“เฮอ…โล่งใจจริง จบจากโรงเรียนเสียที เราจะได้พบกับชีวิตอิสระที่มหาวิทยาลัยกันละ”
“ฉันไม่ยักคิดอย่างงั้น ฉันว่าอยู่โรงเรียนสิดี มีครูบาอาจารย์สอนสั่งอย่างใกล้ชิด แล้วก็จ้ำจี้จ้ำไชเรื่องการบ้านกับไอ้เรื่องท่องหนังสือ จนแทบไม่ได้กระดิกเนื้อกระดิกตัวไปข้างไหนทีเดียว”
“แต่เข้ามหาวิทยาลัยแล้วยิ่งดีไปกว่า เพราะเราต้องพึ่งตัวเราเอง เราต้องเป็นผู้ใหญ่ และถ้าเรารักดีเราก็จะได้ผลสำเร็จเวลาสอบ ถ้าเราไม่รักดีเราก็สอบตกเอง ไม่ต้องโทษใคร”
สามสหายกำลังตื่นเต้นรอฟังผลการสอบเข้ามหาวิทยาลัย เสียงแรกเป็นเด็กหนุ่มที่หน้าตาดูแจ่มใส ร่าเริงตลอดเวลา แต่แฝงไปด้วยอารมณ์ช่างเล่นและคึกคะนอง
คนถัดมาเป็นคนเคร่งขรึม สนทนาด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ แววตาสงบนิ่ง แต่เต็มไปด้วยความช่างคิด
ส่วนคนที่สามใบหน้าจะแฝงไปด้วยรอยยิ้มเสมอ พูดจาสนุกขำขัน น่าคบ
สุขุมพูดขึ้นว่า
“ไอ้การเข้ามหาวิทยาลัยสำหรับพวกรุ่นเรานี่ มันเหมือนเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือเลยนะ จากชีวิตที่โรงเรียน มีอาจารย์คอยจับตาดูความประพฤติ เคี่ยวเข็ญให้ขยัน ไปสู่การตัดสินใจด้วยตัวเอง ตามทางที่เราอยากจะไป แบบผู้ใหญ่แท้ๆ ตามที่เกรียงว่าไม่ผิด”
เกรียงพูดเสริมขึ้นว่า
“ใช่สิ เราต่างคนต่างก็ควรตั้งใจไว้แต่แรกเลยว่า พอได้เข้าไปแล้วจะทำตัวยังไง สุขุมคงจะเอาแต่เรียนใช่ไหมล่ะ? ส่วนฉันน่ะเรอะ…ทั้งเล่นและเรียนแหละ”
เกรียงพูดอย่างมันใจตัวเอง เพราะเขาไม่เคยสอบตกแม้จะเรียนๆ เล่นๆ เขาเป็นคนรู้จักแบ่งเวลา
“แต่ฉันอยากจะเป็นคนกว้างขวางในกลุ่มนักศึกษาน่ะแหละมาก ฉันว่าพวกหนอนหนังสือดีแต่สอบได้เก่งๆ แต่คนชอบน้อย คนกว้างขวางต่างหากที่เพื่อนแยะ”
คนที่ชอบสนุกอย่างณรงค์หัวเราะและพูดขึ้นว่า
“เกรียงมีวิธีอะไรล่ะ ที่จะทำตัวให้กว้างขวาง หรือเป็นความลับ?”
เกรียงยิ้มแล้วพูดว่า
“ความลับอย่างนี้ คนทั้งโลกคงเดาได้”
“เขาว่า เราจะให้คนเขาชอบเรา เราก็ต้องผูกมิตรกับเขาน่ะซี ไอ้การผูกมิตรง่ายๆ ก็คือ รู้จักใจเขาใจเรา เมื่อฉันอยู่โรงเรียน เพื่อนชอบฉันเพราะอะไร? ฉันได้ตำแหน่งหัวหน้านักเรียนเพราะอะไร? ก็เพราะใครๆ ก็รู้จักฉัน ชอบฉัน และไม่มีใครเถียงใช่ไหมว่า ฉันไม่เคยเห็นแก่ตัวเลย ถ้าเพื่อนทุกข์ ฉันทุกข์ด้วย เพื่อนสุข ฉันยินดีด้วย คิดถึงอกเขาอกเราแล้ว คนจะเกลียดเราก็น้อยลงละ”
สุขุมพูดขึ้นว่า
“งั้นเราก็ไม่ต้องอยู่เพื่อตัวเราเองซินะ”
เพื่อนของสุขุมคือหนังสือ คนที่เป็นเพื่อนเขามีน้อย จะมีก็แต่คนที่เรียนอ่อนที่อยากให้เขากวดวิชาให้เท่านั้น
“ส่วนฉันน่ะ มัวแต่นึกถึงว่าตัวเองจะสอบได้ที่หนึ่งอีกหรือเปล่าก็กลุ้มพอแล้ว ไม่ต้องไปทุกข์เพื่อคนอื่นหรอกเพื่อน!”
เกรียงพูดฟังคล้ายล้อเลียนว่า
“ก็นั่นน่ะซี สุขุมถึงได้เพื่อนน้อยนัก”
“จะบอกให้ ถ้าคนเรามัวแต่กลัวว่าเราจะไม่ได้ดี เราจะเป็นยังไง ความหวังของเราจะเป็นยังไง คนอื่นทำไมก็ช่างละก็ รับรองไม่มีความสุขจริงหรอก”
ณรงค์พูดเสริมอีกคนว่า
“เขาว่าคนฉลาดมากๆ น่ะ ไม่กว้างขวางนะ”
“ใครจะมาคบกับสุขุม ก็โดนความฉลาดของสุขุมเสียจนเบื่อไปเลย จริงไหม? อย่างพี่สาวของฉันยังงี้ พอคุยกับสุขุมแผล็บเดียว พี่บอกเลยว่า กลัววิชาจังเลย ขนาดพี่มีความรู้รอบตัวแยะ ยังบอกว่ากลัว แล้วเราจะว่ายังไงล่ะ!”
สุขุมแก้ตัว
“แหม! ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกน่า ถึงฉันจะอ่านหนังสือแยะ ฉันก็ไม่เคยไปคุยทับถมพี่สาวณรงค์ซักหน่อย
เกรียงรีบพูดขึ้นว่า
“วิสัยของคนเก่งจริง ต้องไม่ทับถมคนอื่น ใช่สิ”
“อย่าโกรธน่าสุขุม กินน้ำเสียซิ จะได้หายโมโห”
“ฉันก็เห็นด้วย ยิ่งเวลาที่เราเข้าไปอยู่ในหมู่คนมากๆ ทั้งชายทั้งหญิง อย่างในมหาวิทยาลัยละก็ ขืนไปเที่ยวคุยทับถมคนโน้นคนนี้ละ โดนเขาเขม่นตาย”
ณรงค์รู้ตัวว่าเขาเป็นคนหน้าตาดี จึงพูดอย่างโอ่ๆ ว่า
“ไอ้เรื่องจะเขม่นหรือไม่เขม่นน่ะ มันอยู่ที่หน้าตาด้วยนา”
“คนหล่อๆ สาวสวยๆ จะทำเบ่งยังไงก็ไม่ใคร่โดนเขม่นหรอก”
สุขุมเถียงขึ้นทันทีว่า
“ไม่จริง”
“ฉันว่าสวยยังไม่สู้บุคลิกคนบุคลิกดีๆ พูดจามีสาระ แต่งตัวสะอาด ผมเรียบ รองเท้าเป็นมัน อย่างนี้แหละที่ใครๆ สังเกตแล้วก็จะต้องติดใจ”
ณรงค์หัวเราะเสียงดังแล้วพูดยั่วว่า
“แหม! คุณตาของเราจะปล่อยแก่ปีนี้ละมั้ง?”
“ฉันคงเห็นนายสุขุมแต่งตัวโก้เป็นบ้าไปเลยปีนี้!!”
สุขุมพูดอย่างรำคาญว่า
“พูดกะณรงค์นี่เข้าใจยากจังแฮะ”
“ฉันหมายความว่าแต่งตัวสะอาด แต่ไม่ใช่แต่งมากเกินไปย่ะ อย่างนิสิตหญิงที่ใส่ส้นสูง ทาปากเขียนคิ้ว ทาแก้ม แต่งหน้า แล้วก็ไว้เล็บยาว ทาเล็บน่ะ ฉันว่ามากไป อย่างงี้ก็ควรออกมาเป็นสาวสวยดีกว่าเป็นนักศึกษา ผู้ชายบางคนก็เหมือนกัน นุ่งกางเกงทรงทันสมัย เสื้อหลวมๆ ดึงลงมารุ่มร่าม แล้วก็แบะคอพับแขน ใส่สายสร้อยที่มือน่ะ น่าเกลียดเป็นบ้าเลย”
เกรียงเป็นคนช่างแต่งตัว เขายกมือขึ้นแต่งผมตัวเองเบาๆ แล้วถามว่า
“งั้นใครล่ะ ถึงจะเหมาะ ฮึ สุขุม?”
สุขุมตอบว่า
“ก็หมายความว่า แต่งตัวสะอาด ตั้งแต่ผมถึงรองเท้าน่ะ แต่ไม่ใช่แต่งแบบจะไปเที่ยวหรือดูจากหนังเพลง”
ณรงค์รีบแก้ขึ้นว่า
“หนังเรื่องนิสิตฝรั่งก็มีนะ”
สุขุมว่า
“ใช่ ใครเถียงล่ะ”
“แต่สังเกตดูซีว่าหนังเพลงของฝรั่งที่มีเรื่องนิสิตนักศึกษาน่ะ ดีแต่ฉายให้ดูตอนเต้นรำ ร้องเพลง กินขนม นัดผู้หญิงแล้วก็ไปเที่ยวเสียเรื่อย ไม่เห็นฉายตอนนั่งเรียนบ้างเลย ดูไปดูมาแล้วนึกว่า เมืองฝรั่งนี่เรียนสนุกชะมัดเลย”
ณรงค์พูด
“แต่ความจริงเปล่า”
“ฝรั่งเรียนหนักก็มีแยะ แต่ถ้าเอาชีวิตจริงมาฉายให้เราดู คงไม่มีใครยอมเสียเงินเข้าไปดูเป็นแน่ เพราะจะไปดูนิสิตนั่งเรียนน่ะ ดูได้โดยไม่ต้องเข้าโรงภาพยนตร์”
เกรียงพูดว่า
“แต่ฉันชอบ ชีวิตในหนัง มันสวี้ดสว้าดดีเป็นบ้า”
สุขุมขมวดคิ้วก่อนจะพูดว่า
“ฉันหวังว่าก่อนเข้ามหาวิทยาลัย เกรียงจะเลิกพูดภาษาวิบัติอย่างงั้นนะ”
เกรียงก็ทำเป็นเอียงหูเข้ามาฟังใกล้ๆ แล้วพูดว่า
“ว่าไหง?”
สุขุมพูดว่า
“คำสะแลงน่ะ ไม่น่าฟังเลย”
เกรียงตอบ
“แต่ยังดีกว่าพูดเบ่งๆ ใช่ไหม?”
สุขุมพูดต่อว่า
“เอาอีกคำแล้วซี”
“ถ้าเกรียงอยากกว้างขวาง เป็นประธานนักศึกษาอย่างปากว่าละก็ พูดคำสะแลงละไม่เข้าหูคนแน่ แล้วไม่มีใครเขาโหวตให้คะแนนเสียงแล้วอย่ามาโทษว่าไม่เตือนนะ”
เกรียงตอบ
“เออ”
“ณรงค์! ฟังคุณตาเทศน์เสียง่วง เฮ้ย! ตื่น ฟังต่อไปได้”
เกรียงพูดดังลั่นหยอกเพื่อนเสียค่อนข้างแรง
สุขุมต้องดุขึ้นมาด้วยเสียงเรียบๆ ของเขาว่า
“ไอ้พูดเสียงดังอีกอย่าง ขอทีเถอะ เอาไว้เวลาเขาเชียร์ฟุตบอลดีกว่า”
“ถ้าณรงค์อยากมีเพื่อนมากๆ อย่าโกรธนะ ฉันจะบอกอะไรให้”
ณรงค์พูด
“ว่าไป”
สุขุมก็ชี้แนะว่า
“ณรงค์ต้องรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นด้วย อย่าเอาแต่ใจตัวซี”
ณรงค์ตะโกนขึ้นอีก
“จริงแฮะ เมื่อกี้ฉันเกือบลืมตัวไปแน่ะ เออ…ได้นายสุขุมมาเป็นคนคอยเตือนตลอดกาลนี่ก็ดีเหมือนกัน เฮ้ย…ณรงค์” พอนึกขึ้นได้ก็ลดเสียงลง
“ณรงค์ คิดอะไร?”
ณรงค์ทำตาเลื่อนลอยเหมือนฝันกลางวัน แล้วตอบเบาๆ ว่า
“กำลังฝันถึงคนตาโตๆ ผมยาวๆ หยิกสลวยๆ ขาสวยๆ ยิ้มหวานๆ ที่ใส่เครื่องแบบนิสิตหญิงปีที่หนึ่ง และจะพบกับเราน่ะซี”
เกรียงก็พูดขึ้นว่า
“อย่าให้ถึงขย้อนเลย”
สุขุมพูดต่อ
“แต่น่ากลัวจะอันตรายเสียแล้ว นายณรงค์นี่”
“ยังไม่ทันจะได้เข้ามหาวิทยาลัยเลย นึกถึงนางในฝันเสียก่อนแล้วซี”
ณรงค์ถามขึ้นว่า
“คิดผิดไหมล่ะ?”
“ยังไม่เห็นตัวก็ฝันไว้ก่อนซีเพื่อน”
สุขุมพูดแบบประชดว่า
“แล้วก็เลยฝันถึงสอบตก กลิ้งโค่โล่ไม่เป็นท่าด้วยซี”
“ไอ้เราจะเข้าไปเรียน ไม่ใช่เข้าไปหาคู่รัก หรือคู่ชีวิตในอนาคต”
“แน่ละ เราไปอยู่รวมกันทั้งชายหญิงอย่างงั้นมันก็ต้องมีบ้างละ ไอ้เรื่องเจอกันอย่างเลี่ยงไม่ได้น่ะ”
เกรียงถามขึ้นว่า
“รู้แล้ว แล้วจะเลี่ยงยังไงล่ะ?”
“ถ้าสวยมากก็เลี่ยงดีกว่า”
สุขุมพูดประชดอีก
“เกรียงกับณรงค์ก็ไปด้วยกันได้นะ”
“แต่ฉันเชื่อว่า พอจริงเข้านายสองคนก็ไม่เอาจริงอีกน่ะแหละ ฉันคบนายมานานแล้ว รู้ดีว่าไม่ใช่คนหลงใหลขนาดนั้นหรอก”
“ถ้าเราเลี่ยงไม่ได้ เวลาเจอเขา เราก็ก้มหัวทักทาย ยิ้มๆ เสียหน่อย ถ้าเขากำลังคุยกันอยู่ เราผ่านไปเราก็ไม่ต้องเสนอตัวเองเข้าไปเป็นคนร่วมวงสนทนากับเขา แต่ถ้าเขาเรียกเราก็อย่าปฏิเสธตัดมิตรเสียเลยทีเดียว”
เกรียงเสยผมแล้วพูดว่า
“อือม์! น่าฟังแฮะ”
ณรงค์พูดบ้างว่า
“เวลาเข้าห้องเรียนก็นั่งปนกัน กระดากชะมัดเลย แล้วคนจะไปเรียนรู้เรื่องอะไรล่ะ”
เกรียงขัดขึ้น
“แหม! หมั่นไส้”
สุขุมยังพูดต่อว่า
“เวลานั่งเรียน เราก็รู้ว่าอาจารย์ที่มาปาฐกถาน่ะ ท่านไม่มานั่งเอาใจใส่เราเป็นตัวบุคคล เหมือนกับเวลาอยู่ที่โรงเรียน เพราะฉะนั้นเรามีหน้าที่ต้องนั่งเงียบๆ สนอกสนใจและฟังทุกถ้อยคำ ให้เข้าใจดีจริงๆ ไม่ใช่เสียเสียเวลาเปล่าๆ”
ณรงค์พูดว่า
“แต่จะเกก็ได้ไม่มีใครว่า ไม่มีใครนั่งคอยจดชื่อ แล้วก็หักคะแนน”
สุขุมดุขึ้นว่า
“ไฮ้”
“อยากจะวอนสอบตกซะเรื่อยนายนี่”
ณรงค์สวนขึ้นว่า
“ก็ให้นั่งฟังเป็นบ้าตายอยู่อย่างงั้น ก็ง่วงคาที่พอดีหละ”
“วันนึงๆ ก็เอาแต่ฟัง ไม่ต้องพูดต้องจางั้นรึ?”
สุขุมพูด
“แต่จะถามอาจารย์ก็ได้ ไม่มีใครเขาว่าหรอก”
ณรงค์ยิ้มแล้วพูดว่า
“เอ๊า….ยังกับเคยไปนั่งฟังเล็กเช่อร์มาแล้วแน่ะ คุณตา”
“จ้างให้เราก็ไม่กล้ายกมือถามอาจารย์ คนอื่นได้เขม่นตาย”
เกรียงพูด
“แต่เรากล้าแฮะ”
“เราถามบ่อยๆ คนเขาจะได้ทึ่งว่า เอ๊ะ…ไอ้หมอนี่มันใครกันนะ ถามฉะฉานดีจังเลย อาจารย์ก็จะพลอยรู้จักชื่อเราไปด้วย”
ณรงค์พูดขึ้นว่า
“ใครจะเขม่นไม่ว่า ขอให้ได้ชื่อเสียงก่อนเหอะ นายนี่”
“อย่างงี้ใครเขามีงานอะไร แผนกไหน คณะไหน นายเกรียงคงรีบเข้าไปช่วยหัวสั่นเชียวนะ”
เกรียงตอบอย่างไม่แยแส
“เออซี”
“อะไรก็ได้ ขอให้เราเป็นผู้มีประโยชน์และกว้างขวาง คนรู้จักแยะๆ เท่านั้นก็พอ”
สุขุมว่า
“ส่วนฉัน…อะไรก็ได้ ขอแต่ให้สอบไล่ปีสุดท้ายได้เกียรตินิยมเท่านั้นก็พอ”
ณรงค์พูดว่า
“เอ๊า…ฝันกันหญ่าย! ยังไม่มีใครรู้ว่าตัวสอบเข้าได้เลยซักคน”
ทั้งสามคนก็หัวเราะขึ้นมาพร้อมกัน
“แต่ก็ไม่มีผลร้ายอะไรในการฝันที่ดีๆ อย่างงี้นี่นา”
ที่มา: จากหนังสือเรื่อง มรรยาทงาม ของ ผกาวดี อุตตโมทย์