบเขตที่คุมขังขึ้นโดยฉับพลัน  ก่อให้เกิดเป็นความโกลาหลวุ่นวายในอิสรภาพใหม่ของตน คนจีนเริ่มมองสิ่งต่างๆ ใหม่ในแง่มุมใหม่ตามที่ตนต้องการ และแสวงหาความคิดใหม่ตามที่ตนชอบ ความอิสรภาพอันนี้แหละที่เป็นผลทำให้เกิดความเคลื่อนไหวในทางสติปัญญาอย่างใหญ่หลวง ชนิดที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ของจีน

ยุคสมัยนับตั้งแต่ศตวรรษที่หก ตลอดไปจนถึงศตวรรษที่สามก่อนคริสตศักราชนั้น เป็นยุคสมัยที่ปรัชญาจีนในสมัยโบราณกำลังเบ่งบาน ก่อให้เกิดสำนักคิดทางปรัชญาขึ้นเป็นจำนวนมาก เรียกกันว่า สมัยปรัชญาร้อนสำนัก ในบรรดาปรัชญาร้อยสำนักนี้มีปรัชญาขงจื๊อ และปรัชญาเต๋าเป็นสำนักปรัชญาที่สำคัญยิ่ง ปรัชญาร้อยสำนัก (Hundred school) โดยทั่วไปแล้วจัดจำแนกออกเป็นสำนักปรัชญากลุ่มใหญ่ๆ ได้หกกลุ่ม คือ
1. เต้า เจีย (Tao Chia) หรือ ปรัชญาเต๋า
2. หยู เจีย (Ju Chia) หรือ ปรัชญาแห่งผู้มีความรู้ (School of Literati) หรือ ปรัชญาขงจื๊อ
3. ม่อ เจีย (Mo Chia) หรือ ปรัชญามอจื๊อ
4. ฝ่า เจีย (Fa Chia) หรือ ปรัชญานิติธรรม (Legalism)
5. ยิน-หยัง เจีย (Yin-Yang Chai) หรือ ปรัชญา ยิน-หยัง ปรัชญาไสยศาสตร์
6. หมิง เจีย (Ming Chia) หรือ ปรัชญาแห่งชื่อ (Names) หรือปรัชญาแห่งวาทศาสตร์ (Sophism)

ในบรรดาปรัชญาหกสำนักใหญ่นี้ เฉพาะสี่สำนักใหญ่แรกเท่านั้นที่มีผลงานสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน ส่วนปรัชญา ยิน-หยัง และปรัชญาหมิงเจีย นั้น ไม่อาจอ้างเอาว่ามีผลงานสืบมาถึงทุกวันนี้ ถึงแม้ว่าปรัชญาทั้งสองนี้จะได้ทำประโยชน์แก่การค้นคว้าและการค้นพบความรู้ในทางวิทยาศาสตร์เป็นอย่างมากก็ตาม

ปรัชญา ยิน-หยัง นั้นแตกหน่อออกมาจากปรัชญาเต๋า มีความเชื่อในภาวะของ ยิน หรือ สตรีเพศ และภาวะของ หยัง หรือบุรุษเพทศ ว่าเป็นหลักสองประการของจักรวาล ปฏิกิริยาต่อกันและกันของหลัก ยินและหยัง ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งหลายทั้งปวงขึ้นในสากลจักรวาล ปรัชญานี้บางทีก็เรียกกันว่า ปรัชญาหวู่สิง (Wu Hsing) หรือ ปรัชญาแห่งธาตุทั้งห้า เพราะว่าปรัชญานี้มีทฤษฎีว่า ยุคหนึ่งๆ ของประวัติศาสตร์นั้นจะมีธาตุใดธาตุหนึ่งของธาตุทั้งห้านี้เป็นสิ่งที่ให้อิทธิพลครอบงำอยู่ ธาตุทั้งห้านี้คือ ดิน ไม้ โลหะ ไฟ และน้ำ งานนิพนธ์ทั้งหลายของปรัชญาสำนักนี้ศูนย์หายไปหมด ต่อมาภายหลังปรัชญานี้ได้มามีความสัมพันธ์กับไสยศาสตร์ เวทย์มนตร์ คาถา จึงไม่อาจพัฒนาขึ้นเป็นระบอบความคิดที่เป็นปรัชญาอันอิสระได้ ส่วนปรัชญาแห่งวาทศาสตร์นั้น วิวัฒนาการขึ้นมาจากปรัชญาม่อจื๊อ สมาชิกของปรัชญาสำนักนี้เป็นนักพูดและนักโต้วาที พวกนี้เป็นนักการเมือง มีความชำนาญในศิลปะของการพูด แต่ไม่อาจอ้างตนเองว่าเป็นนักปรัชญาได้

ฉะนั้น ในแง่ของความสำคัญที่มีต่อวิถีชีวิตของชาวจีนแล้ว สำนักคิดที่สำคัญสี่สำนักนี้ ประกอบกันเป็นอาณาจักรของปรัชญาจีน คือ ปรัชญาขงจื๊อ ปรัชญาเต๋า ปรัชญาม่อจื๊อ และปรัชญานิติธรรมหรือฝ่าเจีย ปรัชญาทั้งสี่สำนักนี้มีนักปรัชญาแปดท่านของยุคสมัยแห่งราชวงศ์โจวเป็นตัวแทนที่สำคัญ หรือ เป็นอาจารย์เจ้าลัทธิ นักปรัชญาแปดท่านนี้คือ เล่าจื๊อ ขงจื๊อ ม่อจื๊อ หยางจื๊อ เม่งจื๊อ จวงจื๊อ ซุ่นจื๊อ และ ฮั่นเฟยจื๊อ นักปรัชญาทั้งแปดนี้ แต่ละท่านนั้นเราอาจถือเอาได้ว่า คติความคิดต่างๆ ของท่านคือปฏิกริยาที่แสดงต่อปัญหาและความทุกข์ยากที่มีอยู่ในยุคสมัยของท่านนั้นเอง

เล่าจื๊อ  และสานุศิษย์ของเล่าจื๊อ มีความเห็นว่า ความโกลาหลวุ่นวายที่เกิดขึ้นในยุคของเขานั้นเป็นเครื่องพิสูจน์ให้เห็นว่า มีบางสิ่งบางอย่างที่ผิดพลาดจนถึงรากถึงแก่น อยู่ในเนื้อแท้ และโครงสร้างของสังคมและวัฒนธรรมของยุคนั้น มนุษย์ได้เคยมีดินแดนสวรรค์มาแล้ว แต่บัดนี้เขาได้สูญสิ้นดินแดนสวรรค์นั้นไปสิ้น ทั้งนี้เพราะความผิดพลาดบกพร่องของมนุษย์เอง อันประกอบด้วยการที่มนุษย์พยายามจะสร้างอารยธรรมจอมปลอมขึ้นมาเป็นประการสำคัญ  ด้วยเหตุนี้หนทางแก้ไขทางเดียวที่มีอยู่ก็คือการถอนตนออกจากสิ่งที่เรียกว่าเป็นอารยธรรมอยู่ในขณะนี้ แล้วกลับคืนไปสู่ยุคสมัยแห่งบุรพกาล-กล่าวคือ ถอนตัวออกจากสภาพแห่งวัฒนธรรมไปสู่สภาพแห่งธรรมชาติ ทรรศนะปรัชญาลักษณะธรรมชาตินิยมนี้คือ หัวใจของปรัชญาเต๋า

ถึงแม้ว่า สานุศิษย์ของปรัชญาเต๋าจะมีความเห็นในหลักการสำคัญว่า อุดมคตินั้นคือการถอนตนกลับเข้าไปสู่ธรรมชาติเหมือนกันก็ตาม แต่ในการแปลความหมายของความคิดอันเป็นหัวใจของปรัชญาคือ เต๋านั้น ได้แตกต่างกันออกไปเป็นสองทรรศนะ เต๋านั้น เล่าจื๊อถือว่าเป็นพลังสร้างสรรค์ของโลกจักรวาลทรรศนะที่หนึ่ง มี จวงจื๊อ เป็นเจ้าของทรรศนะ ท่านผู้นี้ถือว่า เต๋านั้น คือ ภาวะที่เป็นไปเองตามธรรมชาติอย่างบริสุทธิ์บริบูรณ์ยิ่งของสรรพสิ่งทั้งปวงในสากลจักรวาล เป็นพลังหรือความคิดที่ปล่อยให้ทุกสิ่งทุกอย่างพัฒนาไปด้วยตัวของมันเองตามธรรมชาติ ตามลักษณะอันแท้จริงของมัน ทรรศนะนี้อาจจัดว่าเป็นปรัชญาเต๋าในรูปแบบของจิตนิยม (idealism) หรือจินตนาการ อิสรนิยม (romanticism)

อีกทรรศนะหนึ่ง มี หยางจื๊อ เป็นเจ้าของทรรศนะ ท่านผู้นี้คิดว่า เต๋านั้นเป็นพลังทางธรรมชาติที่มืดบอดที่ก่อกำเนิดโลกขึ้นมาโดยไม่มีความมุ่งหมายหรือเจตน์จำนงอันใด แต่โลกเกิดขึ้นมาเพราะโดยธรรมชาติของมันหรือโดยเหตุบังเอิญเท่านั้น ทรรศนะนี้อาจจัดว่าเป็นปรัชญาเต๋าในรูปแบบของปรัชญาสสารนิยม (materialism) หรือ ปรัชญาสุขสำราญนิยม (hedonism)

ปฏิกิริยาทางความคิดอีกอันหนึ่ง ซึ่งดูเหมือนว่าจะเป็นปฏิกิริยาที่มีอิทธิพลอย่างที่สุด ที่มีต่อความปั่นป่วนระส่ำระสายของยุคสมัยนั้น คือ ปรัชญาของขงจื๊อ และสานุศิษย์ของขงจื๊อ ตรงกันข้ามกับทรรศนะของปรัชญาเต๋า ปรัชญาขงจื๊อไม่ได้สอนเรื่องการถอนตนออกจากวัฒนธรรมแล้วกลับไปสู่ธรรมชาติ แต่สอนให้กลับคืนไปสู่วัฒนธรรมขนบธรรมเนียม และจารีตประเพณีที่มีความเป็นระเบียบเรียบร้อยที่มีอยู่ในสมัยต้นของราชวงศ์โจว ความสำเร็จของขงจื๊อ อยู่ในแนวทางของทรรศนะนี้ ขงจื๊อเป็นบุคคลที่ถ่ายทอดวัฒนธรรมอันดีงามของจีนในสมัยโบราณมาสู่บุคคลร่วมยุคสมัยเดียวกับตน และคนชั้นรุ่นหลังสืบต่อมา เขาเปลี่ยนแปลงจารีตประเพณีของศักดินามาเป็นระบบจริยธรรม ปรัชญามนุษยธรรมของขงจื๊อมีลักษณะขัดแย้งกันอย่างเด่นชัดกับปรัชญาธรรมชาตินิยมของเล่าจื๊อ ขงจื๊ออุทิศชีวิตของตนให้แก่การสร้างสังคมที่มีระเบียบที่มีอุดมคติ โดยมีการเน้นความสำคัญของความสัมพันธ์อันเหมาะสมของบุคคลผู้มีวัฒนธรรมอันดีงาม

อิทธิพลของปรัชญาขงจื๊อที่มีอยู่เหนือประชาชนชาวจีนมาตลอดเวลากว่ายี่สิบห้าศตวรรษนั้น สืบเนื่องมาแต่อัฉริยภาพ ส่วนบุคคลของนักปราชญ์อมตะ คือ ขงจื๊อเป็นประการสำคัญ ขงจื๊อได้วางพื้นฐานทางปรัชญาให้แก่ เม่งจื๊อ และ ซุ่นจื๊อ เพื่อสถาปนาวิหารอันมโหฬารที่ทำให้สติปัญญาและวัฒนธรรมของชาวจีน เจริญงอกงามได้อย่างเต็มที่นับตั้งแต่สมัยนั้นเป็นต้นมา เม่งจื๊อนั้นคือบุคคลสำคัญที่เป็นผู้พิทักษ์รักษาปรัชญาขงจื๊อไว้ เพราะว่าในยุคสมัยที่มีแต่อนาธิปไตยทางสติปัญญา และความคิดเห็นที่นอกรีตนอกรอยนานาประการนั้น เม่งจื๊อเป็นผู้ที่ปกป้องปรัชญาขงจื๊อไว้ด้วยความเข้มแข็ง และกล้าหาญ ทำให้ปรัชญาขงจื๊อคงความเป็นเลิศของตนไว้ได้ ยิ่งกว่านั้น เม่งจื๊อยังเป็นผู้ที่ได้ขยายความคิดของปรัชญาขงจื๊อไปในทางที่มีความสำคัญอย่างยิ่งอีกด้วย

ส่วน ซุ่นจื๊อ นั้น แม้จะยึดหลักปรัชญาขงจื๊ออย่างมั่นคงก็มีทรรศนะที่ขัดแย้งกันกับเม่งจื๊อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทรรศนะที่เกี่ยวกับทฤษฎีของธรรมชาติของมนุษย์ เม่งจื๊อนั้นเป็นนักอุดมคติมีศรัทธาอย่างสูงส่งว่ามนุษย์นั้นมีความดีงามเป็นธรรมชาติของตน ส่วนซุ่นจื๊อนั้นมีศรัทธาในธรรมชาติอันดีงามของมนุษย์น้อยมาก ผลของทรรศนะนี้ทำให้เขาหันไปยกย่องคุณค่าของหน้าที่และสิทธิพิเศษของรัฐ ทรรศนะของเขาเป็นทรรศนะที่นำทางทรรศนะของนักคิดผู้ยิ่งใหญ่ในสำนัก ปรัชญานิติธรรม ของศตวรรษที่สามก่อน ค.ศ. สองท่านนักคิดสองท่านแห่งปรัชญานิติธรรมนั้นคือ ฮั่น เฟย จื๊อ และ หลี ซู่ (Li Ssu) บุคคลทั้งสองนี้ แม้ว่าจะเป็นนักปรัชญาในสำนักนิติธรรม แต่ในสาระสำคัญแล้ว ท่านก็เป็นสานุศิษย์ของบรมครูขงจื๊ออยู่ ซุ่นจื๊อนั้นอาจจะประเมินลักษณะได้อย่างดีว่าเป็นบุคคลที่สามารถสรุปปรับญาของขงจื๊อแล้วถ่ายทอดมาสู่คนรุ่นหลังต่อไป

ปฏิกิริยาทางความคิดอันที่สามของสมัยนั้น คือ ปรัชญาของม่อจื๊อ และสานุศิษย์ของม่อจื๊อ ม่อจื๊อเป็นบุคคลที่มาจากกลุ่มชนชั้นต่ำของสังคม ม่อจื๊อสอนปรัชญาแห่งชีวิตที่ตรงตามความปรารถนาของสามัญชน ฉะนั้นทรรศนะของเขาจึงขัดแย้งกับทรรศนะของคนชั้นสูงของขงจื๊อและของเล่าจื๊อ ขณะที่เล่าจื๊อและขงจื๊อ มองย้อนหลังไปสู่อดีต-เล่าจื๊อเป็นผู้รื้อทิ้ง ซึ่งอารยธรรมที่มีมาแต่เดิม ขงจื๊อเป็นผู้พิทักษ์รักษาวัฒนธรรมราชวงค์โจวนั้น-ม่อจื๊อถือเอาทรรศนะปรัชญาที่มุ่งประโยชน์ โดยการแสวงหาความสุขจากอนาคตที่ให้ความหวังที่ดีงามแก่ชีวิต  โดยสร้างโลกนี้ให้ดีกว่าเดิมให้แตกต่างไปกว่าเดิม

นอกจากปฏิกิริยาทางความคิดที่สำคัญของสำนักปรัชญาทั้งสามนี้แล้ว ก็ยังมีนักปรัชญากลุ่มนิติธรรม ซึ่งได้กล่าวถึงแล้ว ที่ได้สร้างอิทธิพลขึ้นในศตวรรษที่สามก่อน ค.ศ. อันเป็นสมัยแห่งการเปลี่ยนแปลงจากราชวงศ์โจว ไปสู่ราชวงศ์ จิ๋น (Ch’in) ฮั่น เฟย จื๊อ (มรณะในปี 223 ก่อน ค.ศ.) เป็นนักคิดคนสำคัญของปรัชญานี้ และท่านเป็นเชื้อสายของเจ้านายราชวงศ์ฮั่น (Han) คติปรัชญาของท่านเกิดขึ้นจากคำสอนต่างๆ ที่มีอยู่แล้วในสมัยนั้น คือจากความคิดเรื่อง ซี่ (Shih) หรือ อำนาจของนักปรัชญาชื่อเชน เต๋า (Shen Tao) ความคิดเรื่องซู่ (shuh) หรือ รัฐศาสตร์ของนักปรัชญาชื่อ เซน ปู ไฮ (Shen Pu-hai) และความคิดเรื่องฝ่า (Fa) หรือกฎหมายของนักปรัชญาชื่อ ซ้อง หยาง (Shang Yang) ฮั่น เฟย จื๊อ ยังได้นำเอาทฤษฎีเรื่องธรรมชาติของมนุษย์ของซุ่นจื๊อ มาสนับสนุนข้อโต้แย้งของตนว่า การมีกฎหมายนั้นเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการผดุงรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง นักปรัชญากลุ่มนิติธรรมซึ่งมี ฮั่น เฟย จื๊อ เป็นเจ้าของทรรศนะนั้น สนับสนุนให้มีการปกครองที่มั่นคง แบบใช้อำนาจ แม้กระทั่งถึงอำนาจเผด็จการ และสนับสนุนให้มีการใช้กฎหมายอันเฉียบขาด เพื่อเป็นกรอบของการรักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อยของสังคม ฉะนั้นปรัชญาของ ฮั่น เฟย จื๊อ จึงขัดแย้งกับปรัชญาของขงจื๊อโดยเฉพาะ และขัดแย้งกับปรัชญาอื่นๆ โดยทั่วไป ที่ย้ำความสำคัญของเกียรติศักดิ์ของปัจเจกชน และอัจฉริยภาพส่วนบุคคลของผู้ปกครองบ้านเมือง

ความขัดแย้งของปรัชญา ฮั่น เฟย จื๊อ กับปรัชญาอื่นๆ นั้น ได้นำไปสู่พระปกาศิตอันสำคัญแห่งปี 213 ก่อน ค.ศ.ของพระเจ้าจักรพรรดิ์จิ๋น ซี ฮ่องเต้ (Ch’in Shih Huang ti) อันสืบเนื่องมาจากคำปรึกษาที่เสนาบดียุติธรรมของพระองค์ คือ หลี ซู่ เป็นผู้ถวายให้พระองค์จึงมีพระปกาศิตให้ทำลายวรรณคดีโบราณทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งบทนิพนธ์ทั้งหลายของปรัชญาขงจื๊อ ผลของปกาศิตครั้งนี้ทำให้ความเคลื่อนไหวทางสติปัญญาทั้งปวงในสมัยก่อนมาต้องประสบกับวาระอันเป็นจุดจบลงอย่างฉับพลัน

นี้คือ ความเป็นมาอย่างคร่าวๆ ของปรัชญาที่สำคัญของจีนสี่สำนักด้วยกัน ในยุคสมัยของราชวงศ์โจว โดยมีนักปรัชญาแปดท่านด้วยกัน เป็นเจ้าของทรรศนะ คำสอนและคติความคิดต่างๆ ของนักปรัชญาทั้งแปดนี้มีอิทธิพลเหนือชีวิตจิตใจของประชาชนชาวจีน ถึงแม้ว่าปรัชญาทั้งสี่สำนักนี้ จะแตกต่างกันอย่างกว้างขวาง แต่ปรัชญาที่สี่สำนักนี้ก็มีบทบาทที่หล่อหลอมบุคลิกภาพของปรัชญาจีนโดยส่วนรวมขึ้นมา เรื่องราวของวิวัฒนาการของคติความคิดของปรัชญาทั้งสี่นี้คือเรื่องราวของปรัชญาจีน

ที่มา:สกล  นิลวรรณ