สิ่งที่ควรละเว้นเมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่น

คนไม่น้อยเลยที่มักวุ่นวายกับใบหน้าของตนเองจนเป็นนิสัย เราคงเคยเห็นคนที่ชอบถือผ้าเช็ดหน้าติดมือไว้เสมอ หรือเอาสิ่งที่ไม่ควรปฏิบัติเมื่ออยู่หน้าผู้อื่นมาใช้ เช่น การบีบสิว การเกา เป็นต้น ที่โต๊ะอาหารเราไม่ควรใช้ไม้จิ้มฟัน หรือตรวจดูว่ามีอะไรติดตามมุมปากหรือที่คางหรือไม่ เราต้องระลึกเสมอว่า ไม่มีใครอยากเห็นเรานั่งจิ้มฟันพร้อมกับพูดไปด้วย หรือเอากระจกขึ้นมาส่องดูหน้า หรือยิงฟันดูว่ามีเศษอาหารติดอยู่หรือไม่ ซึ่งสิ่งนี้จะต้องทำในที่ที่ไม่เป็นการเปิดเผย

ภัตตาคารจีนส่วนมากมักจะนำผ้าขนหนูชุบน้ำเย็นเหยาะโคโลจ์ญมาแจกก่อนและหลังอาหาร ท่านไม่นึกหรือว่าผ้าที่ดูขาวสะอาดกลิ่นหอมนี้ จะผ่านมือใครมาแล้วบ้าง ควรจะนำมาเช็ดที่หน้าของท่านหรือไม่

ความจริงแล้ว ผ้าขนหนูนั้น เขานำมาใช้เช็ดเหงื่อและผงที่อาจติดมือของท่านก่อนบริโภค การที่เอาผ้านั้นๆ มาเช็ดอาจเห็นได้จนชินตา และอดคิดไม่ได้ว่าผืนที่เรากำลังถืออยู่นั้น เคยผ่านมือเขามาบ้างแล้วหรือยัง

ผ้าเช็ดหน้า เป็นของใช้ ที่ควรนำออกมาใช้น้อยที่สุด ถ้าเป็นผืนที่ใช้แล้วเราควรหาไปสำรองอีกสักผืนหนึ่ง

หน้าของเรา ในตอนเย็นก่อนนอนควรชำระให้สะอาด การนำกระจกขึ้นมาส่องในเวลาอื่นจึงเป็นของไม่บังควร นอกจากมีเหตุจำเป็น เช่น มีมดเกาะอยู่บนเส้นผมและไม่มีใครปัดให้ ฯลฯ

การถ่มน้ำลายหรือขากเสลด ก็เป็นมารยาทอีกอย่างหนึ่งที่ไม่น่าดูเป็นอย่างยิ่ง เราอาจเห็นคนอื่นทำเช่นนั้น แต่ตัวเราเองก็ไม่ควรทำ

ถ้าลูกๆ ของท่านมีนิสัยชอบบ้วนและถ่มโดยไม่จำเป็น จากโรคภัย หรือโดยไม่มีสาเหตุ ก็ต้องหยุดการกระทำนั้นเสีย

ถ้าไม่ใช่เวลาเป็นหวัด จมูกกับมือของเราต้องไม่แตะกันเลย ถ้าต้องใช้ผ้าเช็ดหน้าสั่งน้ำมูกเมื่อเป็นหวัด ก็ไม่ควรนำผ้านั้นมาคลี่ดูเป็นอันขาด

การปฏิบัติต่อหน้าผู้อื่นด้วยการสั่ง บ้วน ถ่ม หรือขาก ถือเป็นการดูถูกผู้นั้นอย่างรุนแรง ควรหาที่มิดชิดที่สุดถ้าจำเป็นจริงๆ เมื่อเสร็จแล้วก็ไม่ต้องกล่าวขอโทษ เพราะจะเป็นการบ่งให้อีกคนหนึ่งสังเกตเข้าจนได้

ที่มา: จากหนังสือเรื่อง มรรยาทงาม ของ ผกาวดี อุตตโมทย์

การอยู่โดยลำพัง

ถ้าส่วนใหญ่ท่านอยู่โดยลำพังคนเดียว สิ่งที่อาจเกิดขึ้นได้คือนิสัยหรืออารมณ์ที่ขัดสายตาคนอื่น เพราะการระวังกิริยาท่าทางของคนที่อยู่โดดเดี่ยวไม่ค่อยจะมี

หลายคนเวลาเดินออกไปนอกห้องก็ทำปากขมุบขมิบไปเรื่อย พูดกับตัวเองจนเป็นนิสัย อารมณ์ค้างก็ยิ้มอยู่คนเดียว ผู้ที่พบเห็นและไม่รู้เรื่องที่ท่านคิดก็อาจมองเป็นอย่างอื่นไป แม้ต่อหน้าคนอื่นบางคนก็อดไม่ได้ที่จะบ่นกับตัวเองว่า
“เอ! มันหายไปไหนนะ? เดี๋ยวนึกก่อน อ้อ! แหละ เฮ้อ! คิดเสียเกือบตาย แหม! บ้าจัง ขี้หลงขี้ลืม”

จะไม่ค่อยมีการระวังบุคลิกภาพของตนนักในคนโสด หรือผู้ที่อยู่คนเดียว การแต่งกาย ผมเผ้า ก็ไม่ค่อยเรียบร้อย ชอบคิดว่าอยู่แต่ในบ้านใครจะมาเห็น เสื้อขาดก็ไม่ต้องซ่อมแซม โต๊ะนั่งที่สกปรกพรุ่งนี้ค่อยทำก็ได้ โต๊ะที่ไม่ปูผ้าปูโต๊ะก็กินข้าวได้เหมือนกัน

เมื่อคำว่าไม่เป็นไรมีมากเข้า จึงเป็นเหตุให้เกิดนิสัยเอาแต่ได้ทุกอย่างไป บ้านช่องจะรกรุงรังก็ไม่สนใจ เพราะถือว่าไม่มีใครเห็น ไม่สนใจรูปร่างหน้าตาตัวเอง เพราะไม่คิดว่าแขกจะมาหา จนกลายเป็นนิสัยที่เกาะแน่นและแยกจากความไม่เป็นระเบียบไม่ออกไปจนตาย

การร่วมโต๊ะรับประทานอาหารของผู้ที่อยู่คนเดียว มักเข้าสังคมอย่างฝืนใจ เพราะถ้าอยู่บ้านอยากทำอะไรก็ได้ไม่ต้องอายใคร ไม่มีใครคอยสังเกตว่าจะทำอะไร แต่มันไม่ได้ช่วยในการฝึกหัดให้มารยาทโต๊ะดีขึ้นเลย

ถ้ามารยาทโต๊ะถูกมองข้ามไป หรือเสื้อผ้าผมเผ้าไม่เป็นระเบียบเรียบร้อยเหมาะแก่กาลเทศะ ท่านก็อาจเสียหน้าได้ ถ้าได้รับเชิญไปในงานเลี้ยงอย่างเป็นทางการ

ท่านอาจไม่เอาใจใส่กับรูปร่างหน้าตามากนักเพราะคิดว่า คงไม่มีใครสังเกต แต่บางครั้งถ้าท่านอยากให้คนอื่นสนใจหรือชมเชยบ้าง แต่สุภาพสตรีก็ไม่ควรหยิบแป้งหรือกระจกมาส่องหน้าแตะแป้ง หรือทาลิปสติกต่อหน้าผู้อื่น หากจะทำก็ต้องขอตัวลุกไปห้องน้ำ หรือไม่ที่ไม่ใช่ต่อหน้าคน แม้จะเป็นคนในครอบครัวก็ตาม

การเอาใจใส่ต่อตนเองก็เป็นของดีอยู่ แต่ก็ต้องอยู่ในขอบเขตที่พอเหมาะ สุภาพบุรุษที่ต้องการหวีผมก็ต้องออกไปจากที่ที่มีคนอยู่ก่อน

อาจทำให้เกิดการ เบื่อคน หรือ กลัวคน หากอยู่โดยลำพังจนเคยชิน จำเป็นต้องอดทนโดยไม่แสดงกิริยาออกมาให้เขาทราบหากมีการปราศรัยกับใคร ต้องได้รับการแก้ไขหากมีการอายโดยไม่มีเหตุผล ให้คิดเสียว่าเขาก็แค่มาคุยให้เราฟัง ไม่สามารถมาทำอะไรเราได้ ถ้าคุยกับเขาไม่รู้เรื่องก็เงียบเสีย หรือพยักพเยิดไปตามเรื่องเพื่อเป็นทางออกที่ดี หากเรารู้ดีกว่าเขาก็ไม่ควรขัด ควรฟังว่าเขาพูดอะไร เพราะถ้าเขาถามขึ้นก็จะได้ตอบได้ถูก

เป็นบางโอกาสเท่านั้นที่สถานการณ์อาจบีบบังคับให้ท่านต้องอยู่ลำพัง เราอยู่ในโลกเพียงลำพังไม่ได้ โลกนี้กว้างขวางนัก ไม่ควรทำให้ใจคอของเราแคบจนเกินไป และการเป็นมิตรกับคนก็ยังต้องเป็นไปอีกมากมาย

ที่มา: จากหนังสือเรื่อง มรรยาทงาม ของ ผกาวดี อุตตโมทย์

ประสบการณ์

เด็กหนุ่มในเครื่องแบบนักเรียนคนหนึ่ง กำลังจดๆ จ้องๆ จะข้ามถนน เขายืนรอบนทางเท้าตรงข้ามกับทางม้าลาย รอให้ว่างจากยวดยานพาหนะที่คับคั่งเป็นอันมากอยู่ แต่ก็ยังข้ามไม่ได้อยู่ดี

ศักดากล่าวขึ้นว่า
“ว้า! ไม่รู้ไอ้ทางม้าลายนี่จะมีเอาไว้ทำไม ไม่เห็นมีรถจอดให้เราข้ามสักทีเลย เดี๋ยวข้ามกันเหอะ เอ้า แล้วไปยืนอยู่กลางถนนก่อนก็ได้นี่นา”

วุฒก็เอ่ยขึ้นว่า
“ไม่ได้หรอกเดี๋ยวก็โดนรถทับตาย”
“ดูแต่ละคนซิ โฉบไปโฉบมายังกะใส่ปีกเหาะ โดนเข้าก็แบนเท่านั้นเอง”

อีกคนจึงพูดขึ้นว่า
“ถ้าตำรวจอยู่แถวนี้ พวกนี้ก็ไม่กล้า”

“ฮื่อ! ใช่ซี ได้ถูกจับถูกปรับแย่ บางถนนใหญ่ๆ จราจรเขาเอาป้ายสีดำติดไฟเป็นรูปคนข้ามถนนให้ดูด้วยนะ พอไฟเปิดปั๊บ รถคันไหนไม่ยอมหยุดก็โดนละ”

ทุกคนพากันเดินข้ามอย่างโล่งอก เมื่อรถน้อยลง และคันที่วิ่งช้าก็หยุดที่ทางม้าลายให้ ทุกคนมุ่งไปซื้ออาหารกลางวันรับประทาน วุฒิเหลือบไปมองที่ถนนแล้วร้องว่า “โอ๊ย!”

เสียงรถเบรกจนทุกคนต้องหันไปมอง เด็กชายที่แต่งกายขะมุกขะมอมคนหนึ่งล้มกลิ้งไปบนถนน กระจาดพวงมาลัยดอกมะลิที่นำมาขายก็กระเด็นไปอีกทางหนึ่ง เด็กคนนั้นนอนนิ่งอยู่ไม่ยอมลุกเขาคงจะเจ็บมาก คนขับเดินลงมาจากรถด้วยท่าทางว่าจะโมโหจัด คนก็มามุงดูเต็มไปหมด การจราจรติดขัด เสียงบีบแตรรถดังสนั่น มีชายแต่งตัวภูมิฐานคนหนึ่งตะโกนออกมาว่า
“เฮ้ย! นั่นมันจะหยุดรออะไรที่ทางม้าลายของมันวะ? ไอ้เรายิ่งจะรีบ” แล้วเขาก็กดแตรเสียงดังลั่น

อีกคนหนึ่งแต่งกายธรรมดาๆ นั่งรถเก่ามาก ลงมาจากรถทันที แล้วพูดว่า
“คุณ! จะยังมัวยืนทำไมอยู่ล่ะ? เด็กนี่เจ็บมาก หัวเขาฟากกับถนนแรงมากจนไม่ได้สติ คุณพาเขาไปส่งโรงพยาบาลซี”

คนที่ขับรถชนเด็กก็ตอบอย่างโมโหว่า
“ไอ้เด็กนี่มันช่างเซ่อบรม ผมจะไปจอดทำไมในเมื่อไฟมันเขียว เห็นอยู่ทนโท่? ทางม้าลายก็ม้าลายซี ไฟเขียวใครเขาอุตริข้ามล่ะ?”

อีกฝ่ายก็ตอบว่า
“แล้วคุณจะมายืนดูจนเด็กตายงั้นเรอะ?”
“คุณไม่พาไป ผมพาไปเองนะ ผมจดเบอร์รถคุณไว้แล้วด้วย”

คนผิดกลับย้อนถามว่า
“คุณเป็นพ่อเด็กหรือไงนะ?”

ชายคนนั้นตอบว่า
“ผมไม่ใช่ญาติกับเด็กหรอก แต่ผมเป็นคน”
แล้วเขาก็อุ้มเด็กคนนั้นขึ้น โดยไม่รังเกียจความสกปรกเลย และมีตำรวจนายหนึ่งมาพอดี เมื่อตำรวจพยักหน้าให้ชายใจดี เขาก็อุ้มเด็กขึ้นรถของเขา รีบนำเด็กไปส่งโรงพยาบาลทันที ส่วนตำรวจก็จับกุมชายคนที่ผิดไปที่โรงพัก

วราพูดอย่างเศร้าๆ ว่า
“อือม์! น่าสงสารเด็กจัง จนแล้วยังเคราะห์ร้ายอีก”
“ใครจะไปรู้ว่าวันหนึ่งเราก็อาจเป็นเหยื่อรถมหาภัยพวกนี้ได้ง่ายๆ”

ศักดาพูดว่า
“สมัยนี้เขาก็ลงโทษกันหนักๆ แต่คนไม่ยักกลัวแฮะ”
“อย่างงี้น่ากลัวต้องเพิ่มโทษ ตอกเล็บ บีบขมับให้กลัวกันซะมั่ง”

สมมาตรเถียงขึ้นทันทีว่า
“เฮ่ย ได้นั้นมันสมัยเก่า”
“สมัยนี้อะไรๆ ก็ตะร่าง จนแน่นตะรางแล้ว คนยังไม่กลัวความผิด เห็นมีแต่เรื่องลงข่าวหนังสือพิมพ์ อ่านแล้วยังอดเสียวแทนไม่ได้นะ”

สายตาของวุฒิเมื่อเงยจากชามก๋วยเตี๋ยว ก็ได้เห็นชายรุ่นหนุ่มกลุ่มหนึ่งที่แต่งกายประหลาดมาก บางคนสวมสร้อยติดคอหอยห้อยเหรียญกลมๆ เอาไว้ตรงใต้คางน่ารำคาญตา เสื้อสีสดฉูดฉาด ลวดลายดอกไม้เหมือนเสื้อผู้หญิง ปล่อยชายยาว พับแขนสั้นเหนือต้นแขน แบะคอเสื้อจนน่าเกลียด สวมสร้อยข้อมือที่เป็นแผ่นโลหะ สลักคำขวัญที่ตนชอบ หรือชื่อตัวเอง แม้อากาศร้อนแต่ทุกคนก็สวมรองเท้าบู๊ตส้นสูงกัน

คนที่คาบบุหรี่ตรงมุมปากส่งเสียงดังลั่นร้านว่า
“เฮ้ยตี๋ ไม่รู้จักพ่อเสียแล้วรึ ไอ้ลูกชาย?”

นายตี๋ก็รีบเข้ามารับรอง อีกคนก็ตะโกนสั่งเสียงดังว่า
“เอาเบียร์มาหลายๆ ขวด เย็นเจี๊ยบนะ”
“แล้วเอายำหอยแครง ลาบเนื้อเผ็ดๆ หน่อย กับพะแนงไก่มาด้วย”

ทุกคนวางท่าเหมือนเป็นลูกเศรษฐี เมื่ออาหารถูกนำมาตั้ง ทุกคนก็กินกันอย่างมูมมาม พูดไปกินไป เมื่อวุฒิกับเพื่อนๆ จะลุกขึ้น ก็มีคนหนึ่งตะโกนขึ้นว่า
“เฮ้ย! ดูไอ้พวกนักเรียนหนีเที่ยวแน่ะเว้ย”

อีกคนเสริมขึ้นว่า
“เออจริงว่ะ…นึกว่าลูกหมาซะอีก” ทุกคนในกลุ่มนั้นหัวเราะกันดังลั่น

ศักดาฮึดฮัดขึ้นทันที
“เดี๋ยวพ่อ…” แต่วุฒิก็ดึงแขนเขาออกมาเสียก่อน

วุฒิเตือนศักดาว่า
“สู้กับคนพาลไม่มีเกียรติหรอก”
“ดีไม่ดีเราเลยจะกลายเป็นอันธพาลไปด้วย ไปกันดีกว่า”

เขาจึงชวนกันเดินดูสินค้าต่อไป แล้ววุฒิร้องร้องขึ้นว่า
“ดูนั่น!”

ทุกคนมองตามมือวุฒิ หลังตึกแถวขายสินค้าที่พวกเขาเดินชมอยู่ มีกลุ่มควันไฟสีแดงกำลังพวยพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ควันดำมืดได้ม้วนตัวขึ้นสู่ท้องฟ้าในพริบตาเดียว เสียงคนเอะอะไปทั่ว ชาวจีนจำนวนมากวิ่งออกมาจากตรอกแคบๆ ที่เป็นต้นเพลิง ทุกคนมีข้าวของติดไม้ติดมือมาไม่มาก บางคนก็แบกตู้มาทั้งใบทั้งที่มันชำรุดแล้ว ความตกใจสุดขีดทำให้เขาขาดสติ บางคนก็อุ้มลูกจูงหลานร้องโวยวายให้คนช่วย ทุกอย่างชุลมุนวุ่นวาย ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร

ศักดาพูดบอกเพื่อนๆ
“ไอ้พวกนั้นตามเรามาอีกแล้ว!”
“น่ากลัวมันจะหมั่นไส้เรามากแฮะ”

ศักดาเตรียมตัวเต็มที่เพื่อรับสถานการณ์ แต่ต้องแปลกใจ เมื่อวัยรุ่นกลุ่มนั้นกลับวิ่งไปทางที่เกิดเหตุไฟไหม้โดยไม่สนใจใครเลย

ศักดาพูดขึ้นว่า
“เขาคงไปช่วยพวกโดนไฟไหม้กัน”
“พวกเราว่าไง? ไปช่วยขนของดีไหม?”

วุฒิสั่นหัวและพูดว่า
“อย่าเลย ไม่ใช่เพราะเราเห็นแก่ตัวนะ แต่นั่นพวกดับเพลิงเขามากันแล้ว ตำรวจด้วย เราถอยหลีกทางให้เขาดีกว่า อย่าเกะกะเขาเลย ยิ่งจะทำให้เขาช้า”

ทุกคนเห็นด้วยกับวุฒิ เพราะอาจช่วยได้น้อยมาก และยังจะเกะกะทางเสียมากกว่า จึงพากันออกไป

เสียงตำรวจดังขึ้นว่า
“หยุดนะ!”
ทุกคนต้องหันไปดู ก็พบว่าหนุ่มวัยรุ่นที่แต่งกายแปลกๆ กลุ่มเดิม กำลังวิ่งหนี ในมือบางคนมีของมีค่า บางคนขยุ้มธนบัตรไว้เป็นปึกๆ วิ่งกันอย่างไม่คิดชีวิต

ศักดาก็พูดขึ้นก่อนจะวิ่งกวดไป แล้วทุกคนก็วิ่งตาม
“เอาละ! ตอนนี้ฉันไม่ฟังนายละวุฒิ ฉันช่วยโปลิศจับขโมยดีกว่า”

ที่ตรอกตันแห่งหนึ่งวัยรุ่นกลุ่มนั้นก็จนมุม ตำรวจจับใส่กุญแจมือ แล้วเอาของที่ขโมยไปกลับคืน

ตำรวจพูดว่า
“พวกเรานี่ นักฉวยโอกาสจริงนะ”
“ไป….ไปโรงพัก แล้วจะไปแก้ตัวอะไรค่อยเอากันที่นั่น”

ตำรวจหันมาพูดกับวุฒิ ศักดา และวรา อย่างสุภาพว่า
“ขอบใจพวกคุณมาก คุณกล้าหาญจริงๆ และก็โชคดีที่พวกนี้ไม่ได้พกอาวุธ! วันนี้คุณทำตัวเป็นประโยชน์อย่างน่าภาคภูมิที่สุด”

เด็กหนุ่มทุกคนได้ประสบการณ์ที่ประทับใจไปอีกนาน แทบจะเหลือเชื่อว่าทุกอย่างผ่านไปในวันเดียวเท่านั้นเอง

ที่มา: จากหนังสือเรื่อง มรรยาทงาม ของ ผกาวดี อุตตโมทย์

ข้อคิดจากวันปิดภาคเรียน

ในระหว่างปิดภาคหน้าร้อนของโรงเรียน ในกรุงอากาศอบอ้าวจนแทบจะทนไม่ได้ ครอบครัวของวิมลจึงคิดว่าจะไปพักผ่อนกับญาติที่ต่างจังหวัด ทุกคนก็เตรียมจัดกระเป๋าของตัวเอง คุณแม่ของเธอกำชับว่า อย่าเอาเสื้อผ้าไปหลายชุดนัก เพราะต้องเผื่อที่สำหรับสัมภาระอื่นด้วย และบอกว่า
“เดินทางไปอย่างนี้ ฝุ่นสกปรกมาก แม่อยากให้ลูกเอาเสื้อเชิ้ต หรือเสื้อหลวมๆ ที่ใส่สบาย เลือกเอาพวกผ้าดอก ผ้าริ้ว หรือผ้าที่สีไม่อ่อนนักนะ อ้อ! เอาสีกางเกงที่มันใส่สกปรกเก่งดีกว่าจ้ะ สีน้ำเงินหรือสีน้ำตาลเทา หรือสีฟางก็ได้ เวลาเปรอะเปื้อนจะได้มองไม่ค่อยเห็น เราอาจไม่ใคร่มีเวลาซักรีด ลูกควรหาเสื้อผ้าสีกลมกลืนกัน จะได้สับเปลี่ยนใส่ตัวนั้นตัวนี้ได้ ไม่ต้องหอบเอาไปหลายชุดนัก”

วิมลจัดกางเกงและผ้าถุงไป ส่วนเสื้อผ้าเป็นชุดจัดไปชุดเดียวเผื่อมีงานเลี้ยง หรืองานที่ต้องใส่กระโปรง สีของเสื้อผ้าก็เลือกตัวที่มีไม่เกินสามสีเพื่อจะได้ใส่ผลัดเปลี่ยนกับรองเท้าและของประกอบอื่นๆ ได้ เสื้อผ้าก็เป็นแบบไม่ยับง่าย และใส่ซ้ำได้

แม่ของวิมลบอกว่า
“เราไปอยู่บ้านใคร ควรจะเกรงใจเจ้าของบ้านเขาให้มาก อะไรที่ไม่ควรรบกวนเขาก็พยายามละเว้นเสีย นอกจากจำเป็นจริงๆ ถ้าช่วยอะไรได้ก็ควรช่วย เพราะบ้านอื่นอาจไม่มีคนบริบูรณ์อย่างบ้านของเรา”

คุณแม่ทราบว่าที่บ้านญาติมีลูกเล็กๆ จึงได้หาของเล่นไปฝาก และมีของฝากเจ้าของบ้านเสมอ ท่านพูดว่า
“นี่แหละเป็นการแสดงน้ำใจอันดี
“แต่ถ้าเราเผอิญไปพบคนอื่นที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนและไม่มีของฝาก ก็ควรเขียนจดหมายขอบใจเขา หรือไม่ก็ส่งของตอบแทนไปให้ภายหลังให้พอดูและเหมาะสม แม่ไม่อยากให้ลูกๆ ไปอยู่กับเขาโดยถือเสียว่า เป็นญาติกันก็ต้องรับรองกัน เพราะนั่นไม่ใช่หน้าที่ของเขาหรอก การที่เขารับรองอย่างดี ก็เพราะน้ำใจไมตรีที่เรามีต่อกันนั่นเอง”

คุณแม่หาถุงพลาสติคใส่ผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กๆ ไปให้วิมลหลายผืน เนื่องจากวิมลกำลังเป็นหวัด และที่บ้านนั้นอาจไม่สะดวกเรื่องน้ำ และอาจไม่มีเวลาที่จะซักได้ทัน จึงไม่ทำให้เสื้อผ้าอื่นสกปรกเมื่อต้องใส่รวมกันในกระเป๋า ให้เตรียมผ้าเช็ดตัว และเสื้อคลุมหลวมๆ สำหรับตัวเองไปด้วย แม่ของวิมลให้เหตุผลว่า
“จะได้ดูดีและสะอาดตา เผื่อว่าลูกๆ จะต้องไปอยู่กับญาติ จะได้มองไม่รุ่มร่ามน่าเกลียด ส่วนใครที่ไม่มีเสื้อคลุมอาบน้ำ ก็เอาผ้าถุงไปอีกผืนหนึ่งไว้เปลี่ยนเวลาอาบน้ำด้วยจ้ะ”

ของจำเป็นอย่างอื่นที่ต้องติดตัวไปด้วย ก็เอาขนาดที่พอดี เช่น สบู่ กระจก ขันเล็กๆ แปรงสีฟัน หวี แป้งผัดหน้า ด้าย เข็ม กรรไกร มีดพับ ฯลฯ และคุณแม่ของวิมลก็ไม่ลืมที่จะเอายาที่รับประทานประจำไปด้วย

ตอนกลางคืนที่ทางภาคเหนืออากาศค่อนข้างเย็น คุณแม่ของวิมลได้เตรียมเสื้อกันหนาวบางๆ ให้เธอตัวหนึ่ง ทุกคนมีผ้าแพรคลุมผมติดตัวไปใช้เมื่อเวลาต้องเดินทางโดยรถจิ๊บที่ต้องโดนลมแรง ซึ่งตลอดเวลาที่อยู่ที่นั่นเสื้อกันหนาวกับแพรคลุมผมนับว่ามีประโยชน์มาก

วิไลพี่สาวคนโตพูดขึ้นว่า
“แหม! คุณแม่คะ หนูดีใจจังเลยที่เอารองเท้าส้นเตี้ยมา ไม่ยังงั้นละก็ หนูท่าจะเจ็บเท้าแย่ทีเดียว ถ้าเผื่อเอารองเท้าส้นสูงๆ มา”

คุณแม่ตอบว่า
“นั่นน่ะซี”
“รองเท้าที่เอาไปต่างจังหวัดด้วยน่ะ ควรจะเลือกสีแก่ๆ เช่น สีดำ น้ำตาล น้ำตาลแก่ น้ำเงินแก่ เขียวแก่ หรือแดง เพราะจะได้สวมได้กับเสื้อผ้าทุกชุดของลูก รองเท้าแตะของลูกๆ เอามากันทุกคนใช่ไหมจ๊ะ? อ้อ! แม่หวังว่าทุกคนคงจัดรองเท้าอย่างเรียบร้อยไม่ให้เสื้อผ้าพลอยสกปรกไปด้วยนะจ๊ะ?”

ทุกคนตอบว่าได้เอารองเท้าห่อกระดาษไว้แล้วต่างหาก ส่วนวิมลได้เย็บถุงผ้าดิบใส่รองเท้าของเธออีกด้วย เธอได้รับคำชมจากคุณแม่ว่าเป็นคนเรียบร้อยดีมาก

กระเป๋าที่คุณแม่เลือกใช้ ก็มีขนาดไม่ใหญ่นักเพื่อความสะดวกในหลายๆ อย่าง เช่น เก็บเข้าที่ก็ง่าย สามารถยกได้เองโดยไม่ต้องให้คนอื่นช่วย คุณแม่เขียนป้ายชื่อผูกติดกับกระเป๋าทุกใบเพื่อกันหายเมื่อมีการขนย้าย และสั่งให้ลูกทุกคนใส่กุญแจกระเป๋าให้เรียบร้อย

ในเรื่องการรักษาเวลา เด็กทุกคนได้รับการอบรมมาดีแล้ว จึงไม่มีใครตื่นสาย หรือชักช้าเรื่องรับประทานอาหาร เมื่อไปพักที่บ้านญาติ เพื่อให้การทำอาหารเสร็จโดยเร็วและเป็นการแบ่งเบาภาระเจ้าของบ้าน ทุกคนจะตื่นเช้าและช่วยกันคนละไม้ละมือ คุณแม่สอนว่า

“ถ้าเรากะโครงการกันว่าจะไปไหน แม่ก็ต้องการให้ลูกทุกคนเตรียมตัวคอยผู้ใหญ่ให้เสร็จพร้อม ไม่ใช่ให้ผู้ใหญ่คอยลูก การไปไหนมาไหนกับผู้ใหญ่ต้องรักษาเวลาให้ตรง ถ้าไปกันกับเด็กๆ เสียอีก เรื่องนี้ยังไม่ค่อยสำคัญ”

“ทุกคนต้องช่วยตัวเองกันให้ได้ อย่าทำให้ผู้ใหญ่ต้องคอยกังวลเป็นห่วงเป็นใยเรา เผื่อท่านจะให้ทำอะไรก็จงเต็มใจรับใช้ อย่าหลบหน้าไปอยู่เสียห่างๆ เพราะความขี้เกียจรับใช้ท่าน ลูกของแม่ก็มาด้วยกันหลายคน แม่อยากให้ผลัดกันคอยรับใช้คุณป้า อย่าหลบหน้าหายตัวไปพร้อมๆ กันหมด”

แทนที่คุณป้าจะรู้สึกหนักใจที่ต้องมีหลานมาอยู่ด้วยหลายคน แต่ท่านกลับเบาใจไปมาก เพราะคุณแม่สั่งให้ทุกคนแบ่งหน้าที่กันทำ

เด็กทุกคนเป็นผู้มีมารยาทดี ไม่เห็นแก่สนุก ทุกคนประพฤติตัวเรียบร้อยเหมาะกับกาลเทศะ ทั้งเวลาที่อยู่กับบ้านหรือออกไปท่องเที่ยวข้างนอกกับคุณป้า ทุกคนได้ความรู้และเพลิดเพลินเพิ่มขึ้นจากการที่คุณป้าได้เล่าเรื่องพื้นเมืองสนุกๆ ให้ฟัง

เมื่อออกไปเที่ยวข้างนอก เผื่อว่าคุณป้าต้องการใช้สอย วิมลกับวิไลก็จะคอยช่วยกันดูแลอยู่เสมอ ทำให้คุณป้าเอ็นดูหลานๆ เพิ่มขึ้นอีกมาก

คุณป้าและครอบครัวของท่านเบาใจ แม้ว่าจะจัดการเลี้ยงพระขึ้นในขณะที่เด็กๆ อยู่ที่นั่น การที่ได้อบรมมาเป็นอย่างดีทำให้คุณป้าแน่ใจว่าทุกอย่างจะดำเนินไปได้ด้วยดี ท่านพูดว่า
“เราอยู่ต่างจังหวัดก็สะดวกดีจ้ะ”
“บ้านโน้นทำอย่างหนึ่งมาช่วย บ้านนี้ทำมาช่วยอีกอย่าง งานก็เสร็จไปได้อย่างสบาย”

คุณป้าจัดรายการอาหารไว้แต่เนิ่นๆ พยายามเลือกอาหารที่ท่านทำแล้วอร่อย เป็นแม่บ้านที่มีความรอบคอบมาก ท่านพูดว่า
“ไอ้อาหารชื่อเสียงแปลกๆ เพราะๆ น่ะ เราไม่เคยทำ ถ้าไปทำเข้าอาจจะออกรสชาติพิกล กลายเป็นบาปไปเปล่าๆ แทนที่จะได้บุญ ป้าจึงไม่เคยเลี้ยงพระ หรือเลี้ยงแขกด้วยอาหารที่ป้าไม่เคยลองทำมาเลย แต่ต้องแน่ใจว่ารสดีเท่านั้น”

พอถึงวันเลี้ยงพระเพล มีหญิงเพื่อนบ้านคนหนึ่งอาสาออกไปจ่ายกับข้าว กระเดียดกระจาดเข้ามาแต่เช้าตรู่ มีกุ้ง หมู ปู ปลา และผักนานาชนิดพร้อมสรรพ อีกคนก็ช่วยขูดปลาไว้ทำลูกชิ้น อีกคนหั่นผัก เด็กๆ ก็ช่วยกันปอกผลไม้ อีกคนก็ช่วยทำไก่และปลา หั่นหมูหั่นเนื้อไว้ทำแกง ทุกคนก็ทำกันไปคุยกันไป เมื่อเวลาสิบนาฬิกาทุกอย่างก็เสร็จ มีกับข้าวและของหวานมากมาย เสร็จจากเลี้ยงพระแล้วก็ยังมีพอตักแจกจ่ายไปตามบ้านต่างๆ อีกด้วย

วิมลเป็นโรคผิวหนังชนิดหนึ่งที่รักษาไม่หาย หญิงเพื่อนบ้านคนหนึ่งก็พาไปหาหมอที่เธอรู้จัก แพทย์จ่ายยาให้ และแทบทุกวันจะต้องมาติดตามดูอาการของแผลไม่ขาด ทำให้วิมลรู้สึกตื้นตันมาก คิดว่าคนต่างจังหวัดมีจิตใจดีและเอื้อเฟื้อกว่าคนกรุงแน่นอน แต่ถ้าไม่มีความสามัคคีกันไม่ว่าจะเป็นจังหวัดไหน ก็คงหาความสงบสุขไม่ได้เช่นกัน

วิมลรู้สึกเสียใจและรำคาญตา เมื่อไปเที่ยวน้ำตกขึ้นชื่อในจังหวัดแห่งหนึ่ง เพราะก้อนหินที่สวยงามบริเวณน้ำตกถูกสลักชื่อ และเปรอะเปื้อนไปด้วยสี รอยขูดขีดด้วยของมีคม และคิดว่าต่อไปอีกไม่นานก็คงมีชื่อสลักเต็มไปหมด คงหาก้อนหินสวยๆ ดูได้ยากเต็มที ป่าไม้สวยๆ ก็คงไม่มีเหลือให้ดูกันอีกต่อไป

คนที่เล่นน้ำตกสบายใจแล้ว ก็มักมานั่งกินอาหารตามก้อนหินใหญ่ กินเสร็จก็ทิ้งขยะเลอะเทอะไปหมด แม้จะมีถังขยะอยู่ใกล้ๆ แต่ทุกคนก็ไม่ได้จัดการให้เรียบร้อย

เมื่อโรงเรียนใกล้เปิดภาคเรียน วิไล วิมล และน้องๆ ก็ลาคุณป้ากลับ คุณป้าบอกกับเด็กเหล่านี้ว่า
“หยุดเทอมหน้ามากันใหม่ทุกคนนะจ๊ะ”

ที่มา: จากหนังสือเรื่อง มรรยาทงาม ของ ผกาวดี อุตตโมทย์

เตรียมตัวเป็นนิสิตใหม่

“เฮอ…โล่งใจจริง จบจากโรงเรียนเสียที เราจะได้พบกับชีวิตอิสระที่มหาวิทยาลัยกันละ”

“ฉันไม่ยักคิดอย่างงั้น ฉันว่าอยู่โรงเรียนสิดี มีครูบาอาจารย์สอนสั่งอย่างใกล้ชิด แล้วก็จ้ำจี้จ้ำไชเรื่องการบ้านกับไอ้เรื่องท่องหนังสือ จนแทบไม่ได้กระดิกเนื้อกระดิกตัวไปข้างไหนทีเดียว”

“แต่เข้ามหาวิทยาลัยแล้วยิ่งดีไปกว่า เพราะเราต้องพึ่งตัวเราเอง เราต้องเป็นผู้ใหญ่ และถ้าเรารักดีเราก็จะได้ผลสำเร็จเวลาสอบ ถ้าเราไม่รักดีเราก็สอบตกเอง ไม่ต้องโทษใคร”

สามสหายกำลังตื่นเต้นรอฟังผลการสอบเข้ามหาวิทยาลัย เสียงแรกเป็นเด็กหนุ่มที่หน้าตาดูแจ่มใส ร่าเริงตลอดเวลา แต่แฝงไปด้วยอารมณ์ช่างเล่นและคึกคะนอง

คนถัดมาเป็นคนเคร่งขรึม สนทนาด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ แววตาสงบนิ่ง แต่เต็มไปด้วยความช่างคิด

ส่วนคนที่สามใบหน้าจะแฝงไปด้วยรอยยิ้มเสมอ พูดจาสนุกขำขัน น่าคบ

สุขุมพูดขึ้นว่า
“ไอ้การเข้ามหาวิทยาลัยสำหรับพวกรุ่นเรานี่ มันเหมือนเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือเลยนะ จากชีวิตที่โรงเรียน มีอาจารย์คอยจับตาดูความประพฤติ เคี่ยวเข็ญให้ขยัน ไปสู่การตัดสินใจด้วยตัวเอง ตามทางที่เราอยากจะไป แบบผู้ใหญ่แท้ๆ ตามที่เกรียงว่าไม่ผิด”

เกรียงพูดเสริมขึ้นว่า
“ใช่สิ เราต่างคนต่างก็ควรตั้งใจไว้แต่แรกเลยว่า พอได้เข้าไปแล้วจะทำตัวยังไง สุขุมคงจะเอาแต่เรียนใช่ไหมล่ะ? ส่วนฉันน่ะเรอะ…ทั้งเล่นและเรียนแหละ”

เกรียงพูดอย่างมันใจตัวเอง เพราะเขาไม่เคยสอบตกแม้จะเรียนๆ เล่นๆ เขาเป็นคนรู้จักแบ่งเวลา

“แต่ฉันอยากจะเป็นคนกว้างขวางในกลุ่มนักศึกษาน่ะแหละมาก ฉันว่าพวกหนอนหนังสือดีแต่สอบได้เก่งๆ แต่คนชอบน้อย คนกว้างขวางต่างหากที่เพื่อนแยะ”

คนที่ชอบสนุกอย่างณรงค์หัวเราะและพูดขึ้นว่า
“เกรียงมีวิธีอะไรล่ะ ที่จะทำตัวให้กว้างขวาง หรือเป็นความลับ?”

เกรียงยิ้มแล้วพูดว่า
“ความลับอย่างนี้ คนทั้งโลกคงเดาได้”
“เขาว่า เราจะให้คนเขาชอบเรา เราก็ต้องผูกมิตรกับเขาน่ะซี ไอ้การผูกมิตรง่ายๆ ก็คือ รู้จักใจเขาใจเรา เมื่อฉันอยู่โรงเรียน เพื่อนชอบฉันเพราะอะไร? ฉันได้ตำแหน่งหัวหน้านักเรียนเพราะอะไร? ก็เพราะใครๆ ก็รู้จักฉัน ชอบฉัน และไม่มีใครเถียงใช่ไหมว่า ฉันไม่เคยเห็นแก่ตัวเลย ถ้าเพื่อนทุกข์ ฉันทุกข์ด้วย เพื่อนสุข ฉันยินดีด้วย คิดถึงอกเขาอกเราแล้ว คนจะเกลียดเราก็น้อยลงละ”

สุขุมพูดขึ้นว่า
“งั้นเราก็ไม่ต้องอยู่เพื่อตัวเราเองซินะ”
เพื่อนของสุขุมคือหนังสือ คนที่เป็นเพื่อนเขามีน้อย จะมีก็แต่คนที่เรียนอ่อนที่อยากให้เขากวดวิชาให้เท่านั้น
“ส่วนฉันน่ะ มัวแต่นึกถึงว่าตัวเองจะสอบได้ที่หนึ่งอีกหรือเปล่าก็กลุ้มพอแล้ว ไม่ต้องไปทุกข์เพื่อคนอื่นหรอกเพื่อน!”

เกรียงพูดฟังคล้ายล้อเลียนว่า
“ก็นั่นน่ะซี สุขุมถึงได้เพื่อนน้อยนัก”
“จะบอกให้ ถ้าคนเรามัวแต่กลัวว่าเราจะไม่ได้ดี เราจะเป็นยังไง ความหวังของเราจะเป็นยังไง คนอื่นทำไมก็ช่างละก็ รับรองไม่มีความสุขจริงหรอก”

ณรงค์พูดเสริมอีกคนว่า
“เขาว่าคนฉลาดมากๆ น่ะ ไม่กว้างขวางนะ”
“ใครจะมาคบกับสุขุม ก็โดนความฉลาดของสุขุมเสียจนเบื่อไปเลย จริงไหม? อย่างพี่สาวของฉันยังงี้ พอคุยกับสุขุมแผล็บเดียว พี่บอกเลยว่า กลัววิชาจังเลย ขนาดพี่มีความรู้รอบตัวแยะ ยังบอกว่ากลัว แล้วเราจะว่ายังไงล่ะ!”

สุขุมแก้ตัว
“แหม! ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกน่า ถึงฉันจะอ่านหนังสือแยะ ฉันก็ไม่เคยไปคุยทับถมพี่สาวณรงค์ซักหน่อย

เกรียงรีบพูดขึ้นว่า
“วิสัยของคนเก่งจริง ต้องไม่ทับถมคนอื่น ใช่สิ”
“อย่าโกรธน่าสุขุม กินน้ำเสียซิ จะได้หายโมโห”

“ฉันก็เห็นด้วย ยิ่งเวลาที่เราเข้าไปอยู่ในหมู่คนมากๆ ทั้งชายทั้งหญิง อย่างในมหาวิทยาลัยละก็ ขืนไปเที่ยวคุยทับถมคนโน้นคนนี้ละ โดนเขาเขม่นตาย”

ณรงค์รู้ตัวว่าเขาเป็นคนหน้าตาดี จึงพูดอย่างโอ่ๆ ว่า
“ไอ้เรื่องจะเขม่นหรือไม่เขม่นน่ะ มันอยู่ที่หน้าตาด้วยนา”
“คนหล่อๆ สาวสวยๆ จะทำเบ่งยังไงก็ไม่ใคร่โดนเขม่นหรอก”

สุขุมเถียงขึ้นทันทีว่า
“ไม่จริง”
“ฉันว่าสวยยังไม่สู้บุคลิกคนบุคลิกดีๆ พูดจามีสาระ แต่งตัวสะอาด ผมเรียบ รองเท้าเป็นมัน อย่างนี้แหละที่ใครๆ สังเกตแล้วก็จะต้องติดใจ”

ณรงค์หัวเราะเสียงดังแล้วพูดยั่วว่า
“แหม! คุณตาของเราจะปล่อยแก่ปีนี้ละมั้ง?”
“ฉันคงเห็นนายสุขุมแต่งตัวโก้เป็นบ้าไปเลยปีนี้!!”

สุขุมพูดอย่างรำคาญว่า
“พูดกะณรงค์นี่เข้าใจยากจังแฮะ”
“ฉันหมายความว่าแต่งตัวสะอาด แต่ไม่ใช่แต่งมากเกินไปย่ะ อย่างนิสิตหญิงที่ใส่ส้นสูง ทาปากเขียนคิ้ว ทาแก้ม แต่งหน้า แล้วก็ไว้เล็บยาว ทาเล็บน่ะ ฉันว่ามากไป อย่างงี้ก็ควรออกมาเป็นสาวสวยดีกว่าเป็นนักศึกษา ผู้ชายบางคนก็เหมือนกัน นุ่งกางเกงทรงทันสมัย เสื้อหลวมๆ ดึงลงมารุ่มร่าม แล้วก็แบะคอพับแขน ใส่สายสร้อยที่มือน่ะ น่าเกลียดเป็นบ้าเลย”

เกรียงเป็นคนช่างแต่งตัว เขายกมือขึ้นแต่งผมตัวเองเบาๆ แล้วถามว่า
“งั้นใครล่ะ ถึงจะเหมาะ ฮึ สุขุม?”

สุขุมตอบว่า
“ก็หมายความว่า แต่งตัวสะอาด ตั้งแต่ผมถึงรองเท้าน่ะ แต่ไม่ใช่แต่งแบบจะไปเที่ยวหรือดูจากหนังเพลง”

ณรงค์รีบแก้ขึ้นว่า
“หนังเรื่องนิสิตฝรั่งก็มีนะ”

สุขุมว่า
“ใช่ ใครเถียงล่ะ”
“แต่สังเกตดูซีว่าหนังเพลงของฝรั่งที่มีเรื่องนิสิตนักศึกษาน่ะ ดีแต่ฉายให้ดูตอนเต้นรำ ร้องเพลง กินขนม นัดผู้หญิงแล้วก็ไปเที่ยวเสียเรื่อย ไม่เห็นฉายตอนนั่งเรียนบ้างเลย ดูไปดูมาแล้วนึกว่า เมืองฝรั่งนี่เรียนสนุกชะมัดเลย”

ณรงค์พูด
“แต่ความจริงเปล่า”
“ฝรั่งเรียนหนักก็มีแยะ แต่ถ้าเอาชีวิตจริงมาฉายให้เราดู คงไม่มีใครยอมเสียเงินเข้าไปดูเป็นแน่ เพราะจะไปดูนิสิตนั่งเรียนน่ะ ดูได้โดยไม่ต้องเข้าโรงภาพยนตร์”

เกรียงพูดว่า
“แต่ฉันชอบ ชีวิตในหนัง มันสวี้ดสว้าดดีเป็นบ้า”

สุขุมขมวดคิ้วก่อนจะพูดว่า
“ฉันหวังว่าก่อนเข้ามหาวิทยาลัย เกรียงจะเลิกพูดภาษาวิบัติอย่างงั้นนะ”

เกรียงก็ทำเป็นเอียงหูเข้ามาฟังใกล้ๆ แล้วพูดว่า
“ว่าไหง?”

สุขุมพูดว่า
“คำสะแลงน่ะ ไม่น่าฟังเลย”

เกรียงตอบ
“แต่ยังดีกว่าพูดเบ่งๆ ใช่ไหม?”

สุขุมพูดต่อว่า
“เอาอีกคำแล้วซี”
“ถ้าเกรียงอยากกว้างขวาง เป็นประธานนักศึกษาอย่างปากว่าละก็ พูดคำสะแลงละไม่เข้าหูคนแน่ แล้วไม่มีใครเขาโหวตให้คะแนนเสียงแล้วอย่ามาโทษว่าไม่เตือนนะ”

เกรียงตอบ
“เออ”
“ณรงค์! ฟังคุณตาเทศน์เสียง่วง เฮ้ย! ตื่น ฟังต่อไปได้”
เกรียงพูดดังลั่นหยอกเพื่อนเสียค่อนข้างแรง

สุขุมต้องดุขึ้นมาด้วยเสียงเรียบๆ ของเขาว่า
“ไอ้พูดเสียงดังอีกอย่าง ขอทีเถอะ เอาไว้เวลาเขาเชียร์ฟุตบอลดีกว่า”
“ถ้าณรงค์อยากมีเพื่อนมากๆ อย่าโกรธนะ ฉันจะบอกอะไรให้”

ณรงค์พูด
“ว่าไป”

สุขุมก็ชี้แนะว่า
“ณรงค์ต้องรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นด้วย อย่าเอาแต่ใจตัวซี”

ณรงค์ตะโกนขึ้นอีก
“จริงแฮะ เมื่อกี้ฉันเกือบลืมตัวไปแน่ะ เออ…ได้นายสุขุมมาเป็นคนคอยเตือนตลอดกาลนี่ก็ดีเหมือนกัน เฮ้ย…ณรงค์” พอนึกขึ้นได้ก็ลดเสียงลง

“ณรงค์ คิดอะไร?”

ณรงค์ทำตาเลื่อนลอยเหมือนฝันกลางวัน แล้วตอบเบาๆ ว่า
“กำลังฝันถึงคนตาโตๆ ผมยาวๆ หยิกสลวยๆ ขาสวยๆ ยิ้มหวานๆ ที่ใส่เครื่องแบบนิสิตหญิงปีที่หนึ่ง และจะพบกับเราน่ะซี”

เกรียงก็พูดขึ้นว่า
“อย่าให้ถึงขย้อนเลย”

สุขุมพูดต่อ
“แต่น่ากลัวจะอันตรายเสียแล้ว นายณรงค์นี่”
“ยังไม่ทันจะได้เข้ามหาวิทยาลัยเลย นึกถึงนางในฝันเสียก่อนแล้วซี”

ณรงค์ถามขึ้นว่า
“คิดผิดไหมล่ะ?”
“ยังไม่เห็นตัวก็ฝันไว้ก่อนซีเพื่อน”

สุขุมพูดแบบประชดว่า
“แล้วก็เลยฝันถึงสอบตก กลิ้งโค่โล่ไม่เป็นท่าด้วยซี”
“ไอ้เราจะเข้าไปเรียน ไม่ใช่เข้าไปหาคู่รัก หรือคู่ชีวิตในอนาคต”
“แน่ละ เราไปอยู่รวมกันทั้งชายหญิงอย่างงั้นมันก็ต้องมีบ้างละ ไอ้เรื่องเจอกันอย่างเลี่ยงไม่ได้น่ะ”

เกรียงถามขึ้นว่า
“รู้แล้ว แล้วจะเลี่ยงยังไงล่ะ?”
“ถ้าสวยมากก็เลี่ยงดีกว่า”

สุขุมพูดประชดอีก
“เกรียงกับณรงค์ก็ไปด้วยกันได้นะ”
“แต่ฉันเชื่อว่า พอจริงเข้านายสองคนก็ไม่เอาจริงอีกน่ะแหละ ฉันคบนายมานานแล้ว รู้ดีว่าไม่ใช่คนหลงใหลขนาดนั้นหรอก”
“ถ้าเราเลี่ยงไม่ได้ เวลาเจอเขา เราก็ก้มหัวทักทาย ยิ้มๆ เสียหน่อย ถ้าเขากำลังคุยกันอยู่ เราผ่านไปเราก็ไม่ต้องเสนอตัวเองเข้าไปเป็นคนร่วมวงสนทนากับเขา แต่ถ้าเขาเรียกเราก็อย่าปฏิเสธตัดมิตรเสียเลยทีเดียว”

เกรียงเสยผมแล้วพูดว่า
“อือม์! น่าฟังแฮะ”

ณรงค์พูดบ้างว่า
“เวลาเข้าห้องเรียนก็นั่งปนกัน กระดากชะมัดเลย แล้วคนจะไปเรียนรู้เรื่องอะไรล่ะ”

เกรียงขัดขึ้น
“แหม! หมั่นไส้”

สุขุมยังพูดต่อว่า
“เวลานั่งเรียน เราก็รู้ว่าอาจารย์ที่มาปาฐกถาน่ะ ท่านไม่มานั่งเอาใจใส่เราเป็นตัวบุคคล เหมือนกับเวลาอยู่ที่โรงเรียน เพราะฉะนั้นเรามีหน้าที่ต้องนั่งเงียบๆ สนอกสนใจและฟังทุกถ้อยคำ ให้เข้าใจดีจริงๆ ไม่ใช่เสียเสียเวลาเปล่าๆ”

ณรงค์พูดว่า
“แต่จะเกก็ได้ไม่มีใครว่า ไม่มีใครนั่งคอยจดชื่อ แล้วก็หักคะแนน”

สุขุมดุขึ้นว่า
“ไฮ้”
“อยากจะวอนสอบตกซะเรื่อยนายนี่”

ณรงค์สวนขึ้นว่า
“ก็ให้นั่งฟังเป็นบ้าตายอยู่อย่างงั้น ก็ง่วงคาที่พอดีหละ”
“วันนึงๆ ก็เอาแต่ฟัง ไม่ต้องพูดต้องจางั้นรึ?”

สุขุมพูด
“แต่จะถามอาจารย์ก็ได้ ไม่มีใครเขาว่าหรอก”

ณรงค์ยิ้มแล้วพูดว่า
“เอ๊า….ยังกับเคยไปนั่งฟังเล็กเช่อร์มาแล้วแน่ะ คุณตา”
“จ้างให้เราก็ไม่กล้ายกมือถามอาจารย์ คนอื่นได้เขม่นตาย”

เกรียงพูด
“แต่เรากล้าแฮะ”
“เราถามบ่อยๆ คนเขาจะได้ทึ่งว่า เอ๊ะ…ไอ้หมอนี่มันใครกันนะ ถามฉะฉานดีจังเลย อาจารย์ก็จะพลอยรู้จักชื่อเราไปด้วย”

ณรงค์พูดขึ้นว่า
“ใครจะเขม่นไม่ว่า ขอให้ได้ชื่อเสียงก่อนเหอะ นายนี่”
“อย่างงี้ใครเขามีงานอะไร แผนกไหน คณะไหน นายเกรียงคงรีบเข้าไปช่วยหัวสั่นเชียวนะ”

เกรียงตอบอย่างไม่แยแส
“เออซี”
“อะไรก็ได้ ขอให้เราเป็นผู้มีประโยชน์และกว้างขวาง คนรู้จักแยะๆ เท่านั้นก็พอ”

สุขุมว่า
“ส่วนฉัน…อะไรก็ได้ ขอแต่ให้สอบไล่ปีสุดท้ายได้เกียรตินิยมเท่านั้นก็พอ”

ณรงค์พูดว่า
“เอ๊า…ฝันกันหญ่าย! ยังไม่มีใครรู้ว่าตัวสอบเข้าได้เลยซักคน”
ทั้งสามคนก็หัวเราะขึ้นมาพร้อมกัน
“แต่ก็ไม่มีผลร้ายอะไรในการฝันที่ดีๆ อย่างงี้นี่นา”

ที่มา: จากหนังสือเรื่อง มรรยาทงาม ของ ผกาวดี อุตตโมทย์

ห้องที่รกรุงรังไม่เป็นระเบียบ

เมื่อได้ยินเสียงคนเคาะประตูเบา ชะลอก็พลิกตัวอืดอาด หาวเสียงดังหวอด แล้วถามออกไปอย่างเคยชินว่า “ใครว่ะ” เพราะคนที่มายุ่งเกี่ยวกับเขาในตอนเช้าๆ ส่วนใหญ่มักจะเป็นพี่ๆ น้องๆ ของเขานั่นเอง

และเสียงที่ไม่ชินหูก็ดังขึ้นว่า
“น้าเองจ้ะ ชะลอ ตื่นแล้วหรือ?”

ชะลอรีบร้อนลุกจากเตียง มองไปรอบๆ ห้อง และต้องประหลาดใจที่เขามานอนอยู่ที่ที่ไม่ใช่บ้านของเขา มันเป็นบ้านของคุณน้า น้องสาวของแม่เขาเอง เพราะช่วงปิดภาคเดชาลูกชายคุณน้าไม่มีเพื่อนรุ่นเดียวกัน จึงขอให้ชลอมาอยู่เป็นเพื่อน บ้านคุณน้าก็อยู่ติดทะเล ชลอจะได้มีโอกาสตากอากาศไปในตัวด้วย

“ตื่นแล้วครับ”
ชะลอตอบอย่างกระปรี้กระเปร่าอยู่ในห้อง แต่ไม่กล้าเปิดประตู เพราะเห็นสารรูปของตัวเองจากกระจกแขวนริมฝา ที่ตัวเองผมยุ่ง หน้ายุ่ง ตาบวมเพราะนอนมากเกินไป ซึ่งไม่น่าจะออกไปพบใครได้เลย

คุณบอกอีกที ก่อนจะเดินออกไป
“ลงไปรับประทานข้าวเช้าได้เลยนะ ชะลอ น้าจะคอย”

“เฮอ…โล่งใจไปทีที่เราปิดกลอนประตู ไม่งั้นคุณน้าโผล่เข้ามาจะตกใจตายเลย ห้องเราเลอะเทอะน่าดูเชียว”
ชะลอคิดแล้วเดินเข้าห้องน้ำไปจัดการชำระร่างกายอย่างดี ที่บ้านคุณน้าไม่มีน้ำประปา แต่มีน้ำจืดใส่ตุ่มสำหรับอาบไว้ โดยซื้อจากชาวบ้านที่หาบจากบ่อมาขาย มีราคาแพง ทุกคนต้องใช้กันอย่างประหยัด

เรื่องการใช้น้ำที่บ้านนี้ คุณแม่ของชะลอก็เตือนมาแล้วแต่ชะลอก็ลืมคิดไป เขาจึงใช้อย่างสบายใจ เมื่ออาบเสร็จน้ำก็เกือบหมดตุ่ม กระจายไปทั้งห้องน้ำ ชะลอลืมเอาเช็ดตัวของตัวเองมาจึงใช้ผ้าของคุณน้าที่ตากอยู่ที่ราว เมื่อเช็ดแล้วก็โยนไปปลายเตียง รีบออกมาส่องกระจกดู หวีผมอย่างประณีต ผัดหน้า หยิบเสื้อฮาวายลวดลายพิสดารมาสวม นุ่งกางเกงฟิตติ้ว ใส่สายสร้อยข้อมือทองปลอม สลักชื่อ-สกุลของตัวเอง ใส่น้ำหอมเสียฟุ้ง ก่อนจะไปร่วมโต๊ะอาหาร

น้าหญิง น้าชาย และเดชานั่งรออยู่ ชะลอไม่ได้กล่าวขอโทษที่ลงมาสาย คุณน้ารีบตักอาหารแจกทุกคน และถามชะลออย่างสุภาพว่า
“ข้าวต้มกุ้ง หวังว่าชะลอจะชอบรับประทานนะจ๊ะ”

ชะลอตอบ
“ไม่ค่อยชอบ แต่ก็กินได้ครับ”
ถ้าเขาตอบว่า เขารับประทานได้ จะน่าฟังกว่ามาก ทุกคนรับประทานกันเงียบๆ ในขณะที่ชะลอหยิบขวดน้ำปลาราดลงในชามข้าว ใส่พริกไทย พริกน้ำส้ม แล้วตักชิม ก่อนจะเริ่มกิน

คุณน้าบอกว่า
“เออ…วันนี้เราทำอะไรกันดีชะลอเพิ่งมาอยู่ใหม่ คงจะยังไม่เคยเห็นทั่ว บางทีเราไป…”

ชะลอรีบขัดขึ้นว่า
“แต่ผมตั้งใจไว้ว่าจะนั่งรถไปที่บาร์ริมทะเลครับ”
เขากลัวว่าคุณน้าจะพาไปดูสิ่งที่เก่าแก่โบราณ หรือสิ่งที่ไม่น่าสนใจ เพราะเขาสนใจเพลงที่ฮิตและคนหนุ่มสาวที่แต่งตัวทันสมัยมากกว่า
“เขามีดนตรีครับ และมีประกวดเต้นรำด้วย ผมเห็นจากหนังสือพิมพ์ตั้งแต่อยู่บ้าน ผมยังบอกคุณแม่เลยว่าอยากมาพักที่นี่ เพราะจะได้ไปชมการประกวดที่บาร์ริมทะเลได้ง่ายๆ ทุกวัน”

คุณน้าผู้ชายทำหน้าพิกลและพูดเรียบๆ ว่า
“แล้วคุณแม่ว่าไง?”

ชะลอหัวเราะก๊ากแล้วพูดว่า
“แม่ไม่เคยว่าไงกะผมหรอกครับ แม่บอกว่า แม่ขี้เกียจยุ่งเรื่องของผมแล้ว ผมมันหัวดื้อ สั่งอะไรไม่มีทำ แม่เลยปล่อยผมไปนานแล้ว”

น้าถามเขาว่า
“รู้ไหมว่า คุณแม่บอกน้าว่ายังไง?”
ชะลอหัวเราะและตอบเสียงดังๆ ว่า
“อ๋อ! แม่บอกว่า จะส่งผมมาให้น้าดัดสันดานครับ”
“ฮ่าๆ แต่น้ายังใจดีไปกว่าแม่ผมอีก”

เดชาทำหน้าขรึมและพูดขึ้นว่า
“เอ…ไม่แน่นักนะชะลอ คุณพ่อคุณแม่ผมใจดีแต่ก็มีเหตุผล ถ้าผมเป็นคนขี้เกียจหรือไม่เอาถ่าน ท่านก็ดุและปราบผมจนได้เหมือนกัน”

ชะลอพูดอย่างเบ่งและวางก้ามว่า
“เดชายอมให้คนปราบด้วยรึ? ผมไม่ยอมหรอก”
“ขนาดครูที่โรงเรียนยังยอมยกนิ้วให้ผมเป็นดาราเอก เรื่องเกโรงเรียน และลอกการบ้านเพื่อนส่งครู ไม่มีใครเขากล้ากับผมหรอก”

เดชาก็พูดอีกว่า
“แต่ผมว่าชะลอยังเข้าใจผิดละมั้ง? การที่ครูและเพื่อนๆ ไม่เอาเรื่องกับเราน่ะ ไม่ใช่เพราะเขากลัวเราหรอก ผมจะบอกให้ เขาคงเอือมระอา แล้วก็เบื่อเราต่างหากล่ะ ถ้าครูผมเฉยกับผมละก็ ผมต้องใจคอไม่ดีแล้วละ เพราะผมเกรงว่า ครูจะเกลียดผม”

ชะลอก็เถียงว่า
“เกลียดก็ช่าง เราไม่แคร์อะไรนี่”

“เอ๊ะ! งั้นเราก็ไม่ต้องการชื่อเสียงที่ดี หรือคำชมเชยเลย?”

“ไม่ต้อง ผมว่าผมเป็นตัวของผมเองน่ะดีที่หนึ่ง”

คุณน้าผู้หญิงอิ่มแล้วรีบเดินไปส่งคุณน้าผู้ชายไปทำงาน ก่อนลุกไปก็ขอโทษเด็กหนุ่มทั้งคู่ก่อน และขอตัวไปดูความเรียบร้อยในบ้าน คุณน้าอดยิ้มอย่างพอใจไม่ได้เมื่อเปิดดูห้องนอนของเดชาบุตรชาย เดชาเก็บที่นอนเรียบร้อยไม่มีเสื้อผ้าวางเกะกะ ตัวที่ยังไม่ใช้ก็แขวนอยู่ในตู้ ตัวที่สกปรกก็อยู่ในตะกร้าผ้าริมห้อง ไม่มีแป้งหกเกลื่อนบนที่ตั้งเครื่องแป้ง หวีสับอยู่บนแปรง ผ้าเช็ดตัวพาดและกางเกงนอนพับพาดเอาไว้อย่างประณีต ในห้องน้ำก็สะอาดเป็นเงาดี ไม่ลื่นเป็นตะไคร่ ไม่มีน้ำเปรอะเปื้อน แปรงสีฟันพาดอยู่กับขอบโต๊ะกระจกเล็กๆ ที่ติดข้างฝาไว้ต่ำกว่าบานกระจกเงาเล็กน้อย ทุกอย่างสะอาดเรียบร้อยจนแทบไม่ต้องทำอะไรอีก

คุณน้าบอกตัวเองว่า
“ไหนขอดูของชะลอหน่อยซิ”
คุณน้าเดินไปยังห้องที่อยู่สุดระเบียง ห้องนี้จะมองเห็นโขดหินและทะเลได้ชัดเจน แต่ชลอวุ่นวายอยู่กับการเที่ยวเตร่จนไม่ได้ดูทัศนียภาพที่งดงามนี้ ถ้าเขาได้เห็นก็อาจจะพูดกับคุณน้าได้ว่า ขอบคุณคุณน้าที่อุตส่าห์จัดห้องที่ดีที่สุด ใหญ่ที่สุด และมีทิวทัศน์งดงาทที่สุดให้เขา

คุณน้าต้องชะงักอยู่กับที่เมื่อจับลูกบิดประตูเปิดเข้าไป เพราะถุงเท้าข้างหนึ่งอยู่บนนั้น อีกข้างหนึ่งก็อยู่บนเก้าอี้ กางเกงที่ใช้แล้วก็ถอดวางไว้กลางห้องเป็นก้อนกลมๆ เสื้อเชิ้ตที่สกปรกแล้วก็ทิ้งอยู่ริมเตียง รองเท้าที่เปื้อนดินทรายก็ย่ำไปบนพื้น ตั้งอยู่คนละทิศคนละทางราวกับถูกเตะออกจากเท้า

ที่นอนก็เปื้อนไปด้วยเหงื่อและทราย แสดงว่าก่อนนอนชะลอไม่ได้อาบน้ำ หมอนก็ตกอยู่ข้างล่าง ผ้าปูที่นอนยุ่งเหยิงเหมือนกับนอนดิ้น ในห้องน้ำก็เลอะเทอะไปหมด คุณน้าบอกกับตัวเองก่อนจะเดินไปที่ระเบียงว่า
“ไม่ได้การละ จะต้องให้ชะลอรู้ตัวเสียมั่ง”
เมื่อไปเจอชะลอกำลังใส่รองเท้าหัวแหลมอยู่พอดีคุณน้าก็ถามด้วยเสียงเรียบๆ ว่า
“จะไปไหนจ๊ะ ชะลอ?”

ชะลอเงยหน้าพยักไหล่แล้วพูดว่า
“เที่ยวไปเรื่อยๆ แต่ว่าผมจะไปบาร์ริมทะเลก่อน”

คุณน้าพูดต่อว่า
“ยังไปไม่ได้ จนกว่าจะจัดห้องนอนและห้องน้ำของหลานให้เรียบร้อยก่อนจ้ะ น้าไม่มีคนใช้ ชะลอก็รู้อยู่แล้ว ไปสิจ๊ะเดี๋ยวน้าจะไปดู”

ชะลอเดินกลับไปยังห้องที่รกรุงรังด้วยอาการคอตกอย่างเก้อๆ จากฝีมือของเขาเอง

ที่มา: จากหนังสือเรื่อง มรรยาทงาม ของ ผกาวดี อุตตโมทย์

มารยาทตอนปิดภาคเรียน

วีระเป็นเด็กรุ่นหนุ่มที่ไม่ได้เดินทางไปเที่ยวไหนเลยมานานหลายปีแล้ว เพราะบิดามารดามีภูมิลำเนาอยู่ในกรุง และมีงานในร้านค้าเต็มไปหมด วีระจะได้ออกไปเปิดหูเปิดตาบ้างก็เพียงในตลาดนัด ไปชมการแข่งขันกีฬา และดูภาพยนตร์ แต่ก็น้อยเต็มที เขาได้กล่าวกับนางแม้นผู้เป็นแม่อย่างอ่อนน้อมว่า
“คุณแม่ครับ ยศเขาเขียนจดหมายมาชวนผมไปเที่ยวนครนายก ตอนปิดภาคปลายนี่ครับ ผมจะไปได้ไหมครับ คุณแม่?”

นางแม้นอดยิ้มไม่ได้เมื่อเห็นใบหน้าของบุตรชายมีดวงตาที่แสดงความวิงวอน ทำให้เกิดความสงสารขึ้น

วีระพูดต่อว่า
“ยศบอกว่า ที่นครนายกมีน้ำตกสวยงามมาก ผมเกิดมายังไม่เคยเห็นน้ำตกเลยครับคุณแม่ แล้วคุณอาก็ยินดีจะให้ผมไปค้างด้วย เพราะบ้านของคุณอาใหญ่โตมาก”

นางแม้นพูดว่า
“ลูกก็คงอยากไปมากด้วยน่ะซี วีระ”
“ไม่ลองไปขออนุญาตคุณพ่อดูก่อนหรือ?”

วีระทำปากหวานกับแม่ว่า
“ผมก็ต้องขอทั้งคุณแม่คุณพ่อน่ะแหละครับ แต่ผมเห็นคุณแม่ใจดี เลยขอก่อน”
“ยศก็เป็นญาติกับเราแท้ๆ คุณอาก็กรุณาต่อผมเสมอ ผมจึงคิดว่า คุณแม่จะไม่ให้ผมปฏิเสธ ใช่ไหมครับ?”

นางแม้นหัวเราะเบาๆ และพูดอย่างอารมณ์ดีว่า
“แหม! วีระเล่นรวบหัวรวบหางอย่างนี้ แม่ก็ปฏิเสธไม่ได้ดังว่าน่ะสิ”
“แต่แม่อยากจะถามว่า วีระรู้ได้อย่างไรว่า คุณอาจะยินดีให้ลูกไปอยู่ด้วยที่บ้านนครนายก?”

วีระตอบแม่ว่า
“ยศเขียนมาบอกผมยังงั้นครับ”

แม่จึงบอกกับเขาว่า
“ดีละ งั้นพอขออนุญาตคุณพ่อได้ ก็จัดการเตรียมข้าวของเลยซิจ๊ะ ยังขาดอะไรก็บอกแม่ แม่จะได้จัดหาให้อย่าให้เป็นที่ลำบากกับบ้านคุณอานะลูก อ้อ! เอากระเป๋าใบใหม่ของลูกไปซิ มันเรียบร้อยดี อย่าฉวยเอาไอ้ใบเก่าขาดวิ่นหูหลุดนั่นนะ คนเราจะแต่งตัวสวยโก้ยังไงๆ ขืนถือกระเป๋าเดินทางปุๆ ปะๆ ขาดวิ่น เก่าแก่หมดอายุของมันละก็ แม่ว่าดูไม่ได้เลย เหมือนกับคนใส่รองเท้าแต่ไม่ได้ขัดนั่นแหละ”

เมื่อบิดาอนุญาตแล้ว วีระทำตามคำสั่งแม่ทุกอย่าง กระเป๋าเดินทางที่วางอยู่บนหลังตู้ใบใหญ่เต็มไปด้วยฝุ่นละออง เขานำมันลงมาปัดเช็ดเสียจนสะอาดทุกซอกมุม ตรวจกุญแจของกระเป๋าว่าใช้การได้หรือไม่ การที่ไปอยู่บ้านคนอื่น และเราก็ไม่รู้จักนิสัยของคนรับใช้ในบ้านว่าเป็นอย่างไร ก็ควรจะรอบคอบยิ่งขึ้น

วีระเก็บของลงกระเป๋าอย่างระมัดระวัง พิจารณาของทุกอย่างว่าจำเป็นและสมควรเอาไปด้วยหรือไม่ เช่น เสื้อกล้าม เสื้อเชิ้ต เสื้อฮาวายสำหรับอยู่กับบ้าน และชุดไปเที่ยวลำลอง กางเกง ผ้าเช็ดหน้า ถุงเท้า หวี แป้ง น้ำมันใส่ผม แปรง สบู่ ผ้าเช็ดตัว ยาต่างๆ ที่จำเป็น หนังสือเอาไว้อ่านในรถยามว่างเพื่อไม่ให้เสียเวลา

คุณอาเอารถยนต์เก่าๆ คันเล็กมารับที่สถานีรถไฟ คุณอาอาสาจะช่วยยกกระเป๋า แต่วีระก็หิ้วเอง เพราะเขาคิดว่าเขาเป็นคนหนุ่มที่แข็งแรงและไม่กลัวความเหนื่อย คุณอาก็เปิดท้ายรถให้เขาใส่กระเป๋าลง

คุณอาถามวีระว่า
“เหนื่อยไหมหลาน?”
“เดินทางร้อนๆ คนแน่นๆ อย่างนี้แย่หน่อยนะ”

วีระตอบ
“แต่อากาศที่นี่ก็ทำให้หายเหนื่อยขอรับ”
“ทุ่งนาป่าเขา แปลกตาจากทิวทัศน์ในกรุงมากขอรับ ทำให้รู้สึกสงบสบายใจดีมาก คุณอาต้องมาคอยผมนานไหมครับ?”

คุณอาตอบว่า
“ครู่เดียวเท่านั้นเอง รถไฟตรงเวลาดี”
“คุณพ่อคุณแม่ของวีระสบายดีหรือ? อยู่กันไม่ไกลมากนัก แต่ก็ดูเหมือนคนละมุมโลก เพราะต่างคนต่างยุ่ง เลยไม่ได้เจอกันนานนับปี”

วีระตอบ
“ท่านทั้งสองคนสบายดีขอรับ ขอบพระคุณที่คุณอากรุณาถามถึง”

ในประโยคสุดท้ายของวีระ ทำให้คุณอาเขารู้สึกชอบใจมาก
“แต่งานร้านก็ยุ่งจนกระทั่งท่านไม่ได้ว่างเลยครับ คุณแม่ยังบ่นว่า ถ้าหากว่างละก็ ท่านคงจะมากับผมแล้วขอรับ”

คุณอาถามต่อว่า
“ได้ข่าวว่าเธอก็ช่วยงานดีนี่ ที่ร้านน่ะ ใช่ไหม?”

วีระตอบ
“เลิกเรียนแล้ว ผมช่วยขายของ ก่อนเวลาทำการบ้านขอรับ”

คุณอาว่า
“ดีละ อาก็ดีใจ ลูกๆ ที่ดีน่ะ มีอะไรพอจะช่วยเหลือพ่อแม่ได้ ก็ควรจะทำโดยเต็มสติกำลัง จึงจะได้ชื่อว่าเป็นผู้กตัญญูรู้คุณ”

รถยนต์แล่นไปบนถนนลูกรัง มีฝุ่นสีแดงฟุ้งกระจาย สักพักก็เป็นทางเรียบ รถได้มาจอดที่หน้าบ้านชั้นเดียวที่สร้างด้วยไม้ ที่หน้าประตูมีเฟื่องฟ้าสีขาวสลับม่วงแดงออกดอกเต็มไปหมด ต้นไม้นานาพันธุ์อยู่รอบบริเวณบ้านทำให้มีบรรยากาศที่ร่มรื่น ตรงหน้าบ้านก็มีแปลงผักและแปลงดอกไม้ที่สามารถเก็บไปขายหรือใช้ประโยชน์ได้

คุณอาผู้หญิงออกมารับ แล้วสั่งบุตรชายของเธอว่า
“ยศพาวีระไปที่ห้องนอนซิ”

หล่อนบอกสามีว่า
“ให้สองคนนี่นอนด้วยกันค่ะ”
“วีระเลือกเอาก็แล้วกันนะหลาน ว่าจะนอนเตียงไหน ยศน่ะ ช่างเขาเถอะ นอนไหนก็ได้”

ยศเข้ามาช่วยวีระยกของเข้าไปในห้องด้วยความดีใจ วีรอชอบเตียงใหญ่ใกล้หน้าต่าง มีโต๊ะเล็กๆ ไว้วางใกล้หัวเตียง และมีโคมไฟเล็กๆ วางอยู่ด้วย

วีระไม่โยนกระเป๋าไว้บนเตียงเหมือนทำเป็นเจ้าของ ด้วยความที่เขาได้รับการอบรมมาดีจึงถามยศว่า
“ยศชอบเตียงไหนล่ะ? ฉันน่ะได้ทั้งนั้นแหละ”

ยศตอบ
“ฉันอยากนอนใกล้หน้าต่าง เพราะว่ากลางคืนมันเย็นดีหน่อย แต่ก็ตามใจวีระนะ ที่ไหนๆ ก็ได้ความจริงน่ะ”

วีระเดินไปที่เตียงชิดฝาแล้วเปิดกระเป๋าเดินทางทันที เขาส่งห่อเสื้อเชิ้ตให้ยศ และพูดว่า
“คุณแม่ฝากของมาแยะ สำหรับคุณอาทั้งสองและยศด้วย”

พอยศเปิดดูก็ทำตาโตด้วยความพอใจ ในห้องมีตู้อยู่ใบเดียว และเกือบเต็มไปด้วยเสื้อผ้าของยศแล้ว ที่ว่างอยู่ก็เพียงช่องลิ้นชักหนึ่งอันเท่านั้น วีระจึงเอาเสื้อผ้าที่ยับง่ายใส่ในนั้น ส่วนที่เหลือเก็บในกระเป๋าอย่าง ก่อนจะออกไปจากห้องก็ปิดฝากระเป๋าอย่างเรียบร้อย

วีระจำได้ว่า ที่บ้านของเขาในตอนเช้าต้องแย่งกันเข้าห้องน้ำ จนในบางครั้งก็ทะเลาะกันบ้าง ที่บ้านของยศก็มีห้องน้ำห้องเดียวและมีกันอยู่หลายคนเช่นกัน วีระจึงลุกขึ้นไปใช้ห้องน้ำแต่เช้ามืดและแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยก่อนที่ทุกคนจะตื่นมาเข้าห้องน้ำกัน และยังลงไปช่วยคุณอาเช็ดรถ รดน้ำผักกับดอกไม้อย่างสบายใจ

วีระได้รับการแนะนำให้รู้จักกับลูกๆ ทุกคนของคุณอา มีพี่ชายคนโตของยศ น้องสาวคนสุดท้องที่อายุน้อยกว่ายศปีเดียว เขารู้ดีว่าคุณอาหญิงชอบมองเขาอยู่เสมอ วีระจึงไม่เคยแสดงท่าทางกรุ้มกริ่มหรือสนิทสนมกับน้องสาวมากกว่าน้องคนอื่นๆ ซึ่งทำให้คุณอาหญิงชื่นชมเขามาก

ขณะที่วีระพักอยู่ที่บ้านนครนายก เขาคิดแต่สิ่งที่คนในบ้านต้องการทำเสมอ ไม่เคยคิดถึงสิ่งที่ตนเองอยากทำเลย เช่น ถ้าคุณอาถามว่า
“จะอยากไปเล่นน้ำตกอีกไหมวีระ?”

เขาจะตอบทันทีว่า
“ถ้าคุณอาทั้งสองต้องการไป ผมก็ติดรถไปด้วยคนขอรับ”

เมื่อเขาอยากไปตลาด แต่ยศต้องการเล่นปิงปอง เขาก็จะเล่นปิงปองกับยศทันทีโดยไม่มีข้อแม้

เมื่อคุณอาผู้หญิงได้รับความผิดหวังหรือไม่พอใจ หล่อนจะไม่แสดงอารมณ์โกรธเกรี้ยว เพราะเป็นเจ้าของบ้านที่ประเสริฐ เมื่อเห็นว่ามารดาของวีระส่งของถูกใจมาให้จากรุงเทพฯ ก็ไม่ได้แสดงความยินดีจนเกินไป วีระเคยคิดว่าคุณอาผู้หญิงคงเป็นคนสงบสติอารมณ์เก่ง บ้านจะมีความสุขแน่นอนถ้าใครมีแม่บ้านอย่างนี้

ในเย็นวันหนึ่งคุณอาพูดขึ้นว่า
“วีระนี่แปลก น้องผู้ชายก็ชอบ น้องผู้หญิงก็ชอบ”
“อย่างนี้ฝรั่งเขาเรียกว่า เป็นคนป๊อบปูล่า คนกว้างขวาง เป็นที่ชอบพอของคนทั่วไปน่ะเอง ยศเสียอีก น้องชายรัก แต่น้องสาวไม่ค่อยรัก เพื่อนชายก็มาก แต่เพื่อนหญิงไม่มี อาจจะเป็นเพราะว่ายศพูดจาอะไรโผงผางไม่เพราะหู”

คุณอาผู้หญิงพูดเรียบๆ ขัดขึ้นว่า
“แต่ก็จะเปลี่ยนอีกนะคะ”
“เพราะทั้งยศและวีระ มีคุณสมบัติที่เหมือนกันอย่างหนึ่ง คือ ความประพฤติที่สุภาพดีมาก”

วีระยิ้มรับคำชม แต่ยศกลับพึมพำเล็กน้อยว่า
“ฮึ! เห็นเราเป็นคนยังไงไปแล้ว คุณพ่อนี่!”

คุณอาพูดล้อยศว่า
“ทีนี้ก็หัดพูดเพราะๆ เสียมั่งซี ยศ”

ยศตอบว่า
“ครับ แต่ผมกลัวคนจะรักผมมากเกินไป จนผมรับรักไม่ทันเสียอีกน่ะซีครับ คุณพ่อ”

คุณอาผู้หญิงหันมาค้อนยศอย่างหมั่นไส้ ทำให้ยศหัวเราะหึๆ แล้วพาวีระออกไปเที่ยวตามที่ได้คิดกันเอาไว้

ยศแสดงความเสียดายอย่างสุดซึ้งเมื่อถึงวันที่วีระจะลากลับกรุงเทพฯ วีระเป็นเพื่อนและญาติที่ยศรักมาก ขณะที่วีระกราบลาคุณอาทั้งสองก็มีใบหน้าเศร้านิดๆ ปิดภาคคราวต่อไปคุณอายังบอกว่าให้มาเที่ยวอีก วีระก็รับคำด้วยความขอบพระคุณและตื้นตันใจ

ก่อนที่จะจากไป วีระก็ไม่ลืมที่จะเก็บข้าวของทุกชิ้น และทำความสะอาดห้องอีกครั้ง จัดเก็บที่นอนเสียสะอาดเรียบร้อยทุกอย่าง เขาตลบที่นอนขึ้น ม้วนมุ้ง พับผ้าห่ม ถอดปลอกหมอนและผ้าปูที่นอนออกพับเตรียมซักไว้เรียบร้อย ลิ้นชักที่ใส่เสื้อผ้าก็เช็ดถูจนไม่มีฝุ่นสะอาดเกลี้ยงเกลา คุณอาผู้หญิงต้องแปลกใจเมื่อเข้ามาเห็นสภาพห้อง และพูดเบาออกมาว่า
“อือม์! เด็กผู้ชายเรียบร้อยไปทุกอย่าง อย่างนี้ก็มีด้วย เป็นบุญของพ่อแม่เขาแท้ๆ เชียว”

ที่มา: จากหนังสือเรื่อง มรรยาทงาม ของ ผกาวดี อุตตโมทย์

โรงเรียนของลูก

โฉมศรีมีลูกชายชื่อตาอ๊อดอยู่ในโรงเรียนเดิมมาตั้งแต่ชั้นอนุบาล โฉมศรีกับสามีต้องทำงานไกลบ้านทั้งคู่ จึงต้องให้พี่เลี้ยงและคนรถไปส่งตอนเช้าและรับในตอนเย็นหลังเลิกเรียน ทั้งสองไม่มีโอกาสได้พบครูประจำชั้น จนกระทั่งมีบัตรเชิญผู้ปกครองเข้าประชุมจากครูใหญ่ เพื่อให้ผู้ปกครองได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับบุตรหลาน และการปรับปรุงกฎระเบียบของโรงเรียนให้ดีขึ้น

โฉมศรีตื่นเต้นที่จะได้ไปร่วมประชุม เธอมีความรักและใส่ใจในลูกมาก เสื้อผ้าที่เธอสวมใส่ไปวันนั้นเป็นชุดใหม่ที่สุด หรูและราคาแพงมาก แต่เมื่อเธอเห็นผู้ปกครองคนอื่นๆ พวกเขากลับใส่เสื้อผ้าที่สะอาด แบบธรรมดาๆ เหมาะกับโอกาสในครั้งนี้

โฉมศรีได้รับบทเรียน หากมีการประชุมครั้งต่อไป เธอจะแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่สะอาด แบบเรียบๆ ที่ดูเหมาะสม เธอเคยเห็นลูกเล็กของผู้ปกครองคนหนึ่งแผลงฤทธิ์ ก่อความรำคาญแก่คนอื่นๆ อย่างยิ่ง จนต้องกลับบ้านไปก่อนที่จะประชุมเสร็จ โฉมศรีจึงไม่ได้พาตาแอ๊ดลูกคนเล็กไปด้วย

มีความจำเป็นมากที่ท่านจะต้องแสดงบุคลิกลักษณะของบิดามารดาที่น่านับถือในฐานะผู้ปกครองที่น่าเคารพ หากมีการไปเยี่ยมโรงเรียนหรือเข้าร่วมประชุมที่โรงเรียนของลูก กิริยามารยาท การวางตัว และการแต่งกายให้สะอาดถูกกาลเทศะ นับว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่ง

ถ้าท่านได้รับเชิญให้ไปชมกิจการของโรงเรียนและขณะที่ครูผู้สอนกำลังทำการสอนนักเรียนในชั้นอยู่ ท่านก็ไม่ควรจะทักบุตรหลานที่กำลังนั่งเรียนอยู่ ขณะที่ยืนดูครูสอนก็ไม่ควรสนทนากับผู้ที่เดินมาด้วยกัน เพราะเสียงของท่านอาจรบกวนสมาธิในการเรียนการสอนของเด็กและครูได้

มีผู้ปกครองมากรายที่เข้าใจว่า เด็กฉลาดคือเด็กที่เรียนเก่ง ส่วนเด็กที่เรียนอ่อนก็เป็นความผิดของครูที่ไม่ได้สอนให้ดีเอง ในการประชุมกันระหว่างผู้ปกครองท่านอาจออกความคิดเห็นได้ แต่ไม่ใช่ว่าท่านจะเข้าข้างเด็กของท่านอย่างเดียว

ท่านจะเข้าใจครูที่สอนเด็กในปกครองของท่านได้ดีขึ้นถ้าท่านลองทบทวนดูดีๆ อีกครั้ง

ควรขอบคุณ ครูใหญ่และครูทุกคนที่นั่นหลังการประชุมเสร็จแล้ว อย่าคิดแต่เพียงว่า
“ก็เราเสียค่าเทอมปีละตั้งมากมายแล้ว ยังจะติดบุญติดคุณอะไรกันอยู่อีกล่ะ?”

หากเทียบกับความเหนื่อยของครู ที่ต้องอบอบบ่มนิสัยเด็กของท่านให้เป็นคนดี เงินที่ท่านเสียไปแต่ละปีก็เทียบกันไม่ได้

ไม่จำเป็นต้องให้รางวัลหรือของขวัญพิเศษกับครู เพราะหวังจะให้ดีกับลูกท่านเป็นพิเศษ ครูที่ดีจะไม่ต้องการสินบน ท่านอาจแสดงน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ได้ในโอกาสขึ้นปีใหม่ วันเกิดครู หรือวันครู เช่น ดอกไม้ในแจกันเล็กๆ หรือกระเช้าดอกไม้จากสวนของท่านเอง หรือปากกาที่ครูจำเป็นต้องใช้งานได้ ไม่จำเป็นต้องหาของราคาแพงมาให้แต่อย่างใด

ขณะอยู่ในห้องประชุม ท่านอาจสนทนาด้วยความสุขุมเบาๆ แต่พอกลับมาบ้าน ต้องเจอกับความซุกซนของลูกๆ ที่เข้ามาหาของกิน เปิดตู้โครมคราม เดินบ้างกระโดดบ้าง ทำของกินหกเรี่ยราด กลับมาอีกทีเมื่อหิว และอยู่ในสภาพที่เลอะเทอะเปรอะเปื้อน หัวเข่าถลอกมาบ้าง ท่านจะยังอ่อนโยนอยู่ได้หรือไม่?

ท่านลองนึกถึงครูที่ต้องคอยดูแลเด็กอื่นๆ และลูกของท่านอีกหลายสิบคน เพื่อให้เขาอยู่ในระเบียบวินัยในห้องเรียนได้

ท่านต้องสำรวมสติและอารมณ์ หากพบว่าบุตรของท่านกลับมาบ้านพร้อมน้ำตา และรอยแดงที่ขา อย่าด่วนไปเล่นงานครูว่า
“ลูกฉันทำอะไรร้ายแรงนัก ถึงได้เฆี่ยนตีกันถึงขนาดนี้ ฉันเป็นพ่อแม่เองก็ยังไม่เคยตีเลย”
ท่านต้องไต่ถามความจริงจากลูกดู แล้วอดใจรอจนรุ่งเข้าแล้วค่อยไปหาคุณครูและพูดคุยอย่างสุภาพว่า
“ดิฉันเป็นมารดาของเด็กชาย….ค่ะ เมื่อวานนี้เขาประพฤติผิดหรือคะ?”

ท่านควรฟังและชั่งน้ำหนักข้อเท็จจริงระหว่างคำบอกกล่าวของคุณครูกับบุตรของท่าน อย่าเสียงและอารมณ์ด้วยความโมโหจนเด็กนักเรียนทั้งหมดได้ยินกันทั่ว เพราะเมื่อท่านเป็นเป้าสายตาบุตรของท่านก็อาจจะไม่ชอบ และอาจถูกเพื่อนล้อเลียนได้

ที่มา: จากหนังสือเรื่อง มรรยาทงาม ของ ผกาวดี อุตตโมทย์

ครูกับนักเรียน

คุณครูประจำชั้นของนักเรียนห้องหนึ่ง รู้สึกพอใจที่เด็กทุกคนนั่งเงียบเรียบร้อย เวลาก้มกราบก็ทำความเคารพจริงๆ ไม่มีใครเล่นหลุกหลิกซุกซน ตั้งใจเรียน อุปกรณ์การเรียนก็ครบไม่ต้องหยิบยืมกันให้วุ่นวาย ทั้งๆ ที่เป็นเด็กนักเรียนใหม่เสียส่วนใหญ่ เมื่อครูเดินตรวจงานก็ได้แต่นึกในใจว่า
“อือม์! เด็กพวกนี้เรียบร้อยไม่มีที่ติ จะเป็นโชคดีของเราปีนี้ หรือว่าพวกนี้ยังใหม่ ยังไม่รู้จักดีกระมัง?”

คุณครูต้องสังเกตอีกทีเมื่อเวลาผ่านไปว่า ศิษย์จะยังมารยาทดี รู้จักกาลเทศะอย่างเดิม หรือเปลี่ยนไปอย่างหน้ามือกับหลังมือ

คุณครูมองลอดแว่นไปดูสุนทรีที่เป็นหัวหน้าชั้นด้วยความชมเชย และคิดว่า
“โดยมากนักเรียนในห้องดี เพราะหัวหน้าดี”

สุนทรีต้องมีคุณสมบัติอย่างดียิ่ง จึงสามารถดูแลเพื่อนร่วมชั้นทั้งชายหญิงได้ ทุกคนต้องรับรู้และทำตามไม่ว่าเธอจะขอร้องอย่างอ่อนหวานหรือบัญชาอย่างเฉียบขาด

ทุกคราวที่คุณครูหิ้วสมุดหนักๆ มาจากห้องพักครู จะมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งมาแถวๆ ห้องนั้นเสมอ จนคุณครูอดยิ้มไม่ได้
คุณครูถามขึ้นว่า
“ต้องการอะไร ไชยา?”
ไชยายืนตัวตรงยิ้มอย่างสุภาพแล้วตอบว่า
“ผมจะมาขอรับสมุดของคุณครูขอรับ คุณครูถือเองก็จะหนักมากเกินไป”

ไชยาทำหน้าที่สุภาพบุรุษอย่างแท้จริง ไม่ว่าคุณครูจะเข้ามาสอนหรือเมื่อสอนเสร็จแล้วเดินออกจากห้อง จะต้องมีไชยา สุนทรี ดนัย นุกูล ผลัดกันหอบสมุดมาส่งให้คุณครูในห้องพักครูอย่างเรียบร้อย

จริยากับวารุณี ก็รับหน้าที่ดูแลความสะอาดโต๊ะครูโดยไม่ต้องแต่งตั้ง ทำให้คุณครูไม่เคยต้องนั่งลงบนเก้าอี้ที่สกปรกไปด้วยฝุ่นละอองหรือผงชอล์คเลย

จริยามีผ้าสองผืนเก็บไว้ในโต๊ะเธอเอง ผืนหนึ่งสำหรับเช็ดบนโต๊ะ เก้าอี้ และอีกผืนหนึ่งสำหรับเช็ดขาโต๊ะ พนักเก้าอี้ ขาเก้าอี้ ที่สกปรกมากกว่า เธอซักผ้าเมื่อทำธุระเสร็จแล้วตากผึ่งแดดไว้ เมื่อแห้งก็นำมาเก็บที่เดิม

ส่วนวารุณีเป็นคนรักสวยรักงาม เธอแต่งกายสะอาด ถูกกฎของโรงเรียน เธอชอบนำดอกไม้สดมาปักในขวดแก้วที่โต๊ะคุณครูทุกเช้า ทำให้ดูสดชื่นแจ่มใสคุณครูก็มีกำลังใจสอนไปได้ทั้งวัน

เรื่องดอกไม้กับแจกันขวดปากแคบก็ไม่ได้ทำให้นักเรียนต้องสิ้นเปลืองแต่อย่างใด เพราะนักเรียนแต่ละคนใครมีดอกไม้ที่บ้าน หรือหากพบริมทางที่สวยสะดุดตาก็จะเก็บเอามาปักแจกัน เช่น ดอกแพงพวยขาวหรือชมพู หรือดอกชบา นานๆ ทีถึงจะเป็นดอกกุหลาบหรือกล้วยไม้สักครั้งหนึ่ง

ในลิ้นชักโต๊ะคุณครูก็ไม่มีใครถือวิสาสะเปิดออกดู แต่ครูบางคนชอบบ่นว่า โต๊ะของเขานักเรียนชอบเอาสมุดมาเก็บไว้เพราะขี้เกียจขนกลับบ้านและไม่อยากเอามาอีกตอนมาโรงเรียน

แต่โต๊ะของคุณครูชั้นนี้ไม่เป็นเช่นนั้น ภายในลิ้นชักจะมีกระดาษหนาสีน้ำตาลปูรอง ข้างในมีสมุด ดินสอ และหนังสือของคุณครูเอง คุณครูไม่ได้ใส่กุญแจ เพราะคิดว่าไม่มีใครเปิดดู ไม่มีใครมายืนเท้าคาง หรือเท้าโต๊ะ หรือนั่งบนขอบโต๊ะ แม้แต่บนเก้าอี้ครูก็ไม่มีใครเคยนั่ง นอกจากตัวของครูเอง

ทุกเช้าจะมีการอบรมในเรื่องความตรงต่อเวลา การแสดงความเคารพ การรักษาความสะอาด ระเบียบวินัย และอื่นๆ เป็นเวลา 15 นาที ในขณะที่ทุกคนเขาเงียบกันหมด ครูสังเกตเห็นสุกานดานั่งเหม่อลอย สมประสงค์ก็พยายามคุยกับเพื่อนร่วมโต๊ะ เมื่อคุยไม่ถนัดก็แอบเอาเศษกระดาษเขียนข้อความให้เพื่อนอ่าน วรรณาก็ชอบสวมเสื้อดึงชายออกมาข้างนอกมากๆ ส่วนเกรียงก็ชอบสวมรองเท้าที่มีหัวแหลมๆ

บ่อยครั้งที่สุกานดาถูกเรียกให้ตอบคำถามในชั่วโมงการอบรม จนเธอไม่กล้าเหม่อลอยหรือหลับในอีก คนอื่นๆ จึงรู้ว่าครูสังเกตอยู่จึงไม่กล้าเหม่อลอยเลยเพราะกลัวจะถูกเรียกได้เหมือนกัน ในชั่วโมงอบรมจึงมีแต่คนตั้งใจฟังเสียงพูดที่ไพเราะของคุณครู

สมประสงค์อึดอัดมากเมื่อถูกย้ายโต๊ะให้มานั่งกับเดชคนที่เงียบที่สุดในชั้น แต่ก็ไม่กล้าขัดคำสั่งของคุณครู

วรรณนากับเกรียง มักถูกคุณครูเรียกมาตอบคำถามที่กระดานดำบ่อยๆ บางทีก็ให้ตอบปากเปล่า

วรรณนาอายจนหน้าแดง เมื่อเสื้อถูกดึงออกมาจากขอบกระโปรงจนชายหลุดรุ่มร่ามในแบบที่เธอคิดว่าทันสมัย สายตาทุกคู่มองมาอย่างขบขัน ในวันต่อๆ มาจึงทำให้เธอแต่งตัวได้เหมาะสมขึ้น

ส่วนเกรียงอ้อนวอนขอรองเท้าคู่ใหม่จากคุณแม่ โดยที่เขาบอกแม่ว่า
“มันคับเกินไปจ้ะแม่ ตอนที่ผมลองดูน่ะ ผมไม่ได้เดิน พอเดินหนักๆ เข้ามันเลยบีบ”

แม่ตอบเขาว่า
“งั้นก็ไปซื้อเสียใหม่ แต่หนนี้สะเพร่าไม่ได้นะ เกรียง เงินทองไม่ใช่ของหาง่ายๆ จะได้ใช้ทิ้งใช้ขว้าง ไม่รู้จักเสียดาย”

เกรียงตอบอย่างโล่งใจ
“จ้ะแม่ ตอนนี้ผมสัญญาแน่นอนเลย”

ในตอนแรกๆ คุณครูสังเกตว่านักเรียนเก่ากับนักเรียนใหม่จะแบ่งกันเป็นสองพวก แต่ก็จับให้นั่งปนเปกันหมด คนที่สนิทกันก็ต้องถูกจับแยกออกจากกัน ตอนแรกๆ ก็โกรธคุณครูที่ทำแบบนี้ แต่เมื่อเวลาผ่านไปความใกล้ชิดก็ทำให้เพื่อนใหม่เป็นคนน่าคบไม่น้อย จึงสนิทกันไปทั่วทั้งห้อง

เมื่อคุณครูสั่งการบ้าน ถ้าใครไม่นำมาส่ง ครูก็จะจดรายชื่อเอาไว้ และผู้นั้นต้องออกมาให้เห็นผล ครูพบว่าอีกไม่กี่สัปดาห์ก็ไม่มีใครขาดส่งการบ้านเลย นอกเสียจากคนที่ป่วย

นักเรียนที่ลาป่วย ก็จะมีใบลา ลงชื่อรับรองโดยผู้ปกครองจริงๆ ไม่มีใครปลอมลายมือผู้ปกครองได้ คุณครูจะติดต่อกับผู้ปกครอง ทุกคนรู้ดีจึงไม่กล้าทำ เพราะถ้าเกิดมีขึ้นก็ต้องเผชิญหน้ากับความลำบากใจไม่น้อย

คุณครูเห็นนักเรียนในห้องของตนเอง นั่งบริโภคกันอย่างเอร็ดอร่อย ในช่วงเวลาพักรับประทานอาหารกลางวัน ทุกคนจะช่วยน้องที่เล็กกว่าซื้อขนม ช่วยถือชามอาหารร้อนๆ มาให้ที่โต๊ะอาหาร เวลาน้องๆ จะซื้ออาหารก็ให้แซงคิวไปก่อนอย่างเต็มใจ

ครูอีกท่านหนึ่งพูดว่า
“นี่เป็นผลของการอบรมของคุณครูแน่นอน”
“ศิษย์ในห้องคุณครูจึงเรียบร้อย อยู่ในวินัยน่าชมอย่างนี้”

คุณครูพูดถ่อมตัวว่า
“แต่เขาเป็นคนดีกันเองน่ะค่ะ”
“ถ้าศิษย์ไม่รักดีและไม่เชื่อฟังแล้ว ต่อให้อบรมสั่งสอนกันแต่ไหนก็คงไม่เกิดประโยชน์”

ความซาบซึ้งอิ่มเอิบในใจกับความเอ็นดู ความรัก และหวังดีในตัวศิษย์ คงไม่มีใครรู้ดีเท่าคุณครูคนนี้ ความภูมิใจของครูเมื่อศิษย์ได้ดี ประพฤติดีและประสบความสำเร็จ หากศิษย์นั้นก็ต้องเข้าใจในความหวังดีของครูเช่นเดียวกัน

ที่มา: จากหนังสือเรื่อง มรรยาทงาม ของ ผกาวดี อุตตโมทย์

นักเรียนเก่ากับนักเรียนใหม่

ตอนบ่ายอุบลกับกาญจนาต้องออกมาจากห้องอาหารที่แน่นไปด้วยนักเรียนหน้าใหม่ แล้วมาอยู่ใต้ต้นมะม่วงบริเวณสนามของโรงเรียน เนื่องจากวันนั้นอากาศร้อนมาก

ชีวิตที่ต้องพบกับโรงเรียนใหม่ เพื่อนใหม่ ครูอาจารย์คนใหม่ และความน่าตื่นเต้น ความหดหู ทุกอย่างที่ทั้งนักเรียนเก่าและใหม่จะได้พบในภาคเรียนนี้

กาญจนาพูดขึ้นอย่างพอใจว่า
“เคราะห์ดีนะ ที่เรามาจากโรงเรียนเดียวกัน ไม่งั้นละฉันไม่รู้จะเดินกับใครเลยที่เดียว อุบล”
“บางคนน่ะดูน่าสงสารออกจะแย่ ไม่รู้จะพูดกับใครก่อน ไม่รู้จะชวนใครเดิน บางคนหน้าเศร้านั่งอยู่มุมนั้นกินอะไรไม่ลง โธ่! น่าเห็นใจนะ อยู่ดีๆ ก็ต้องมาอยู่ในโรงเรียนใหม่และคบเพื่อนหน้าใหม่หมดทั้งโขยงเลย”

“บางคนเป็นนักเรียนมาจากต่างจังหวัดซี ฉันว่ายิ่งแย่ เพราะคิดถึงบ้านเอย ไม่รู้จักใครเลย ยิ่งไปกว่าพวกในกรุงตั้งหลายเท่า”

จริงนะ แต่พวกนักเรียนที่อยู่เก่าๆ น่ะไม่เห็นค่อยมีใครมาพูดกับพวกใหม่ๆ ก่อนเลย แล้วเราเป็นคนหน้าใหม่จะให้เราเป็นฝ่ายพูดกับเขาก่อนได้ยังไง?”

อุบลส่ายหัวพร้อมกับบอกว่า
“ฉันว่าไม่แปลกหรอก ใหม่หรือเก่า พอชินๆ กันไปหน่อยก็จะรู้จักแล้วก็พูดกันไปเองน่ะแหละ นี่มันวันแรก ใครก็ต้องสงวนท่าทีกันไว้ก่อนเป็นธรรมดา เออเธอสังเกตเห็นนักเรียนเก่าคนหนึ่งไหม? ที่ผูกโบเสียแดงน่ะ แล้วใส่รองเท้าหัวแหลมด้วย”

กาญจนานึกออกและร้องขึ้นทันทีว่า
“อ๋อ! เขาชื่อแสงดารา ชื่อเพราะนะ แต่เห็นคนที่อยู่เก่าเขาบอกว่าคุณครูไม่ค่อยชอบหรอก เพราะเขาดื้อ บอกอะไรก็ไม่เชื่อฟัง คุณครูสั่งว่า ไม่ให้นุ่งกระโปรงยาวเลยเข่า เขาก็นุ่งเสียสั้นจู๋ บอกไม่ให้ใส่รองเท้าหัวแหลม เขาก็ใส่”

ทันใดนั้น เด็กหญิงรุ่นสาวคนที่ถูกพูดถึงนั้น ก็เดินออกมาจากโรงอาหารที่เป็นเรือนสีเขียวอ่อน

สายตาทุกคู่มองไปทางแสงดารา เพราะเธอแต่งกายสะดุดตาจริงๆ เธอเป็นคนสวย ผิวขาว ใบหน้ารูปไข่จิ้มลิ้ม ถ้าเธอแต่งกายธรรมดา ทุกคนก็จะต้องชมเธอว่า ‘เด็กนักเรียนคนนี้สวย’ เธอภูมิใจในความสวยของเธอและยิ่งทะนงตัวมากขึ้น

อุบลกระซิบบอกเพื่อนว่า
“แหม! เขาเดินคอเชิดเชียว”
กาญจนาก็เห็นว่าเป็นแบบนั้นจริงๆ

“เธอดูเขาใส่เสื้อซี เขาดึงเอาเสื้อออกมาเสียยาวเกินขอบกระโปรงตั้งเป็นไหนๆ เข็มขัดโรงเรียนงี้มองไม่เห็นเลย ถูกปิดหมด แล้วชื่อย่อโรงเรียนเขาก็ไม่ได้ปักจากแบบพิมพ์ที่พวกเรามาขอปั๊มกันจากโรงเรียนหรอกนะ เขาคงเขียนเอาเอง มันถึงได้อุตริอย่างงั้น”

กาญจนาพูดเบาๆ
“เขาไว้เล็บยาวด้วย”
“ย้าวยาวแล้วจะเขียนหนังสือทันพวกเราหรือนะ อุบล? ถ้าเขาทาเล็บอีกอย่างเขาคงไม่ใช่นักเรียนเลย”

“ฉันว่าเวลาออกไปข้างนอก เขาก็ทาแน่ ปากเขาก็คงทา เพราะเวลาไม่ทามันดูซีดๆ พิกลนะ ไม่เหมือนปากพวกเราที่ไม่เคยทาลิปสติค ฉันว่าเขาทาแป้งอย่างผู้หญิงสาวด้วยละเธอ กาญจนาสังเกตดูซี มันขาวเว่อเป็นเทือกมองดูกลางวันคล้ายๆ กับจะแต่งไปเที่ยวน่ะ”

กาญจนานิ่งและใช้ความคิดและพูดอย่างใจดีว่า
“เราจะหาเรื่องและจับผิดแสงดารามากไปหน่อยหรือเปล่าก็ไม่รู้นะอุบล”
“ความจริงเราควรเลิกนินทาเขาได้แล้ว เขารู้เข้าเขาก็จะหาว่าเราเป็นคนหน้าใหม่ แล้วยังมาเที่ยวยุ่งธุระของคนเก่าๆ อย่างเขา”

อุบลตอบด้วยความรำคาญ
“เฮ้อ! เธอก็คิดมากเกินไปได้”
“ใครไปนินทาเขาเมื่อไหร่ล่ะ? เราพูดด้วยความหวังดีและพูดให้ตัวเราเองฟังต่างหากล่ะ แล้วก็ไอ้สิ่งที่เราพูดนี่ทุกคนก็เห็นอยู่แล้ว่า มันเป็นความจริง ไม่ได้แต่งขึ้นสักหน่อย”

แสงดาราเดินเข้ามาทางใต้ต้นมะม่วงที่อุบลและกาญจนายืนอยู่ กาญจนายิ้มให้เธอก่อน แล้วอุบลก็ยิ้มตาม

แสงดาราไม่คิดว่านักเรียนหน้าใหม่จะเป็นมิตรอย่างนี้ เธอไม่คิดจะพูดกับเด็กหน้าใหม่เลย แต่เธอก็อดที่จะยิ้มตอบให้อุบลและกาญจนาไม่ได้

กาญจนาทักขึ้นอย่างแจ่มใส
“พี่เดินไปไหนคะ”
“พี่เป็นนักเรียนเก่าใช่ไหมคะ?”

อุบลพูดเสริมขึ้นว่า
“เราสองคนมาจากโรงเรียน…ค่ะ”

แสงดาราหยุดเดินแล้วยืนไขว้ขาอย่างท่านางแบบแล้วตอบว่า
“ใช่พี่อยู่นี่มาหลายปีแล้ว อ๋อ! โรงเรียน…ของเธอพี่ก็รู้จักอยู่แถวๆ สี่เสาเทเวศร์ใช่ไหม? บ้านพี่ก็อยู่นั่น”

อุบลพูดขึ้นว่า
“โอ้โฮ! งั้นพี่ก็เดินทางตั้งไกลซิคะ กว่าจะถึงที่นี่?”

แสงดาราส่ายหน้าแล้วตอบว่า
“เปล่าหรอก รถทอดเดียวก็ถึง บางทีถ้ารถยนต์พี่ว่างก็ให้เขาขับมาส่ง คุณพ่อของพี่ก็เป็นนายพลรู้ไหม? ถ้าออกชื่อท่านน้องก็ต้องรู้จัก พี่เป็นลูกคนเดียวของท่าน ท่านจึงรักและตามใจมาก อยากได้อะไรก็ได้หมดทุกอย่าง แต่คุณแม่ของพี่เสียเสียแล้ว”

“หนูสองคนเสียใจด้วยค่ะ”

“ไม่เป็นไรหรอก ถึงไม่มีคุณแม่ แต่พี่ก็มีเงินใช้ และมีทุกๆ อย่าง หนูชอบทรงผมของพี่ไหม?”

อุบลกับกาญจนาก็จ้องดูทรงผมของแสงดาราที่ตัดสั้นลงมาปรกคิ้ว และมีจอนโตๆ อยู่ข้างใบหู

กาญจนารีบตอบเพื่อเอาใจ
“ก็…สวยดีนี่คะ”

แสงดารายกมือขึ้นแตะผมแล้วพูดว่า
“นั่นซี ราคาแพงออกจะตายไป ให้ช่างเขาตัด สระ เซท แหม! กระเป๋าแห้งเลยเชียว”

อุบลทำตาโต ลูบศีรษะตัวเอง แล้วพูดว่า
“โอ้โฮ พี่ทำผมที่ร้านด้วยหรือคะ?”

แสงดาราตอบแบบโอ้อวด
“ใช่ซี พี่มีเงินใช้นี่ หนูคงไม่ได้เงินมากเท่าพี่ หนูจึงไปทำผมตามร้านไม่ได้”
“แล้วดูเสื้อของพี่ซิ ผ้าสวิสแท้ๆ นะ เนื้อมันถึงได้นุ่มนวล แล้วก็เนื้อดีอย่างนี้ ใส่แล้วสวย”

ทั้งๆ ที่อุบลตั้งใจจะเหน็บแนมแต่ก็แกล้งทำเสียงแบบใส่ซื่อบริสุทธิ์
“พี่ดึงชายเสื้อออกมาตั้งแยะ จวนหลุดออกมานอกกระโปรงแล้วละ”

แสงดาราตอบว่า
“อ้าว! สมัยนี้ใครเขาเอาเสื้อเข้าในกระโปรงตึงๆ กันมั่งล่ะ ก็เชยแย่”

อุบลยังแย้งต่อ
“แต่กฎของโรงเรียนเขามีนี่คะ พี่ไม่เชื่อกฎแล้วคุณครูไม่ว่าพี่หรือคะ?”

แสงดาราหัวเราะแบบนางแบบแล้วตอบว่า
“อุ๊ยตาย! พี่น่ะโดนครูดุตั้งปีละสามร้อยหน แต่มันเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา พี่ไม่คอยมานั่งฟังหรอก ขืนมัวแต่ฟังครูก็เลยพอดีแก่หง่อมเหมือนพวกครูกันละ”

เผอิญอาจารย์ใหญ่เดินผ่านมาหยุดฟังพอดี แล้วพูดขึ้นว่า
“ไหน พูดอะไรนะครูๆ ได้ยินแต่คำว่าครู แสงดาราว่าไง?”

แสงดาราสะดุ้งโหยง หันไปหัวเราะแหะๆ อย่างเก้อๆ ส่วนอุบลกับกาญจนาก็ก้มตัวลงทำความเคารพอาจารย์ใหญ่ อาจารย์ใหญ่มองดูอุบลกับกาญจนาอย่างพอใจ
“เธอแต่งตัวเรียบร้อนดีนี่ ถูกต้องตามกฎและข้อบังคับของโรงเรียนทุกอย่าง เธอเป็นเด็กใหม่ใช่ไหม?”

“ค่ะ อาจารย์” อุบลกับกาญจนาตอบแทบจะพร้อมกัน

เมื่ออาจารย์ใหญ่หันไปมองแสงดาราก็พูดว่า
“แล้วดูเธอซี ไม่มีอะไรดูได้เลย มองแล้วยังกับไม่ใช่นักเรียน ผมเผ้าก็ตัดเอาไว้แบบประหลาด หน้าก็ดูเหมือนจะทาใช่ไหม? แล้วเสื้อแสงกับกระโปรงทำไมมันจึงได้ผิดแบบไปหมดอย่างงี้ แสงดารา? รองเท้านี่ต้องเปลี่ยนใหม่ภายในสิ้นเดือนนะ ไม่มีข้อแก้ตัว อ้อ! ปีนี้ขยันขึ้นกว่าปีกลายและปีที่แล้วหน่อยซีจ๊ะ อย่าลืมว่าเธอซ้ำ ม.ศ. หนึ่ง-สอง-สาม มาแล้วชั้นละปี และซ้ำ ม.ศ. สี่แล้วหนึ่งปี โรงเรียนเราไม่อาจต้อนรับผู้ที่สอบตกสองปีซ้อนได้ ไม่ว่าในกรณีใด จำไว้นะ แสงดารา”

อุบลและกาญจนาสบตากันแล้วเดินเลี่ยงไป และคิดตรงกันว่าเด็กใหม่อย่างเธอมารู้ความลับของแสงดาราเข้า แสงดาราคงเชิดหน้าต่อไปไม่ถนัดหรอก แสงดาราต้องก้มลงมองพื้นด้วยความอับอาย

ที่มา: จากหนังสือเรื่อง มรรยาทงาม ของ ผกาวดี อุตตโมทย์