สมเด็จพระสุริโยทัย

พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาเมื่อปี พ.ศ. ๒๐๙๑ ระบุว่า
“…แผ่นดินกรุงศรีอยุธยาเป็นทุรยศ ประพฤติเหตุว่า สมเด็จพระไชยราชาธิราช สวรรคตแล้ว เสนาบดียกพระยอดฟ้าราชกุมาร พระชนม์สิบเอ็ดขวบ ขึ้นครองราชย์สมบัติ เจ้าแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์ มารดาพระสมเด็จพระสุริโยทัยยอดฟ้า กระทำทุจริตสามัคคีรสสังวาสด้วยขุนชินราช ให้ฆ่าพระยอดฟ้าเสีย ยกขุนชินราชขึ้นผ่าน
พิภพกรุงเทพทวาราวดีศรีอยุธยา เสนาพฤฒามาตย์มีความพิโรธเคืองแค้น คิดฆ่าขุนชินราช และแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์เสีย…”

สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ จึงได้เป็นพระมหากษัตริย์ผู้ครองราชย์ต่อมา ครองราชย์ในระหว่างปี พ.ศ. ๒๐๙๑-๒๑๑๑ ถ้าศึกษาประวัติศาสตร์อย่างละเอียดจะพบว่า ยุคนี้เป็นยุคแห่งการเริ่มต้น กรุงศรีอยุธยาต้องรับศึกหนักจากพม่าที่มีพลังกองทัพมหึมาเข้าประชิดใกล้พระนครหลายครั้ง ในแต่ละครั้งก็ได้ทำความเสียหายไว้เป็นอันมาก เฉพาะการประจัญบานครั้งแรกในปี พ.ศ. ๒๐๙๑ ไทยได้สูญเสียวีรกษัตรีที่กล้าหาญ พระนามว่า “สมเด็จพระสุริโยทัย” ไปท่ามกลางสนามรบ

ทัพในครั้งนี้เป็นเหมือนการสำรวจสถานการณ์ความมั่นคงของไทย พระเจ้าตเบ็งชเวตี้ได้ข่าวว่าไทยกำลังเกิดจลาจล จึงคิดฉวยโอกาสรวบไทยไว้ในอาณาเขตในขณะที่กำลังวุ่นวาย แต่เมื่อเข้ามาบ้านเมืองก็สงบสุขแล้ว ก็เพียงแต่ตรวจตราเพื่อเตรียมหาทางประชิดใหม่ แล้วยกทัพกลับไปโดยไม่ได้รบ และอีกไม่นานก็ยกกำลังพลมากมายมาตีกรุงศรีอยุธยา ในการรบครั้งนี้ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงเรียกว่า “สงครามคราวสมเด็จพระสุริโยทัยขาดคอช้าง” ซึ่งมีอยู่ในหนังสือเรื่อง ไทยรบพม่า

วีรกรรมของสมเด็จพระสุริโยทัยนั้นล้ำเลิศสุดจะกล่าวได้ แม้ตามประวัติศาสตร์จะกล่าวเหตุการณ์ไว้ไม่ละเอียดพิสดาร แม้จะเป็นเวลานานมาแล้ว ปัจจุบันก็ยังหาวีรสตรีที่ได้ประกอบวีรกรรมเสียสละสูงเช่นพระนางไม่ได้เลย

เพื่อสรรเสริญสักการะพระกรณียคุณให้ปรากฏตลอดไป ก็น่าจะได้เล่าขานวิเคราะห์ลักษณะที่แท้จริงของพระองค์

สมเด็จพระสุริโยทัย เป็นกุลสตรีสูงศักดิ์ เพียบพร้อมไปด้วยขัตติยราชนารี ที่ทรงพระปรีชาชาญแกล้วกล้า องอาจเด็ดเดี่ยว น้ำพระทัยเปี่ยมไปด้วยความรักชาติ เทิดทูนพระมหากษัตริย์ ในฐานะพระอัครมเหสีก็ทรงมีความกตัญญูต่อพระราชสวามี ถวายชีวิตเป็นราชพลีโดยไม่ทรงเสียดาย ทรงเป็นผู้มีความสามารถในการอบรมเลี้ยงดูพระราชโอรสและพระราชธิดาอย่างประเสริฐในฐานะพระราชมารดา ทรงปลูกฝังให้รู้จักเสียสละ รักชาติบ้านเมือง กล้าเผชิญภัยพิบัติอย่างองอาจ ฝึกให้ชำนาญการรบเพื่อเตรียมป้องกันประเทศ รอบรู้ยุทธศาสตร์ทั้งการใช้อาวุธและการคชกรรม

ความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวของสมเด็จพระสุริโยทัย มิได้มีแต่ที่กล่าวไว้ในพระราชพงศาวดารอย่างเดียว ซึ่งก่อนหน้านี้ก็พบว่า ในสมัยแผ่นดินของสมเด็จพระยอดฟ้า ที่สิทธ์ขาดการปกครองเป็นของเจ้าแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์ บรรดาข้าราชการและราชวงศ์สำคัญก็หวาดระแวงไม่ไว้วางใจ โดยเฉพาะสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ พระอนุชาต่างพระมารดาของสมเด็จพระไชยราชาธิราช ขณะเมื่อยังดำรงพระยศเป็นสมเด็จพระเทียรราชา ได้เสด็จหลบหนีราชภัยไปทรงผนวชอยู่ระยะหนึ่ง ที่วัดราชประดิษฐาน ระหว่างที่ราชตระกูลขาดผู้นำ พระราชภาระการปกครองดูแลพระราชโอรสธิดา ข้าทาส บริพาร ตลอดจนทรัพย์ศฤงคาร และป้องกันมิให้ผู้ใดมาข่มเหงเบียดเบียนท่ามกลางภัยนานา ก็น่าจะตกเป็นของสมเด็จพระสุริโยทัยเพียงผู้เดียว เพราะถ้าหากว่าท่านไม่ทรงแข็งแกร่ง สมเด็จพระสวามีก็คงจะออกผนวชอย่างหมดกังวลไม่ได้

ชาวไทยต้องเตรียมฝึกการรบอย่างชำนิชำนาญในสมัยต้นกรุงศรีอยุธยา เพื่อไว้รับมือกับศัตรูที่จะเข้ามารุกราน ไม่ว่าหญิงหรือชายก็ต้องคอยระมัดระวังภัย จนมีสุภาษิตกล่าวไว้ว่า “เมื่อสิ้นหน้านา ผู้หญิงทอผ้า ผู้ชายตีเหล็ก” ไทยเรามีศิลปะล้ำเลิศในการเรียนรู้วิชาการต่อสู้ป้องกันตัวด้วยอาวุธ ทั้งหญิงและชายต่างก็ต้องฝึกฝน ในจารึกครั้งสุโขทัยได้บรรยายสภาพบ้านเมืองไว้ตอนหนึ่งว่า “มีเมืองกว้าง ช้างหลาย” ซึ่งเมืองช้างหลายมิได้อยู่ที่สุโขทัยเพียงที่เดี่ยว เพราะได้ปรากฏว่าผืนแผ่นดินไทยในสุวรรณภูมินั้นอุดมไปด้วยช้างมากมาย ชาวไทยนิยมจับช้างมาฝึกให้ทำงาน และช่วยงานสงครามทุกสมัย ชาวไทยจึงได้ประโยชน์ต่างๆ จากการที่มีช้างเป็นจำนวนมากนี้

แนวทางของสภาวะสังคมไทยดังกล่าว เมื่อวิเคราะห์ดู จะเห็นถึงน้ำใจของคนไทยว่ามีความรักชาติสูง ดังนั้น การดำรงพระจริยาวัตรของราชตระกูลสมเด็จพระเทียรราชา และสมเด็จพระสุริโยทัยจึงได้มีความยึดมั่นในอุดมการณ์รักชาติอย่างสูง ได้ฝึกหัดวิชาต่อสู้ป้องกันตัว ตลอดจนวิชาคชกรรมตามอย่างของบรรพบุรุษอย่างชำนาญ สามารถนำมาใช้ได้ทันที และได้ถ่ายทอดอบรมให้พระราชโอรสและพระราชธิดามีความรู้อย่างดีด้วย สมเด็จพระสุริโยทัยจึงอาจหาญขอตามเสด็จไปด้วยโดยมิได้หวาดหวั่นในขณะที่มีศึกพระเจ้าตเบ็งชเวตี้ยกเข้ามา

พระราชโอรสและพระราชธิดาของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ และสมเด็จพระสุริโยทัย มีอยู่ ๕ พระองค์คือ

๑. พระราเมศวร
๒. พระวิสุทธิกษัตรี
๓. พระบรมดิลก
๔. พระเทพกษัตรี
๕. สมเด็จพระมหินทราธิราช
พระองค์แรกและพระองค์สุดท้ายเป็นชาย นอกจากนั้นเป็นหญิง

พระราเมศวร
เป็นพระราชโอรสพระองค์ใหญ่ มีความเข็มแข็ง กล้าหาญในการสงคราม มีความรักชาติ รักเกียรติภูมิ ได้อยู่ในตำแหน่งรัชทายาท แต่ได้เพลี่ยงพล้ำต่อพระเจ้าบุเรงนองในสงครามช้างเผือก จึงต้องไปเป็นตัวประกันอยู่ที่กรุงหงสาวดี

พระวิสุทธิกษัตรี
มีพระนามเดิมว่า พระสวัสดิราช เป็นพระราชธิดาพระองค์ใหญ่ สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ พระราชทานให้เป็นอัครมเหสีของ พระมหาธรรมราชา ครองเมืองพิษณุโลก ซึ่งเป็นพระราชมารดาของสมเด็จพระเอกาทศรถ และพระสุพรรณกัลยา พระราชโอรสและพระราชธิดาที่มีพระชนม์ชีพเพื่ออุทิศให้แก่แผ่นดิน

พระบรมดิลก
เป็นพระนามที่ลี้ลับไม่เปิดเผยแจ่มแจ้ง ปรากฏในหนังสือ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับหลวงประเสริฐว่า มีพระชนมายุเพียง ๑๖ พรรษา ประกอบวีรกรรมกับสมเด็จพระราชชนนีในสมรภูมิรบ เป็นขัตติราชกุมารี มีความรู้ในการศึกและคชกรรม มีความสามารถในวิชาการสำคัญต่างๆ คือ มีความกล้าหาญ มีน้ำพระทัยเข้มแข็ง รักชาติศาสนา มีความจงรักภักดีต่อสมเด็จพระชนกชนนีนาถ เสียสละเลือดเนื้อและชีวิตเพื่อแผ่นดิน

พระเทพกษัตรี
เป็นพระราชธิดาที่ต้องพลัดพรากไปอยู่ต่างแดน เพราะพระเจ้าไชยเชษฐาแห่งกรุงศรีสัตนาคนหุต ได้ขอพระราชทานไปเป็นพระอัครมเหสี แต่พระเจ้าบุเรงนองก็มาชิงตัวเอาไปต่อ

สมเด็จพระมหินทราธิราช
ได้เป็นกษัตริย์สืบต่อจากสมเด็จพระราชบิดา ในการบริหารราชการบ้านเมืองต้องประสบกับความยุ่งยาก ในปลายรัชสมัยต้องเสียพระทัยแสนสาหัส เพราะต้องเสียเอกราชอธิปไตยให้แก่พม่าเป็นครั้งแรก

ประวัติศาสตร์จากพระราชพงศาวดารก่อนที่จะถึงวีรกรรมของสมเด็จพระสุริโยทัย แสดงให้เห็นเหตุการณ์ได้ชัดเจน มีความว่าดังนี้

“พระเจ้าหงสาวดี(พระเจ้าตเบ็งชเวตี้) ยกทัพข้ามเมืองกาญจนบุรี ถึงพระนครศรีอยุธยา ณ วันเสาร์ เดือนยี่ ขึ้นห้าค่ำ ตั้งค่ายอยู่ที่ตำบลกุ่มดอง ทัพพระมหาอุปราช ตั้งค่ายที่ตำบลเพนียด ทัพพระเจ้าแปร ตั้งค่ายตำบลบ้านใหม่มะข่ามหย่อง ทัพพระยาพสิม ตั้งค่ายตำบลทุ่งประเชษฐ์

ครั้นรุ่งขึ้น ณ วันอาทิตย์ เดือน ๓ ขึ้นห้าค่ำ สมเด็จพระมหาจักรพรรดิราชาธิราช จะเสด็จยกพยุหโยธาทวยหาญออกไปดูกำลังข้าศึก ณ ทุ่งภูเขาทอง

จึงทรงเครื่องราชอลังการยุทธ เสด็จทรงช้างต้นพลายแก้วจักรรัตน์ สูงหกศอกคืบห้านิ้ว เป็นพระคชาธารประดับคชาลังการอาภรณ์เครื่องมั่น มีกลางช้างและควาญ

ฝ่ายพระสุริโยทัยผู้เป็นพระอัครมเหสี ประดับองค์เป็นพระยามหาอุปราช ทรงเครื่องสำหรับราชรณรงค์ เสด็จทรงช้างพลายนาคพินายสุริยสำหรับกษัตริย์ สูงหกศอกเป็นพระคชาธาร ประดับคชาภรณ์เครื่องมั่นเสร็จมีกลางช้างแลควาญ

พระราเมศวรทรงเครื่องศรีธิราชปิลันธนาวราภรณ์ สำหรับพิชัยยุทธสงครามเสร็จเสด็จทรงช้างต้นพลายมงคลจักรพาฬ สูงห้าศอกคืบสิบนิ้ว ประดับคชาภรณ์เครื่องมั่นมีกลางช้างแลควาญ

พระมหินทราธิราชทรงราชวิภูษณาลังกาภรณ์ สำหรัพระมหาพิชัยยุทธรณรงค์ เสด็จทรงช้างต้นพลายพิมานจักรพรรดิ สูงห้าศอกคืบแปดนิ้ว ประดับด้วยกุญชรอลงกตเครื่องมั่น มีกลางช้างแลควาญ

ครั้นได้มหาศุภวารฤกษ์ราชดิถี พระโหราลั่นฆ้องชัยประโคมอุโฆษ แตรสังข์อึงอินทเภรี

สมเด็จพระมหาจักรพรรดิราชาธิราชเจ้า ก็ยาตราพระคชาธาร พระอัครมเหสีและพระเจ้าลูกเธอทั้งสองพระองค์ โดยเสด็จเหล่าคชพยุหดั้ง กั้นแทรกแซงดาษไป บ้างโลดเล่นเต้นรัวระบำไป มีทหารประจำขี่กรกุมปืน ปลายขอประจำคอทุกตัวสาร ควาญประจำท้ายล้อมเป็นดั่นดงโดยขนัด

แล้วถึงหมู่พยุหแสนยากรโยธาหาญเดินเท้า ถือดาบดั้งเสโลหโตมรหอกใหญ่ หอกคู่ธงทวนธนูปืนนกสับคับคั่ง ซ้ายขวาหน้าหลัง โดยขบวนคชพยุหสงคราม

เสียงเท้าพลและช้างสะเทือนดังพสุธาดลจะทรุด

สมเด็จพระมหาจักรพรรดิราชาธิราชเจ้า เสด็จยืนพระคชาะรประมวลพล แลคชพยุหโดยขบวนตั้งอยู่ ณ โคกพระยา

ฝ่ายกองตระเวนเห็นดังนั้น ก็เข้าไปกราบทูลพระเจ้าหงสาวดี โดยได้เห็นทุกประการ สมเด็จพระเจ้าหงสาวดีตรัสว่า ชะรอยจะเป็นทัพพระมหาจักรพรรดิราชาธิราชเจ้า ยกออกมาจะกระทำคชพยุหสงครามกับเรา พระองค์ตรัสให้ยกพลหลวงออกจากค่ายตั้งโดยขบวน สมเด็จพระเจ้าหงสาวดีทรงเกราะเครื่องพิชัยยุทธ ย่อมทับถมด้วยวิชาศาสตร์เวทคาถา แล้วสอดใส่พระมหาสุพรรณสังวาลประดับเพชรพื้นราม สรรพคุณเวทคาถาต่างๆ พระมหามาลาลงเลขยันต์กันสรรพศัสตราวุธภยันตราย สำหรับราชรณรงค์ยุทธ เสร็จเสด็จทรงช้างต้นพลายมงคลปรานทวีป สูงเจ็ดศอก เป็นพระคชาธารประดับคชภรณ์เครื่องมั่นมีกลางช้างแลควาญ เครื่องสูงสำหรับราชรณรงค์แห่โดยขนาด มีหมู่ทหารถือดาบดั้งหมื่นหนึ่ง ล้อมพระคชาธาร พระเจ้าแปรประดับเครื่องอลังการเครื่องพิชัยยุทธ ทรงช้างต้นพลายเทวนาคพินาย สูงหกศอกคืบเจ็ดนิ้ว เป็นพระคชาธาร ประดับคชาภรณ์เครื่องมั่นมีควาญแลกลางช้างเป็นกองหน้า มีทหารดาบสองมือพันห้าร้อยล้อมพระคชาธาร ช้างท้าวพระยารามัญคับคั่งตั้งโดยขบวนกันกงเป็นขนัด เหล่าพยุหโยธาเดินเท้าถือสรรพศัสตราดาดาษโดยขบวน สมเด็จพระเจ้าหงสาวดี ก็ยกพยุหโยธาทวยหาญออกตั้งยังท้องทุ่งตรงหน้าทัพสมเด็จพระมหาจักรพรรดิราชาธิราชเจ้า ห่างกันประมาณร้อยเส้น เสด็จยืนพระคชาธารคอยฤกษ์ จึงตรัสให้พลม้ารำทวนชักชิงคลองกันไปให้เริงหน้าทัพ ฝ่ายพลเครื่องเล่น เต้นรำเฮฮาเป็นโกลาหล ฝ่ายพลดาบดั้ง ดาบสองมือ ก็รำล่อเลี้ยงกันไปมา

ขณะนั้นพระเจ้าหงสาวดีทอดพระเนตรดูอากาศ เห็นอาทิตย์แจ่มดวงหมดเมฆหมอกแล้ว คิชฌราชบินนำหน้าทัพ ครั้นเห็นศุภนิมิตราชฤกษ์ดั่งนั้น ก็ให้ลั่นฆ้องชัยอุโฆษแตรสังข์อึงอินทเภรีขึ้นพร้อมกัน ก็ตรัสให้ขับพลเข้าโจมตีทัพสมเด็จพระมหาจักรพรรดิราชาธิราช

ฝ่ายสมเด็จพระมหาจักรพรรดิราชาธิราช ดำรัสให้แยกพลเป็นปีกกา พลโยธาทั้งสองฝ่ายบ้างแห่โห่โกลาหล เข้าปะทะประจัญตีฟันแทงแย้งยุทธ ยิงปืนระดมศัสตราธุมาการตระหลบไปทั้งอากาศ

พลทั้งสองฝ่าย บ้างตาย บ้างลำบาก กลิ้งกลาดเกลื่อนท้องทุ่งเป็นอันมาก

สมเด็จพระมหาจักรพรรดิราชาธิราชเจ้า ก็ขับพระคชาธารเข้าชนช้างกองหน้าพระเจ้าหงสาวดี

พระคชาธารเสียทีให้หลังแก่ข้าศึก เอาไว้ไม่อยู่ พระเจ้าแปรได้ท้ายข้าศึกดั่งนั้น ก็ขับพระคชาธาร ตามไล่ช้างพระมหาจักรพรรดิราชาธิราชเจ้า

พระสุริโยทัยเห็นพระราชสวามีเสียที ไม่พ้นมือข้าศึก ทรงกตัญญูภาพ ก็ขับพระคชาธารพลายทรงสุริยกษัตริย์สะอึกออกรับ

พระคชาธารพระเจ้าแปรได้ล่าง แบกถนัด

พระคชาธารพระสุริโยทัยแหงนหงายเสียที

พระเจ้าแปรจ้วงฟันด้วยพระแสงของ้าว ต้องพระอังสาพระสุริโยทัย ขาดกระทั่งถึงราวพระถันประเทศ

พระราเมศวรกับพระมหินทราธิราช ก็ขับพระคชาธารถลันจะเข้าแก้พระมารดาไม่ทันที พอสมเด็จพระชนนีสิ้นพระชนม์กับคอช้าง พระราเมศวร พระมหินทราธิราช พี่น้องทั้งสององค์ถอยรับข้าศึกกันพระศพสมเด็จพระราชมารดาเข้าพระนครได้ โยธาชาวพระนครแตกพ่าย ข้าศึกรี้พลตายเป็นอันมาก สมเด็จพระมหาจักรพรรดิราชาธิราชเจ้าจึ่งให้เชิญพระศพพระสุริโยทัย ผู้เป็นอัครมเหสี มาไว้ตำบลสวนหลวง

ครั้นกองทัพสมเด็จพระเจ้าหงสาวดี ยกไปแล้ว สมเด็จพระมหาจักรพรรดิราชาธิราชเจ้าให้แต่งการพระราชทานเพลิงศพพระสุริโยทัย ซึ่งขาดคอช้างเสร็จแล้ว สมเด็จพระมหาธรรมราชาก็ถวายบังคมลากลับขึ้นไปยังเมืองพิษณุโลก ฝ่ายสมเด็จพระมหาจักรพรรดิราชาธิราชเจ้าให้สถาปนาที่พระราชทานเพลิงนั้นเป็นพระเจดีย์วิหาร เสร็จแล้วให้นามชื่อวัด สบสวรรค์”

เมื่อประมาณ พ.ศ. ๒๔๓๐ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีพระราชดำริให้ช่างเขียนที่มีฝีมือ เขียนรูปภาพ และแต่งโคลงบรรยายประกอบ โดยทรงเลือกสรรเหตุการณ์ในพระราชพงศาวดาร โดยตอนพิเศษเป็นเหตุการณ์ตอนที่สมเด็จพระสุริโยทัยขาดคอช้าง โปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ เป็นผู้เขียนภาพ ซึ่งได้ให้รางวับเป็นที่ ๓ และพระองค์ทรงพระราชนิพนธ์โคลงสดุดีพระเกียรติด้วยพระองค์เอง โดยมีความว่า

“บุเรงนองนามราชเจ้า จอมรา มัญเฮย
ยกพยุหแสนยา ยิ่งแกล้ว
มอญม่านประมวลมา สามสิบ หมื่นแฮ
ถึงอยุธเยศแล้ว หยุดใกล้นคราฯ
พระมหาจักรพรรดิเผ้า ภูวดล สยามเฮย
วางค่ายรายรี้พล เพียบหล้า
ดำริจักใคร่ยล แรงศึก
ยกนิกรทัพกล้า ออกตั้งกลางสมรฯ
บังอรอรรคเรศผู้ พิสมัย ท่านนา
นามพระสุริโยทัย ออกอ้าง
ทรงเครื่องยุทธพิชัย เช่นอุป ราชแฮ
เถลิงคชาธารคว้าง ควบเข้าขบวนไคลฯ
พลไกรกองน่าเร้า โรมรัน กันเฮย
ช้างพระเจ้าแปรประจัน คชไท้
สารทรงชวดเซผัน หลังแล่น เตลิดแฮ
เตลงขับคชไล่ใกล้ หวิดท้ายคชาธารฯ
นงคราญองค์เอกแก้ว กระษัตรีย์
มานมนัศกัตเวที ยิ่งล้ำ
เกรงพระราชสามี มลายพระ ชนม์เฮย
ขับคเชนทรเข่นค้ำ สอึกสู้ดับกรฯ
ขุนมอญร่อนง้าวฟาด ฉาดฉะ
ขาดแล่งตราบอุระ หรุบดิ้น
โอรสรีบกันพระ ศพสู่ นครแฮ
สูญชีพไป่สูญสิ้น พจน์ผู้สรรเสริญฯ”

ประวัติศาสตร์ของชาติไทยจากเหตุการณ์ของสมเด็จพระสุริโยทัย ทำให้รู้ว่าในอดีตต้องเผชิญกับภัยรอบด้านเสมอ การสร้างอาณาจักรให้มั่นคงในดินแดนแหลมทองไม่ใช่จะเจริญอย่างสงบสุขมาตามลำพัง แต่ต้องต่อสู้ เสียสละ สามัคคี เสียเลือดเนื้อทับถมบนผืนแผ่นดินไปด้วยวิญญาณบรรพบุรุษคนแล้วคนเล่าหลายยุคหลายสมัย ความเป็นนักรบและมีเลือดนักสู้ของไทยไม่เลือกว่าเป็นบุรุษหรือสตรี

สมเด็จพระสุริโยทัยทรงเป็นสายเลือดไทยที่มีความเป็นนักสู้ที่กล้าหาญ เสียสละเพื่อชาติ เพราะพระมหากษัตริย์เป็นหลักสำคัญของบ้านเมือง เป็นประมุขของชาติ หากสูญสิ้นไปบ้านเมืองก็ระส่ำระสาย ในยามสงครามหากขาดผู้บัญชาการทัพก็ย่อมเกิดความเพลี่ยงพล้ำได้ง่าย สมเด็จพระสุริโยทัยจึงเป็นผู้ช่วยชาติและผืนแผ่นดินไทยให้รอดพ้นจากเหตุการณ์ดังกล่าว ทรงเป็นแบบอย่างที่ดีงามของวีรกษัตรีไทยที่รักชาติเสมอชีวิต ลูกหลานชาวไทยจึงควรทะนุถนอมบำรุงแผ่นดินไทยไว้ให้คงอยู่อย่างสงบ เหมือนที่สมเด็จพระสุริโยทัยทรงรักและหวงแหน

ที่มา: จากหนังสือเรื่อง สตรีสำคัญในประวัติศาสตร์ไทย
เรียบเรียงโดย: สายไหม จบกลศึก

พระนางมหาเทวีจิระประภา

วีรสตรีราชวงศ์มังราย หรือพระนางมหาเทวีจิระประภา ปกครองอาณาจักรล้านนาระหว่าง พ.ศ. ๒๐๘๘-๒๐๘๙ เป็นช่วงสงครามกลางเมืองในเชียงใหม่ และถูกรุกรานจากกองทัพสมเด็จพระไชยราชาธิราชแห่งกรุงศรีอยุธยา จนต้องยอมอ่อนน้อมส่งเครื่องราชบรรณาการให้กับกองทัพของกรุงศรีอยุธยา ก่อนที่พระเจ้าไชยเชษฐาจะเสด็จมาจากอาณาจักรล้านช้างเพื่อปกครองอาณาจักรล้านนา ตามที่ขุนนางของล้านนากราบทูลเชิญพระนางมหาเทวีจิระประภา

สันนิษฐานกันว่า พระนางมหาเทวีจิระประภา เป็นพระธิดาของพระเมืองเกษเกล้า เจ้าเมืองเชียงใหม่ ที่ครองเมืองระหว่าง พ.ศ. ๒๐๖๘-๒๐๘๑ ก่อนที่พระนางมหาเทวีจิระประภาจะได้ครองเมืองเชียงใหม่ก็เกิดเหตุการณ์วุ่นวายตลอดมา คือ พระเมืองเกษเกล้า ถูกขุนนางเชียงใหม่ต่อต้าน และปลดจากตำแหน่งเจ้าเมืองเชียงใหม่ และให้กลับไปครองเมืองน้อยที่เคยครองอยู่ แล้วอัญเชิญท้าวชาย ซึ่งเป็นโอรสพระเมืองเกษเกล้า ขึ้นครองเมืองเชียงใหม่อยู่ได้ ๕ ปี ระหว่าง พ.ศ. ๒๐๘๑-๒๐๘๖ แล้วปลงพระชนม์ท้าวชายเสีย และกลับไปอัญเชิญพระเมืองเกษเกล้ามาครองเมืองเชียงใหม่เป็นครั้งที่ ๒ และเมื่อครองเมืองอยู่ได้แค่ ๒ ปี ระหว่าง พ.ศ. ๒๐๘๖-๒๐๘๘ ก็ถูกปลงพระชนม์อีก

ใน พ.ศ. ๒๐๘๘ เกิดความแตกแยกขึ้นกับขุนนางเมืองเชียงใหม่และหัวเมืองต่างๆ มีการแข่งขันแย่งชิงอำนาจกัน ต่างก็สนับสนุนให้เจ้านายของตนขึ้นครองเมืองเชียงใหม่ มีแสนคร้าว เป็นหัวหน้ากลุ่มเมืองเชียงใหม่ ได้เชิญพระยาเขมรุ่ง เจ้าเมืองเชียงตุง มาครองเมืองเชียงใหม่ แต่เจ้าเมืองเชียงตุงก็ปฏิเสธ จึงไปเชิญเจ้าเมืองนาย แต่เจ้าเมืองนายก็ยังไม่มา แสนคร้าวจึงถูกกำจัด

กลุ่มหัวเมืองอื่นๆ ที่ประกอบไปด้วย เจ้าหมื่นสามล้านอ้ายเจ้าเมืองลำปาง หมื่นแก้วเจ้าเมืองเชียงราย หมื่นมโนเมืองเชียงแสน และหมื่นยี่เจ้าเมืองพาน ได้อัญเชิญพระไชยเชษฐาจากกรุงศรีสัตนาคนหุต อาณาจักรล้านช้าง ซึ่งเป็นพระนัดดาของพระเมืองเกษเกล้า มาครองเมืองเชียงใหม่

ในระหว่างที่พระไชยเชษฐากำลังเดินทางมาครองเมืองเชียงใหม่ กองทัพแสนหวี ที่นำโดยหมื่นหัวเตี่ยน ก็ยกมารบกับแสนคร้าว เมื่อสู้ไม่ได้ก็หนีไปเมืองลำพูน ไปขอกำลังจากรุงศรีอยุธยาให้ไปช่วย บรรดาเจ้าเมืองต่างๆ ที่อัญเชิญให้พระไชยเชษฐายกทัพมาจากเมืองเชียงแสน ก็จับแสนคร้าวและพวกฆ่าเสีย แล้วอัญเชิญ พระนางมหาเทวีจิระประภา ให้ครองเมืองเชียงใหม่ชั่วคราว จนกว่าพระไชยเชษฐาจะเสด็จมาถึงจากกรุงศรีสัตนาคนหุต

กองทัพของสมเด็จพระไชยราชาธิราช ได้ยกมาจากกรุงศรีอยุธยา ไปตีเมืองเชียงใหม่ในปีเดียวกันนี้ จึงทำให้พระนางมหาเทวีจิระประภา ต้องยอมส่งเครื่องราชบรรณาการให้ ต่อมาใน พ.ศ. ๒๐๘๙ พระไชยเชษฐาได้เสด็จมาจากกรุงศรีสัตนาคนหุต เมื่อถึงเมืองเชียงแสน เมืองเชียงราย ขุนนางเชียงใหม่มารับเสด็จ ได้ทรงสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์วัดเชียงยืน พระแก้วมรกต และพระมหาเจดีย์หลวง พระนางมหาเทวีจิระประภาจึงสละราชย์ให้พระไชยเชษฐา ทรงครองเมืองเชียงใหม่ต่อไป

ในช่วงเวลาของการจลาจล แย่งยิงอำนาจ รวมทั้งถูกรุกรานจากภายนอก พระนางมหาเทวีจิระประภาก็เป็นสตรีที่สามารถปกครองเมืองเชียงใหม่เอาไว้ได้

ที่มา: จากหนังสือเรื่อง สตรีสำคัญในประวัติศาสตร์ไทย
เรียบเรียงโดย: ศิรินันท์ บุญศิริ

พระราชเทวีแห่งสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒

อัครมเหสีของพระมหากษัตริย์สุโขทัยมีตำแหน่งเป็น พระราชเทวี โดยเฉพาะในยุคที่ขนานนามพระมหากษัตริย์ว่า มหาธรรมราชา แต่พบหลักฐานว่าพระอัครมเหสีแห่งสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒ (เจ้าสามพระยา) พระมหากษัตริย์อยุธยา ที่ครองราชย์ระหว่าง พ.ศ. ๑๙๖๗-๑๙๙๑ นั้น ในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับปลีก หมายเลข ๒/ก ๑๐๔ ต้นฉบับของหอสมุดวชิรญาณหน้าต้น(ตอนA) บรรทัดที่ ๓๖-๔๐ ได้ขานตำแหน่ง “ราชเทวี” ไว้ดังนี้

“อันดับนั้นพระราชเทวีทูลแต่พระบรมราชาธิราชเจ้า ด้วยจะย่อมหงอก(คงเป็นพิธีกระทำเมื่อย่างสู่ปัจฉิมวัย) แม่นางษาขามารดาแลจะขอชื่อให้ สมเด็จผู้เป็นเจ้าก็ประสาทคานหามทองไม้เท้าทองแลเครื่องราชาประโภค ให้นามกรชื่อพรประสิทธิ์ แม่นางษาขาพระราชมารดานางพญาแลมหาธรรมราชาธิราชนั้น”

ตีความหมายจากข้อความนี้ได้ว่า พระราชเทวีพระองค์นี้เป็นพระราชชนนีของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ พระราชโอรสผู้ครองราชย์ต่อจากสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒ และเป็นพระเชษฐภคินี(พี่สาว)ของมหาธรรมราชา ในขณะนั้นคือ มหาธรรมราชาที่ ๔(บรมปาล)

มีบันทึกในตำนานสิบห้าราชวงศ์ เล่มที่ ๒ ผูกที่ ๔ ว่า เมื่อพระมหาธรรมราชาที่ ๔ (บรมปาล) สวรรคต พระยายุธิษเฐียร ซึ่งเป็นโอรส ได้ขึ้นครองพิษณุโลก ระหว่าง พ.ศ. ๑๙๘๑-๑๙๙๔ แต่ไม่พอพระทัยที่สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถไม่ทรงแต่งตั้งให้เป็นมหาอุปราชตามที่ทรงสัญญาไว้ จึงไปอยู่กับพระเจ้าติโลกราช แห่งเชียงใหม่ ในฐานะลูกหลวง ทำให้เกิดสงครามยืดเยื้อ ระหว่างพระเจ้าติโลกราชกับสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ

ผู้ปกครองพิษณุโลกต่อจากนั้นก็น่าจะเป็นพระราชเทวี เพราะมีความชอบธรรมในฐานะเป็นพระเชษฐภคินีของมหาธรรมราชาที่ ๔ ซึ่งมีพระราชชนกร่วมกัน คือ สมเด็จพระมหาธรรมราชาที่ ๓(ไสยลือไทย) ซึ่งจะเห็นได้ว่า เมื่อพระยาเชลียงนำพระเจ้าติโลกราชมาตีเมืองพิษณุโลกใน พ.ศ. ๒๐๐๔ ตามที่ระบุใน พระราชพงศาวดารกรุงเก่าฉบับหลวงประเสริฐ และเข้าล้อมเมืองอยู่เป็นเวลานานนั้น เป็นช่วงที่สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ได้เสด็จมาที่เมืองพิษณุโลกพอดี โคลงยวนพ่ายว่า เสด็จมาถึงพิษณุโลกด้วยความยินดี จึงตีความกันว่า คงเสด็จมาเยี่ยมพระราชชนนี สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถได้ร่วมบัญชาการป้องกันเมือง ตำนานสิบห้าราชวงศ์ว่า สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงปรึกษากับ “แม่พระยาใต้” พระยาใต้ก็คือ สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ซึ่งแม่พระยาใต้ทรงแนะนำให้ “เอาเวียงเป็นเล้าเป็นโรงเถอะ” สงครามครั้งนี้ เอกสารฝ่ายเหนือว่า กองทัพสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถหนีออกจากวงล้อมได้ ซึ่งพระเจ้าติโลกราชก็เสด็จกลับนครเชียงใหม่ แต่เอกสารฝ่ายใต้ว่า ทัพเหนือตีพิษณุโลกไม่ได้ก็เลิกทัพกลับไป

พระราชพงศาวดารกรุงเก่าฉบับหลวงประเสริฐว่า พ.ศ. ๒๐๐๕ พระยากลาโหมยกพลไปตีได้เมืองสุโขทัยคืนมา พ.ศ. ๒๐๐๖ สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ เสด็จมาเสวยราชย์ที่เมืองพิษณุโลก และยังคงทำสงครามชิงหัวเมืองเหนือกับพระเจ้าติโลกราช ระหว่างนี้โคลงยวนพ่ายบันทึกไว้ว่า พระราชชนนีสิ้นพระชนม์แล้ว สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถจึงเสด็จออกทรงพระผนวช ใน พ.ศ. ๒๐๐๘

พระราชเทวีแห่งสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒ จึงเป็นกษัตริย์ผู้ครองเมืองพิษณุโลก ที่เป็นศูนย์กลางของเมืองที่เคยอยู่ในอาณาจักรสุโขทัย ในยุคที่อยู่ใต้อิทธิพลของอยุธยา และมีส่วนในการบัญชาการรบป้องกันรักษาเมืองไว้ได้ จากการรุกรานของพระเจ้าติโลกราช แห่งอาณาจักรล้านนา

ที่มา: จากหนังสือเรื่อง สตรีสำคัญในประวัติศาสตร์ไทย
เรียบเรียงโดย: วีณา โรจนราธา

สมเด็จพระราชเทวีศรีจุฬาลักษณ์

พระนามเต็มของสมเด็จพระราชเทวีศรีจุฬาลักษณ์ ที่ปรากฏในจารึกวัดบูรพาราม คือ “สมเด็จพระราชเทวีศรีจุฬาลักษณ์อัครราชมหิศีเทพยธรณีดิลกรัตนบพิตรเป็นเจ้า” ซึ่งเป็นอัครมเหสีในพระมหาธรรมราชาที่ ๒ แห่งอาณาจักรสุโขทัย

นักประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่ตีความว่า พระมหาธรรมราชาที่ ๒ นี้เป็นพระองค์เดียวกับที่ พระราชพงศาวดารกรุงเก่าฉบับหลวงประเสริฐ ระบุว่า ศักราช ๗๔๐(พ.ศ. ๑๙๒๑) สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๑(ขุนหลวงพงั่ว) เสด็จไปตีเมืองชากังราว พระมหาธรรมราชาออกรบทัพหลวงเป็นสามารถ แต่เห็นว่าจะต่อรบด้วยมิได้ จึงออกถวายบังคม แต่นายพิเศษ เจียจันทร์พงษ์ ว่าเป็นคนละองค์กัน

ระยะต่อมา วัดบูรพารามก็ได้จารึกเหตุการณ์เมื่อพระมหาธรรมราชาพระชนมายุได้ ๓๘ พรรษา ได้ร่วมกับเจ้าเมืองอื่นๆ ทำให้อาณาจักรสมบูรณ์ขึ้นในทุกรัฐ ได้แก่ รัฐกาว(น่าน) ในทิศเหนือ รัฐชวา(หลวงพระบาง) ในทิศตะวันออกเฉียงเหนือ เมืองพระบาง(นครสวรรค์) ในทิศใต้ เมืองนครไทยในทิศตะวันออก เมืองเพชรบูรณ์ในทิศตะวันออกเฉียงใต้ เมืองไตรตรึงส์ และเมืองเชียงทองในทิศตะวันตกเฉียงใต้ เมืองนาคปุระในทิศตะวันตก และเมืองเชียงแสนถึงฝั่งแม่น้ำพิงค์(ปิง) แม่น้ำโขง ในทิศตะวันตกเฉียงเหนือ

พระมหาธรรมราชาพระองค์นี้ ได้เสด็จออกผนวชเช่นเดียวกับพระมหาธรรมราชาที่ ๑ ลิไทย ผู้เป็นสมเด็จพระราชชนก และในปี พ.ศ. ๑๙๕๑ พระมหาธรรมราชาที่ ๒ ก็ได้เสด็จสวรรคตลง

พระราชภาระที่หนักหน่วงในการกอบกู้เอกราชบ้านเมืองจึงต้องเป็นของพระอัครมเหสีคือ สมเด็จพระราชเทวีศรีจุฬาลักษณ์ ในขณะนั้นตรงกับที่กรุงศรีอยุธยากำลังแผ่อิทธิพลขึ้นมาครอบครองอาณาจักรสุโขทัย ในจารึกวัดบูรพาราม มีว่า สมเด็จพระราชเทวีทรงเป็นผู้มีปัญญา มีบุญ มีความงาม มีศีล มียศ เป็นขัตติยา สมบูรณ์ด้วยฐิติผู้สูงสุดในแผ่นดิน ผู้ได้รับการฝึกอบรม และเป็นผู้ร่าเริงราวกับนางเทวนารีอัปสร พระนางพิมพา พระนางมหามายา พระนางจันทิมา และพระนางสุรัสวดี เป็นผู้ศรัทธาในพระรัตนตรัยที่ประเสริฐ พระนางมีพระราชโอรส ๒ องค์ องค์โตได้ขึ้นเป็นพระยา ทรงพระนามรามราชาธิราช ส่วนองค์เล็กมีพระนามว่า ศรีธรรมาโศกราช รามราชาธิราช ก็คือ พระยารามที่ออกถวายบังคมพระมหากษัตริย์อยุธยา สมเด็จพระนครินทราธิราช พร้อมพระยาบาลเมือง ใน พ.ศ. ๑๙๖๒ หลังจากที่พระมหาธรรมราชาที่ ๓(ไสยลือไทย) สวรรคตแล้ว พระมหากษัตริย์อยุธยาจึงโปรดให้พระยาบาลเมืองครองพิษณุโลก ส่วนพระยารามก็ได้ครองสุโขทัย

ในจารึกวัดอโสการาม และจารึกวัดบูรพาราม ได้พรรณนาการบุญกุศลที่สมเด็จพระราชเทวีศรีจุฬาลักษณ์ทรงบำเพ็ญไว้มากมาย ใน พ.ศ. ๑๙๔๒ พระนางทรงสร้างวัดอโสการาม ใน พ.ศ. ๑๙๕๕ ทรงสร้างวัดบูรพาราม และทรงสถาปนาปูชนียวัตถุสถานทุกสิ่งพร้อมมูล ได้อาราธนาพระบรมสารีริกธาตุประดิษฐานในพระมหาธาตุเจดีย์ ทรงปลูกพระศรีมหาโพธิ ทรงสถาปนาพระเถระเพื่อปกครองวัด ทรงอุปสมบทพระภิกษุและบรรพชาสามเณร ทรงบำเพ็ญมหาทานถวายเครื่องบริขารเป็นทรัพย์มหาศาล ถวายที่นาและแต่งไพร่ไว้ดูแลวัด นอกจาก ๒ วัดนี้ ก็ยังทรงสร้างวัด ทิกษิณาราม และวัดลังการาม และทรงบูรณะอุปถัมภ์วัดศรีวิสุทธาวาสที่พระมหาธรรมราชาที่ ๒ ทรงผนวช วัดเสนางที่พระมหาธรรมราชาประทับ วัดศรีจุฬาวาสที่สงสการ(พิธีปลงศพ)สมเด็จพ่อออก วัดพระธรรมราชบูรณ์ที่สงสการสมเด็จราชมารดา ทรงอุทิศส่วนกุศลถวายแด่บรรพบุรุษทั้งฝ่ายพระมหาธรรมราชาที่ ๒ และฝ่ายพระนางเอง

นอกเหนือจากพระราชกรณียกิจที่สมเด็จพระราชเทวีศรีจุฬาลักษณ์ได้ทรงบำเพ็ญไว้ในจารึกแล้ว ก็ยังมีอื่นๆ อีกมาก พระนาม “ศรีจุฬาลักษณ์” จึงมีการบันทึกเป็นลายลักษณ์เป็นที่เล่าขานสืบต่อกันมา วรรณคดีไทยที่ได้รับการตีความว่าแต่งขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ที่ชื่อ ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ ก็อาจมีเค้าความคิดเดิมจากสมเด็จพระราชเทวีศรีจุฬาลักษณ์บ้างก็เป็นได้ เนื้อหาอาจจะคลาดเคลื่อนไปบ้างเพราะผ่านมาหลายยุคหลายสมัยเป็นเวลายาวนานแล้ว พระนามเดิมของท้าวศรีจุฬาลักษณ์ คือ นางนพมาศ เป็นสนมของสมเด็จพระร่วงเจ้า องค์ที่หมายถึงพระมหาธรรมราชาที่ ๑ ลิไทย ตำแหน่ง “ศรีจุฬาลักษณ์” ยังลดความสำคัญลงเรื่อยๆ จะเห็นได้ในพระไอยการตำแหน่งนาพลเรือน สมัยอยุธยา ศรีจุฬาลักษณ์ เป็นเพียง ๑ ใน ๔ ของนางท้าวพระสนมเอก คือ อินสุเรนทร ศรีสุดาจัน อินทรเทวี และศรีจุลาลักษ

หลักฐานที่ยืนยันว่า สมเด็จพระราชเทวีศรีจุฬาลักษณ์มีตัวตนจริง คือ ศิลาจารึกและโบราณสถาน ทรงเป็นอัครมเหสีของพระมหากษัตริย์สุโขทัย ทรงสร้างถาวรวัตถุมากมายให้เราได้ศึกษาเรียนรู้ถึงศิลปวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ ในสมัยของราชอาณาจักรไทยแห่งนี้

ที่มา: จากหนังสือเรื่อง สตรีสำคัญในประวัติศาสตร์ไทย
เรียบเรียงโดย: วีณา โรจนราธา

พระมหาเทวีพระกนิษฐาของพระมหาธรรมราชาที่๑

ในสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช อาณาจักรสุโขทัยขยายอาณาเขตได้กว้างขวางที่สุด เมื่อสิ้นพ่อขุนรามคำแหงฯ เจ้าเมืองทั้งหลายก็ไม่ยอมขึ้นกับพระยาเลอไทยซึ่งเป็นราชโอรสของพ่อขุนรามคำแหงฯ อาณาจักรได้แตกเป็นเมืองเล็กเมืองน้อย เมื่อถึงสมัยที่พระมหาธรรมราชที่๑(ลิไทย) ปกครอง พระองค์เป็นกษัตริย์ที่ศรัทธาในพระพุทธศาสนา และได้สร้างความเข้มแข็งให้กลับคืนสู่อาณาจักรสุโขทัย จารึกหลักที่ ๘ จารึกเขาสุมนกูฏ ระบุว่า พระมหาธรรมราชาลิไทยปราบได้เมืองตลอดทั้งลำน้ำป่าสัก และลำน้ำน่าน แล้วจึงเสด็จไปประทับที่สองแคว คือ เมืองพิษณุโลกถึง ๗ ปี

ส่วนทางเมืองสุโขทัยนั้น ปรากฏในเรื่องพระสีหลปฏิมา หรือพระพุทธสิหิงค์ ใน ชินกาลมาลีปกรณ์ ความว่า ในสมัยที่พระมหาธรรมราชา หรือพระยาลิไทยครองกรุงสุโขทัยนั้น สมเด็กพระรามาธิบดีที่ ๑(อู่ทอง) เสด็จไปทรงยึดเมืองชัยนาท(นักประวัติศาสตร์หมายถึง เมืองพิษณุโลก)ได้ โดยทำทีว่าเอาข้าวมาขาย ขณะที่เมืองพิษณุโลกเกิดทุพภิกขภัย ทรงตั้งมหาอำมาตย์วัตติเดช คือ ขุนหลวงพงั่ว จากเมืองสุพรรณบุรีไปครอง พระมหาธรรมราชาลิไทยต้องส่งบรรณาการเป็นอันมากไปถวายสมเด็จพระรามาธิบดีที่๑ เพื่อขอเมืองพิษณุโลกคืน เมื่อได้เมืองคืนแล้ว พระมหาธรรมราชาลิไทย “ทรงตั้งพระมหาเทวีผู้เป็นพระกนิษฐา(น้องหญิง) ของพระองค์ให้ครองราชย์สมบัติในเมืองสุโขทัย…ส่วนพระองค์ อัญเชิญพระสีหลปฏิมาไปบูชาที่เมืองชัยนาท” เมื่อสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ สวรรคตแล้ว ขุนหลวงพงั่ว ขึ้นครองกรุงศรีอยุธยาเป็นสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๑ ยึดเมืองพิษณุโลกได้ อัญเชิญพระพุทธสิหิงค์ไปบูชาที่กรุงศรีอยุธยา และมหาอำมาตย์ชื่อ พรหมไชยยึดเมืองสุโขทัยได้

สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ สวรรคต พ.ศ. ๑๙๑๒ ดังนั้นปีที่พระมหาธรรมราชาที่๑ เสด็จนำไพร่พลและกองทัพของเจ้าเมืองต่างๆ กลับมาไหว้พระพุทธบาทบนเขาสุมนกูฏ(เขาพระบาทใหญ่) ที่เมืองสุโขทัยจะต้องเป็นช่วงที่สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ สวรรคตแล้ว ดังนั้นพระมหาเทวีคงจะครองราชย์ ณ เมืองสุโขทัยประมาณ พ.ศ. ๑๙๐๕-๑๙๑๒

ปรากฏพระนามพระมหาเทวีอีกครั้งในศิลาจารึกวัดช้างล้อม ซึ่งพ่อนมไสดำ สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๑๙๒๗ ข้อความจารึกเล่าถึงพ่อนมไสดำ บวชถวายพระมหาธรรมราชาที่สวรรคต แล้วย้ายสำนักอีกครั้ง บวชถวายพระมหาเทวีที่สวรรคต และเมื่ออุทิศที่เรือนตนสร้างวัดแล้ว ยังได้สร้างพระหินองค์หนึ่งอุทิศถวายเป็นบุญแด่พระมหาเทวี พระมหาเทวีจึงสวรรคตก่อน พ.ศ. ๑๙๒๗

ที่มา: จากหนังสือเรื่อง สตรีสำคัญในประวัติศาสตร์ไทย
เรียบเรียงโดย: วีณา โรจนราธา

นางเสือง

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเสด็จจาริกธุดงค์ไปนมัสการเจดียสถานที่สำคัญตามหัวเมืองต่างๆ เป็นประจำ ในขณะที่ดำรงอิสริยยศสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ามงกุฎอยู่ในสมณเพศ พระองค์เสด็จประพาสหัวเมืองเหนือในปี พ.ศ. ๒๓๗๖ ไปถึงเมืองสุโขทัย ซึ่งเป็นราชธานีของไทยแต่โบราณ บริเวณปริมณฑลที่เป็นที่ตั้งเมืองเรียกว่า เนินปราสาทปัจจุบัน ทรงพบแท่งศิลาแท่งหนึ่งในสภาพที่หักพังออกจากแท่นฐาน ตะแคงตกอยู่กับพื้นดิน เมื่อวิเคราะห์แล้วก็ทรงเข้าพระทัยว่า แท่งศิลานี้คือ ศิลาจารึกโบราณวัตถุที่สำคัญ ส่วนชาวเมืองสุโขทัยในสมัยนั้นให้ความสำคัญและถือว่าคือศาลเจ้าได้เคารพกันทั่วไป พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้นำแท่งศิลานี้มากรุงเทพมหานครพร้อมกับพระองค์และได้นำพระแท่นมนังศิลาบาตรลงมาด้วย ศิลาจารึกหลักนี้ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงอ่านได้ เป็นพระองค์แรก เมื่อ พ.ศ. ๒๓๗๙ และเรียกศิลาจารึกนี้ว่า “ศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง” ซึ่งยังเรียกกันอยู่จนถึงปัจจุบัน เนื้อหาสาระในแผ่นศิลานับตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีการอ่านแปลใหม่ให้มีความสมบูรณ์และถูกต้องที่สุดอีกหลายครั้งในสมัยหลังๆ ทำให้ได้ทราบประวัติศาสตร์ชาติไทยแรกก่อตั้งอาณาจักรในดินแดนสุวรรณภูมิ คือ การก่อตั้งกรุงสุโขทัย พระราชวงศ์ ตลอดจนสภาพสังคม และความเป็นอยู่ของชาวสุโขทัยอย่างแจ่มชัด มีข้อความตอนต้นกล่าวไว้ดังนี้

“พ่อกูชื่อสรีอินทราทิตย แม่กูชื่อนางเสือง พี่กูชื่อบานเมือง ตูพี่น้องท้องเดียวห้าคน ผู้ชายสามผู้หญิงโสง พี่เผือผู้อ้ายตายจากเผือเตียมแต่ยังเล็ก เมื่อกูขึ้นใหญ่ได้สิบเก้าเข้าขุนสามชนเจ้าเมืองฉอดมาท่เมืองตาก พ่อกูไปรบขุนสามชนหัวซ้าย ขุนสามชนขับมาหัวขา ขุนสามชนเกลื่อนเข้า ไพร่ฟ้าหน้าใส พ่อกูหนีญญ่ายพายจแจ้น กูบ่หนี กูขี่ช้างเบกพล กูขับเข้าก่อนพ่อกู กูต่อช้างด้วยขุนสามชน ตนกูพุ่งช้างขุนสามชนตัวชื่อมาสเมืองแพ้ ขุนสามชนพ่ายหนี พ่อกูจึงขึ้นชื่อ กูชื่อพระรามคำแหง เพื่อกูพุ่งช้างขุนสามชน เมื่อชั่วพ่อกู กูบำเรอแก่พ่อกู กูบำเรอแก่แม่กู กูได้ตัวเนื้อตัวปลา กูเอามาแก่พ่อกู กูได้หมากส้มหมากหวานอันใดกินอร่อยกินดี กูเอามาแก่พ่อกู กูไปตีหนังวังช้างได้ กูเอามาแก่พ่อกู กูไปท่บ้านท่เมือง ได้ช้างได้งวง ได้ปั่วได้นาง ได้เงือนได้ทอง กูเอามาเวนแก่พ่อกู พ่อกูตายยังพี่กู กูพร่ำบำเรอแก่พี่กู ดั่งบำเรอแก่พ่อกู พี่กูตาย จึ่งได้เมืองแก่กูทั้งกลม เมื่อชั่วพ่อขุนรามคำแหง เมืองษุกโขไทนี้ดี ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว เจ้าเมืองบ่เอาจกอบในไพร่ลูท่างเพื่อนจูงวัวไปค้า ขี่ม้าไปขาย ใครจักใคร่ค้าช้าง ค้า ใครจักใคร่ข้าม้า ค้า ใครจักใคร่ค้าเงือนค้าทอง ค้า ไพร่ฟ้าหน้าใส…”

จารึกพ่อขุนรามคำแหง หรือที่เรียกกันภายหลังว่า จารึกสุโขทัยหลักที่๑ ยังมีจารึกที่กล่าวถึงการก่อตั้งอาณาจักรสุโขทัย ที่ได้ค้นพบในสมัยต่อมาอีกหนักหนึ่ง คือ จารึกวัดศรีชุม หรือจารึกสุโขทัยหลักที่ ๒ กล่าวถึงประวัติศาสตร์ชาติไทยที่เป็นช่วงเวลาก่อนเหตุการณ์ในจารึกหลักที่ ๑ เมื่อชาวไทยพยายามรวบรวมกำลัง ต้านขอมที่ปกครองกรุงสุโขทัยอยู่ให้หลุดพ้นจากอำนาจเพื่ออิสรภาพ เป็นเรื่องราวที่เชื่อมต่อประวัติศาสตร์การก่อตั้งชาติไทยให้เป็นอาณาจักรที่เป็นปึกแผ่น และการสร้างชาติที่มีระเบียบดีงามสมบูรณ์ด้วยศิลปวัฒนธรรม หล่อหลอมความเป็นไทยสืบมาจนถึงปัจจุบัน

ความในจารึกวัดศรีชุมกล่าวว่า กษัตริย์ขอมได้พระราชทานนามให้พ่อขุนผาเมือง เจ้าเมืองราด กมรแดงอัญศรีอินทรบดินทราทิตย์ มอบพระแสงขรรค์ชัยศรีเป็นอาวุธ และพระราชทานพระธิดานาม สุขรมหาเทวี เป็นพระชายา ทำให้สภาพของพ่อขุนผาเมืองเปรียบเสมือนเป็นเชื้อพระวงศ์ขอมผู้หนึ่ง พ่อขุนผาเมือง มีพระสหายนามพ่อขุนบางกลางหาว ปกครองอยู่เมืองบางยาง ได้ร่วมคบคิดกันต่อสู้ให้ชาวไทยหลุดพ้นจากอำนาจขอม เมื่อตกลงแล้วต่างก็ยกทัพตีกระหนาบกันเข้ามายึดกรุงสุโขทัย โขลญลำพงคงเป็นอุปราช สำเร็จราชการในภาคนี้ และครองเมืองสุโขทัยอยู่ ได้ออกต้านทานเป็นสามารถ สู้ฝีมือไม่ได้แตกพ่ายไป พ่อขุนผาเมืองเข้าเมืองได้ก่อน แล้วทรงอัญเชิญพ่อขุนบางกลางหาวเข้าเมือง จัดการอภิเษกเป็นเจ้าเมืองครองกรุงสุโขทัยให้เป็นใหญ่ ในดินแดนไทยข้างเหนือบริเวณดังกล่าว และทรงยกนามของตนถวายแก่พ่อขุนบางกลางหาวเป็นปฐมกษัตริย์แห่งกรุงสุโขทัย พระนามว่า พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ ดังที่ปรากฏในศิลาจารึก ส่วนพ่อขุนผาเมืองได้กลับไปครองเมืองราดตามเดิม

ประวัติศาสตร์ไทยที่ได้จากจารึกสมัยที่ตั้งตัวเป็นปึกแผ่นใหม่ๆ ในสุวรรณภูมินั้น มีคติสอนใจ และทิ้งปัญหาไว้ให้ขบคิดอยู่หลายประการ คติสอนใจนั้น ได้แก่ การรักความเป็นไท และการสร้างความเป็นชาตินั้น จะต้องอาศัยความสามัคคีเป็นสำคัญ การใช้สติปัญญาผ่อนสั้นผ่อนยาวเพื่อผูกไมตรีกับทั้งพันธมิตรและศัตรู ถ้าพ่อขุนผาเมืองจะตั้งตัวเป็นกษัตริย์ก็ย่อมทำได้ แต่ที่ทรงมอบให้แก่เพื่อนนั้นเป็นสิ่งที่ยากต่อการเข้าใจ การกระทำของบรรพบุรุษไทยนั้นเป็นเหตุผลที่ลึกซึ้งเหลือวิสัยที่คนปัจจุบันจะล่วงถึงได้ แต่ความรู้สึกที่อยู่ในจิตใจของลูกหลานไทยทุกสมัยต่างก็สรรเสริญและชื่นชมเทิดทูนไม่มีวันเสื่อมคลาย ในกาลต่อมาก็ปรากฏว่าขอมไม่ได้มารบกวนไทยอีกจากการรวมกันเป็นปึกแผ่นนี้ ในระยะที่ไทยกำลังตั้งตัวได้ก็มีการจัดบ้านเมืองให้เรียบร้อยและรุ่งโรจน์สูงสุดในสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ซึ่งเป็นเวลาที่สถาปนาอาณาจักรแล้วได้ไม่นาน ที่กล่าวนี้คือ ภูมิหลังของประวัติศาสตร์สุโขทัย

การกระทำของพ่อขุนผาเมือง เป็นสิ่งที่นักประวัติศาสตร์ได้ขบคิดกันต่างๆ นานา จากหลักฐานประวัติศาสตร์ทำให้ตีความกันว่า “นางเสือง” ที่ปรากฏนามในจารึกสุโขทัยหลักที่ ๑ นั้นคือ พระธิดาพ่อขุนศรีนาวนำถุม เจ้าเมืองสุโขทัยองค์ก่อน ซึ่งเป็นบิดาของพ่อขุนผาเมืองนั่นเอง นางเสืองจะเป็นพี่สาวหรือน้องสาวของพ่อขุนผาเมืองก็ไม่อาจสันนิษฐานได้ พ่อขุนผาเมืองกับพ่อขุนบางกลางหาวนอกจากจะเป็นพระสหายกันแล้ว ยังมีความเกี่ยวดองที่ใกล้ชิดกันด้วย จึงทำให้เข้าใจเหตุผลในน้ำพระทัยของพ่อขุนผาเมืองได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

ความสับสนเกี่ยวกับประวัติการก่อตั้งกรุงสุโขทัยเป็นราชานี ทำให้นักประวัติศาสตร์บางคนสันนิษฐานว่า นางเสืองมิใช่คนไทย แต่เป็นสตรีขอมที่มาอภิเษกกับพ่อขุนบางกลางหาว หรือพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ โดยอนุมานเอาว่า พ่อขุนผาเมืองเจ้าเมืองราดยังต้องมีพระชายาเป็นนางสุขรมหาเทวี ธิดากษัตริย์ขอมที่ปกครองดินแดนสุโขทัยขณะนั้น เพื่อผลทางการเมืองที่จะผูกมัดให้พ่อขุนไทยทั้งหลายที่ดูแลหัวเมืองในปกครองของตนให้อยู่ในอำนาจ และพ่อขุนศรีอินทราทิตย์คงจะเป็นเช่นเดียวกัน

ถ้าพิจารณาชื่อ สำเนียงคำว่า “เสือง” จะรู้สึกว่าเป็นภาษาไทยแต่ดั้งเดิม แม้จะไม่สามารถหาความหมายได้ แต่ก็มีคำที่พอจะเทียบเคียงได้ว่าเป็นคำโดด มิได้เป็นคำสมาส เหมือนอย่างคำเขมร และศัพท์คำว่า เสือง ในภาษาเขมร ก็ปรากฏว่าไม่มีอีกด้วยเช่นกัน จึงทำให้เชื่อได้อย่างไม่ลังเลว่า นางเสืองนั้นจะต้องเป็นคนไทยแน่นอน มีผู้สันนิษฐานว่า เสือง นี้แปลว่า “รุ่งเรือง”

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็ทรงเห็นว่านางเสืองเป็นคนไทย

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงอธิบายไว้ในพระราชนิพนธ์ บทละครเรื่องพระร่วง ไว้ตอนหนึ่งว่า
“….พระเจ้าศรีอินทราทิตย์นี้ได้อภิเษกกับนางเสือง ซึ่งเป็นราชธิดาของพระเจ้ากรุงสุโขทัยพระองค์ก่อน ด้วยเหตุที่เป็นผู้สืบพระวงศ์ของพระเจ้ากรุงสุโขทัยองค์ก่อนประการหนึ่ง และเพราะเหตุที่ชาวเมืองสุโขทัยได้พร้อมกันถวายราชสมบัติด้วยอีกประการหนึ่ง พระเจ้าศรีอินทราทิตย์จึงได้ประดิษฐานราชวงศ์มั่นคงในพระนครสุโขทัยสืบมา…”

ศาสตราจารย์ยอร์ช เซเดส์ ได้กล่าวไว้ในคำอธิบายศิลาจารึกว่า
“เจ้าเมืองสุโขทัยองค์ก่อน คือ พ่อขุนศรีนาวนำถม ผู้เป็นพระบิดาของพ่อขุนผาเมือง เจ้าเมืองราด พ่อขุนบางกลางหาว ผู้เป็นมิตรสหายของพ่อขุนผาเมือง ที่แรกจะเป็นเหตุใดไม่ปรากฏ สองสหายนั้นจึงได้ตั้งใจตีเมืองสุโขทัย บางทีจะเป็นเพราะพ่อขุนศรีนาวนำถม สิ้นพระชนม์ลงในเมืองสุโขทัยก็เป็นได้….”

สตรีคนแรกที่ได้ยินชื่อในประวัติศาสตร์สุโขทัยคือ นางเสือง ตามที่ปรากฏในศิลาจารึกหลักที่ ๑ เป็นมเหสีของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ และเป็นพระราชชนนีพ่อขุนรามคำแหงมหาราช พระมหากษัตริย์ผู้ก่อกำเนิดลายสือไทย และเป็นเจ้าของหลักศิลาจารึกหลักดังกล่าว จึงถือได้ว่านางเสืองนั้นคือ ขัตติยนารีผู้ยิ่งใหญ่ ที่ดำรงพระชนม์อยู่อย่างเงียบๆ แต่ในความสงบเงียบนั้น ถ้าได้พิจารณาถึงลักษณะของวัฒนธรรมไทยแล้ว จะเห็นว่าสังคมไทยมิได้กำหนดให้สตรีมีบทบาทโลดแล่นเสมอบุรุษ แต่ก็เป็นที่ยอมรับกันว่ามีบทบาทผลักดันอยู่เบื้องหลังเหมือนพลังที่มองไม่เห็น เช่นนางเสืองนี้ พระโอรสที่เป็นวีรกษัตริย์ที่ปราดเปรื่องทั้งการรบและการพัฒนา ย่อมอยู่บนพื้นฐานของการปลูกฝังดูแลเอาใจใส่จากพระชนนีอย่างดี แม่เป็นผู้กำกับอยู่เบื้องหลังอย่างภาคภูมิใจ สุขุม สงบ และมุ่งมั่นจะให้โอรสสร้างชาติให้เป็นปึกแผ่น เป็นประโยชน์ และมีความรักแผ่นดิน แต่นางเสืองก็มีประวัติให้ศึกษาได้น้อยมาก

นางเสืองไม่ปรากฏว่ามีบทบาทอยู่ในที่ใดเลย แม้ในศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหงก็มีอยู่คำเดียวแท้ๆ ว่า “แม่กูชื่อนางเสือง” แต่ผลงานที่ปรากฏอยู่ในศิลาจารึกมีนับตั้งแต่พ่อขุนบางกลางหาว ผู้เป็นสวามีนางเสือง ที่ริเริ่มต่อต้านกู้บ้านเมืองด้วยความกล้าหาญเด็ดเดี่ยว มีกำลังใจดีไม่ห่วงหน้าพะวงหลัง มีปรากฏต่อไปว่าพ่อขุนบานเมือง พ่อขุนองค์ที่ ๒ ซึ่งเป็นโอรสของพ่อขุนบางกลางหาวนั้น เป็นพ่อเมืองที่ดี รักน้อง ถนอมน้ำใจน้อง วางใจน้อง รู้จักใช้น้อง ไม่ริษยาที่น้องมีชื่อเสียง บ้านเมืองมีความอยู่เย็นเป็นสุข แม่ของพ่อขุนบานเมืองคือนางเสือง และมีความปรากฏต่อไปว่า พ่อขุนรามคำแหง พ่อขุนองค์ที่ ๓ เป็นลูกของพ่อขุนบางกลางหาว น้องของพ่อขุนบานเมือง ทั้งกล้า ทั้งฉลาด ทั้งดี คุณสมบัตินี้ทำให้แผ่อานุภาพไปได้กว้างขวางจนได้รับยกย่องให้เป็นมหาราช ศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหงตรงที่ว่า หาอะไรมาได้ก็เอามาบำเรอพ่อ บำเรอแม่ บำเรอพี่ จะเห็นน่าเอ็นดูด้วยกันทุกคน พ่อขุนรามคำแหงนี้ลูกของนางเสือง

ครอบครัวของพ่อขุนบางกลางหาวมีเยื่อใยที่เหนียวแน่นลึกซึ้งสุขุมนัก แม้ ๗๐๐-๘๐๐ ปีผ่านไป เมื่อได้ยินได้ฟังก็ยังชื่นใจ ใครเป็นคนผูกเยื่อใยนี้ในครอบครัว พ่อขุนบางกลางหาวเอากำลังใจมาจากไหน ทำไมจึงดูเป็นคนไม่มีกังวล พ่อขุนบานเมือง พ่อขุนรามคำแหง ทำไมจึงน่ารัก น่าเคารพ น่าสรรเสริญ น่าบูชา ทำไมจึงมีจริยวัตรงดงามนัก

ไม่มีใครตอบได้ เพราะไม่ได้จารึกไว้ในศิลา แต่ผู้ที่เป็นภรรยาเป็นแม่อย่างไทยๆ สมัยก่อนจะตอบได้เงียบๆ ในใจของตนว่า ที่มาของผลดังกล่าวมีนางเสืองเป็นเหตุ เพราะเมียอย่างไทยๆ ย่อมรู้ว่านางเสืองจะต้องทำอะไรบ้าง ที่พ่อขุนบางกลางหาวมีกำลังใจดี ตัดสินใจดี ไม่มีห่วงกังวล แม่อย่างไทยๆ ย่อมรู้ว่าควรจะทำอย่างไรในการที่มีลูกชายหลายคน แล้วบังเอิญที่น้องก็เก่งกว่าพี่ การเลี้ยงน้องไม่ให้กำเริบกับพี่นั้น แม่อย่างไทยๆ ถนัดเท่าๆ กับเลี้ยงพี่ให้มีเมตตาจิตต่อน้อง

เมียอย่างไทยๆ สมัยก่อนรู้ดีว่า เป็นสิ่งที่ไม่สมควรที่จะก้าวล้ำหน้าสามี ในศิลาจารึกจึงไม่ปรากฏเรื่องราวของนางเสืองมาก แม่อย่างไทยๆ รู้ดีว่า การรักษาเกียรติยศไว้ให้ลูกเป็นหน้าที่ที่สุดยอดของแม่ การที่พ่อขุนรามคำแหงประกาศให้โลกรู้ว่าแม่ของพ่อขุนชื่ออะไรนั้น เป็นสิ่งสูงสุดสำหรับแม่อย่างไทยๆ เพราะพ่อขุนองค์อื่นๆ ในชั้นหลังจนถึงสมัยอยุธยาเราก็ไม่รู้ว่าพระราชชนนีหรือพระมเหสี มีพระนามว่าอย่างไรกันบ้าง

ในฐานะแม่เมืองของไทยองค์แรกที่ไม่ปรากฏบทบาทในประวัติศาสตร์ แต่ที่สุโขทัยมีพระรูปศักดิ์สิทธิ์อยู่รูปหนึ่ง ชาวเมืองเรียกกันว่า “พระแม่ย่า” เชื่อกันว่าเป็นเจ้านายราชวงศ์สุโขทัยที่สำคัญมาก คนรักมาก เคารพมาก เพราะคนไทยไม่ได้ปั้นรูปขึ้นมาบูชากันง่ายๆ เจ้านายในรูปปั้นนั้นจึงต้องเป็นผู้หญิงที่เป็นแม่ของพ่อขุนแผ่นดินใดแผ่นดินหนึ่ง และเป็นย่าของพ่อขุนในแผ่นดินถัดมา หลายคนเชื่อกันว่า เป็นพระรูปฉลองพระองค์ของนางเสือง ซึ่งปัจจุบันประดิษฐานอยู่ภายในศาลพระแม่ย่า หน้าศาลากลางจังหวัดสุโขทัย

นางอมรา ศรีสุชาติ นักโบราณคดี ได้ตั้งสมมุติฐานว่ารูปประติมากรรมหิน ที่เรียกกันว่า “พระแม่ย่า” นี้ น่าจะเป็น “รูปเทพีต้นน้ำ” เพราะสถานที่ที่พบอยู่บริเวณซอกเขาหรือ “โซก” ซึ่งหมายถึง ร่องน้ำจากเขาหลวงที่ไหลลงมาสะสมเป็นธารน้ำ ไหลลงตามคันดินกั้นน้ำที่คนสุโขทัยในอดีตทำไว้เหมือนเขื่อน เพื่อกักน้ำไว้ใช้ในยามแล้ง และเครื่องแต่งกายของรูปประติมากรรมนี้ก็ใกล้เคียงกับประติมากรรมเขมรมากกว่าไทย

ที่มา: จากหนังสือเรื่อง สตรีสำคัญในประวัติศาสตร์ไทย
เรียบเรียงโดย: สายไหม จบกลศึก

พระนางจามเทวี

บางก็เขียนเป็น จัมมเทวี หรือ จามะเทวี ก็มี พระนางจามเทวีเป็นราชธิดาของพระเจ้าจักรพรรดิราช แห่งกรุงละโว้(ลพบุรี) เชื่อกันว่าเป็นปฐมกษัตริย์แห่งนครหริภุญชัย(ลำพูน) ครองราชย์ราวต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๓

SONY DSC

ในตำนานและนิทานพื้นบ้านเมืองเหนือหลายฉบับ ได้ปรากฏเรื่องราวเกี่ยวกับพระนางจามเทวี ซึ่งรู้จักกันอย่างแพร่หลาย เช่น เรื่องจามเทวีวงศ์ พงศาวดารเมืองหริภุญไชย ชินกาลมาลีปกรณ์ และตำนานมูลศาสนา ย้อนเรื่องราวไปถึงสมัยพุทธกาล ตามด้วยเรื่องพระฤาษีวาสุเทพสร้างเมืองต่างๆ พระฤาษีวาสุเทพชักชวนพระฤาษีสุกกะทันต์มาช่วยสร้างเมืองในที่มีพุทธพยากรณ์ว่า จะเกิดเมืองใหญ่และจะเป็นที่บังเกิดพระบรมสารีริกธาตุ ฤาษีสุกกะทันต์แนะนำให้ขอเปลือกหอยสังข์จากพระฤาษีสัชชนาไลย แล้วให้สร้างเมืองตามสัณฐานเปลือกหอยสังข์นั้น เมื่อฤาษีวาสุเทพปรึกษาเรื่องหาผู้ที่จะครองเมือง ฤาษีสุกกะทันต์ก็แนะนำให้เชิญนางจามเทวี ธิดาของพระเจ้าจักรพรรดิราชแห่งกรุงละโว้ ซึ่งเป็นผู้ที่มีรูปงาม เป็นเบญจกัลยาณี มีศีลและมีความสามารถ มีพระสวามีที่ศรัทธาบวชเป็นเพศบรรพชิต ฤาษีทั้งสองจึงให้ทูตที่ชื่อ นายควยะ ไปทูลขอนางจามเทวีมาครองเมือง

พระสวามีของนางจามเทวีนี้ ในเรื่องจามเทวีวงศ์ พงศาวดารเมืองหริภุญไชย ว่าเป็นเจ้าประเทศราชในเมืองรามัญ ผู้แปลเรื่อง ชินกาลมาลีปกรณ์ คือ ร.ต.ท.แสง มนวิทูร ก็ได้ทำเชิงอรรถขยายความไว้ในหนังสือนั้นว่า อาจเป็นเมืองรามที่อยู่ใกล้เมืองลพบุรีก็ได้ เพราะต้นฉบับใบลานเดิมว่า รามนคเร แปลว่า ในเมืองราม ส่วนตำนานมูลศาสนาก็ว่า เมืองรา หรือเมืองราม

จางจามเทวีได้ออกเดินทางมาตามลำน้ำปิงโดยทางเรือ เมื่อได้รับราชานุญาตจากพระเจ้าจักรพรรดิราชแล้ว ซึ่งขณะนั้นนางมีครรภ์ได้ ๓ เดือน นางจามเทวีขอพระราชทานผู้ติดตามจากเมืองละโว้จากบิดา เพื่อนำมาสร้างประโยชน์ให้แก่บ้านเมือง ซึ่งมี พระมหาเถระ พราหมณ์ บัณฑิต คหบดี แพทย์ ช่างฝีมือต่างๆ และนายช่างฝ่ายโยธาจำนวนมาก ตั้งแต่ครั้งนี้ พระนางจามเทวีจึงเป็นผู้นำพุทธศาสนา นิกายหินยาน และศิลปะวิทยาการแบบทวารวดี มาเผยแพร่ในทางเหนือ และส่งอิทธิพลถึงอาณาจักรล้านนา มอญ และพม่าในสมัยต่อมาด้วย

นางจามเทวีใช้เวลา ๗ เดือน ในการเดินทางจากละโว้ไปถึงหริภุญชัย จากตำนานมูลศาสนาได้กล่าวว่า นางจามเทวีได้สร้างสถานที่มีชื่อขึ้นหลายแห่ง เช่น เมืองพระบาง เมืองคันธิกะ เมืองบุรัฐ เมืองบุราง เมืองเทพบุรี เมืองบางพล เมืองราเสียด หาดเสียว เมืองตาก สระเหงา พุทธสรณาคมน์ ดอยอาบน้ำนาง ดอยผาแต้ม ปลาเต่า บ้านทา พระเจดีย์ปวิสิตปกะ และบ้านรัมมกะคาม เป็นต้น

พระฤาษีวาสุเทพและฤาษีสุกกะทันต์ และชาวเมืองได้อัญเชิญนางจามเทวีให้ประทับเหนือแผ่นทองประกอบพิธีอภิเษก เมื่อเสด็จมาถึงนครหริภุญชัย เมืองนี้จึงมีชื่อว่า “หริปุญ์ชย” หรือ “หริภุญชัย”

พระนางจามเทวีประสูติพระโอรสแฝด ๒ พระองค์ หลังจากจากครองราชย์ได้เพียง ๗ วัน ซึ่งพระโอรสมีพระนามว่า พระมหันตยศ หรือมหายศ กับ พระอนันตยศ หรืออินทวรราช

พระนางจามเทวีได้ช้างมงคลมาสู่พระบารมี เนื่องจากได้ทรงสร้างบุญกุศลเพิ่มพูนบารมีในพระพุทธศาสนา

พระเจ้ามิลักข(ตำนานมูลศาสนาว่า ขุนลัวะ) พระนามติลังก(บางฉบับว่าพิลังกะ หรือ วิลังคราช ก็มี) ได้ยกทัพมายึดนครหริภุญชัย ขณะนั้นพระโอรสมีพระชนม์ได้ ๕ พรรษา(ตำนานบางตอนบอกว่า ๗ พรรษา) พระกุมารทั้งสองได้ทรงช้างสำคัญออกศึก เมื่อช้างข้าศึกเห็นก็ตกใจหนีแตกตื่นไปจนหมดสิ้น พระเจ้ามิลักขราชจึงถวายพระธิดาฝาแฝด ๒ องค์ ให้กับพระมหันตยศ และพระอนันตยศ พระนางจามเทวีก็จัดการอภิเษกสมรสให้แก่พระโอรสและพระธิดาทั้งสอง จึงทำให้มิลักขรัฐ และนครหริภุญชัยมีสัมพันธไมตรีที่ดีต่อกัน แต่บางตำนานก็กล่าวไว้ว่า พระนางจามเทวีทรงใช้เล่ห์ทางไสยศาสตร์ในการรบ ทำให้พระเจ้ามิลักขราชหลงรักพระนางจนหมดพลังอำนาจ จนถึงกับต้องฆ่าตัวตาย

พระนางจามเทวีได้อภิเษกให้พระมหันตยศขึ้นครองนครหิรภุญชัย และให้พระอนันตยศเป็นพระยาอุปราช เมื่อมีพระชนม์ได้ ๗ พรรษา บรรดาประชาราษฎร์มีความร่มเย็นเป็นสุข พระนางจามเทวีทรงสร้างวัดใหญ่ ๕ ตำบลรอบเมือง เพื่อบำรุงพระศาสนา มี สร้างอรัญญิกรัมมการามทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ สร้างมาลุวารามด้านตะวันออก สร้างอาพัทธารามด้านทิศเหนือ สร้างมหาวนารามด้านทิศตะวันตก และสร้างมหารัดารามด้านทิศใต้

ต่อมา พระอนันตยศได้ทูลลาไปครองนครเขลางค์ ที่พระองค์ได้ขอให้พระสุพรหมฤาษีสร้างถวายให้บริเวณใกล้แม่น้ำวัง และเพื่อสร้างความเจริญให้กับนครเขลางค์ อยู่มาไม่นานพระเจ้าอนันตยศก็ได้กลับมารับพระนางจามเทวี และขอพระภิกษุ และผู้คนจากหริภุญชัยไปอยู่ด้วย พระนางจามเทวีคอยดูแลให้คำปรึกษาด้านการปกครองแก่พระเจ้าอนันตยศอยู่ที่นครเขลางค์เป็นเวลา ๓ ปี พระเจ้าอนันตยศขอให้สุพรหมฤาษีสร้างอาลัมพางคะนคร ซึ่งอยู่ใกล้นครเขลางค์เพื่อเป็นที่ประทับของพระองค์ เมื่อครบ ๓ ปี พระเจ้าอนันตยศ ได้ขอให้พระนางจามเทวีประทับอยู่ต่อ แต่เพื่อให้เจ้าอนันตยศได้ทรงปฏิบัติหน้าที่ของกษัตริย์อย่างแท้จริง พระนางจามเทวีจึงของประทับที่อาลัมพางคะนครแทน พระเจ้าอนันตยศขอให้พระนางจามเทวีอยู่ต่ออีก ๑ ปี แต่พระนางฯ ประทับต่อได้แค่ ๑ เดือนก็เกิดประชวรต้องเสด็จกลับนครหริภุญชัย เมื่อกลับถึงนครหริภุญชัย พระนางจามเทวีก็ได้พระราชทานมหาทาน และทรงสมาทานศีล ฟังธรรมเทศนาถึง ๗ วัน พอถึงวันที่ ๘ อาการประชวรได้กำเริบจนถึงสวรรคต พระเจ้ามหันตยศได้ให้ประกอบพีถวายพระเพลิง และให้สร้างพระเจดีย์ทางด้านตะวันตกของตัวเมือง บรรจุพระอัฐิของพระนางจามเทวี นามว่า สุวรรณจังโกฏเจดีย์

พระราชประวัติพระนางจามเทวีมีเรื่องอิทธิปาฏิหาริย์สอดแทรกอยู่มาก เนื่องจากมีการบันทึกไว้เป็นตำนาน ที่รวบรวมจากนิยายปรัมปราที่เล่าต่อกันมา จึงไม่อาจหาข้อเท็จจริงได้แน่ชัด จึงได้มีผู้ศึกษาวิเคราะห์ตีความประวัติศาสตร์ของพระนางจามเทวีไว้มาก เช่น

ฤาษีผู้สร้างเมืองเป็นใครมาจากไหน
นายมานิต วัลลิโภดม นักโบราณคดี เสนอไว้ในบทความเรื่อง หลักฐานโบราณคดีที่หริภุญชัย และเวียงท่ากาน ได้อ้างถึงตำนานเกี่ยวกับไทยเขินใน ประชุมพงศาวดารภาคที่ ๖๑ ว่า มีเรื่องฤาษีสร้างเมือง คือโอรสทั้งสี่ของพระยาวองตีฟาง โพธิญาณแห่งเมืองวิเทหราช คือเมืองหนองแสหรือตาลีฟู บวชเป็นฤาษีมาบำเพ็ญธรรมทางใต้ พบสถานที่ที่มีแสงพุ่งจากพื้นดิน ก็กราบไว้พระเกศาธาตุที่ผุดขึ้นมา สถานที่นี้เป็นที่สร้างเมืองลำพูนหรือหริภุญชัย ดังนั้นฤาษีที่กล่าวถึงในเรื่องเกี่ยวกับพระนางจามเทวี ก็คือ โอรสของเจ้าผู้ครองเมืองหนองแส

พระนางจามเทวีและชนพื้นเมืองที่อาณาจักรหริภุญชัยเป็นชนชาติใด
จากสันนิษฐานเดิมของนักโบราณคดีมีอยู่ว่า พระนางจามเทวีเป็นขอม เพราะมาจากละโว้ ต่อมาพบศิลาจารึกภาษามอญที่เมืองลพบุรีและเมืองนครปฐม เป็นอักษรรุ่นพุทธศตวรรษที่ ๑๓ ตรงกับสมัยพระนางจามเทวี และเป็นที่ยอมรับในหมู่นักโบราณคดี ว่าในเวลานั้นศิลปะทวารวดีของมอญมีอิทธิพลสูงในดินแดนภาคกลางของประเทศไทยปัจจุบัน และมีอิทธิพลแผ่ขยายถึงภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนืออีกด้วย และยังพบว่าศิลาจารึกรุ่นแรกหลายหลักที่พบที่ลำพูนเป็นภาษามอญและเป็นเรื่องราวในพุทธศตวรรษที่ ๑๓ จึงมีผู้สรุปว่าพวกเมงคบุตร หรือชาวเมงค์เป็นมอญ นายมานิต ลัลลิโภดม อ้างหนังสือเรื่องแหลมอินโดจีนสมัยโบราณ วิเคราะห์เรื่องเมงไว้ว่า พวกแม้ว ชื่อที่แท้จริงคือ เมงหรือเหม็ง และเรียกตัวเองว่ามุง นายมานิตเห็นว่า มุงก็คือไทมุง จึงอาจเป็นไปได้ว่า เมง คือเผ่าไทย ซึ่งสอดคล้องกับเรื่องฤาษีที่สร้างเมืองเป็นโอรสผู้ครองแคว้นยูนนาน ซึ่งยุคนั้นมีพระเจ้าสินุโล แห่งราชวงศ์ไทยมุง หรือไทเมืองปกครอง และนายมานิตเชื่อว่า พระนางจามเทวีจะต้องเป็นไทย หรือเกี่ยวพันกับไทยด้วย ซึ่งข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับพระสวามีของพระนางจามเทวีในหนังสือ สุวรรณภูมิอยู่ที่ไหน ว่าเมืองรามที่พระสวามีพระนางจามเทวีไปปกครองอาจเป็นเมืองอโยธยา และพระสวามีของพระนางจามเทวีคงเป็นโอรสของพระยากาวัณดิส กษัตริย์ไทยผู้ยิ่งใหญ่แห่งกรุงนครชัยศรี ซึ่งส่งเหล่าพราหมณ์ปุโรหิตไปช่วยปรับปรุงราชการงานเมืองที่ละโว้ให้เจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้น

ตำนานและนิทานที่ระบุว่า พระนางจามเทวีเป็นชาวเมืองลำพูนมาก่อน เช่น ตำนานพระราชประวัติพระนางจามเทวีฉบับที่นายสุทธวารี สุวรรณภาชน์ แปลและเรียบเรียง ซึ่งพ้องกับนิทานที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงได้รับฟังขณะแวะเรือที่บ้านหนองดู่(ปัจจุบันคือบ้านหนองดู่ อยู่ริมแม่น้ำปิง ในเขตอำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน) ว่าพระนางจามเทวีเป็นชาวบ้านหนองดู่ ดังได้ทรงเล่าไว้ในหนังสือ อธิบายระยะทางล่องลำน้ำพิงค์ตั้งแต่เชียงใหม่ถึงปากน้ำโพ เมื่อวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๖๔ ว่า

“บ้านหนองดู่มีเรื่องนิทานเล่ากันว่า เป็นบ้านเศรษฐี ซึ่งเป็นบิดาของนางจามเทวี เดิมจะยกนางจามเทวีให้แก่บุตรเศรษฐีบ้านหนองเหวี่ยง แต่ที่หลังกลับคำ ด้วยเห็นบุตรเศรษฐีบ้านหนองเหวี่ยงรูปชั่ว บิดาสองฝ่ายวิวาทกัน ร้อนถึงพระอินทร์ จึงให้พระวิสุกรรมมารับนางไปถวายพระฤาษีวาสุเทพ พระฤาษีวาสุเทพชุบนางให้งามยิ่งขึ้น แล้วส่งไปถวายเป็นธิดาเจ้ากรุงละโว้”

จากการศึกษาเปรียบเทียบในรูปสหวิทยาการ เมื่อนำผลการศึกษาในสาขาวิชาต่างๆ เช่น โบราณคดี ประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ ภาษาศาสตร์ และมานุษยวิทยา มาวิเคราะห์ตีความ ทำให้มองเห็นประวัติศาสตร์ได้กว้างขึ้น เช่นเรื่องที่ว่า ผู้คนที่รับอิทธิพลศิลปะทวารวดีเป็นมอญ เพราะพบจารึกภาษามอญในศิลปะทวารวดีนั้น ก็ไม่ใช่ความถูกต้องเสมอไป เพราะสมัยสุโขทัยเมื่อมีลายสือไทยแล้ว ก็ยังพบจารึกภาษาขอมไปพร้อมกันด้วย ดังนั้นภาษามอญจึงเป็นเพียงภาษาหนึ่งที่ใช้ในหมู่ชนที่รับอิทธิพลของศิลปะทวารวดีเท่านั้น และชนเผ่าสมัยทวารวดีก็มิใช่มีเฉพาะพวกมอญ แต่จะต้องมีทั้งคนพื้นเมืองดั้งเดิม ผู้ที่อพยพเคลื่อนย้ายมาจากถิ่นอื่นทั้งจากทางทะเล เช่น พวกอินเดีย และพวกที่เคลื่อนย้ายจากบ้านเมืองใหญ่น้อยในทวีป โดยอาศัยเส้นทางคมนาคมทางบกที่มีอยู่ ซึ่งต้องมีพวกสยามหรือไทยอยู่ด้วยแน่นอน

ปีประสูติ ระยะเวลาครองราชย์ และปีสวรรคตของพระนางจามเทวี
มีผู้บันทึกและวิเคราะห์ต่างกัน เช่น ชินกาลมาลีปกรณ์ ว่าครองราชย์ พ.ศ. ๑๒๐๕ ครองราชย์ ๗ ปี นายมานิต วัลลิโภดม สอบค้นว่าประสูติเมื่อง พ.ศ. ๑๑๖๖ ครองราชย์ พ.ศ. ๑๒๐๕ ครองราชย์ ๑๘ ปี สิ้นพระชนม์ พ.ศ. ๑๒๕๘ พระชันษาได้ ๙๒ ปี ตำนานฉบับที่นายสุทธวารี สุวรรณภาชน์ แปลและเรียบเรียงว่า ประสูติ พ.ศ. ๑๑๗๖ ครองราชย์ พ.ศ. ๑๒๐๒ สละราชสมบัติ พ.ศ. ๑๒๓๑ และสวรรคต พ.ศ. ๑๒๗๔ เป็นต้น

เกี่ยวกับพระนางจามเทวี แม้จะมีประเด็นให้ศึกษาเรื่องราวอีกมาก แต่หลักฐานต่างๆ ก็ระบุตรงกันว่า พระนางจามเทวีทรงเป็นกษัตริย์ที่ทรงทศพิธราชธรรม รู้หลักการปกครอง ทรงทะนุบำรุงพระพุทธศาสนา และทรงส่งเสริมเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรม นำความเจริญก้าวหน้ามาสู่ดินแดนทางภาคเหนือของประเทศไทย จังหวัดลำพูนจึงขอความร่วมมือกรมศิลปากร ให้สร้างพระอนุสาวรีย์พระนางจามเทวีไว้เป็นที่เคารพสักการะ มีขนาดสูง ๒ เมตร ๔๐ เซนติเมตร เป็นรูปที่ทรงยืนในพระอิริยาบถพระหัตถ์ซ้ายถือพระขรรค์ปลายแตะพื้น พระหัตถ์ขวาเชื้อเชิญต้อนรับ ประดิษฐานอยู่ในสวนสาธารณะ ริมถนนพหลโยธิน ในอำเภอเมืองลำพูน หางจากศาลากลางจังหวัดไปทางทิศใต้ประมาณ ๑ กิโลเมตร สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชเจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินทรงประกอบพิธีเปิด เมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๒๕

ที่มา: จากหนังสือเรื่อง สตรีสำคัญในประวัติศาสตร์ไทย
เรียบเรียงโดย: วีณา โรจนราธา

พระราชประวัติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ

สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงเป็นพระธิดาของ พลเอก พระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นจันทบุรีสุรนาถ(หม่อมเจ้านักขัตรมงคล กิติยากร) กับหม่อมหลวงบัว กิติยากร ทรงพระราชสมภพเมื่อวันศุกร์ที่ ๑๒ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๔๗๕ ตรงกับวันทางจันทรคติ คือ วันศุกร์ขึ้น ๑๑ ค่ำ เดือน ๙ ปีวอก ที่บ้านของพลเอก เจ้าพระยาวงศานุประพันธ์ บิดาของหม่อมหลวงบัว ซึ่งตั้งอยู่ ณ บริเวณถนนพระราม ๖ หรือถนนบรรทัดทอง จังหวัดพระนคร โดยมีคุณหญิงริน ภรรยาท่านเจ้าคุณศรีวิศาลวาจา เป็นแพทย์ผู้ถวายพระประสูติกาล

หลังจากที่ประสูติได้ไม่นาน พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๗ ได้โปรดเกล้าฯ พระราชทานนามให้ว่า สิริกิติ์ ซึ่งมีความหมายว่า ผู้เป็นศรีแห่งกิติยากร โดยในขณะนั้นทรงมีฐานันดรศักดิ์เป็น หม่อมราชวงศ์หญิง

ทรงมีพระเชษฐา ๒ องค์คือ
หม่อมราชวงศ์กัลป์ยาณกิติ์ กิติยากร(ภายหลังดำรงตำแหน่ง ศาสตราจารย์ นายแพทย์ ก่อนถึงแก่อนิจกรรม)

หม่อมราชวงศ์อดุลยกิติ์ กิติยากร(พระบิดาของพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ และเป็นท่านตาของพระเจ้าหลานเธอพระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา ได้รับพระราชทานโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งองคมนตรี ปัจจุบันถึงแก่อนิจกรรมแล้ว) และพระกนิษฐภคินี ๑ องค์ คือ หม่อมราชวงศ์หญิงบุษบา กิติยากร(ปัจจุบันคือ ท่านผู้หญิงบุษบา สันทนพงษ์)

เมื่อในช่วงแรกประสูตินั้น ประเทศไทยกำลังอยู่ในภาวะการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง พระบิดาได้ทรงย้ายจากงานราชการทหารไปรับราชการประจำอยู่ที่สถานเอกอัครราชทูตไทยในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ประเทศสหรัฐอเมริกา พระมารดาก็ได้เดินทางติดตามไปด้วย หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์จึงเจริญวัยภายใต้ความดูแลของเจ้าพระยาวงศานุประพันธ์ และคุณท้าววนิดาพิจาริณี ผู้เป็นคุณตาคุณยายในประเทศไทย ต่อมาพระบิดาได้ลาออกจากราชการและเสด็จกลับเมืองไทยพร้อมด้วยพระมารดา เมื่อหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์มีอายุได้ ๒ ขวบเศษ เพื่อประทับอยู่ใกล้ชิดพร้อมกันทั้งครอบครัว ที่วังของราชสกุลกิติยากร ซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณเทเวศร์ ในกรุงเทพมหานคร

ในปี ๒๔๘๐ หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ ได้เริ่มเข้าศึกษาชั้นอนุบาลที่โรงเรียนราชินี ที่อยู่บริเวณปากคลองตลาด ซึ่งขณะนั้นอยู่ท่ามกลางความผันผวนทางการเมืองทั้งภายในและภายนอกประเทศ และภายในปีเดียวกันก็สามารถสอบผ่านชั้นประถมปีที่ ๑ ได้ ต่อมากรุงเทพฯ ได้กลายเป็นพื้นที่เป้าหมายการโจมตีทางอากาศอยู่เนืองๆ เนื่องจากผลของสงครามโลกครั้งที่ ๒ หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์จึงได้ย้ายมาศึกษาต่อที่โรงเรียนเซนต์ฟรังซิสซาเวีย คอนแวนต์ ในชั้นประถมปีที่ ๒ ซึ่งอยู่ใกล้กับวัง และปลอดภัยในการเดินทางมากกว่า

ขณะที่หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ศึกษาอยู่ ณ โรงเรียนเซนต์ฟรังซิสซาเวียร์ คอนแวนต์ นั้น ยังทรงเลือกเรียนภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส และเรียนเปียโน เป็นวิชาพิเศษ นอกจากการเรียนในหลักสูตรปกติแล้ว ทรงมุ่งหวังที่จะเรียนเปียโนเป็นวิชาชีพจึงทรงฝึกฝนอย่างจริงจัง

ขณะมีพระชนมายุได้ ๑๓ พรรษา ทรงสำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ บิดาต้องไปรับราชการในตำแหน่งเอกอัครราชทูตประจำสำนักเซนต์เจมส์ ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ซึ่งหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ต้องต้องตามเสด็จไปด้วย ในปี พ.ศ.๒๔๘๙ และได้ทรงศึกษาวิชาภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส ควบคู่ไปกับการทรงเปียโนตลอดมา ด้วยมีพระประสงค์เข้าศึกษาต่อในวิทยาลัยการดนตรี Conservatoire National de Musigue แห่งกรุงปารีส

หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ได้มีโอกาสเข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เมื่อพระบิดาต้องย้ายไปดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตประจำกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งขณะนั้นพระเจ้าอยู่หัวฯ ประทับอยู่ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ พระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงคุ้นเคยกับครอบครัวกิติยากรเป็นอย่างดี เนื่องจากโปรดขับรถทางไกลจากเมืองโลซานน์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ไปประพาสและประทับที่สถานเอกอัครราชทูต กรุงปารีสบ่อยครั้ง และหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ก็เป็นที่ต้องพระราชอัธยาศัยยิ่งขึ้นเพราะทรงมีความสนพระราชหฤทัยในการดนตรีเช่นเดียวกัน

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ในเดือนตุลาคม พ.ศ.๒๔๙๑ ขณะที่ทรงขับรถพระที่นั่งออกจากเมืองโลซานน์ ต้องเสด็จเข้ารับการรักษาเป็นเวลา ๓ สัปดาห์ ที่โรงพยาบาลในมอร์เซส จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์พร้อมด้วยหม่อมราชวงศ์บุษบาและหม่อมหลวงบัว กิติยากร เข้าเฝ้าเยี่ยมพระอาการเป็นประจำ เมื่อพระอาการทุเลาดีขึ้น สมเด็จพระศรีนครินทรา บรมราชชนนี ได้ทรงขออนุญาตให้หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์เสด็จไปเฝ้าฯ ถวายการพยาบาลที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดยทรงเป็นพระธุระดูแลที่พักและจัดการศึกษาของหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์

หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ได้ศึกษาต่อในโรงเรียนประจำที่มีชื่อเสียงในวิชาชีพพิเศษกุลสตรีแห่งเมืองโลซานน์ คือที่ Pensionnat Rinatc Rive จึงทำให้ความสัมพันธ์สานสายใยใกล้ชิดกันยิ่งขึ้นระหว่างหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์กับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ได้รับสั่งขอหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ต่อหม่อมเจ้านักขัตรมงคล พระบิดา เมื่อ ๑ ปีต่อมา เมื่อวันที่ ๑๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๙๒ ก็โปรดให้มีพระราชพิธีหมั้นเป็นการภายใน ณ โรงแรมวินด์เซอร์ เมืองโลซานน์ และเมื่อวันที่ ๒๘ เมษายน พ.ศ. ๒๔๙๓ ก็ได้จัดพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส ณ วังสระปทุม ภายหลังจากเสด็จฯ นิวัตสู่ประเทศไทยและถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลแล้ว โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ เป็นสมเด็จพระราชินีสิริกิติ์ พร้อมกับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์สูงสุดตามแบบแผนโบราณราชประเพณี

ในวันที่ ๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๓ เป็นพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาเฉลิมพระอิสริยยศ สมเด็จพระราชินีสิริกิติ์ เป็นสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี

สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจนานัปการ สมพระเกียรติยศแห่งพระมเหสีคู่พระบารมี ทั้งการพระอภิบาลพระราชโอรสพระราชธิดา ๔ พระองค์ คือ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าอุบลรัตนราชกัญญาฯ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี และทรงสนองพระราชประสงค์ตามแนวพระราชดำริแห่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อประโยชน์สุขของพสกนิกร เช่น ในปี พ.ศ. ๒๔๙๙ ทรงรับพระราชภารกิจในตำแหน่งสภานานิยา สภากาชาดไทย แทนสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้าซึ่งเสด็จสวรรคต ทำให้สภากาชาดเป็นกิจการที่อำนวยประโยชน์แก่ชาวไทยอย่างกว้างขวางด้วยพระปรีชาสามารถ และเป็นที่รู้จักกันทั่วไป จนได้รับการสนับสนุนร่วมมือจากกองทุนจากประเทศต่างๆ มากมาย ต่อมาระหว่างวันที่ ๒๒ ตุลาคม-๕ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๙๙ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระผนวช ตลอดเวลา ๑๕ วัน สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงปฏิบัติพระราชกิจต่างๆ สนองพระราชประสงค์ด้วยพระปรีชาสามารถ โดยเฉพาะการเป็นองค์ประธานในการประชุมองคมนตรี และการประชุมพิจารณาพระราชบัญญัติต่างๆ

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เฉลิมพระอภิไธยเป็นสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๙๙ ซึ่งเป็นโบราณราชประเพณีในการถวายพระเกียรติยศแด่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ผู้ได้ทรงปฏิบัติพระราชภารกิจเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เฉกเช่นสมเด็จพระศรีพัชรินทรา บรมราชินีนาถในรัชกาลที่ ๕ จึงนับได้ว่าทรงเป็นสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถองค์ที่สองในประวัติศาสตร์ไทย

สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้ทรงเจริญรอยตามเบื้องพระยุคลบาทในพระราชภารกิจทุกประการตลอดระยะเวลาแห่งการครองสิริราชสมบัติของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเสด็จติดตามพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเพื่อทรงเยี่ยมราษฎรทั่วทั้งแผ่นดิน ด้วยน้ำพระราชหฤทัยเมตตาที่ทรงห่วงใยพสกนิกรนับตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๔๙๕ เป็นต้นมาจวบจนถึงปัจจุบัน ทรงตรากตรำพระวรกายในการเสด็จฯ ยังท้องถิ่นทุรกันดารที่การคมนาคมไม่เอื้ออำนวย เป็นพื้นที่ห่างไกลความเจริญและเต็มไปด้วยภัยอันตราย ด้วยพระราชปณิธานมุ่งมั่น ที่จะขจัดทุกข์บำรุงสุขแก่ราษฎรของพระองค์ ให้สามารถดำเนินชีวิตอย่างสงบสุขบนผืนแผ่นดินไทยโดยทั่วหน้ากัน

ทรงได้เล็งเห็นปัญหาต่างๆ ของประเทศอย่างลึกซึ้ง จากการเสด็จฯ ทรงเยี่ยมราษฎร จึงมีพระราชเสาวนีย์ให้จัดตั้งหน่วยงาน องค์กร และมูลนิธิในพระราชินูปถัมภ์มากมาย เพื่อสานต่อพระราชดำริให้เกิดผลประโยชน์ต่อราษฎรอย่างจริงจัง เช่น มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ที่สามารถสร้างงานส่งเสริมอาชีพให้แก่ครอบครัวของเกษตรกรทั่วประเทศ

พระราชกรณียกิจต่างๆ นับเนื่องมากว่า ๕๐ ปี ซึ่งสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงนำพระเกียรติยศมาสู่ชาติไทย และนำความปลาบปลื้มปีติแก่พสกนิกรข้าแผ่นดินทั้งหลาย การเสด็จโดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไปยังต่างประเทศเพื่อเจริญสัมพันธไมตรี ด้วยพระปรีชาสามารถและพระราชจริยาวัตรที่งดงาม สมพระเกียรติยศแห่งขัตติยราชนารีคู่พระบารมีแห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อีกทั้งการรับสนองพระบรมราโชบายตามพระราชดำริในด้านต่างๆ ทั้งการศึกษา การสาธารณสุข การศาสนา การสังคมสงเคราะห์ การอนุรักษ์และเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรม ที่เป็นเอกลักษณ์ของชาติในทุกๆ ด้าน ตลอดจนการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อความเป็นอยู่และคุณภาพชีวิตของพสกนิกรของพระองค์ พระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ นานัปการเหล่านี้ เป็นสิ่งที่ปวงชนชาวไทยต่างซาบซึ้งและปลาบปลื้มปีติกันทั่วหน้า

ทั้งในและต่างประเทศที่พระเกียรติคุณได้ปรากฏเป็นที่ประจักษ์โดยกว้างขวาง เช่นที่สถาบันการศึกษาและองค์กรระดับชาติได้ทูลเกล้าฯ ถวายปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์สาขาต่างๆ แด่พระองค์ อาทิ เมื่อวันที่ ๑๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๒๒ องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ ทูลเกล้าฯ ถวายเหรียญเซเรส(CERES) เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๓ มหาวิทยาลัยทัฟส์ แห่งมลรัฐแมสซาซูเซทส สหรัฐอเมริกา ทูลเกล้าฯ ถวายปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขามนุษยธรรม เมื่อวันที่ ๓๐ มกราคม พ.ศ. ๒๕๓๕ องค์การศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ(UNESCO) ทูลเกล้าฯ ถวายเหรียญทองบุโรพุทโธ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๘ มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด สหรัฐอเมริกา ทูลเกล้าฯ ถวายรางวัลเทิดพระเกียรติคุณ และเมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๐ มหาวิทยาลัยโตโก ประเทศญี่ปุ่น ทูลเกล้าฯ ถวายปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ เป็นต้น

นับเป็นมหามงคลสมัยของชาติไทย ที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงเจริญพระชนมพรรษา ๖ รอบ ในพุทธศักราช ๒๕๔๗ รัฐบาลและปวงชนชาวไทย จึงพร้อมใจร่วมกันจัดงานเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ ๑๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๗ โดยการจัดทำโครงการและกิจกรรมหลากหลาย ที่ล้วนแต่เกิดจากความสำนึกในพระเกียรติคุณ และพระมหากรุณาธิคุณ ที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้พระราชทานไว้แก่พสกนิกรชาวไทย ตลอดระยะเวลาอันยาวนาน

ที่มา: จากหนังสือเรื่อง สตรีสำคัญในประวัติศาสตร์ไทย
โดย: คณะกรรมการฝ่ายประมวลเอกสารและจดหมายเหตุ
กรมศิลปากร สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์

พุทธภาษิต

ธรรมที่เป็นภาษิต ที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ก็มีเช่นกัน ซึ่งนอกเหนือจากหลักปฏิบัติอื่นๆ แล้ว จะกล่าวโดยสังเขปดังนี้

ยํ เว เสวติ ตาทิโส
คบคนเช่นใดก็เป็นเช่นนั้น

ทุกฺโข พาเลหิ สงฺคโม
คบกับคนเลว นำทุกข์มาให้

ธีโร จ สุขสํวาโส
อยู่ร่วมกับคนอี นำสุขมาให้

นาสฺมเส อลิกวาทิเน
ไม่ควรไว้ใจคนพูดพล่อยๆ

วิสฺสาสา ภยมนฺเวติ
เพราะความไว้วางใจ ภัยจึงตามมา

อติจิรํ นิวาเสน ปิโย ภวติ อปฺปิโย
เพราะอยู่ด้วยกันนานเกินไป คนที่รักก็มักหน่าย

มิตฺตทุพฺโภ หิ ปาปโก
ผู้ประทุษร้ายมิตรเป็นคนเลวจริงๆ

ปาปมิตฺโต ปาปสโข ปาปอาจารโคจโร
ผู้มีมิตรมีเพื่อนเลว ย่อมมีความประพฤติและที่เที่ยวเลวไปด้วย

ภริยา ปรมา สขา
ภรรยาเป็นยอดมิตร

ภตฺตา ปญฺญาณมิตฺถิยา
สามีเป็นสง่าของภรรยา

โย จ ปุตฺตานมสฺสโว
บุตรผู้ว่าง่ายย่อมประเสริฐกว่าบุตรทั้งหลาย

อิตฺถี ภณฺฑานมุตฺตมํ
สตรีเป็นของดีที่สุดกว่าสมบัติทางโลกทั้งหลาย

อิตฺถี มลํ พฺรหฺมจริยสฺส
สตรีเป็นมลทินของผู้ถือพรหมจรรย์

พาโล อปริณายิโก
คนโง่ไม่ควรเป็นหัวหน้า

อุชฺฌตฺติพลา พาลา
คนเลวย่อมคอยจ้องจับผิดผู้อื่น

โย พาโล มญฺญติ พาลฺยํ ปณฺฑิโต วาปิ เตน โส
คนโง่ยอมรับว่าตัวโง่จะเป็นผู้ฉลาด เพราะความรู้ตัวนั้น

โย พาโล ปณฺฑิตมานี ส เว พาโลติ วุจฺจติ
คนโง่เข้าใจว่าตนฉลาด ท่านเรียกคนนั้นว่าคนโง่แท้

สุวิชาโน ภวํ โหติ ทุวิชาโน ปราภโว
ผู้มีวิชาดีมีความเจริญ ผู้มีวิชาเลวมีความเสื่อม

ธมฺมกาโม ภวํ โหติ ธมฺมเทสฺสี ปราภโว
ผู้ชอบธรรมเป็นคนเจริญ คนชังธรรมเป็นคนเสื่อม

ยถาวาที ตถาการี
คนดีพูดอย่างใด ทำอย่างนั้น

ทนฺโต เสฏฺโฐ มนุสฺเสสุ
ในหมู่คน คนที่ฝึกตนเองดีแล้ว ดีที่สุด

อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ
ตนแล เป็นที่พึ่งของตน

นตฺถิ อตฺตสมํ เปมํ
ความรักอื่น เสมอด้วยรักตนไม่มี

อตฺตนาว กตํ ปาปํ อตฺตนา สงฺกิลิสฺสติ
ตนทำชั่วเอง ก็ย่อมหม่นหมองเอง

อตฺตานญฺเจ ตถา กยิรา ยถญฺญมนุสาสติ
ถ้าสอนคนอื่นอย่างใด ตนก็ควรทำอย่างนั้น

อตฺตนา โจทยตฺตนํ ปฏิมํเส ตมตฺตนา
พึงเตือนตนเอง พึงพิจารณาตนเอง

อตฺตานญฺจ น ฆาเตสิ
ไม่ควรฆ่าตนเองเลย

อตฺตานํ นาติวตฺเตยฺย
ไม่ควรลืมตัว

ปมาโท มจฺจุโน ปทํ
ความประมาทเป็นทางของความตาย

สุกรํ สาธุนา สาธุ สาธุ ปาเปน ทุกฺกรํ
ความดีคนดีทำง่าย แต่คนชั่วทำได้ยาก

สุกรานิ อสาธูนิ อตฺตโน อหิตานิ จ
ความชั่วและไร้ประโยชน์แก่ตน เป็นของทำง่าย

ยํ เว หิตญฺจ สาธุญฺจ ตํ เว ปรมทุกฺกรํ
การใดมีประโยชน์ด้วย ดีด้วย การนั้นทำยากนัก

นิสมฺม กรณํ เสยฺโย
ใคร่ครวญก่อนแล้วจึงทำดีกว่า

กาลานุรูปํ ว ธุรํ นิยุญฺเช
พึงทำธุรการงานให้เหมาะแก่กาลเวลา

กมฺมํ สตฺเต วิภชติ ยทิทํ ทีนปฺปณีตตาย
กรรมย่อมจำแนกสัตว์ให้ทรามบ้างดีบ้าง

กลฺยาณการี กลฺยาณํ ปาปการี จ ปาปกํ
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว

กมฺมุนา วตฺตตี โลโก
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม(การกระทำ)

กาเมหิ โลกมฺหิ น อตฺถิ ติตฺติ
ความอิ่มความพอด้วยกามไม่มีเลยในโลก

อิจฺฉา นรํ ปริกสฺสติ
ความอยากย่อมเสือกไสนรชน(ให้ไปทำนั่นทำนี่)

อนตฺถชนโน โกโธ โกโธ จิตฺตปฺปโกปโน
ความโกรธก่อให้เกิดความพินาศ ทำใจให้ปั่นป่วน

หนฺติ กุทฺโธ สมาตรํ
คนโกรธ ย่อมฆ่าแม่ตัวได้

มา โกธสฺส วสํ คมิ
อย่าลุอำนาจความโกรธ

โกธํ ฆตฺวา สุขํ เสติ
ฆ่าความโกรธได้ ย่อมอยู่เป็นสุข

ขนฺติ สาหสวารณา
ขันติย่อมห้ามความผลุนผลันได้

ขนฺติ หิตสุขาวหา
ขันตินำมาซึ่งประโยชน์สุข

ขนฺติ ธีรสฺสลงฺกาโร
ขันติเป็นเครื่องประดับของนักปราชญ์

จิตฺเตน นียติ โลโก
ชาวโลกถูกใจนำไป

วิหญฺญติ จิตฺตานุวตฺตี
ผู้ทำตามใจชอบ ย่อมลำบาก

จิตฺตํ คุตฺตํ สุขาหํ
ใจที่ควบคุมดีแล้ว ย่อมนำสุขมาให้

จิตฺเต สงฺกิลิฏฺเฐ ทุคฺคติ ปาฏิกงฺขา
เมื่อใจเศร้าหมอง(เมื่อตาย) หวังไปทุคติแน่

จิตฺเต อสงฺกิลิฏฺเฐ สุคติ ปาฏิกงฺขา
เมื่อใจผ่องใส(เมื่อตาย) หวังไปสุคติแน่

ชยํ เวรํ ปสวติ ทุกฺขํ เสติ ปราชิโต
ผู้ชนะย่อมก่อเวร(แก่ผู้แพ้) ผู้แพ้ย่อมอยู่เป็นทุกข์

สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ
การให้ธรรมย่อมชนะการให้ทั้งปวง

สพฺพรสํ ธมฺมรโส ชินาติ
รสแห่งธรรมย่อมชนะรสทั้งปวง

สพฺพรติ ธมฺมรติ ชินาติ
ความพอใจธรรม ย่อมชนะความพอใจทั้งปวง

อกฺโกเธน ชิเน โกธํ
พึงชนะคนโกรธด้วยความไม่โกรธตอบ

อสาธุ สาธุนา ชิเน
พึงชนะคนเลวด้วยความดี

ชิเน กทริยํ ทาเนน
พึงชนะคนตระหนี่ด้วยการให้

สจฺเจนาลิกวาทินํ
พึงชนะคนพูดเหลาะแหละด้วยพูดจริง

น ตํ ชิตํ สาธุ ชิตํ ยํ ชิตํ อวชิยฺยติ
ความชนะที่กลับแพ้ได้ ไม่ดี

ตํ โข ชิตํ สาธุ ชิตํ ยํ ชิตํ นาวชิยฺยติ
ความชนะที่ไม่กลับแพ้นั่นแหละดี

อตฺตา หเว ชิตํ เสยฺโย
ชนะตนเองนั่นแล ประเสริฐ

ตณฺหกฺขโย สพฺพทุกฺขํ ชินาติ
ความสิ้นตัณหาคือความอยากชนะทุกข์ทั้งปวง

ททํ มิตฺตานิ คนํถติ
ผู้ให้ย่อมผูกไมตรีจิต

สุขสฺส ทาตา เมธาวี สุขํ โส อธิคจฺฉติ
ปราชญ์ให้ความสุข(แก่ผู้อื่น) ตนเองนั้นก็ได้รับความสุข

ทุราวาสา ฆรา ทุกฺขา
การครองเรือนที่จัดไม่ดีย่อมนำทุกข์มาให้

ทฬิทฺทิยํ ทุกฺขํ โลเก
ความจนเป็นทุกข์ในโลก

อิณาทานํ ทุกฺขํ โลเก
การเป็นลูกหนี้เป็นทุกข์ในโลก

สนาถา วิหรถ มา อนาถา
พวกเธอจงอยู่โดยมีที่พึ่ง อย่าอยู่โดยไร้ที่พึ่งเลย

ทุกฺขํ อนาโถ วิหรติ
คนไม่มีที่พึ่ง อยู่ยาก

สงฺขารา ปรมา ทุกฺขา
สังขารเป็นทุกข์อย่างยิ่ง

อกิญฺจนํ นานุปตนฺติ ทุกฺขา
ทุกข์ย่อมไม่ตกไปถึงผู้สิ้นกังวล(ในสังขาร)

สตญฺจ ธมฺโม น ชรํ อุเปติ
พระสัทธรรม(ทันสมัยเสมอ)ไม่เก่า

ธมฺมจารี สุขํ เสติ
คนพระพฤติธรรม ย่อมอยู่เป็นสุข

ธมฺโม หเว รกฺขติ ธมฺมจารี
ธรรมแล ย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม

อาโรคฺยา ปรมา ลาภา
ความไร้โรคเป็นบรมลาภ

สนฺตุฏฐี ปรมํ ธนํ
ความสันโดษคือรู้จักพอ เป็นบรมทรัพย์

ชิคจฺฉา ปรมา โรคา
ความหิวเป็นโรคร้าย

วิสฺสาสา ปรมา ญาตี
ความคุ้นเคยเป็นญาติสนิท

กาโล ฆสติ ภูตานิ สพฺพาเนว สหตฺตนา
กาลเวลาย่อมกินสัตว์ทั้งหมดพร้อมทั้งตัวกาลเวลาเอง

ขโณ โว มา อุปจฺจคา
ท่านทั้งหลายอย่าปล่อยขณะเวลาให้ล่วงไปเปล่าเลย

อิติ วีสฺสฏฺฐกมฺมนฺเต อตฺถา อจฺเจนฺติ มานเว
ผลประโยชน์ย่อมล่วงเลยคนหนุ่มสาว ผู้ทอดทิ้งการงาน

นกฺขตฺตํ ปาฏิมาเนนฺตํ อตฺโถ พาลํ อุปจฺจคา
ผลประโยชน์ได้ล่วงเลยคนโง่ผู้มัวถือฤกษ์อยู่

อตฺโถ อตฺถสฺส นกฺขตฺตํ กึ กริสฺสนฺติ ตารกา
ผลประโยชน์เป็นฤกษ์ของผลประโยชน์เอง ดวงดาวจักทำอะไรได้

วโส อิสฺสริยํ โลเก
อำนาจเป็นใหญ่ในโลก

สาธุ โข สิปฺปกํ นาม อปิ ยาทิสกีทิสํ
ชื่อว่าศิลปะแล้ว แม้อย่างเดียวก็ใช้ได้

มตฺตญฺญุตา สทา สาธุ
ความรู้จักพอดี ให้สำเร็จประโยชน์เสมอ

โลโกปตฺถมฺภิกา เมตฺตา
เมตตาเป็นเครื่องค้ำจุนโลก

อรติ โลกนาสิกา
ความริษยาทำให้โลกฉิบหาย

สพฺพญฺเจ ปฐวี ทชฺชา นากตญฺญุมภิราธเย
ถึงให้แผ่นดินทั้งหมดก็ทำให้คนอกตัญญูพอใจไม่ได้

สกฺกาโร กาปุริสํ หนฺติ
สักการะ ย่อมฆ่าคนชั่ว

นิมิตฺตํ สาธุรูปานํ กตญฺญูกตเวทิตา
ความกตัญญูกตเวทีเป็นเครื่องหมายของคนดี

พฺรหฺมาติ มาตาปิตโร ปุพฺพาจริยาติ วุจฺจเร
พ่อแม่ท่านว่าเป็นพระพรหมเป็นบุพพาจารย์ของลูก

สุทสฺสํ วชฺชมญฺเญสํ อตฺตโน ปน ทุทฺทสํ
โทษคนอื่นเห็นง่าย โทษของตนเองเห็นยาก

นตฺถิ โลเก อนินฺทิโต
ผู้ที่ไม่เคยถูกว่าถูกนินทาเลยไม่มีในโลก

นตฺถิ โลเก รโห นาม
ชื่ว่าความลับไม่มีในโลก

อสชฺฌายมลา มนฺตา
ความรู้มีการไม่ทบทวน เป็นมลทิน

อนุฏฐานมลา ฆรา
บ้านเรือนมีการไม่หมั่นเช็ดถู เป็นมลทิน

มลํ วณฺณสฺส โกสชฺชํ
ผิวพรรณมีความเกียจคร้านชำระ เป็นมลทิน

ปมาโท รกฺขโต มลํ
ผู้รักษามีความเลินเล่อ เป็นมลทิน

มลิตฺถิยา ทุจฺจริตํ
ความประพฤตินอกใจผัว เป็นมลทินของหญิง

สุทฺธิ อสุทฺธิ ปจฺจตฺตํ
ความบริสุทธ์ ไม่บริสุทธิ์ เป็นของเฉพาะตัว

นาญฺดญ อญฺญํ วิโสธเย
คนหนึ่งจะให้อีกคนหนึ่งบริสุทธิ์แทนกันไม่ได้

อุกฺกฏฺเฐ สูรมิจฺจนฺติ
ในคราวคับขัน ย่อมต้องการคนกล้า

มนฺตีสุ อกุตูหลํ
ในการปรึกษาย่อมต้องการคนไม่พูดพล่าม

อาปทาสุ ถาโม เวทิตพฺโพ
พึงรู้ความสามารถในคราวมีอันตราย

สมฺมุขา ยาทิสํ จิณฺณํ ปรมฺมุขาปิ ตาทิสํ
ต่อหน้าประพฤติเช่นใด ลับหลังก็ประพฤติเช่นนั้น

เยสา สภา ยตฺถ น สนฺติ สนฺโต
สภาใดไม่มีสัตบุรุษ สภานั้นไม่ชื่อว่าสภา

รูปํ ชีรติ มจฺจานํ นามโคตฺตํ น ชีรติ
ร่างกายของคนย่อมย่อยยับได้ แต่ชื่อเสียงและสกุลยังอยู่

อปฺปตฺโต โน จ อุลฺลเป
ยังไม่ได้ ไม่ควรพูดอวด

นตฺถิ ปญฺญาสมา อาภา
แสงสว่างเสมอด้วยปัญญา ไม่มี

ปญฺญา ว ธเนน เสยฺดย
ปัญญาประเสริฐกว่าทรัพย์สิน

ปญฺญาย มคฺคํ อลโส น วินฺทติ
คนเกียจคร้านย่อมไม่พบทางปัญญา

สุสฺสูสํ ลภเต ปญฺญํ
ฟังเป็นย่อมได้ปัญญา

สากจฺฉาย ปญฺญา เวทิตพฺพา
ปัญญาพึงรู้ได้ด้วยการสนทนา

ทุกฺโข ปาปสฺส อุจฺจโย
ความสะสมความชั่วนำทุกข์มาให้

ปาปานํ อกรณํ สุขํ
การไม่ทำความชั่ว นำสุขมาให้

ปาปานิ กมฺมานิ กโรนฺติ โมพา
คนทำความชั่วเพราะความโง่เง่า

นตฺถิ อการิยํ ปาปํ มุสาวาทิสฺส ชนฺตุโน
คนมักพูดปดที่จะไม่ทำความชั่วอื่นนั้น ไม่มี

น ฆาสเหตูปิ กเรยฺย ปาปํ
ไม่ควรทำความชั่ว เพราะเห็นแก่กิน

วนฺทโก ปฏิวนฺทนํ
ไหว้เขา ก็ย่อมได้รับไหว้ตอบ

คุณวา จาตฺตโน คุณํ
ผู้มีความดี จงรักษาความดีของตนไว้

ปุญญํ โจเรหิ ทุหรํ
ความดี อันโจรขโมยไปไม่ได้

ปุญฺญานิ ปรโลกสฺมึ ปติฏฺฐา โหนฺติ ปาณินํ
ความดีเป็นที่พึ่งของสัตว์โลกได้ถึงปรโลก

น มิยฺยมานสฺส ภวนฺติ ตาณา
เมื่อจะตาย ไม่มีใครช่วยได้

สพฺเพ มจฺจุปรายนา
ทั้งคนมีคนจนทั้งหมดล้วนมีความตายรออยู่ข้างหน้า

น มิยฺยมานํ ธนมนฺเวติ กิญฺจิ
ทรัพย์สักนิดก้ติดตามคนตายไปไม่ได้

เนกาสี ลภเตสุขํ
กินคนเดียว ไม่ได้ความสุข

ผาตึ กยิรา อวิเหฐนํ ปรํ
ควรทำความเจริญ แต่อย่าเบียดเบียนเขา

ยาจโก อปฺปิโย โหติ ยาจํ อททมปฺปิโย
ผู้ขอย่อมไม่เป็นที่พอใจ(ของผู้ถูกขอ) ผู้ถูกขอเมื่อไม่ให้ก็ไม่เป็นที่พอใจ(ของผู้ขอ)

น ตํ ยาเจ ยสฺส ปิยํ ชิคึเส
ไม่ควรขอสิ่งที่รู้ว่าเป็นของรักของเขา

สจฺจํ เว อมตา วาจา
สัจวาจา เป็นอมตะแท้

หทยสฺส สทิสี วาจา
วาจาบ่งถึงใจ

โมกฺโข กลฺยาณิยา สาธุ มุตฺวา ตปติ ปาปิกํ
พูดดีย่อมให้สำเร็จประโยชน์ พูดเลวทำให้เดือดร้อน

วิริเยน ทุกฺขมจฺเจติ
คนพ้นทุกข์ได้ เพราะความเพียร

ปฏิรูปการี ธุรวา อุฏฺฐาตา วินฺทเต ธนํ
นักธุรกิจ ขยันทำงานให้เหมาะ ย่อมหาทรัพย์ได้

อชฺเชว กิจฺจมาตปฺปํ
ควรรีบทำความเพียรในวันนี้

วายเมเถว ปุริโส ยาว อตฺถสฺส นิปฺปทา
พึงพยายามไปจนกว่าจะถึงความสำเร็จสิ่งที่ต้องการ

อเวเรน จ สมฺมนฺติ
เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร

สติ สพฺพตฺถ ปตฺถิยา
สติ จำเป็นในที่ทั้งปวง

สามญฺเญ สมโณ ติฏฺเฐ
สมณะพึงตั้งอยู่ในภาวะของสมณะ

กิจฺโฉ มนุสฺสปฏิลาโภ
การได้เกิดเป็นคน เป็นการยาก

กิจฺฉํ มจฺจานชีวิตํ
การมีชีวิตอยุ่ของสัตว์โลกก็เป็นการยาก

กิจฺโฉ พุทฺธานมุปฺปาโท
การเกิดของพระพุทธเจ้า ก็เป็นการยาก

กิจฺฉํ สทฺธมฺมสฺสวนํ
การได้ฟังพระสัทธรรม ก็เป็นการยาก

สุขา สงฺหสสฺส สามคฺคี
ความสามัคคีของหมู่คณะ ให้เกิดสุข

สุขํ ยาว ชรา สีลํ
ศีลนำสุขมาให้ ตลอดจนกระทั่งแก่

อพฺยาปชฺฌํ สุขํ โลเก
ความไม่เบียดเบียนกัน นำสุขมาให้ในโลก

อทสฺสเนน พาลานํ นิจฺจเมว สุขี สิยา
เพราะไม่เห็นคนพาล พึงมีความสุขเป็นนิตย์ทีเดียว

สุโข พุทฺธานมุปฺปาโท
การอุบัติขึ้นของพระพุทธเจ้า นำสุขมาให้

สุขา สทฺธมฺมเทสนา
การแสดงพระสัทธรรม นำสุขมาให้

สุขํ สุปติ พุทฺโธ จ เยน เมตฺตา สุภาวิตา
ผู้เจริญเมตตาดีแล้ว ย่อมหลับและตื่นเป็นสุข

สพฺพตฺถ ทุกฺขสฺส สุขํ ปหานํ
ละเหตุแห่งทุกข์(กิเลส)ได้ ย่อมเป็นสุขในที่ทั้งปวง

เตสํ วูปสโม สุโข
ความสงบแห่งสังขาร เป็นสุข

นตฺถิ สนฺติปรํ สุขํ
สุขยิ่งกว่าความสงบ ไม่มี

นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ
พระนิพพาน เป็นบรมสุข

พุทธภาษิตที่นำมากล่าวนี้ ได้ย่อมาจากหนังสือพุทธศาสนสุภาษิตเล่มหนึ่ง ซึ่งบรรจุพุทธภาษิตเอาไว้ ๕๐๐ ข้อ ธรรมที่ยกมาแสดงในที่นี้ เมื่อสังเกตแล้วจะเห็นว่า นำมาจากคัมภีร์อังคุตตรนิกาย เป็นส่วนมาก ส่วนพุทธภาษิตนั้นนำมาจากคัมภีร์ขุททกนิกายเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งทั้งสองนิกายนี้ เป็นแต่เพียงส่วนหนึ่งในพระสูตร ธรรมที่นำมากล่าวนี้เล็กน้อยเท่านั้นเมื่อเทียบกับจำนวนทั้ง ๘๔,๐๐๐ อย่าง

หากท่านมีความสนใจก็ให้ใช้ปัญญาพิจารณาและค้นคว้าศึกษาให้มากยิ่งขึ้นไป แล้วจะได้เห็นความมหัศจรรย์ ความยิ่งใหญ่ ความลึกซึ้ง ชวนให้ศึกษาของพระพุทธศาสนา และทำให้เกิดความประหลาดใจอย่างยิ่งในพระบรมอัจฉริยะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ
ข้าพเจ้าขอถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรมคำสั่งสอนของพระองค์ พระสงฆ์สาวกของพระองค์ว่าเป็นสรณะ

จิรํ ติฏฺฐตุ สทฺธมฺโม
ขอพระสัทธรรมจงตั้งอยู่ตลอดกาลนาน เทอญ

ที่มา: จากหนังสือเรื่อง 1 ใน 84000 ของ สภาการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัย มหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนา

ผู้มุ่งเจริญสมณธรรมเพื่อโมกขธรรม

ผู้ที่มุ่งจะเจริญอย่างจริงใจต้อง
๑. มีธุรกิจน้อย เลี้ยงง่าย มักน้อย
๒. กินน้อย ไม่เห็นแก่ปากแก่ท้อง
๓. ไม่นอนมาก(ไม่หาความสุขจากการนอน) ตื่นประกอบความเพียรมากกว่านอน
๔. เป็นพหูสูต
๕. รู้จักพิจารณาใจ

หรือ
๑. เชื่อในพระปัญญาตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
๒. มีโรคน้อย มีอาพาธน้อย
๓. ไม่โอ้อวด มายา
๔. หมั่นเพียรละอกุศลธรรม เจริญกุศลธรรม
๕. มีปัญญาเห็นความเกิดความดับ

ผู้มุ่งเจริญสมณธรรม เพื่อโมกขธรรมอย่างจริงใจ ควรมีลักษณะอย่างนี้

การมอบตัว
เพื่อเป็นประโยชน์แก่การปฏิบัติสมณธรรม เพื่อสร้างความมั่นคงทางใจแก่ตน เพื่อระงับความหวาดกลัวที่อาจเกิดขึ้น เมื่ออยู่ในที่สงัด หรือมีนิมิตบางอย่างเกิดขึ้นในขณะบำเพ็ญสมาธิ หรือเข้ากัมมัฏฐาน และเพื่อได้กัลยาณมิตร ดังนั้นก่อนลงมือปฏิบัติสมาธิ หรือบำเพ็ญกัมมัฏฐาน จึงควรมอบตัวแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือแด่พระรัตนตรัย หรือแด่ท่านอาจารย์ว่า ข้าพเจ้าขอมอบตนแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า หรือเพื่อบูชาพระรัตนตรัย หรือแด่ท่านอาจารย์ด้วยเหตุนี้ ศิษย์ในสำนักอาจารย์กัมมัฏฐานนั้นๆ จึงเคารพเชื่อฟังอาจารย์มาก และยอมอาจารย์ทุกอย่าง

สัปปาย
คำว่าสัปปาย ในภาษาไทย หมายถึง สบาย เป็นสุข แต่ในความหมายเดิมในภาษามคธ(ศัพท์นี้เดิมเป็นภาษามคธ) หมายถึง สะดวก ถูกกับอัธยาศัย เช่น เสนาสนสัปปาย คือ ที่อยู่อาศัยสะดวกแก่การเป็นอยู่ เงียบสงบไม่พลุกพล่านด้วยผู้คน ถูกกับอัธยาศัย บุคคลสัปปาย คือ บุคคลที่ถูกอัธยาศัย เป็นที่อาศัยได้ เป็นกัลยาณมิตร ช่วยแก้ปัญหาต่างๆ ในเรื่องการเข้าสมาธิ เช่น ในเรื่องนิมิตได้ เหล่านี้เป็นต้น ซึ่งผู้มุ่งบำเพ็ญสมาธิต้องมี

จริต
หมายถึงธาตุแท้ของใจ หรือปกติของใจที่โน้มเอียงไปในทางไหน เช่น โกรธง่าย เป็นต้น

ในพระพุทธศาสนาแสดงเรื่องจริตไว้ ๖ ประเภท คือ
ราคจริต  คนประเภทนี้มีราคะเป็นปกติของใจ ชอบของสวยของงาม หน้าตายิ้มแย้ม เรียบร้อย โลภ ถือตัว ลบหลู่คุณคน ชอบหวาน กินช้า

โทสจริต
คนประเภทนี้โกรธง่าย มักหงุดหงิด ทำอะไรรวดเร็ว ใจร้อน ไม่เรียบร้อย ริษยา ชอบเปรี้ยว กินเร็ว

โมหจริต
คนประเภทนี้มีโมหะเป็นปกติทางใจ มักเป็นคนเขลา งมงาย เชื่องช้า รู้ช้า ดื้อรั้น ไม่แน่ใจ ชอบรสไม่แน่ กินมาก

วิตักกจริต
คนประเภทนี้มีความดำริตริตรองเป็นปกติของใจ มักเป็นคนคิดฟุ้งซ่าน ใจอยู่นิ่งยาก คิดมากเกินไป พูดมาก ชอบมั่วสุม เกียจคร้าน มักสงสัย

สัทธาจริต
คนประเภทนี้ มีความเชื่อเป็นปกติของใจ เป็นคนซื่อ ไม่มีแง่งอน เชื่อง่ายไม่เป็นตัวของตัวเอง สอนง่าย

พุทธิจริต
คนประเภทนี้ เป็นคนเฉลียวฉลาด เชื่อยาก เจ้าความคิด กินน้อย ขยัน พูดเข้าใจง่าย

การนั่งเข้าสมาธิ
ผู้มุ่งเจริญกัมมัฏฐาน หรือบำเพ็ญสมาธิ เมื่อทุกสิ่งเรียบร้อยแล้ว เช่น มีศีล มีสัปปาย เป็นต้น พึงเตรียมตัวเริ่มแต่การนั่ง ดังนี้

๑. นั่งขัดสมาธิเพชร คือ ขัดเท้า เท้าขวาอยู่เหนือเท้าซ้าย มือขวาทับมือซ้าย วางอยู่บนตักให้หัวแม่มือทั้งสองข้างเกือบจดกัน หรือเพียงจดกัน

๒. ตั้งตัวให้ตรง อย่าให้โอนไปข้างหน้าเอนไปข้างหลัง และเอียงไปข้างๆ ต้องตั้งตัวให้ตรง

๓. ตั้งสติไว้เฉพาะหน้า เพื่อกำหนดสิ่งที่จะใช้เป็นอารมณ์สำหรับคิดหรือภาวนา โดยคิดว่าสิ่งนี้ๆ พระพุทธองค์ทรงใช้เป็นอารมณ์ในการบำเพ็ญเพียรทางใจจนได้ผลมาแล้ว จึงนำมาสอน ดังนั้น จึงเชื่อได้ว่าต้องดีแน่ ใช้ได้แน่ แล้วตั้งสติไว้ในสิ่งซึ่งใช้เป็นอารมณ์นั้นๆ ตามควรแก่ความประสงค์

การสั่งขัดสมาธิเพชรนั้น คือ นั่งอย่างพระพุทธรูปเชียงแสนเก่า หรือพระพุทธรูปอินเดีย การนั่งอย่างนี้จะไม่ค่อยรู้สึกปวดเมื่อย ถ้าเวลาสัปหงกหงายหลัง ขาจะไม่ดีดออก เพราะขัดกันไว้ แต่ถ้านั่งขัดสมาธิราบ เท้าขวาทับเท้าซ้าย แบบพระพุทธรูปลังกา หรือพระพุทธรูปแบบสุโขทัยแล้ว เวลาสัปหงกหงายหลัง เท้าจะดีดออก การนั่งตั้งท่าตั้งทางเข้าสมาธิดังกล่าวนี้ ใช้สำหรับบุคคลทั่วไปที่อยู่ในภาวะปกติที่พอจะนั่งอย่างนี้ได้ ถ้าไม่สามารถนั่งอย่างนี้ได้ก็แล้วแต่ว่าอิริยาบถไหนจะสะดวกมีคุณค่าต่อการเข้าสมาธิ ก็ใช้อิริยาบถนั้น

ผู้บำเพ็ญสมาธิ
เมื่อนั่งเรียบร้อยแล้ว สำรวจดูว่ามีศีลบริสุทธิ์แล้ว(การที่สำรวจดูศีล รู้ว่ามีศีลบริสุทธิ์จะทำให้รู้สึกโปร่งใจ มีปีติ) ต่อไปต้องทำใจให้ว่างจากเครื่องเศร้าหมองใจ และกังวลใจ ดังนี้

๑. ให้ใจว่างจากนิวรณธรรม มีความนึกถึงเรื่องกามารมณ์ เป็นต้น

๒. มีสติสัมปชัญญะ วางเฉย ไม่สนใจในความห่วงใย ความกังวลใจในสิ่งนั้นๆ เป็นต้น

๓. มีสติสัมปชัญญะคุมใจ คุมอารมณ์ไว้ทุกขณะ

๔. พิจารณาแล้ว ใช้เมื่อควรใช้ อดกลั้นเมื่อควรอดกลั้น บรรเทาเมื่อควรบรรเทา

๕. กำจัดความคิดฟุ้งซ่าน

๖. ละเลิกการคิดแสวงหากามารมณ์ และชาติภพ(ด้วยอาศัยบุญอันเป็นผลของสมาธิ)

๗. เว้นคิดเรื่องไม่ดี เช่น คิดเบียดเบียนเขา เป็นต้น

๘. มีกาย-วาจา สงบเรียบร้อยไม่ปัดนั่น เกานี่ เพราะถูกแมลงกวน เป็นต้น

๙. ทำใจให้ว่างจากกิเลส เครื่องเศร้าหมองของใจ

๑๐. กำหนดใจรู้ว่า ว่างแล้ว

และต้องทำใจให้ว่างจากความกังวลใจ ความห่วงใยในที่อยู่ ในสกุล ในลาภผล ในคณะ ในการงาน ในการเล่าเรียน เป็นต้น ตลอดจนความคิดในเรื่องกาม ข้อหลังนี้สำคัญมาก เมื่อใจว่างแล้ว ก็นึกถึงสิ่งที่จะเป็นอารมณ์สำหรับนึกหรือกำหนดหรือภาวนาแทนต่อไป โดยมีสติสัมปชัญญะกำกับ

จงกรม
การบำเพ็ญสมาธิ นอกจากจะใช้อิริยาบถนั่งแล้ว ยังใช้อิริยาบถเดินในการบำเพ็ญสมาธิด้วย โดยเจริญอารมณ์ของกัมมัฏฐานเหมือนนั่งบำเพ็ญ เปลี่ยนแต่อิริยาบถจากนั่งมาเป็นเดิน จงกรม แปลว่า เดินไปมา เดินไปประมาณ ๒๕-๓๐ ก้าว เดินกลับ ๒๕-๓๐ ก้าว (อย่าให้ต่ำกว่า ๑๐ ก้าว) แล้วหยุด หมุนตัวกลับและเดินกลับไปกลับมา จนกว่าจะรู้สึกพอ หรือตามรอบที่กำหนดไว้ การเดินนั้น เดินตัวตรง ไขว้มือทั้งสองไว้ข้างหน้า หรือข้างหลัง เดินค่อนข้างช้า กำหนดอารมณ์กัมมัฏฐานไปทุกขณะที่ก้าว บางท่านแจ้งว่าการเดินจงกรมบำเพ็ญสมาธิจิต เป็นสมาธิเร็ว การเดินจงกรมนี้ได้ประโยชน์มาก เช่น เป็นการเปลี่ยนอิริยาบถ แก้เมื่อย แก้ง่วง การที่กำหนดก้าวเดินไม่ให้มากเกินหรือน้อยเกินนั้น เพื่อไม่ให้เกิดความกังวลในใจ หรือความเผลอตัว หรือเกิดความหยุดชะงักในขณะเดิน หรือเวียนศีรษะ สำหรับทางเดินที่สั้นเกินไป สิ่งที่เป็นปัญหาในการเดินจงกรมนั้น คือความกลัว เช่น กลัวว่าจะเดินเลยกำหนด หรือต่ำกว่ากำหนด กลัวผี กลัวสัตว์ร้ายเป็นต้น ซึ่งเป็นปัญหาของผู้ที่บำเพ็ญใหม่ๆ ถ้าเคยชินแล้วก็จะไม่กลัว และการกลัวว่าจะเดินผิดกำหนดตัวนั้น ย่อมแก้ได้ด้วยการกำหนดจิตเอาไว้ก่อน การกลัวผี กลัวสัตว์ร้ายนั้น ย่อมแก้ได้ด้วยการเจริญเมตตา และอุทิศร่างกายนี้เป็นเครื่องบูชารัตนตรัย(ถ้าเดินหลับตาหรือเดินกลางคืนอาจมีปัญหานี้)

อารมณ์กัมมัฏฐานหรือสมาธิ
เรื่องสำหรับคิด หรือสำหรับกำหนด หรือสำหรับภาวนาในเวลาบำเพ็ญสมาธิ เรียกว่า อารมณ์(แปลว่าเครื่องหน่วงเหนี่ยว) ในพระพุทธศาสนาได้แสดงสิ่งที่เป็นอารมณ์แห่งสมาธิไว้ ๔๐ ประการ คือ
๑. อสุภ(สิ่งที่ไม่งาม แต่เป็นของจริง) ๑๐
๒. กสิน(สิ่งที่ควรเพ่ง) ๑๐
๓. อนุสสติ(สิ่งที่ควรระลึกถึงเสมอ) ๑๐
๔. พรหมวิหาร ๔
๕. อรูป ๔
๖. สัญญาและววัฏฐาน(การกำหนด) ๒

อสุภ ๑๐
คือ ศพที่ขึ้นพอง ศพที่ขึ้นเขียว ศพที่มีน้ำเหลืองเยิ้ม ศพที่หลุดขาดเป็นท่อนเป็นชิ้น ศพที่ถูกสัตว์กัด ศพที่กระจัดกระจาย ศพที่ถูกตัดวางกระจายเรี่ยราด ศพที่เปื้อนเลือด ศพที่มีหนอนขึ้น ศพที่มีแต่กระดูก กำหนดสิ่งเหล่านี้อย่างใดอย่างหนึ่งเป็นอารมณ์

กสิณ ๑๐
กสิณที่กำหนดเอาสิ่งบางสิ่งเป็นอารมณ์สำหรับเพ่งให้ใจรวมอยู่ในจุดเดียว สิ่งเหล่านั้นได้แก่ ดิน น้ำ ไฟ ลม สีเขียว สีเหลือง สีแดง สีขาว แสงสว่าง ช่องว่าง

อนุสสติ ๑๐
ได้แก่ นึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ ศีล การบริจาค เทวดา ความตาย ร่างกาย ลมหายใจ ความสงบระงับ (หรือพระนิพพาน) อย่างใดอย่างหนึ่งเป็นอารมณ์

พรหมวิหาร ๔
ได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา กำหนดสิ่งเหล่านี้อย่างใดอย่างหนึ่งเป็นอารมณ์

อรูป ๔
ได้แก่ สิ่งที่เป็นอารมณ์ของอรูปฌาน คือ
อากาสานัญจายตนะ กำหนดอากาศเป็นอารมณ์ว่า อากาศหาที่สุดมิได้

วิญญานัญจายตนะ กำหนดวิญญาณเป็นอารมณ์ว่า วิญญาณหาที่สิ้นสุดมิได้

อากิญจัญญายตนะ กำหนดความไม่มีอะไรแม้แต่น้อยเป็นอารมณ์

เนวสัญญานาสัญญายตนะ กำหนดความมีสัญญาก็มิใช่ หาสัญญามิได้ก็มิใช่ เป็นอารมณ์

สัญญาและววัฏฐาน
สัญญา
ในที่นี้ได้แก่ อาหาเรปฏิกูลสัญญา คือ ความสำคัญอาหารว่าเป็นของปฏิกูล กำหนดอย่างนี้เป็นอารมณ์

ววัฏฐาน
ได้แก่ จตุธาตุ ววัฏฐาน คือ กำหนดสภาพของธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม เป็นอารมณ์(ในกสิณกำหนด ดิน น้ำ ไฟ ลม เป็นอารมณ์ ใช้สำหรับมองดู หรือภาวนา แต่ในจตุธาตุววัฏฐานนี้ใช้สำหรับกำหนดสภาพของธาตุเป็นอารมณ์)

การเลือกสิ่งที่เป็นอารมณ์ คือ สำหรับกำหนดนึก หรือสำหรับภาวนานั้น จะต้องเลือกให้เข้ากับจริต มิฉะนั้นจะเกิดผลเสีย เช่น คนโมหจริต กลัวผี จะกำหนดอสุภะ เป็นอารมณ์ในการบำเพ็ญสมาธิย่อมไม่ควร เพราะจะทำให้กลัวผียิ่งขึ้น

บางคนอาจรู้ว่าตนเป็นคนมีอะไรเป็นจริต แต่บางคนไม่แน่ใจว่าตนมีอะไรเป็นจริต เพราะเมื่อพิจารณาใคร่ครวญแล้ว รู้สึกว่าตนมีทั้งราคะ โทสะ โมหะ วิตก เป็นจริตปนกันไป เลยไม่ทราบว่าจะใช้อะไรเป็นอารมณ์สำหรับกำหนดนึก จะได้เข้ากับจริตของตน อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เป็นอารมณ์ใน ๔๐ ประการนั้น บางอย่างใช้ได้แก่คนทุกจริต เช่น พุทธานุสสติ คือ ระลึกถึงพระพุทธคุณ เช่น ภาวนาว่า พุทโธ เป็นอารมณ์ เป็นต้น หรืออานาปานัสสติ คือกำหนดลมหายใจ เป็นอารมณ์ หรือกสิณ เช่น ปฐวีกสิณ คือ กสิณที่กำหนดดินเป็นอารมณ์สำหรับเพ่ง เป็นต้น

การบำเพ็ญกัมมัฏฐาน
ในการบำเพ็ญกัมมัฏฐาน หรือสมาธินั้น เมื่อกำหนด เช่น พุทธคุณ หรือลมหายใจเป็นอารมณ์ แม้นานใจก็ยังไม่นิ่ง ยังคงซัดส่ายอยู่ เป็นอยู่อย่างนี้วันแล้ววันเล่า บางคนเมื่อประสบอย่างนี้ก็ท้อใจ คิดว่าตนไม่มีวาสนาบารมีพอ ที่จะพบความสำเร็จ ในการบำเพ็ญกัมมัฏฐาน เพราะไม่อาจให้ใจหยุดอยู่ในอารมณ์เป็นจุดเดียวได้ เลยเลิกบำเพ็ญ ผู้ปฏิบัติผู้มุ่งความหลุดพ้นไม่ควรท้อถอย ต้องคิดว่าคนมีวาสนาบารมีสร้างมาไม่เท่ากัน บางคนเขามีมาก เขาก็ได้จิตเป็นสมาธิเร็ว บางคนมีน้อยก็ต้องได้ช้าเป็นธรรมดา และในการบำเพ็ญทุกครั้งก็ได้ชื่อว่าได้สร้างวาสนาบารมีเพิ่มเติมไปด้วย เมื่อตั้งใจบำเพ็ญแล้ว วันหนึ่งต้องได้แน่นอน เหมือนม้าแข่งเมื่อออกวิ่งแล้วถ้าไม่หยุดวิ่ง ถ้าไม่ตาย ถ้าไม่แหกสนามแล้ว ก็วิ่งถึงจุดหมายทุกตัว ต่างกันที่ช้าหรือเร็วเท่านั้น หรือเหมือนผ้าขาวเปื้อน ถ้าเปื้อนน้อยก็ซักน้อย ถ้าเปื้อนมากก็ต้องเสียเวลาซักมาก เพราะฉะนั้น อย่าท้อใจ ในการบำเพ็ญสมาธิครั้งแรก ใจก็วิ่งไปวิ่งมาก่อนจะนิ่งอย่างนี้ทุกคน ต้องใช้สติอย่างเต็มที่ พอบำเพ็ญนานเข้าๆ บังคับบ่อยเข้าในที่สุดใจก็นิ่งเอง เพราะฉะนั้น อย่าท้อใจ หรือดูหมิ่นวาสนาบารมีของตัวเอง

นิมิตเกิดและการข่มนิมิต
เมื่อบำเพ็ญกัมมัฏฐานเพ่งหรือพิจารณา หรือภาวนาสิ่งที่เป็นอารมณ์ มีรูป เช่น กสิณบ้าง ไม่มีรูป เช่น ลมหายใจบ้าง ภายในใจ แล้วเกิดเห็นนิมิตต่างๆ เล็กบ้าง ใหญ่บ้าง น้อยบ้าง มากบ้าง มีสีเขียว สีแดง สีเหลือง สีขาวบ้างต่างๆ กัน เพราะอารมณ์ของกัมมัฏฐานมีมาก นิมิตก็ต้องมาก แม้เพียงบำเพ็ญอานาปานัสสติ คือ กำหนดลมหายใจอย่างเดียวยังมีนิมิตต่างๆ กัน เช่น บางคนปรากฏเป็นดุจดวงดาว บางคนปรากฏเป็นดุจเม็ดแก้วมณี บางคนปรากฏเป็นดุจพวงมาลัย ดุจเปลวควันก็มี เหล่านี้เป็นต้น

เมื่อเป็นอย่างนี้ อาจทำให้ใจฟุ้งไป หรือติดใจในนิมิตที่ปรากฏ ดังนั้นท่านจึงให้ครอบงำนิมิตนั้นเสีย ให้เป็นสักแต่ว่าเห็น แต่ไม่ติดใจ ไม่ปล่อยให้ใจฟุ้งไปตาม โดยวิธีการ ๘ ประการ เช่น

๑. สำคัญหมายรูปภายใน เห็นรูปภายนอก เล็กน้อยทั้งมีวรรณะ(สี) ดีไม่ดี ครอบงำ(ไม่สนใจ) รูปนั้นเสีย มีความสำคัญแต่เพียงว่ารู้ว่าเห็นเท่านั้น

การกระทำอย่างนี้ เรียกว่า อภิภายตนะ คือ เหตุเครื่องครอบงำสิ่งอันเป็นข้าศึกแก่สมาธิ

การที่เห็นนิมิตต่างๆ กันนั้นอาจเป็นเพราะเหตุ คือ วาสนาบารมีแต่ปางก่อน และความจำ(สัญญา) หรือเกิดจากการได้ยินได้ฟังได้เห็น แล้วจำไว้ในใจโดยไม่รู้ตัว แล้วปรากฏออกมาเมื่อใจสงบได้ที่ นิมิตนั้นอาจเป็นของจริงก็ได้ไม่จริงก็ได้ จึงไม่ควรเห็นว่าเป็นของจริงแต่ส่วนเดียว และต้องระวังเรื่องสะกดจิตตัวเองให้เห็นให้เป็นไปต่างๆ ด้วย อำนาจของความเชื่อที่ลึกที่ประกอบด้วยความจำ เช่น เห็นนรก สวรรค์ อย่างที่เขียนไว้ตามโบสถ์ไทย ของแขก ของพม่า ก็มี แต่ไม่เหมือนไทย จึงควรระวังใจไว้ นิมิตไม่ดีที่เกิดขึ้นนั้นท่านว่า เพราะอาจเป็นเพราะศีลไม่บริสุทธิ์

อุปจารสมาธิ นิวรณ์ และ อัปปนาสมาธิ
จะกล่าวถึงอุปจารสมาธิ และวาระที่จิตปราศจากนิวรณ์ก่อน ในวิสุทธิมรรคท่านกล่าวไว้ว่า

อุปฺปนฺนกาลโต จ ปนสฺส ปฏฺฐาย นิวรณานิ วิกฺขมฺภิตาเนว โหนฺติ กิเลสา สนฺนิสินฺนาว อุปจารสมาธินา จิตฺตํ สมาหิตเมว

แปลว่า
ก็ตั้งแต่กาลที่ปฏิภาคนิมิตเกิด นิวรณ์ทั้งหลายย่อมถูกสยบไว้ กิเลสทั้งหลายย่อมหยุดเฉย ใจย่อมเป็นสมาธิด้วยอุปจารสมาธิ

และว่า
อุปจารภูมิยํ นิวรณปฺปหาเนน จิตฺตํ สมาหิตํ โหติ
แปลว่า
โดยการละนิวรณ์ในอุปจารสมาธิภูมิ ใจย่อมเป็นสมาธิ

แม้ในมัชฌมิมนิกาย มูลปัณณาสก์ ก็แสดงว่า นิวรณ์ระงับแล้วตั้งแต่อุปจารสมาธิ

จากข้อความดังกล่าว ย่อมแสดงว่านิวรณ์ย่อมระงับไปตั้งแต่ใจได้อุปจารสมาธิ แต่เรื่องนี้ผู้ปฏิบัติย่อมทราบด้วยตนเอง

เมื่อใจเป็นอุปจารสมาธิ เป็นเอกัคคตาจิต คือ ใจรวมอยู่ในอารมณ์เป็นจุดเดียว(ในวิสุทธิมรรค ท่านกล่าวไว้ว่า อปฺปนาปุพฺพจิตฺเตสุ เอกคฺคตา อุปจารสมาธิ แปลว่า เอกัคคตา ในใจก่อนถึงอัปปนาสมาธิย่อมเป็นอุปจารสมาธิ) เมื่อใจเป็นอย่างนี้ ย่อมเป็นใจที่มีพลังสูง(เมื่อยังไม่ใช้ พลังนี้ก็เป็นพลังศักย์เหมือนน้ำที่เก็บกักไว้ในเขื่อน) เป็นใจที่ปราศจากนิวรณ์(เครื่องกั้นใจไม่ให้บรรลุคุณธรรมชั้นสูง และเป็นเครื่องทำใจให้ขุ่นมัว พิจารณาอะไรก็เห็นไม่ชัด) ใจใสอย่างนี้จะพิจารณาอะไรก็เห็นชัด(มีพระบาลีว่า สมาหิโต ภิกฺขุ ยถาภูตํ ปชานาติ แปลว่า ภิกษุมีใจเป็นสมาธิย่อมรู้แจ้งชัด ตามความเป็นจริง ดุจกระจกใสจะส่องดูหน้าก็เห็นชัด หรือดุจผ้าสกปรก ที่ฟอกขาวสะอาดแล้ว ควรแก่การย้อมสีให้งามต่อไป ดังนั้นจึงควรบำเพ็ญขั้นวิปัสสนา คือ ปัญญาพิจารณาให้เห็นสภาพตามความเป็นจริงของสิ่งต่างๆ เริ่มตั้งแต่ตัวเราต่อไป(การใช้พลังใจอย่างนี้ ก็เป็นดั่งปล่อยกระแสน้ำให้พุ่งออกจากเขื่อนไป ทำให้เกิดพลังอย่างอื่นอีก พลังที่ใช้อย่างนี้เป็นดุจพลังจลน์)

ส่วนสมาธิขั้นอัปปนา คือ แน่นแฟ้น หรือลึกซึ้งนั้น เกิดขึ้นต่อจากอุปจารสมาธิ และต่อไปก็เป็นเรื่องของการได้ฌานชั้นต่างๆ อุปจารสมาธิเปรียบเสมือนเด็กเดินได้ แต่อัปปนาสมาธิเปรียบเหมือนเด็กวิ่งได้ สำหรับนักปฏิบัติบางท่าน อาจต้องใช้สมาธิกล้าลึกซึ้งกว่าขั้นอุปจารสมาธิ ต้องให้ใจปราศจากองค์ ๕ คือ นิวรณ์ ๕ และประกอบด้วยองค์ ๕ คือ วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา แล้ว จึงควรจะบำเพ็ญขั้นวิปัสสนาต่อไป โดยละ วิตก วิจาร ปีติ และสุข เหลือแต่เอกัคคตา ในสองพวกนั้น พวกแรกเป็นพวกปัญญาวิมุติ ใช้สมาธิพอเป็นพื้นฐาน ถึงขั้นอุปจารสมาธิ พวกหลังนี้เป็นพวกเจโตวิมุติ ต้องใช้สมาธิหนัก ต้องใช้ฌานเป็นเครื่องข่ม จิตจึงอยู่ แต่เมื่อจะบำเพ็ญวิปัสสนา ต้องออกจากฌาน คงมีแต่เอกัคคตา มาอยู่ที่อุปจารสมาธิ

ฤทธิวิธี
ฤทธิ์ หรืออิทธิ(คำแรกเป็นภาษาสันสกฤต คำหลังเป็นภาษามคธ) แปลว่า ความสำเร็จ ฤทธิ์เกิดได้หลายทาง แต่จะกล่าวโดยสังเขปตามนัยแห่งวิสุทธิมรรคดังนี้

ผู้ที่มีวาสนาบารมีแก่กล้าได้ฌานสมาบัติแล้ว เมื่อจะแสดงฤทธิ์ ย่อมเข้าฌานตั้งแต่ปฐมฌานจนถึงจตุตถฌาน ออกจากจตุตถฌานแล้ว อธิษฐานว่า ขอให้เป็นอย่างนั้นๆ เช่น ให้ตัวไร้น้ำหนักจะได้ลอยได้ ให้เข้ากับภาวะของอากาศ แล้วเข้าจตุตถฌานอีก ออกจากจตุตถฌานนั้นแล้ว สั่งว่าจงเป็นอย่างนั้น เช่น สั่งว่าตัวลอยไป ตัวก็จะลอยไป แต่ถ้าผู้นั้นมีวาสนาบารมีน้อย ต้องได้สมาบัติ ๘ จึงจะทำฤทธิ์ได้ ฤทธิ์นั้นมีมาก เช่น ย่นทาง ยืดทาง เดินน้ำ เป็นต้น เรื่องนี้ผู้ใคร่ศึกษาขอให้หารายละเอียดได้ในวิสุทธิมรรค

เรื่องฤทธิ์เกิดจากอำนาจฌานนี้ แม้ผู้มิได้เป็นพระอรหันต์เป็นเพียงปุถุชน เช่น พวกฤษี ก็สามารถทำได้(แต่ฌานเสื่อมได้) พระอรหันต์บางรูปสามารถทำได้(และฌานไม่เสื่อม) เช่น รูปที่ได้วิชชาและอภิญญา แต่บางรูปทำไม่ได้ เช่น รูปที่เป็นสุกขวิปัสสก สิ้นแต่กิเลส แต่ไม่ได้คุณพิเศษดังกล่าว ทั้งนี้แล้วแต่เหตุคือ วาสนาบารมีของแต่ละรูป เรื่องฤทธิ์มิใช่เป็นทางแห่งความหลุดพ้น แต่ชวนให้ติด พระพุทธองค์จึงทรงสั่งสอนไม่ให้ติดในเรื่องนี้ สำหรับพระอริยเจ้านั้น ท่านไม่ติด แต่ปุถุชนนั้นมักติด เมื่อติดอยู่เพียงขั้นนี้แล้ว โอกาสที่จะยกระดับใจให้ก้าวไปสู่ความหลุดพ้นจากกิเลสด้วยใช้วิปัสสนาปัญญาก็ไม่มี

มหาสติปัฏฐานและสามัญญลักษณะ
สิ่งที่ควรใช้ปัญญาพิจารณา ตามความเป็นจริง ให้รู้แจ้งเห็นจริง มีหลายอย่าง แต่จะกล่าวแค่ตามนัยของมหาสติปัฏฐาน และนัยแห่งไตรลักษณ์ หรือสามัญญลักษณะเท่านั้น

มหาสติปัฏฐาน
กล่าวโดยสรุปได้ดังนี้

หนทางอันเอกอันเป็นไปเพื่อความบริสุทธิ์ เพื่อพ้นความโศก ปริเทวนาการ เพื่อความดับทุกข์ โทมนัส เพื่อบรรลุธรรมที่ถูกต้อง เพื่อทำพระนิพพานให้แจ่มแจ้งแก่ตน หนทางอันเอกนั้น คือ สติปัฏฐาน อันได้แก่ การตั้งสติสัมปชัญญะพิจารณา ๔ อย่างคือ

๑. ตั้งสติสัมปชัญญะพิจารณากาย(กายย่อย เช่น ลมหายใจ) ที่กาย(กายใหญ่ คือ ร่างกาย)

๒. ตั้งสติสัมปชัญญะพิจารณาเวทนา(ความรู้สึกอารมณ์ส่วนย่อย) ที่เวทนา(ความรู้สึกอารมณ์ส่วนใหญ่)

๓. ตั้งสติสัมปชัญญะพิจารณาจิต (จิตส่วนย่อยคือ ดวงหนึ่ง) ที่จิต(จิตส่วนใหญ่คือ จิตแต่ละดวงๆ ที่เกิดดับเกิดดับ)

๔. ตั้งสติสัมปชัญญะพิจารณาธรรม(ธรรมส่วนย่อย) ที่ธรรม(ธรรมส่วนใหญ่)

พิจารณากาย
๑. พิจารณาด้วยกำหนดลมหายใจเข้า-ออก เรียกว่า อานาปานปัพพะ

๒. พิจารณาด้วยกำหนดอิริยาบถของกาย เช่น ยืน เดิน เป็นต้น เรียกว่า อิริยาบถปัพพะ

๓. พิจารณาด้วยรู้ตัวในความเคลื่อนไหว เช่น ก้าวไป เป็นต้น เรียกว่า สัมปชัญญปัพพะ

๔. พิจารณาความปฏิกูลของร่างกาย โดยแบ่งเป็นส่วนย่อย เช่น ผม ขน เป็นต้น เรียก ปฏิกูลปัพพะ

๕. พิจารณาร่างกายโดยความเป็นสักแต่ว่าธาตุ คือ ธาตุ ๔ ได้แก่ ดิน น้ำ ไฟ ลม และธาตุ ๖ ได้แก่ ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ วิญญาณ เรียกว่า ธาตุปัพพะ

๖. พิจารณากายที่เป็นศพ ที่มีลักษณะต่างๆ มีศพขึ้นอืด เป็นต้น เรียกว่า นวสีวถิกาปัพพะ

จะกล่าวตัวอย่างเพื่อเป็นแนวทางสักข้อหนึ่ง คือ การพิจารณาในอานาปานปัพพะ ซึ่งมีข้อความดังที่มีในอุปริปัณณาสก์ มัชฌิมนิกาย ดังนี้

ภิกษุ(ที่ใช้คำว่า ภิกษุ เพราะตอนที่ทรงแสดงนั้น พระพุทธองค์ทรงแสดงแก่ภิกษุ แต่ธรรมนี้ก็ใช้ได้ทั่วไป แม้แก่คฤหัสถ์) ในธรรมวินัยนี้ ไปป่าก็ตาม ไปสู่โคนไม้ก็ตาม ไปสู่เรือนว่าง(ไม่มีคนอยู่) ก็ตาม นั่งขัดสมาธิ ตั้งกายตรง ตั้งสติมั่นคง เธอมีสติหายใจเข้า หายใจออก เมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่าหายใจเข้ายาว เมื่อหายใจออกยาว ก็รู้ชัดว่าหายใจออกยาว เมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้ชัดว่าหายใจเข้าสั้น เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่าหายใจออกสั้น ย่อมสำเหนียกว่า เราจักกำหนดตริตรองลมหายใจทั้งหมด พลางหายใจเข้า ย่อมสำเหนียกว่า เราจักกำหนดตริตรองลมหายใจทั้งหมด พลางหายใจออก เราจักระงับลมหายใจเข้า-ออก พลางหายใจเข้า เราจักระงับลมหายใจเข้า-ออก พลางหายใจออก พิจารณาเห็นกายที่กายภายในบ้าง พิจารณาเห็นกายที่กายภายนอกบ้าง พิจารณาเห็นกายที่กายทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นกายมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดาบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นกายมีความเสื่อมสิ้นไปเป็นธรรมดาบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นกายมีความเกิดขึ้นและเสื่อมสิ้นไปเป็นธรรมดาบ้าง เธอมีความระลึกว่า กายมีอยู่(ความระลึกนั้น) ก็เป็นเพียงสักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าพอเป็นที่อาศัยระลึกเท่านั้น เธอมิได้ติดมิได้ยึดถืออะไรเลยในโลก
นี่คือการพิจารณากาย ตามแบบ อาณาปานปัพพะ

พิจารณาเวทนา คือความรู้สึก
คือพิจารณาความรู้สึกว่า
๑. สุข
๒. ทุกข์
๓. ไม่ทุกข์ไม่สุข
๔. สุขประกอบด้วยอามิส(มีรูป เสียง เป็นต้น)
๕. สุขที่ไม่ประกอบด้วยอามิส
๖. ทุกข์ประกอบด้วยอามิส
๗. ทุกข์ที่ไม่ประกอบด้วยอามิส
๘. ไม่ทุกข์ไม่สุขประกอบด้วยอามิส
๙. ไม่ทุกข์ไม่สุขไม่ประกอบด้วยอามิส

เมื่อมีความสุข หรือมีความทุกข์ ฯลฯ หรือความไม่ทุกข์ไม่สุขประกอบด้วยอามิส ก็รู้ชัดว่าบัดนี้เราเป็นอย่างนั้นๆ ย่อมพิจารณาเห็นเวทนา(มีความรู้สึกว่าสุข เป็นต้น) ที่เวทนาภายในบ้างภายนอกบ้าง ทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นความเกิดขึ้นเป็นธรรมดาที่เวทนาบ้าง พิจารณาเห็นความเสื่อมสิ้นไปเป็นธรรมดาที่เวทนาบ้าง พิจารณาเห็นความเกิดขึ้นและเสื่อมสิ้นไปเป็นธรรมดาที่เวทนาบ้าง เธอมีความระลึกว่า เวทนามีอยู่(ความระลึกนั้น) ก็เป็นเพียงสักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าเป็นที่อาศัยระลึกเท่านั้น เธอย่อมไม่ติด ไม่ยึดถืออะไรในโลก
เป็นการพิจารณาที่เวทนาโดยย่อ

พิจารณาจิต
คือ พิจารณาจิตที่๑. มีราคะ ๒. ไร้ราคะ ๓. มีโทสะ ๔. ไร้โทสะ ๕. มีโมหะ ๖. ไร้โมหะ ๗. หดหู่ ๘. ฟุ้งซ่าน ๙. จิตใหญ่(อยู่ในฌาน) ๑๐. จิตไม่ใหญ่(ยังไม่ถึงฌาน) ๑๑. จิตมีจิตอื่นเหนือกว่า(คือยังไม่ถึงอุปจารสมาธิ) ๑๒. จิตไม่มีจิตอื่นเหนือกว่า(คือถึงอุปจารสมาธิ) ๑๓. จิตเป็นสมาธิ ๑๔. จิตไม่เป็นสมาธิ ๑๕. จิตหลุดพ้น(ด้วยพ้นชั่วคราวหรือด้วยข่มไว้) ๑๖ จิตยังไม่หลุดพ้น

เมื่อจิตเป็นอย่างไร มีราคะหรือไม่ เป็นต้น ก็รู้ชัดอย่างนั้น ย่อมพิจารณาเห็นจิตภายในบ้าง ภายนอกบ้าง ทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นความเกิดขึ้นบ้าง ความเสื่อมสิ้นไปบ้าง ทั้งเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมสิ้นไปบ้างเป็นธรรมดา ที่จิต เธอมีความระลึกว่าจิตมีอยู่(ความระลึกนั้น) ก็สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าเป็นที่อาศัยระลึกเท่านั้น เธอย่อมไม่ติด ไม่ยึดถืออะไรในโลก
เป็นการพิจารณาที่จิตโดยย่อ

พิจารณาธรรม
๑. พิจารณาธรรมที่กั้นจิตมิให้เป็นสมาธิ ได้แก่ นิวรณธรรม เรียกว่า นิวรณปัพพะ

๒. พิจารณาขันธ์ ๕ เรียกว่า ขันธปัพพะ

๓. พิจารณาอายตนะภายในมี ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ รวมเป็น ๖ เรียกว่า อายตนปัพพะ

๔. พิจารณาโพชฌงค์ คือ องคธรรมเป็นเหตุสำหรับให้รู้มี ๗ มีสติ เป็นต้น เรียกว่า โพชฌงคปัพพะ

๕. พิจารณาอริยสัจ ๔ เรียกว่า อริยสัจจปัพพะ

จะกล่าวเฉพาะตัวอย่างที่เป็นขันธปัพพะ ดังนี้

ภิกษุย่อมพิจารณาว่า รูปเป็นอย่างนี้ ความเกิดขึ้นแห่งรูปเป็นอย่างนี้ เวทนาเป็นอย่างนี้ ฯลฯ วิญญาณเป็นอย่างนี้ ความเกิดแห่งวิญญาณเป็นอย่างนี้ ความดับไปแห่งวิญญาณเป็นอย่างนี้ เธอย่อมพิจารณาเห็นธรรมที่ธรรมภายในบ้างภายนอกบ้าง ทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นความเกิดบ้าง ความเสื่อมสิ้นบ้าง ทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อสิ้นบ้าง เป็นธรรมดา ที่ธรรม เธอมีความระลึกว่า ธรรมมีอยู่(ความระลึกนั้น) ก็เป็นเพียงสักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าเป็นที่อาศัยระลึกเท่านั้น เธอย่อมไม่ติด ย่อมไม่ยึดถืออะไรในโลก
เป็นการพิจารณาธรรม ที่ธรรมโดยย่อ

ข้อความดังกล่าวเป็นใจความย่อในมหาสติปัฏฐานสูตร ถ้าต้องการทราบความพิสดาร ขอให้ดูจากมหาสติปัฏฐานสูตรที่มีใจความเต็ม และถ้าต้องการทราบความพิสดารยิ่งขึ้นไปอีก ก็ขอให้ดูในอภิธรรมอันว่าด้วยจิต เจตสิก รูป นิพพาน ซึ่งอาจเปรียบได้ดังนี้ ถ้าจะดูเรื่องกายให้ดูเรื่องรูป ถ้าจะดูเรื่องเวทนาให้ดูเรื่องเจตสิก ถ้าจะดูเรื่องจิตให้ดูเรื่องจิต ถ้าจะดูเรื่องธรรมให้ดูเรื่องนิพพาน

ผลแห่งการบำเพ็ญสมณธรรมอย่างเต็มที่ ตามหลักมหาสติปัฏฐานนี้ พระพุทธองค์ตรัสรับรองว่า สามารถทำให้บรรลุอริยมรรค อริยผลได้อย่างเร็ว ๗ วัน อย่างกลาง ๗ เดือน อย่างช้าไม่เกิน ๗ ปี แน่นอน

สามัญญลักษณะ หรือไตรลักษณะ
สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจาติ ยทา ปญฺญาย ปสฺสติ
อถ นิพฺพินฺทติ ทุกฺเข เอส มคฺโค วิสุทฺธิยา
สพฺเพ สงฺขารา ทุกฺขาติ ยทา ปญฺญาย ปสฺสติ
อถ นิพฺพินฺทติ ทุกฺเข เอส มคฺโค วิสุทฺธิยา
สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตาติ ยทา ปญฺญาย ปสฺสติ
อถ นิพฺพินฺทติ ทุกฺเข เอส มคฺโค วิสุทฺธิยา

เมื่อใดเห็นด้วยปัญญาว่า สังขารทั้งหลาย ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา เมื่อนั้นย่อมหน่ายในทุกข์ นั่นเป็นทางแห่งความบริสุทธิ์

ถ้าบุคคลผู้มุ่งปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ เห็นว่าการพิจารณาปฏิบัติตามหลักแห่งมหาสติปัฏฐานนั้น พิสดารเกินไปจะพิจารณาตามหลักแห่งสามัญญลักษณะ คือ ลักษณะทั่วไปในสิ่งทั้งหลาย หรือลักษณะทั้งสามของสิ่งทั้งหลาย อันได้แก่ อนิจจ คือ ความไม่เที่ยง ทุกข คือ ทนอยู่ไม่ได้ อนัตตา คือ เป็นอนัตตาก็ได้ สิ่งทั้งหลาย่อมตกอยู่ในสภาพ คือ ภาวะที่แท้จริงอย่างนี้

สังขาร คือสภาพที่ธรรมดาแต่งขึ้น หรือสัตว์คนสร้างขึ้น หรือสิ่งที่เกิดโดยการรวมของสิ่งต่างๆ จะเป็นสิ่งที่มีชีวิต เช่น คน และสิ่งที่ไร้ชีวิต เช่น บ้านเรือน แม้สังขาร คือ ความคิดนึก สร้างอารมณ์ต่างๆ ในขันธ์ ๕ ก็รวมอยู่ในความหมายว่า สังขารด้วย

ธรรมในที่นี้หมายถึง สังขารและวิสังขาร คือ พระนิพพาน สังขารนั้นไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา พระนิพพานนั้นเที่ยง เป็นสุข แต่เป็นอนัตตา ดังนั้นสิ่งที่ไม่เที่ยงเป็นทุกข์นั้น จึงทรงใช้คำว่าสังขาร พอถึงเรื่องอนัตตา จึงทรงใช้เป็นธรรมทั้งหลายแทน แทนที่จะใช้คำว่าสังขารและวิสังขาร คือพระนิพพานซึ่งจะยาวไป

สังขารทั้งปวงนั้นไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา อาศัยเหตุเกิดขึ้น มีความสิ้น มีความเสื่อม มีความจาง มีความดับไปเป็นธรรมดา และถ้าจะกล่าวถึงเรื่องสังขารทั่วไป ย่อมจะพิสดารมาก ดังนั้นจะกล่าวแต่เฉพาะสังขารร่างกายของคน ที่ประกอบไปด้วยขันธ์ ๕ มีรูป เวทนา เป็นต้น

การใช้ปัญญาพิจารณาสังขารร่างกาย โดยพิจารณาอนิจจลักษณะ ทุกขลักษณะ และอนัตตลักษณะ จะนำมากล่าวโดยย่อ

การพิจารณาสังขารร่างกาย โดยอนิจจลักษณะ ดังนี้
อนิจฺจา วต สงฺขารา อุปฺปาทวยธมฺมิโน
อุปฺปชฺชิตวา นิรุชัฌนฺติ….
สังขารร่างกายทั้งหลาย ไม่เที่ยงหนอ มีการเกิดและเสื่อมสิ้นเป็นธรรมดา เกิดๆ แล้วก็ดับ

สังขารร่างกาย มีเกิดในเบื้องต้น แปรไปในท่ามกลางและดับไปในที่สุด มีแล้วๆ ก็ไม่มี ไม่เที่ยงแท้แน่นอน เพราะจะต้องทรุดโทรมด้วยความแก่ ความเจ็บ ความตาย เพราะต้องเปลี่ยนไปด้วยความแก่ เจ็บ ตายและโลกธรรม เพราะต้องเสื่อมโทรมด้วยต้องทำงานการด้วยความบากบั่น เพราะไม่ยั่งยืนด้วยไม่มีความมั่นคงแน่นอนและมีแต่จะตกไปสู่ความเสื่อมโทรมเป็นนิจ เพราะต้องแปรปรวนเป็นธรรมดา ด้วยแปรเปลี่ยนไปเพราะอำนาจชรา พยาธิ มรณะ เพราะหาความคงทนมิได้ด้วย เป็นสิ่งเสียง่าย ทุพพล ถูกทำลายง่าย เพราะไม่มีด้วยไร้ความมี เพราะมีเหตุปัจจัยสร้างสรรค์ด้วยเกิดจากเหตุปัจจัยคือ กิเลส กรรม และผลกรรม เพราะต้องมีเกิด มีแก่ มีเจ็บ มีตายเป็นธรรมดา เป็นต้น สังขารร่างกายไม่เที่ยงแท้แน่นอนอย่างนี้ เป็นการพิจารณาสังขารร่างกายโดยอนิจจลักษณะโดยย่อ

การพิจารณาสังขารร่างกายโดยทุกขลักษณะนั้น ดังนี้

สังขารร่างกายเป็นทุกข์ เพราะทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ ด้วยถูกความเกิดขึ้น และความเสื่อมไปเบียดเบียน ทั้งเป็นที่ตั้งแห่งความทุกข์กาย ทุกข์ใจ ทั้งเป็นดุจเป็นโรค เป็นนิจด้วยต้องเยียวยาบำบัดด้วยปัจจัย๔ คือ เครื่องนุ่งห่ม อาหาร ที่อยู่ และยาร่ำไป ทั้งเป็นที่ตั้งแห่งพยาธิความเจ็บไข้ ทั้งเป็นดุจเป็นฝี โดยมีความเจ็บปวดด้วยความทุกข์ เป็นที่หลั่งไหลแห่งสิ่งที่น่าเกลียดคือ กิเลส มีอาการบวม แก่ และแตกด้วยความแก่ เจ็บ และตาย ทั้งเป็นดุจต้องศรด้วยให้เกิดความเจ็บปวดความเสียดแทงภายใน ที่ต้องคับแค้นด้วย นำมาซึ่งความคับแค้น ทั้งเป็นที่ตั้งแห่งความยุ่งยากทั้งแก้หายยาก ต้องลำบากด้วยเป็นที่เกิดแห่งความเจ็บไข้ไม่ให้เกิดความคล่องตัวในการทำอะไรๆ ทั้งเป็นดุจจัญไรด้วยนำมาซึ่งความเสียหาย ทั้งเป็นอุปัทวะด้วยนำมาซึ่งอันตรายนานาชนิด และเป็นที่เกิดแห่งอุปัทวะ ทั้งเป็นภัยอันน่ากลัวด้วยเป็นที่เกิดแห่งภัยทั้งปวง ทั้งเป็นปฏิปักษ์ต่อความเบาใจ ด้วยทำให้เกิดความหนักใจ ทั้งเป็นอุปสรรคด้วยพัวพันอยู่กับความขัดข้อง เกี่ยวข้องอยู่กับสิ่งไม่ดี ห้ามไม่ได้ ทั้งเป็นสิ่งที่ต้านทานไม่ได้ด้วยต่อต้านความแก่ ความเจ็บ ความตาย โดยไม่ให้แก่ ไม่ให้เจ็บเลย ไม่ให้ตายไม่ได้ ทั้งเป็นสิ่งที่หลบซ่อนไม่ได้ ด้วยหลบหรือเลี่ยงความแก่ ความเจ็บ ความตายไม่ได้ ทั้งเป็นที่เกิดแห่งอาสวะ ทั้งเป็นเหยื่อของมารคือ มัจจุมาร และกิเลสมาร ตอนต้นมีเกิดและมีแก่และมีเจ็บในตอนกลาง แล้วมีตายเป็นที่สุดของชีวิตร่างกาย อย่างนี้เป็นต้น นี่เป็นการพิจารณาสังขารร่างกายโดยทุกขลักษณะโดยย่อ

การพิจารณาสังขารร่างกายโดยอนัตตลักษณะนั้น สังขารร่างกายทั้งหลายเป็นอนัตตา เพราะหาคำว่าตัวตนไม่ได้ เมื่อแยกออกเป็นส่วนๆ เช่น เป็นมือ เท้า ก็เป็นเหมือนคนอื่น ไม่อยู่ในอำนาจ ไม่เชื่อฟัง เป็นเช่นของที่ยืมเขามาใช้ เป็นสิ่งว่างเปล่าจากตัวตน จากอัตภาพที่ยั่งยืน จากความงาม จากความมีความสุข จากการบังคับได้สั่งได้ ไม่มีผู้เป็นเจ้าของ และผู้อยู่ที่แท้จริง เป็นต้น

การพิจารณาอย่างนี้คือการพิจารณาสังขารร่างกายโดยอนัตตลักษณะโดยย่อ

เมื่อพิจารณาอย่างนี้ได้จนลึกซึ้งเห็นชัด รู้ชัด(ไม่ใช่รู้ด้วยความจำ) ก็จะเกิดความเบื่อหน่ายในสังขารร่างกาย ย่อมคลายความพอใจในสังขารร่างกายนี้ ใคร่จะพ้นจากภาวะที่เป็นอยู่มีอยู่ในสังขารร่างกายนี้ เพราะคลายความติดความยึดความพอใจ จึงถึงวิมุติ คือ ความหลุดพ้นจากกิเลส ได้แก่ ราคะ โทสะ โมหะ (อันเป็นอกุศลมูล คือต้นตอแห่งชั่ว) และเป็นเหตุให้ยึดถือว่า นั่นคือเรา เราคือนั่น นั่นเป็นของเรา นั้นคือเขา นั้นเป็นของเขา อันเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ และเป็นเหตุให้เกิดใหม่อีก เมื่อจิตหลุดพ้นก็เป็นอันสิ้นชาติสิ้นภพในกาลต่อไป การเกิดในชาตินี้เป็นครั้งที่สุดแล้ว ดังพระบาลีในอนัตตลักขณสูตร ในมหาวรรคว่า

นิพฺพินฺทํ วิรชฺชติ วิราคา วิมุจฺจติ วิมุตฺตสฺมึ วิมุตฺตมีติ ญาณํ โหติ ขีณา ชาติ
แปลว่า เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมคลายความติด ความยึด ความพอใจ เพราะคลายความติด ความยึด ความพอใจ จิตย่อมพ้น เมื่อจิตพ้นแล้ว ก็เกิดญาณรู้ว่า จิตพ้นแล้ว สิ้นชาติ(ความเกิด) แล้ว

และในธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ในมหาวรรคว่า
อกุปฺปาเม วิมุตฺติ อยมนฺติมา ชาติ นตฺถิทานิ ปุนพฺภโว
แปลว่า เกิดความรู้ความเห็นเองว่าความหลุดพ้นของเราไม่เปลี่ยนแปลง การเกิดครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย บัดนี้ไม่มีการเกิดใหม่ภาพใหม่อีกแล้ว

คนย่อมบริสุทธิ์ได้ด้วยปัญญา สมดังพระพุทธพจน์ว่า
ปญฺญาย ปริสุชฺฌติ แปลว่า คนบริสุทธิ์ด้วยปัญญา

เมื่อบริสุทธิ์จากกิเลส พ้นจากกิเลส ดับกิเลสได้หมด การดับนั้นคือ พระนิพพาน บุคคลผู้ดับกิเลสได้หมด ก็เป็นพระอรหันต์

สรุปแล้วการที่ใจหลุดพ้นจากกิเลสได้ ใจต้องคลายความติด ความยึด ความพอใจในสังขารร่างกายก่อน ใจจะเป็นอย่างนั้นได้ ใจก็ต้องเบื่อหน่ายในสังขารร่างกายก่อน การที่ใจจะเบื่อหน่ายได้ ก็ต้องใช้ปัญญาพิจารณาความจริงของสังขารร่างกาย ด้วยวิธีดังกล่าว

มีบางท่านอาจนึกว่า ส่วนดีๆ ของสังขารร่างกายก็มี ทำไมจึงต้องพิจารณาอย่างนั้น เป็นการมองทางแง่ร้าย เรื่องนี้ขอตอบว่า ก็เพื่อให้ใจเกิดเบื่อหน่าย แล้วจะได้คลายความติด เพื่อผลคือ ความหลุดพ้นจากกิเลส ถ้าใครไม่ต้องการให้ใจเกิดเบื่อหน่าย ไม่ต้องการพ้นกิเลส ก็ไม่ต้องพิจารณาอย่างนั้น นึกแต่ส่วนดีๆ ก็ได้ ทั้งนี้แล้วแต่ผลที่ต้องการ

พระนิพพาน
เรื่องพระนิพพานนี้ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในที่ต่างๆ เช่น
นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ
แปลว่า พระนิพพานเป็นบรมสุข

สุขอันเกิดจากพระนิพพาน มิใช่สุขเกิดจากเวทนา(สุขเวทนา) อย่างในขันธ์ ๕ แต่เกิดจากความไร้เวทนา เรื่องนี้ท่านพระสารีบุตร ได้กล่าวกับท่านพระอุทายี ดังมีเรื่องใน นวกนิบาต อังคุตตรนิกาย ความไทยว่า

พระสารีบุตร แสดงธรรมแก่ภิกษุทั้งหลายว่า พระนิพพานเป็นสุข พระอุทายีได้ฟังจึงแย้งว่าสุขจะมีอย่างไรในพระนิพพาน เพราะพระนิพพานไม่มีเวทนา คือ ความรู้สึกในอารมณ์ พระสารีบุตรจึงตอบว่า ความสุขที่ไม่มีเวทนานั้นแลเป็นตัวสุขแท้จริง สุขมีเวทนานั้นไม่ใช่สุขแท้จริง เพราะไม่เที่ยง(ดังนั้นจึงไม่ต้องเป็นห่วงว่า เมื่อพระอรหันต์ปรินิพพานแล้ว จิตดับไปด้วยแล้ว จะเอาอะไรไปเสวยนิพพานสุข)

พระนิพพานเป็นภาวะที่บริสุทธิ์ที่สุด สมบูรณ์ที่สุดแห่งใจ เป็นภาวะที่ปราศจากกิเลส จึงปราศจากความเห็นแก่ตัวอย่างสิ้นเชิง เมื่อไม่เห็นแก่ตัว ก็ไม่มีความต้องการอะไรเพื่อตนเอง ไม่มีริษยาใคร เป็นสภาพที่ไม่มีการยึดถือตัวเอง มีแต่ความปรารถนาดีต่อผู้อื่น เห็นใจผู้อื่น คนที่ถึงพระนิพพานย่อมยอมรับความจริงของชีวิต เช่น ความตาย เป็นต้น โดยไม่สะดุ้งหวาดกลัว มีความสงบทางใจอย่างสมบูรณ์ที่สุด และสุขอื่นนั้นจะยิ่งกว่าความสงบไม่มี การอยู่ของผู้ที่ถึงพระนิพพานนั้น ย่อมอยู่อย่างสงบไม่เห็นแก่ตัว แต่ไม่ใช่อยู่อย่างเกียจคร้าน และความไม่เห็นแก่ตัวนั้น จะเป็นพลังส่งให้ทำงานเพื่อผู้อื่นด้วยความปรารถนาดีต่อเขา โดยมิได้หวังลาภยศชื่อเสียง เพื่อตัวเองหรือพวกตัวเลย คนมีกิเลสย่อมทำอะไรเพื่อหวังลาภยศสรรเสริญ ชื่อเสียง เพื่อตนเองหรือเพื่อพวกตน แต่คนไร้กิเลสไม่เป็นอย่างนั้น ดังนั้นคนชนิดนี้ จึงเป็นผู้เสีนสละเพื่อผู้อื่นที่สมบูรณืที่สุด

การถึงความสำเร็จเร็วหรือช้า
การปฏิบัติตามไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นไปตามลำดับของการปฏิบัติตามปกติของผู้ปฏิบัติ ไม่ได้หมายถึงบางท่านที่ฟังพระธรรมเทศนาจบ แล้วได้อริยมรรคอริยผลสำเร็จเป็นพระอริยบุคคล ตั้งแต่พระโสดาบันจนพระอรหันต์ พระอริยเจ้า เป็นบุคคลพิเศษ ได้สร้างเหตุ คือ วาสนาบารมีแต่ปางก่อนมามาก จึงได้สำเร็จเร็ว เปรียบเหมือนคนเดินทางมาถึงประตูเมืองแล้ว พอมีคนเปิดประตูให้ก็เข้าไปได้เลย ไม่เหมือนผู้อื่น ที่เปรียบเหมือนกำลังเดินทางมาโดยลำดับจนกว่าจะถึงประตูเมือง

นิพฺพานํ ปรมํ วทนฺติ พุทฺธา
ท่านผู้รู้ทั้งหลายกล่าวว่า พระนิพพานยอดเยี่ยม
นี่คือคำอธิบายโดยย่อของทางพระนิพพาน

ทางแห่งพระนิพพาน เป็นเพียงนัยหนึ่งที่มีปรากฏในหนังสือต่างๆ ถ้ากล่าวโดยหลักการแล้วก็มีทางเดียวคือ ศีล สมาธิ ปัญญา(การพิจารณาตามนัยแห่งมหาสติปัฏฐาน และสามัญญลักษณะ หรือไตรลักษณะ ซึ่งเป็นเองของปัญญา) ส่วนรายละเอียดที่ใครจะรู้อย่างไรนั้น อาจเหมือนหรือแตกต่างกันไปบ้าง แล้วแต่วาสนาบารมีของผู้ปฏิบัติ(เรื่องทางพระนิพพานมีหนังสือวิสุทธิมรรค สมถ-วิปัสสนากัมมัฏฐาน มหาสติปัฏฐาน ธรรมวิจารณ์ และหนังสืออื่นอีกมากที่น่าสนใจ) แต่จุดมุ่งหมายคือให้รู้หลักของนิพพาน หรือวิมุติเช่นเดียวกัน

กถมฺภูตสฺส รตฺตินฺทิวํ วีติปตนฺติ
วันคืนล่วงไปทุกวัน บัดนี้เราทำอะไรอยู่

ที่มา: จากหนังสือเรื่อง 1 ใน 84000 ของ สภาการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัย มหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนา