นกฮูกและนกเค้าแมว

นกฮูกนั้น นับเนื่องอยู่ในวงศ์ของนกเค้าแมว ซึ่งออกหากินในเวลากลางคืน แต่ที่เรียกว่านกฮูก เข้าใจว่าเรียกตามสำเนียงที่มันร้องว่า คุกๆ ฮูก เสียงของนกฮูกนั้นฟังแล้วโหยหวนชวนให้กลัวผี โดยเฉพาะเด็กๆ เมื่อได้ยินเสียงนกฮูกร้อง ก็ต้องวิ่งเข้าไปอยู่ใกล้ผู้ใหญ่ทันที ทั้งนี้ก็เพราะว่ามีนิทานเกี่ยวกับนกฮูกเมื่อไรก็มักจะมีเรื่องผีตามมาเมื่อนั้น เรียกว่านกฮูกเป็นนกผีนั่นเอง ซ้ำร้ายที่สุดก็คือคนส่วนมากไม่เคยเป็นตัวนกฮูกจริงๆ เลย เพราะมันออกหากินในเวลากลางคืน

คนอินเดียถือว่านกแสกซึ่งเป็นนกอยู่ในตระกูลเดียวกับนกฮูก เป็นพาหนะของพระยม ซึ่งเป็นเจ้าแห่งความตาย ดังนั้นเมื่อได้ยินเสียงนกแสกร้องเมื่อไร ก็แสดงให้เห็นว่าพระยมจะมาเอาชีวิตคนเมื่อนั้น นกฮูกหรือนกแสกเกาะหลังคาเรือนใครว่ากันว่าจะมีคนตายหรือเจ็บป่วยที่เรือนนั้น เท็จจริงอย่างไรก็ไม่ทราบ เขาว่ากันอย่างนั้น

ได้กล่าวแล้วว่านกฮูกนั้นอยู่ในตระกูลเดียวกับนกเค้าแมว อันนกเค้าแมวนั้นเขาเรียกพวกนกตระกูลหนึ่งซึ่งกินเนื้อเป็นอาหาร และมีอยู่ถึง ๑๓๓ ชนิด และนกเค้าแมวนี้จะพบได้ในทุกส่วนของโลก ยกเว้นในแถบขั้วโลกใต้และเกาะในมหาสมุทรบางแห่ง

สำหรับในประเทศไทยนั้น ท่านผู้รู้กล่าวว่ามีนกเค้าแมวอยู่เพียง ๑๘ ชนิด

นกเค้าแมวเป็นนกที่ชอบหากินในเวลากลางคืน ฉะนั้นจึงมีระบบตาและหูที่เจริญพิเศษเหนือนกอื่นๆ โดยมีดวงตาที่โตใหญ่ ตั้งอยู่ด้านหน้าของศีรษะ รอบๆ ตามีขนซึ่งเรียงออกไปเหมือนจานกลมๆ ใบใหญ่ ตาของมันใช้ชำเลืองดูไปมารอบๆ เหมือนตาคนหรือสัตว์อื่นๆ ไม่ได้ ฉะนั้น ถ้าหากมันต้องการจะดูอะไร ต้องหันหน้าตรงไปด้วยจึงจะมองเห็น มันสามารถมองตามของบางอย่าง ซึ่งเคลื่อนไวไปรอบๆ ตัวของมันจากข้างหน้าไปข้างหลังได้ คอมีขนปกคลุมหนา จึงทำให้เห็นเป็นนกคอสั้น แต่ความนกฮูกจริงคอของมันยาวพอที่จะหันหัวไปข้างหลังได้อย่างสบายๆ มันมีหูที่ดีมาก หูทั้งสองข้างโตไม่เท่ากัน จึงทำให้มันรู้ว่า เสียงนั้นมาจากทางไหนได้ดีกว่าสัตว์อื่นๆ ฉะนั้น นกเค้าแมวบางชนิดสามารถจับเหยื่อได้ในที่มืดสนิท โดยโฉบเอาตามเสียง บางชนิดมีขนบนหูตั้งชันขึ้นไปคล้ายใบหูของสัตว์สี่เท้า นกเค้าแมวเป็นนกที่กินสัตว์เล็กต่างๆ เป็นอาหาร เช่นบางชนิดชอบกินหนู บางชนิดชอบกินกบ เขียด กิ้งก่า จิ้งเหลน งู บางชนิดชอบกินปูปลา บางชนิดชอบกินนกเล็กๆ เท้าของนกเค้าแมวมีเล็บโค้งและแหลมคมคล้ายเท้าของเหยี่ยว ปากก็โค้งแหลมเหมือนปากเหยี่ยว

ขนของนกเค้าแมวส่วนมากอ่อนนุ่ม ปลายขนก็อ่อนมากเป็นพิเศษ ฉะนั้นมันจึงบินได้เงียบดีมาก เหมาะที่จะบินโฉบจับเหยื่อในเวลากลางคืนที่เงียบสงัด แต่บางชนิดก็นกเค้าแมวออกหากินในเวลากลางวัน นกเค้าแมวชนิดที่ออกหากินในเวลากลางวันขนจะแข็งกว่านกที่ออกหากินในเวลากลางคืน

นิ้วก้อยของนกเค้าแมวทุกชนิดใช้เป็นนิ้วหน้าก็ได้ เป็นนิ้วหลังก็ได้ เวลาเกาะไม้มันเอานิ้วก้อยหันไปข้างหลัง จึงเห็นนิ้วข้างหน้าเท้าละสองนิ้ว ข้างหลังสองนิ้ว แต่เวลาจับเหยื่อมันใช้นิ้วก้อยอย่างกับนิ้วหน้า

ไข่ของนกเค้าแมวโดยมากเป็นสีขาวและค่อนข้างกลม ในประเทศไทยมักวางไข่เพียงสองสามฟอง แต่ในเมืองหนาววางไข่มากฟองกว่า หากปีไหนอาหารไม่สมบูรณ์ไข่ก็มีน้อยฟองลงไปกว่าธรรมดา มันไม่ได้วางไข่ทุกวัน แต่วางไข่ห่างวันกันมาก แม่นกจะเริ่มกกไข่ตั้งแต่วางไข่ฟองแรก ฉะนั้น ในรังหนึ่งๆ จึงมีลูกนกขนาดใหญ่เล็กผิดกันมาก

การทำรัง  นกเค้าแมวบางชนิด ทำรังในโพรงไม้ บางชนิดทำตามซอกหินผา ซอกรูโพรงตามเจดีย์ร้าง ตามเพดานหรือตามซอกหลังคา

ลูกนกเค้าแมว เวลาออกจากไข่มีขนปุยขาวๆ คลุมตามตัว ตาปิด นอนกลิ้งไปมาจะยืนเดินหรือช่วยตัวเองไม่ได้เลย

สีของนกเค้าแมวส่วนมากเป็นสีน้ำตาล มีลายเลอะๆ ต่างๆ กัน ซึ่งยากที่จะอธิบายเป็นอักษรได้ ตัวเมียโตกว่าตัวผู้เล็กน้อย แต่มีสีคล้ายกับตัวผู้

นกเค้าแมวเป็นนกที่ทำประโยชน์ให้แก่ชาวนามาก เพราะมันชอบกินหนู บางชนิดก็ทำลายตั๊กแตน และแมลงต่างๆ ซึ่งเป็นศัตรูของพืช

ทำไมคนจึงกลัวนกเค้าแมว นกฮูก หรือนกแสก ก็เพราะว่านกเหล่านี้ชอบออกหากินในเวลากลางคืน โดยเฉพาะนกเค้าแมวที่เราเรียกกันว่านกแสกนั้น เมื่อเรามองในเวลากลางคืนโดยเอาไฟส่องดูมัน จะเห็นวงหนาขาวน่ากลัวคล้ายหน้าปีศาจ เวลาบินมันจะทำเสียงร้องดัง “แสก” ถ้าฟังในเวลาเงียบสงัดจะโหยหวนชวนกลัวผียิ่งนัก

ที่มา:วิชาภรณ์  แสงมณี

อันตรายที่เกิดจากห้องน้ำ

พูดกันถึงคุณค่าของการอาบน้ำ ก็ย่อมเป็นที่ทราบกันดีโดยทั่วไปแล้ว จึงจะไม่พูดให้มากต่อไป แต่ใคร่จะกล่าวถึงอันตรายในการอาบน้ำเอาไว้บ้าง

คนไทยเราส่วนมากก็อาบน้ำโดยการลงอาบตามแม่น้ำลำคลอง หรือส่วนใหญ่ใช้วิธีตักอาบกันด้วยขัน มาสมัยปัจจุบัน การอาบน้ำที่เคยอาบกันกลางแจ้ง ได้เปลี่ยนมาเป็นอาบในห้องน้ำ และมีความนิยมในการใช้อาบน้ำฝักบัว หรือบางบ้านมีอ่างอาบน้ำแบบฝรั่งมากขึ้น

อันตายที่เกิดขึ้นภายในห้องน้ำปรากฏว่ามีสถิติมากยิ่งขึ้นตามลำดับ จากการเกิดอุบัติเหตุต่างๆ อุบัติเหตุที่จะพบได้นั้นมีได้ตั้งแต่การลื่นล้มที่ทำให้เกิดชอกช้ำ หรือบาดแผลจนถึงล้มศีรษะฟาดเป็นอันตรายถึงชีวิต และอาจมีอุบัติเหตุจนถึงขั้นร้ายแรง เช่นจมน้ำในอ่างน้ำและการถูกกระแสไฟฟ้าตายในขณะอาบน้ำ กับการมีหัวใจวายขณะอาบน้ำก็มี

อันตรายที่เกิดขึ้นตามสถิติจะพบเกิดขึ้นได้มากในพวกเด็กๆ และมีมากที่สุดในผู้สูงอายุ พวกเด็กเล็กๆ ที่ปล่อยให้นั่งอยู่ในอ่างน้ำโดยผู้ใหญ่เผลอเพียงชั่วขณะเท่านั้น อาจจมน้ำตายได้ แม้น้ำจะไม่มากนัก เพียงแค่ระดับจมูกจมใต้น้ำได้แล้วก็อาจตายได้เหมือนกัน การปล่อยให้เด็กๆ เล่นน้ำอยู่ในอ่างก็ดี ปรากฏว่าเด็กจมอ่างน้ำหรือตุ่มน้ำได้ไม่น้อยเหมือนกัน บางบ้านที่มีเครื่องต้มน้ำไฟฟ้าเพื่ออาบน้ำร้อนด้วยแล้วควรระวังเด็กๆ ที่จะไขก๊อกน้ำเล่นขณะอาบน้ำทำให้เกิดน้ำร้อนลวกทั้งตัวได้

การลื่นล้มในห้องน้ำดูเหมือนจะเกิดขึ้นได้บ่อยๆ ในอ่างน้ำหรือพื้นห้องน้ำอาจลื่นได้ง่ายเมื่อมีน้ำเปียกหรือโดยเฉพาะเมื่อมีน้ำสบู่จากการที่มีผู้อื่นอาบน้ำมาก่อนแล้วไม่ได้เช็ดถูให้แห้งดีพอหลังการอาบน้ำ หลายคนที่ลื่นล้มในห้องน้ำถึงกับกระดูกหัก และบางคนที่ลื่นล้มแล้วศีรษะฟาดพื้น กระแทกกับขอบอ่างหรือก๊อกน้ำ ทำให้เลือดออกในสมองหรือเกิดความชอกช้ำของสมองจนเสียชีวิตในห้องน้ำไปเลยก็มี สำหรับผู้สูงอายุแล้วยิ่งมีโอกาสที่จะลื่นล้มภายในห้องน้ำได้มาก และเป็นอันตรายค่อนข้างมากด้วย

พูดถึงห้องน้ำและผู้สูงอายุแล้ว ก็ขอแทรกเรื่องส้วมเอาไว้เล็กน้อย เนื่องจากบางบ้านส้วมและห้องน้ำก็อยู่ในห้องเดียวกัน ผู้สูงอายุนอกจากลื่นล้มในห้องน้ำ อาจล้มได้ง่ายเมื่อเข้าส้วม บ่อยครั้งที่นั่งส้วมอยู่นานๆ โดยเฉพาะผู้สูงอายุเมื่อลุกขึ้นทันที การทรงตัวไม่ดีหรือมักมีอาการหน้ามืดร่วมด้วย มักจะล้มลงที่พื้นและเกิดอันตรายได้มากๆ บ้านที่มีผู้สูงอายุอยู่ ควรที่จะจัดสร้างห้องน้ำห้องส้วมโดยคำนึงถึงเรื่องนี้ด้วย สองด้านข้างของส้วมควรมีฝากั้นเสมือนเป็นห้องแคบๆ ที่จะคอยกันไม่ให้ผู้สูงอายุลุกขึ้นเซแล้วล้มไปทางด้านข้างเวลาลุกขึ้นซวนเซ ฝาสองข้างจะคอยกันล้มไว้ ที่ฝาข้างๆ ส้วมก็ควรมีราวสำหรับยึดเวลานั่งส้วม และราวสำหรับยึดเวลาลุกจากส้วมด้วย โดยการจัดสร้างขึ้นเช่นนี้ จะช่วยป้องกันผู้สูงอายุลื่นล้มภายในห้องน้ำห้องส้วมได้ดี

ห้องน้ำสมัยใหม่เวลานี้มีอุปกรณ์ไฟฟ้าอยู่มาก บางบ้านถึงกับมีพวกเครื่องนวดเครื่องแต่งผม เครื่องโกนหนวด เครื่องทำน้ำร้อนและเย็น และเครื่องใช้ต่างๆ ที่ใช้กระแสไฟฟ้าดังนั้นก็จะต้องมีการต่อสายไฟฟ้า ต่อปลั๊กไฟฟ้า ติดไว้ในห้องน้ำ เมื่อใช้ไปนานๆ โดยขาดความระวังดูแลเอาใจใส่การชำรุดของสายไฟฟ้าย่อมเกิดขึ้น เมื่อสายไฟฟ้านี้เกิดไฟฟ้ารั่ว ขณะที่อยู่ในอ่างน้ำ หรือบนพื้นห้องน้ำที่มีน้ำขังอยู่บ้าง สายไฟฟ้าที่ตกลงมาในน้ำก็ดี หรือขณะอาบน้ำเอื้อมมือไปจับต้องเครื่องใช้เหล่านี้แล้ว อาจตายทันทีเพราะการถูกกระแสไฟฟ้าเหตุการณ์เช่นนี้เคยปรากฏกันมาแล้วไม่น้อย

พวกโรคผิวหนังหลายโรคที่อาจติดต่อกันได้ง่ายจากห้องน้ำ และอ่างอาบน้ำ เมื่อใช้ห้องน้ำร่วมกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือพวกเชื้อรา ซึ่งชอบเกิดขึ้นที่เท้า เรียกกันว่า เท้าฮ่องกงบ้าง เท้าสิงคโปร์บ้าง เท้านักกีฬาบ้าง หรือชาวบ้านของเราทั่วไปเรียกว่า เท้าน้ำกัด ผู้เป็นโรคนี้จะปล่อยเชื้อราไว้ตามพื้นห้องน้ำ และจะติดต่อผู้อื่นที่มาอาบน้ำต่อไปได้ เชื้อราพวกนี้ชอบเจริญในบริเวณที่อับและชื้น จึงมักเริ่มต้นขึ้นที่บริเวณผิวหนังง่ามเท้าก่อนเป็นส่วนมาก ดังนั้นภายหลังขึ้นจากน้ำแล้ว ควรจะได้เช็ดเท้าให้แห้ง โดยเฉพาะที่ง่ามนิ้วเท้าและข้างซอกเล็บเท้า โรยแป้งที่เท้าและง่ามนิ้วเท้าเพื่อให้ผิวหนังแห้งไว้เสมอ จะช่วยป้องกันโรคผิวหนังจากเชื้อราพวกนี้ได้

ผู้สูงอายุมาก การอาบน้ำควรจะได้ระวังให้ดีเป็นพิเศษ และน้ำที่อาบนั้นควรเป็นน้ำเย็นตามธรรมดา หรืออุ่นก็เพียงเล็กน้อย น้ำไม่ควรให้ร้อนจัดหรือเย็นจัดเกินไป

ผู้ที่สูงอายุมากแล้ว หลอดเลือดทั่วไปมักมีผนังแข็งตัวไปตามธรรมชาติ ทำให้ผู้สูงอายุมักอยู่ในภาวะแรงดันเลือดสูงบ้างไม่มากก็น้อย การอาบน้ำร้อนของผู้สูงอายุจึงควรระวังให้มาก เพราะเมื่อเวลาอาบน้ำร้อนนั้น กระแสเลือดจะไหลแรงขึ้น นั่นคือหัวใจต้องออกแรงทำงานมากขึ้น การอาบน้ำร้อนหลังอาหารใหม่ๆ หรือการถูกน้ำร้อนในทันที หัวใจจะทำงานเกินกว่าปกติ อาจเป็นลมไปในห้องน้ำนั่นเอง หรือจะเป็นอันตรายได้มากขึ้น เมื่อเป็นลมแล้วล้มฟาดลงกับพื้นห้องน้ำ

น้ำเย็นมากๆ เมื่อเวลาอาบจะช่วยให้กล้ามเนื้อมีกำลังดีขึ้น ซึ่งเป็นการเหมาะสำหรับคนที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงดีอยู่แล้ว แต่ในผู้สูงอายุโดยเฉพาะผู้ที่กล้ามเนื้อและหัวใจเสื่อมโทรมไปเพราะความสูงอายุ การอาบน้ำเย็นๆ ก็ควรระวังเหมือนกัน เพราะการเกิดหนาวสั่นจากความเย็นนั้นทำให้หัวใจต้องทำงานหนักอย่างมากเหมือนกัน

การอาบน้ำมากๆ ในผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีร่างกายอ่อนเพลียอยู่แล้ว แทนที่จะเกิดคุณประโยชน์อาจเกิดโทษ ทำให้หมดเรี่ยวแรงไปในขณะถูกความร้อน นอกจากนั้นถ้ามีแรงดันสูงอยู่ด้วยแล้ว การอาบน้ำร้อนอาจเป็นเหตุให้แรงดันสูงขึ้นทันทีในขณะถูกน้ำร้อน และทำให้ถึงกับหลอดเลือดในสมองแตกได้ พวกที่เป็นโรคลมชักกล่าวกันว่าเวลาอาหารไม่ย่อยก็มีผู้กล่าวว่าถ้าอาบน้ำร้อนจัดมากกว่าปกติอาการอาหารไม่ย่อยจะยิ่งรุนแรงขึ้น การอาบน้ำของผู้สูงอายุหรือผู้ที่อ่อนเพลียมากๆ จากการมีโรคหนึ่งอยู่แล้ว ถ้าอาบน้ำร้อนก็ควรเป็นเพียงอุ่นๆ ไม่ควรร้อนจนเกินไป

การอาบน้ำมีคุณค่าอย่างยิ่งต่อสุขภาพของร่างกาย แต่ในห้องน้ำก็อาจมีอันตรายเกิดขึ้นได้หลายประการ การอาบน้ำจึงควรที่จะระวังและคอยป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้ เพื่อให้การอาบน้ำมีคุณค่าต่อชีวิตความเป็นอยู่ของเราโดยแท้จริงและเป็นผลดีที่สุดด้วย

ที่มา:วิชาภรณ์  แสงมณี

อ่างอาบน้ำในวรรณคดี

อ่างเป็นภาชนะใหญ่เตี้ยและปากผายทำด้วยดินเผา ซึ่งมีใช้กันแทบทุกบ้าน สมัยก่อนนี้อ่างเป็นเครื่องใช้ที่จำเป็น เพราะใช้สำหรับใส่สิ่งของ เช่น กะปิ เป็นต้น อ่างกะปิเรายังเห็นใช้อยู่จนทุกวันนี้

นอกจากนี้ อ่างนิยมใช้กันอีกอย่างหนึ่ง คือสำหรับเป็นภาชนะอาบน้ำให้เด็ก ซึ่งเราเรียกว่าอ่างอาบน้ำ เด็กไทยทุกคนต้องอาศัยอ่างอาบน้ำมาแล้วทั้งนั้น

เมื่อพูดถึงอ่างน้ำแล้ว ก็อดที่จะพูดถึงเรื่องการอาบน้ำของคนเราไม่ได้ ว่ากันว่ามนุษย์เรานั้นถ้าไม่รู้จักทำความสะอาดร่างกายของตนเองแล้ว จะเป็นสัตว์โลกที่สกปรกและมีกลิ่นที่ออกจะรุนแรงกว่าสัตว์โลกชนิดอื่น ดังนั้น คนเราจึงต้องชำระร่างกายด้วยน้ำอยู่เสมอ

พวกพราหมณ์ถือว่า น้ำเป็นสิ่งที่ชำระร่างกายและจิตใจให้บริสุทธิ์ เมื่อจะทำกิจการอะไรจึงต้องมีการชำระร่างกายให้หมดจดมลทินเสียก่อน แต่การอาบน้ำของพราหมณ์ที่สำคัญในชีวิตก็คือ อาบเมื่อแรกเกิด อาบเมื่อสมรส และอาบเมื่อตาย

การอาบน้ำสำหรับคนแต่ละชาติแต่ละภาษานั้นมีกรรมวิธีไม่เหมือนกัน อย่างในประเทศร้อน ก็อาจจะอาบน้ำในแม่น้ำและลำคลองได้ เพราะอากาศร้อน ไม่จำเป็นต้องต้มน้ำเสียก่อน แต่ในประเทศหนาวนั้น การจะอาบน้ำในแม่น้ำลำคลองในฤดูหนาว คงจะไม่มีใครที่ใจกล้าเสี่ยงต่อความเจ็บไข้ได้ป่วย พวกที่อยู่ในประเทศหนาวจึงต้องทำห้องน้ำ และต้องต้มน้ำให้ร้อนเสียก่อนจึงจะอาบได้

การอาบน้ำสำหรับคนไทยเรา ซึ่งเป็นชาวบ้านทั่วๆ ไปสมัยก่อน ก็อาบกันตามแม่น้ำลำคลองหรือลำธาร หรือตามบ่อสระ ต่อมาเมื่อบ้านเมืองเจริญขึ้น การที่จะอาบน้ำให้ประเจิดประเจ้อในเมืองที่มีคนมาก ดูจะไม่เหมาะสมนัก คนไทยเราทุกวันนี้จึงสร้างห้องน้ำและอาบน้ำกันในห้องน้ำอย่างมิดชิด นอกจากประชาชนตามบ้านนอกเท่านั้นที่ยังอาบน้ำแบบเดิมกันอยู่

แต่สำหรับคนชั้นสูง เช่น ข้าราชการผู้ใหญ่ และพระยา พระมหากษัตริย์ มีห้องอาบน้ำหรือห้องสรงน้ำนานมาแล้ว เรารู้จักใช้ฝักบัวหรือที่เรียกว่าสุหร่ายมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา อย่างที่ปรากฏในหนังสือเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอนพลายแก้วชวนนางพิมอาบน้ำตอนหนึ่งว่า

“พลายแก้วลุกแล้วชวนน้องรัก    ร้อนนักไปอาบน้ำบ้างเถิดหนอ
นางพิมพ์ฟังว่าไม่รารอ            จูงข้อมือเจ้าพลายนั้นเดินมา
ย่องเหยียบพอดังเกรียบกรอบลั่น    ศรีประจันทักไปนั่นใครหวา
เจ้าพลายสะกิดพิมพ์ให้เจรจา    ฉันเองคะออกมาจะอาบน้ำ
ครั้นถึงอ่างวางอยู่ที่นอกชาน    สองสำราญขึ้นนั่งบนเตียงต่ำ
จึงไขน้ำจากบังตะกั่วทำ        น้ำก็พร่ำพรายพรูดูกระเด็น”

นอกจากนี้ ในวรรณคดีต่างๆ ก็ยังพูดถึงเรื่องอาบน้ำฝักบัวไว้อีกหลายเรื่อง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าคนชั้นสูงของเรามีวิธีการอาบน้ำด้วยฝักบัวกันมานานแล้ว แต่คนไทยเราก็ยังมิได้มีการลงไปแช่ในอ่างนอกจากจะตักน้ำมารดตัวหรือใช้ไขน้ำจากฝักบัวกัน ต่อมาน้ำฝักบัวนั้นมีการใช้กันทั่วๆ ไป เมื่อมีน้ำประปาใช้กันทั่วไปแล้ว

ต่อมาเมื่อพวกฝรั่งได้เข้ามาตั้งรกรากหลักฐานในเมืองไทยมากขึ้น และคนไทยได้ไปศึกษามาจากต่างประเทศมากขึ้น อ่างอาบน้ำแบบฝรั่งคือเป็นรูปร่างยาวลึกพอที่คนจะลงไปนอนอยู่ได้เมื่อต้องการจะอาบน้ำจึงมีใช้ในบ้านของคนมีอันจะกินมากขึ้น แต่ก็ยังไม่เป็นที่นิยมกันในหมู่คนไทยทั่วๆ ไป บางคนไม่รู้ไปด้วยซ้ำว่า อ่างอาบน้ำฝรั่งนั้นเขาอาบกันอย่างไร มีเรื่องเล่ากันว่า สมัยหนึ่ง รัฐบาลได้ส่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไปทัศนาจรเมืองนอก เขาจัดให้พักที่โรงแรมแห่งหนึ่ง แล้วเหตุการณ์เรื่องอาบน้ำในห้องน้ำก็เกิดขึ้น เพราะมีท่านสมาชิกคนหนึ่งอาบน้ำในห้องน้ำแล้ว น้ำเกิดล้นออกมานอกห้อง พนักงานของโรงแรมต้องโกลาหลจัดการกับน้ำที่เอ่อนองออกมานั้น ได้ความว่า ท่านสมาชิกผู้นั้น ท่านเปิดน้ำใส่อ่างน้ำแล้วเอาขันน้ำตักน้ำอาบอย่างเราตักน้ำจากโอ่งอาบนั่นแหละ ทีนี้ห้องน้ำของฝรั่งนั้น เขาไม่ได้ทำทางระบายน้ำไว้ตรงพื้นเหมือนของเรา เพราะเขาไม่อาบน้ำนอกอ่าง เขามีทางระบายน้ำในอ่างแห่งเดียว เมื่อท่านสมาชิกตักน้ำออกมาอาบนอกอ่างเรื่องโกลาหลก็เกิดขึ้นดังกล่าวแล้ว เรื่องนี้จะเท็จจริงอย่างไรก็ไม่ทราบ และที่นำมาเล่านี้ก็ไม่มีเจตนาที่จะเยาะเย้ยท่านผู้ใด เพราะคนเรานั้น มีโอกาสทำในสิ่งที่เราไม่รู้กันมาแทบทุกคน

ในเรื่องอาบน้ำนี้ ในทางพระพุทธศาสนาได้บัญญัติวิธีการอาบน้ำไว้หลายประการเหมือนกัน เช่นการบัญญัติให้พระภิกษุต้องนุ่งผ้าอาบน้ำฝน สาเหตุก็มีอยู่ว่า ครั้งหนึ่งพระภิกษุยังไม่มีจีวรหรือผ้าหลายผืน พระภิกษุหมู่หนึ่งต้องการจะอาบน้ำฝน เมื่อฝนตกครั้นจะนุ่งผ้าอาบน้ำก็จะไม่มีผ้านุ่งอีก จึงเปลือยกายอาบน้ำฝน มีผู้ไปเห็นเข้าก็ติเตียนว่าพระภิกษุในพระพุทธศาสนาเปลือยกายเหมือนพวกเดียรถีย์ พระพุทธองค์ทรงทราบจึงห้ามมิให้พระภิกษุเปลือยกายอาบน้ำ และยังบัญญัติว่าในการอาบน้ำนั้นห้ามถูหลังหรือร่างกายด้วยต้นไม้ ให้ใช้ผ้าถูตัว ถ้าจำเป็นจะต้องอาบน้ำเปลือยกายในแม่น้ำลำคลองก็ให้ทำได้ โดยวิธีค่อยๆ เปลื้องผ้าขึ้นข้างบนพอร่างกายท่อนล่างจมน้ำหมด ก็เอาผ้าวางบนก้อนหินหรือไม้หลักเมื่ออาบน้ำแล้ว ก็ค่อยๆ โผล่ตัวเอาผ้าคลุมนุ่งลงไปจากข้างบน  ไม่ให้อุจาดนัยน์ตาได้ วิธีการเช่นว่านี้มีผู้เล่ากันว่า พวกชาวเขาบางเผ่ายังใช้อยู่คนที่ไปแอบดูชาวเขาอาบน้ำมักจะดูไม่ค่อยทันด้วยซ้ำไปว่าเขาเอาผ้าออกจากตัวแต่เมื่อไร สำหรับพระภิกษุนั้น ถ้าจะอาบน้ำบนบกท่านจึงต้อมีห้องอาบน้ำของท่านไม่ประเจิดประเจ้อนานมาแล้ว ถ้าคนไทยเราทำตามพระในการดำเนินชีวิต ความเป็นระเบียบเรียบร้อยก็จะมีอีกหลายอย่างไม่ใช่เฉพาะแต่การอาบน้ำเท่านั้น

อุปกรณ์ที่ใช้ในการอาบน้ำสำหรับคนไทยสมัยก่อน คือเครื่องขัดสีฉวีวรรณ ก็เห็นจะมีจำพวกส้มเช่นมะกรูดสำหรับสระผม และมีขมิ้นสำหรับประทินผิวให้เหลือง เมื่อสบู่เข้ามาเราก็หันมาใช้สบู่ชำระร่างกายกันทั่วไป จนบัดนี้แทบจะกล่าวได้ว่าไม่มีมุมไหนของประเทศไทยที่ไม่รู้จักใช้สบู่ถูตัว จนทำให้บริษัทค้าสบู่ร่ำรวยไปตามๆ กัน

การอาบน้ำของคนเรานั้นได้วิวัฒนาการมาตามลำดับ จนกระทั่งบัดนี้ ทั้งนี้ก็เพราะมนุษย์เรานั้นชอบแสวงหาความสบายให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ การอาบน้ำเป็นความสบายอย่างหนึ่งของมนุษย์เรา โดยเฉพาะเมื่อได้ใช้สบู่ถูฟอกตัวจนร่างกายสะอาด จะทำให้รู้สึกสดชื่นสบายเป็นอย่างมาก เรื่องของสบู่แม้ว่าจะเป็นประโยชน์ในการชำระร่างกายให้หมดก็จริง แต่สบู่ที่ใช้ในการอาบน้ำก็ต้องระมัดระวัง ท่านผู้รู้แนะนำไว้ว่า การที่จะใช้สบู่อย่างใดนั้น ก็ย่อมแล้วแต่บุคคลแล้วแต่สภาพของผิวหนัง บางคนไม่อาจที่จะใช้สบู่ฟอกตัวได้ โดยเฉพาะพวกที่มีผิวแห้งมากๆ การใช้สบู่ยิ่งทำให้ผิวแห้งมากขึ้น หรือบางคนอาจจะแพ้สบู่ได้อย่างมาก พวกเหล่านี้ก็ควรใช้สบู่ด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตามสบู่ที่ใช้อาบน้ำที่นับว่ามีคุณสมบัติที่ดีนั้น มีหลักอันควรเลือกซื้อได้ดังนี้ สบู่ที่ดีจะต้องเป็นสบู่ที่มีฤทธิ์ด่างอ่อนๆ ไม่เติมสีใดลงไป ไม่เติมพวกตัวยาอย่างใดผสมลงไป ผสมน้ำหอมอยู่เพียงเล็กน้อย และประการสุดท้ายก็คือราคาถูก ดังนั้น สบู่ที่มีสีสันต่างๆ สบู่ที่มีกลิ่นหอมมากๆ สบู่ที่มีตัวยาอื่นผสมลงไปและเรียกกันว่าสบู่ยาหรือสบู่ที่เติมไวตามิน เติมฮอร์โมนอะไรลงไปผสมด้วยกับสบู่ราคาแพงนั้น ไม่ใช่สบู่ที่มีคุณสมบัติที่ดีเสมอไป

อาบน้ำวันละกี่ครั้งถึงจะเพียงพอ ปกติแล้ว เราอาบน้ำกันเพียงวันละ ๒ ครั้ง คือเช้าหลังจากตื่นนอนแล้ว และเย็นภายหลังกลับจากทำงานก่อนรับประทานอาหารเย็น แต่ในหน้าร้อนก็อาจจะอาบน้ำมากกว่านี้ได้ แล้วแต่ความจำเป็น แต่การอาบน้ำมากเกินไปนั้น หาใช่จะเป็นประโยชน์ต่อร่างกายไม่ ซ้ำจะกลับเป็นโทษเสียอีก โดยเฉพาะในผู้ที่สูงอายุคือถ้าอาบน้ำมากอาจจะทำให้หมดเรี่ยวแรง หากน้ำที่อาบน้ำนั้นเป็นน้ำร้อน นอกจากนี้ในรายที่มีความดันโลหิตสูง การอาบน้ำร้อนอาจเป็นเหตุให้แรงดันสูงขึ้นไปอีก การอาบน้ำ สำหรับคนสูงอายุหรือคนที่อ่อนเพลียอยู่แล้ว ควรจะอาบน้ำเย็นธรรมดา และถ้าจะเป็นน้ำอุ่นก็ให้อุ่นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ศาสตราจารย์ นายแพทย์เสนอ อินทรสุขศรี ได้กล่าวถึงเรื่องการอาบน้ำไว้ว่า “ในฤดูร้อนเรามีเหงื่อออกมาก การอาบน้ำฟอกสบู่อาจใช้ได้มากเพื่อการฟอกล้างกำจัดเหงื่อไคลสิ่งสกปรกที่ติดผิวกายออกให้หมด ขณะที่อาบน้ำฟอกสบู่นี้ พวกน้ำมันธรรมชาติ ซึ่งต่อมน้ำมันที่ผิวหนังจะขับออกมาเพื่อช่วยให้ผิวหนังอ่อนนุ่มและชุ่มชื้น จะพลอยถูกฟอกล้างออกไปด้วย แต่ในชั่วระยะไม่นานนัก ต่อมน้ำมันก็จะขับนํ้ามันออกมาสู่ผิวหนังได้อีก โดยผิวหนังไม่แห้งจากการขาดน้ำมันธรรมชาตินี้

“แต่ในฤดูหนาว ผิวหนังจะขับนํ้ามันธรรมชาตินี้ออกมาน้อย ประกอบกับอากาศหนาวเย็นนั้นแห้งด้วย แม้ว่าการอาบน้ำจะเป็นการช่วยชำระล้างสิ่งสกปรกออกจากผิวกายได้ก็จริง ในฤดูหนาวถ้าอากาศเย็นมาก การอาบนํ้าหากว่าอาบบ่อยครั้งและใช้สบู่มากเกินไป จะทำให้น้ำมันตามธรรมชาติถูกชะล้างออกจากผิวหนังไปหมด จะทำให้ผิวหนังแห้งคันและผิวแตก ซึ่งนับว่าการอาบน้ำและฟอกสบู่นานๆ หรืออาบน้ำบ่อยครั้งแทนที่จะเกิดผลดี กลับอาจเกิดผลร้ายแก่ผิวกายได้ การอาบนํ้าในฤดูหนาวนั้น การฟอกล้างผิวกายด้วยสบู่จึงควรใช้ไม่มากนัก จะฟอกล้างได้มากโดยเฉพาะมือและเท้า ซึ่งเป็นส่วนที่ได้รับความสกปรกที่สุด กับบ่ริเวณรักแร้ และขาหนีบ ซึ่งเป็นส่วนที่อับและมีเหงื่อออกมากเท่านั้น สำหรับคนผิวแห้งมากๆ หลังการอาบน้ำแล้วอาจใช้ครีม หรือน้ำมันสำหรับทาผิวกายบ้าง เพื่อเป็นการทดแทนน้ำมันธรรมชาติ และกันผิวแห้งคันและผิวแตก เป็นสิ่งที่สมควร”

นอกจากนี้ อันตรายอันเกิดจากการอาบน้ำในห้อน้ำยังมีอีก เช่น การติดเชื้อโรคจากห้องน้ำ การหกล้มในห้องน้ำโดยเฉพาะในคนสูงอายุหรือเด็ก ซึ่งบางรายก็พิการก็ถึงแก่ชีวิตมาแล้ว เป็นอันตรายที่ไม่ควรจะมี ถ้าเราใช้ความระมัดระวังและป้องกันโดยการคอยทำความสะอาดในห้องน้ำมิให้มีการลื่นหกล้มได้ เช่นชำระเศษของสบู่หรือผงซักฟอกเป็นต้น

การอาบน้ำของคนไทยเรา หลังจากสงครามโลกคราวที่แล้วมานี้ นับว่าก้าวหน้าไปไกลมาก ถึงขนาดที่มีสถานที่อาบน้ำไว้สำหรับรับจ้างผู้ต้องการอาบเป็นพิเศษ ซึ่งเราเรียกกันสถานอาบ อบ นวด ณ สถานที่เหล่านี้ จะมีพนักงานรับใช้หรือหมอนวดล้วนแต่เป็นผู้หญิงสาวคอยรับใช้ผู้ที่ประสงค์จะใช้บริการของเขา ซึ่งผู้ที่ใช้ก็ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ชายทั้งนั้น ว่ากันว่าการอาบน้ำแบบนี้ จะทำให้ผู้ที่ไปอาบน้ำได้รับความสดชื่นกระชุ่มกระชวยมากทีเดียว เพราะได้มีการอบตัวด้วยความร้อนให้เหงื่อออก และได้รับการนวด จากหมอนวดที่มีความชำนาญ สถานอาบอบนวดเหล่านี้ทำรายได้ให้แก่เจ้าของมิใช่น้อย บางแห่งมีหมอนวดไว้คอยบริการลูกค้านับเป็นร้อยคน ถึงอย่างนั้นลูกค้ายังต้องไปรอคิวกัน การอาบน้ำ ณ สถานที่เหล่านี้เสียค่าบริการเป็นรายชั่วโมง ส่วนจะคิดชั่วโมงละเท่าไรนั้นไม่แน่นอน แล้วแต่จะกำหนดกันเป็นแห่งๆ ไป แต่อย่างน้อยค่าน้ำประปา ซึ่งเราใช้กันทั้งครัวเรือนในหนึ่งเดือนนั้น คงจะน้อยกว่าอาบน้ำ ณ สถานที่เหล่านั้นเพียงชั่วโมงเดียว

พวกผู้ชายคงจะชอบสถานที่เหล่านี้ แต่ฝ่ายผู้หญิงไทยโดยเฉพาะที่มีสามีแล้วเกลียดสถานที่เหล่านี้ยิ่งกว่าเกลียดเจ้าหนี้ตอนมาทวงดอกเบี้ยเสียอีก และสถานที่เหล่านี้ก็เคยทำให้สามีภรรยาทะเลาะเบาะแว้งกันและหย่าร้างกันมาแล้วหลายร้อยหลายพันคู่

การเปลือยกายอาบน้ำสำหรับคนไทยเรา ดูจะเป็นของใหม่ที่เราเพิ่งประพฤติกัน เมื่อไม่เท่าไรมานี้เอง แต่สำหรับชาติอื่นแล้ว การเปลือยกายอาบน้ำดูเหมือนจะเป็นของธรรมดา สมัยสงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อทหารญี่ปุ่นเข้ามาประเทศไทย พวกคนไทยเห็นเป็นของแปลกประหลาดที่เห็นทหารญี่ปุ่นแก้ผ้าอาบน้ำหน้าตาเฉยที่ก๊อกประปาสาธารณะ เรื่องการอาบน้ำในถังเดียวกันของชาวญี่ปุ่นก็เหมือนกัน เขาทำกันเป็นของธรรมดา มีผู้หญิงฝรั่งคนหนึ่งไปพักในบ้านของชาวญี่ปุ่น เล่าว่า วันหนึ่งเธอลงไปอาบน้ำอยู่ในถังน้ำในบ้าน (ก็เปลือยกายอาบน้ำนั่นแหละ) พ่อบ้านชาวญี่ปุ่นก็ลงไปอาบด้วย เธอจะขึ้นก็ไม่กล้าขึ้น และก็ถังอาบน้ำของชาวญี่ปุ่นนั้นเขาสุมไฟไว้ข้างล่าง ลงไปใหม่ น้ำยังไม่ทันร้อนพออาบไป น้ำก็ร้อนขึ้นเรื่อยๆ ลงท้ายที่สุดผู้หญิงฝรั่งคนนั้นทนไม่ไหว ต้องเผ่นขึ้นจากถังน้ำทั้งๆ ที่พ่อบ้านชาวญี่ปุ่นยังอยู่ในถังน้ำนั่นเอง โดยที่พ่อบ้านคนนั้นไม่ได้สนใจอะไรในตัวของผู้หญิงคนนั้นเลย เขาว่ากันอย่างนั้น

การอาบน้ำของพวกผู้ชายนอกจากอาบจากสถานที่อาบอบนวดแล้ว ก็เห็นจะไม่มีอะไรที่น่าสนใจอีก แต่ฝ่ายผู้หญิงนั้น อุปกรณ์ในการอาบน้ำนอกจากพวกสบู่แล้ว ยังมีพวกเครื่องประทินผิวทั้งก่อนและหลังอาบน้ำอีกมากมาย บริษัทค้าเครื่องสำอางก็พยายามหาวิธีมาโฆษณาว่าสินค้าของตนนั้นดีอย่างนั้นอย่างนี้ จนผู้หญิงทุกวันนี้เกือบจะจมอยู่ในทะเลแห่งเครื่องสำอางก็มี บางคนเรารู้จักแต่นอกบ้าน ถ้าวันไหนเผลอเข้าไปเยี่ยมถึงในบ้าน บังเอิญเธอยังไม่ได้ลูบไล้เครื่องสำอางละก็ เป็นจำไม่ได้ทีเดียว อิทธิพลของเครื่องสำอางนั้นมีมากมายสามารถลบรอยด่างดำรอยแผลเป็น(นอกจากแผลที่หัวใจ) ของสตรีให้สะอาดหมดจดไปได้ ทุกวันนี้เรามองไปทางไหนก็เห็นแต่สตรีที่สวยสดงดงามไปทั้งนั้น เรียกว่าสวยเกือบจะเหมือนกันหมด อย่างที่ท่านว่าในศาสนาพระศรีอาริย์ พอผู้หญิงออกจากบ้านก็สวยเหมือนกันหมด แม้สามีตนเองก็จำภรรยาของตนไม่ได้ก็อาจจะเป็นเพราะอิทธิพลของเครื่องสำอางค์นี้เอง

ว่ากันว่า ผู้หญิงที่จะเข้าประกวดนางงามนั้น พิถีพิถันในการอาบน้ำมาก บางรายลงทุนซื้อนมสดมาอาบ ว่าทำให้ผิวงามเหมือนน้ำนมนั่นเทียว แต่ก็มีนิทานตลกๆ เล่ากันมาว่า ผู้อุปการะนางงามคนหนึ่ง ลงทุนซื้อน้ำนมมาให้อาบแล้ว ต้องการถอนทุนคืน ก็เอาน้ำนมนั้นกรอกใส่ขวดคืน ปรากฏว่าขวดที่ใส่น้ำนมมานั้นไม่พอที่จะใส่น้ำนมกลับคืน เขาว่าแกได้กำไรครั้งละขวดด้วยซ้ำไป

ท่านรู้จักชำระร่างกายให้หมดจดนะเป็นการดีแล้ว แต่อย่าลืมชำระใจของท่านให้หมดจดจากสิ่งสกปรกบ้างก็แล้วกัน โบราณว่า “สะอาดกายเจริญวัย สะอาดใจเจริญสุข”

โดยทั่วไปเราอาบน้ำเย็นตามธรรมดาเพื่อการชำระล้างร่างกายให้สะอาด แต่ก็มีผู้แนะนำว่า การที่จะอาบน้ำให้เกิดความสดชื่นดีแล้ว ควรอาบน้ำอุ่นสลับกับน้ำเย็น กล่าวคือตอนแรกให้อาบน้ำอุ่นก่อน ความร้อนของน้ำให้ร้อนมากพอที่จะทนได้ ในเมื่อผิวกายถูกกับน้ำร้อน เลือดจะมาสู่ส่วนผิวมากขึ้น หัวใจจะทำงานดีขึ้น และขณะเดียวกันต่อเหงื่อจะทำหน้าที่ขับเหงื่อออกได้มาก ในระหว่างนี้ให้ถูนวดตามผิวกายให้ทั่ว หรือจะใช้ผ้าถูให้ทั่วร่างกาย เพื่อให้เลือดไหลเวียนดีในผิวหนังทั่วไป

ต่อจากนั้นให้หยุดน้ำร้อน เริ่มอาบด้วยน้ำเย็น โดยค่อยๆ เพิ่มความเย็นขึ้นทีละน้อย จนถึงขั้นสุดท้ายให้น้ำเย็นมากเมื่อจะขึ้นจากน้ำ ในขณะที่ผิวกายถูกความเย็นนี้กล้ามเนื้อทั่วไปจะมีการบีบรัดตัวช่วยทำให้กล้ามเนื้อมีกำลังได้ดีขึ้น

พอขึ้นจากน้ำให้เช็ดตัวให้แห้งทันที และเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่สวมแทนชุดเก่า การอาบน้ำดังกล่าวนี้จะช่วยให้สุขภาพของร่างกายดียิ่งขึ้นและรู้สึกสดชื่นอย่างมาก

ที่มา:วิชาภรณ์  แสงมณี

การเล่นว่าวของชาติต่างๆ

ชาวจีนทำว่าวเป็นรูปมังกรและปลา แต่ก็ชักว่าวให้ลอยขึ้นอยู่เฉยๆ ไม่ได้แข่งขันอะไรกัน บางท้องถิ่นชาวจีนมีว่าวของชาวจีนประเพณีอยู่ว่าครอบครัวใดมีเด็กเกิดใหม่จะทำว่าวรูปปลาไปผูกไว้ที่ลานบ้าน ชาวบ้านจะได้รู้ว่าบ้านนั้นมีเด็กเกิดใหม่แล้ว ชาวจีนเชื่อกันว่าว่าวเป็นสัญลักษณ์ของวิญญาณ เพราะเชื่อกันว่าวิญญาณนั้นบินได้ลอยไปมาเช่นเดียวกับว่าวเหมือนกันว่าวของญี่ปุ่น

ชาวญี่ปุ่นก็มีการเล่นว่าวเป็นประเพณีอยู่อย่างหนึ่งที่เรียกว่าเทศกาลดอกเชอรี่บานจะมีคนชักว่าวให้ลอยอยู่ในท้องฟ้านับเป็นพันๆ ตัว เมื่อถึงฤดูกาลเช่นว่านั้น

สำหรับในเมืองไทยของเรานั้น ว่าวคงจะรู้จักกันมานานพอสมควรทีเดียว เพราะปรากฏในพงศาวดารเหนือว่าพระร่วงชอบทรงว่าว คราวหนึ่งว่าวของพระร่วงขาดลอยไปติดปราสาทเมืองตองอู ต้องเสด็จไปเอาว่าวจากปราสาทของพระยาตองอู ก็แสดงว่าคนไทยเรารู้จักเล่นว่าวอย่างน้อยก็สมัยกรุงสุโขทัยเป็นราชธานีแล้ว ยิ่งกว่านั้น ในสมัยอยุธยาตอนต้นมีกฎมณเฑียรบาลห้ามประชาชนชักว่าวข้ามพระราชวังไว้ด้วย แสดงว่าการเล่นว่าวในสมัยอยุธยาคงจะมีมากพอสมควรจนถึงกับมีกฎหมายห้าม และปรากฏในจดหมายเหตุของลาลูแบร์ ซึ่งเข้ามาในรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชว่า การเล่นว่าวในกรุงศรีอยุธยาสมัยนั้นดูน่าสนุกสนานมาก

ในรัชสมัยสมเด็จพระเพทราชา ซึ่งครองราชย์ต่อจากสมเด็จพระนารายณ์มหาราชนั้น พระยายมราชสังข์ ซึ่งไปครองเมืองนครราชสีมา ครั้งสมเด็จพระนารายณ์มหาราชนั้นเกิดทิฐิมานะ กระด้างกระเดื่องขัดรับสั่งมิยอมเข้าไปเฝ้าตามประเพณีเมื่อผลัดแผ่นดินใหม่ ทางกรุงต้องส่งกองทัพไปปราบปรามอยู่ถึงสองปี ก็ทำการไม่สำเร็จเพราะพระยายมราชสังข์มีฝีมือในการรบสมเป็นทหารเอกของสมเด็จพระนารายณ์ ต่อมามีแม่ทัพคนหนึ่งคิดใช้ปืนกลขึ้นใช้ ปืนกลสมัยนั้น เมื่อยิงไปแล้วกระสุนจะตกลงไปในเมืองแต่ยังไม่ระเบิดทันที ต่อสายชนวนลุกลามไปถึงจึงระเบิดขึ้นคงจะเป็นทำนองเดียวกับลูกระเบิดเวลานี้นั้นเอง อาวุธอีกยอ่างหนึ่งซึ่งคิดขึ้นใช้ในการตีเมืองนครราชสีมาคราวนี้ก็คือ ใช้ว่าวจุฬาขนาดใหญ่ชักขึ้นเหนือเมือง ที่ว่าวนั้นมีหม้อดินดำติดไว้ด้วย และมีตะเกียงเรียกวาอังแพลมติดขึ้นไปด้วย พอไฟไหม้สายป่านขาดว่าวก็ตกลงในเมืองพร้อมกับหม้อดินดำ ก็เกิดระเบิดไฟไหม้บ้านเมืองขึ้น ชาวเมืองต้องช่วยกันดับไฟเป็นโกลาหล เมืองนครราชสีมาก็แตก แต่พระยายมราชสังข์หนีรอดไปได้ นี่คือว่าวที่ใช้ในราชการสงครามเป็นครั้งแรก การที่จะใช้ว่าวอย่างนี้ได้ ก็แสดงว่าคนไทยเราสมัยนั้นต้องนิยมเล่นว่าวกันมาก่อนแล้ว และมีความชำนาญในการทำว่าวด้วย จึงทำว่าวขนาดใหญ่ขึ้นใช้ได้

การเล่นว่าวแต่เดิมมานั้น คงจะเป็นเพียงชักว่าวให้ลอยลมอยู่เฉยๆ ไม่ได้เล่นคว้าว่าวกันอย่างทุกวันนี้ ว่าวที่พวกเด็กชอบเล่นกันก็คือว่าวที่มีเสียงดัง ที่เรียกว่าว่าวดุ๊ยดุ่ย เพราะมีเสียงดังอย่างนั้น เครื่องที่ทำให้เกิดเสียงก็คือเอากระดาษมาติดกับเชือกขึงจากหัวของว่าวโยงมายังไม้ปีกอันบน เมื่อกระดาษนี้ถูกลมกระทบก็ทำให้เกิดเสียงขึ้น ทางปักษ์ใต้มีว่าวดุ๊ยดุ่ยทำเป็นรูปนก เรียกกันว่าว่าวนก ตรงหัวของว่าวนกนี้ทำเครื่องให้เกิดเสียงชนิดหนึ่งติดไว้เรียกว่าแอก แอกนั้นทำด้วยไม้ไผ่เหลาให้อ่อนพอดัดให้โค้งได้เป็นรูปคันธนู แล้วใช้ใบลานจักให้เป็นชิ้นเล็กขนาด ๒ เซนติเมตร ขึงเหมือนสายธนู เมื่อแอกนี้ถูกลมกระทบจะดังเสียงไพเราะมาก คือดังหง่าวๆ ถ้าผูกไว้ทั้งคืนก็ดังเป็นเพลงกล่อมนิทราดีเหมือนกัน

ว่าวนั้นทำเป็นรูปต่างๆ แล้วแต่จะคิดกันขึ้น แต่ว่าวที่ขึ้นชื่อลือชาและเล่นกันในฤดูว่าวก็คือว่าวปักเป้ากับว่าวจุฬา ว่าวปักเป้านั้นเป็นว่าวสี่เหลี่ยมแฉกเหมือนรูปดาว มีหางสมมติว่าเป็นหญิง ส่วนว่าวจุฬานั้นมีปีก และมีขา ๒ ขา ไม่ต้องมีหาง การทำว่าวเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง ว่าวปักเป้าก็ดี ว่าวจุฬาก็ดี ถ้าทำไม่เป็นแล้ว มันก็เพียงแต่ขึ้นไปลอยอยู่เฉยๆ แต่คนที่รู้จักสัดส่วนทำแล้ว มันขึ้นส่ายไปมาสวยงามทีเดียว ทั้งว่าวปักเป้าและว่าวจุฬาคงจะมีมาแต่สมัยอยุธยาแล้ว เพราะปรากฏอยู่ในกฎหมายสมัยกรุงศรีอยุธยา โดยกำหนดหน้าที่ตำรวจไว้ว่า

“ถ้าทรงว่าวเพลาเช้าเพลาเย็นนั้น เจ้ากรมปลัดกรมผู้อยู่เวร เข้ามาคอยกราบทูลพระกรุณาด้วยลมกล้าลมอ่อน ถ้าเสด็จไปทรงว่าวเจ้ากรมปลัดกรม ซึ่งอยู่เวร ประนมมือแห่เสด็จไปถึงลานทรงว่าวในสวนกระต่าย เข้าเฝ้าคอยรับสั่ง ครั้นวิ่งว่าวคือวิ่งรอก เรียกหัวหมื่น คือตัวสี่ตำรวจเลวขึ้นไปวิ่ง และเกณฑ์ให้คอยค้ำสายป่าน ถ้าพานว่าวปักเป้าติดเข้ามานั้นได้เอาบาญชีกราบทูลพระกรุณาตามชื่อทุกครั้ง” ดังนี้

ในสมัยกรุงเทพมหานครนี้ ทั้งราษฎรไพร่ฟ้าข้าคนพลเมือง ตลอดถึงเจ้านายก็นิยมเล่นว่าว ทรงว่าวตามฤดูกาล มีเรื่องเล่าว่าพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เมื่อครั้งยังดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอก็ทรงโปรดว่าว แม้เสวยราชแล้วก็ยังทรงว่าวอยู่โดยทรงว่าวจุฬา ส่วนกรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์ทรงว่าวปักเป้า

การเล่นว่าวที่สนุกสนานที่สุดก็คือที่สนามหลวง กรุงเทพมหานคร ซึ่งมีการเล่นว่าวกันมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ จนกระทั่งปัจจุบันนี้

การเล่นว่าวเป็นกีฬาที่สนุกสนานของเด็ก และเป็นกีฬาและการพนันของผู้ใหญ่ด้วย ทุกวันนี้บ้านเมืองเจริญขึ้น สนามที่เด็กๆ จะเล่นว่าวในเมืองดูเหมือนจะมีน้อยลงทุกที และเด็กก็ควรจะระวังเมื่อเล่นว่าว อย่าเล่นว่าวใกล้สายไฟฟ้า เพราะป่านจะไปถูกสายไฟตกลงมาเป็นเหตุให้เกิดอันตรายถึงแก่ชีวิตได้

ที่มา:วิชาภรณ์  แสงมณี

ใครเป็นคนสร้างว่าวชาติแรก

เมื่อพูดถึงว่าว ดูเหมือนจะไม่มีใครที่ไม่รู้จัก โดยเฉพาะเด็กย่อมรู้จักว่าวกันดี แต่ถ้าจะถามว่าว่าวคืออะไร ใครเป็นคนคิดทำว่าวขึ้นก่อน และวิวัฒนาการมาอย่างไร ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่ต้องค้นคว้ากันมากมายทีเดียวว่าวจุฬา

ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๔๙๓ ให้ความหมายคำว่าว่าวไว้ว่า เป็นนามสิ่งที่ทำด้วยกระดาษ ปล่อยให้ลอยขึ้นไปเมื่อลมจัด ใช้สายป่านชัก มีชื่อต่างๆ กัน เช่น ว่าวจุฬา ว่าวปักเป้า

ว่าวจะมาจากชาติไหนก่อนยังเป็นที่ถกเถียงกัน แต่คำว่าว่าวในภามอญแปลว่าหนาว และเราเรียกลมที่พัดจากเหนือมาใต้ในฤดูหนาวว่าลมว่าว ครั้งแรกก็คงจะหมายว่าลมหนาวอย่างภาษามอญก็เป็นได้ แต่พอเราเล่นว่าวในฤดูลมหนาวมา ลมว่าวที่มีความหมายว่าหนาวก็กลายเป็นลมว่าวที่มีความหมายว่าเป็นลมสำหรับชักว่าวเล่นกันก็เป็นได้เหมือนกัน ผิดถูกอย่างไรก็เป็นเพียงข้อสันนิษฐานเท่านั้น

ว่าวเป็นของชาติใด ไม่อาจที่จะค้นคว้าได้ บ้างก็ว่าว่าวเป็นของชนชาติในแหลมมลายูเป็นผู้คิดขึ้นก่อน โดยเอาใบไม้มาผูกเชือกชักเป็นว่าว ซึ่งการเอาใบไม้มาทำว่าวเล่นนี้ เด็กๆ ก็ยังทำเล่นอยู่จนทุกวันนี้แต่มีผู้ค้านว่า เมื่อ ๔๐๐ ปีก่อนคริสตศักราช มีนักวิทยาศาสตร์ของกรีกคนหนึ่งขื่ออากีทัส ได้สร้างนกพิราบไม้ขึ้นตัวหนึ่ง ซึ่งบินไปได้ด้วยตัวของมันเอง เห็นจะไปได้ด้วยแรงลมนั่นเอง ชาวจีนและชาวเกาหลีก็อ้างว่าชาติของตนเป็นผู้สร้างว่าวขึ้นเป็นชาติแรก

ที่มา:วิชาภรณ์  แสงมณี

โกศ

หีบหรือโลงศพนั้นถ้าจะแบ่งเป็นประเภทใหญ่ก็มี ๒ อย่าง คือ
๑. หีบหรือโลงศพชนิดธรรมดาอย่างหนึ่ง
๒. ที่ใส่ศพนั่งหรือกระดูก ซึ่งเรียกว่าโกศอีกอย่างหนึ่ง

หีบศพชนิดธรรมดานั้น ใช้ต่อด้วยไม้กระดานเป็นรูปสี่เหลี่ยมมีด้านไม่เท่ากัน คือด้านกว้างแคบและด้านยาวเท่าส่วนสูงของผู้ตาย ถ้าเป็นคนจนก็ทำเพียงไม้กระดานมาตีกันเป็นรูปโลง บางทีก็มีกระดาษขาวหรือผ้าขาวมาโกศหุ้มอีกทีหนึ่ง ศพคนจนต้องรีบนำไปเผาเพราะถ้าไว้หลายวันนอกจากจะเปลืองเงินทองแล้ว โลงหรือหีบศพ ซึ่งทำอย่างง่ายจะกันน้ำเหลืองหรือกลิ่นศพไม่ได้ กลายเป็นที่รังเกียจของคนอื่น ถ้าคนมีฐานะดีขึ้นมาหน่อย นอกจากจะทำโลงให้มั่นคงมีชันยาตามรอยต่อให้เรียบร้อยแล้ว ยังมีการปิดกระดาษเงินกระดาษทอง ซึ่งสลักเป็นลวดลาย ตามขอบประดับด้วยหยวกกล้วย ซึ่งสลักเป็นลวดลายไทยอย่างสวยงามอีกด้วย ตรงฐานที่ตั้งโลงศพก็ประดับด้วยลวดลายที่เรียกว่าเครื่องสด แต่สมัยนี้ช่างสลักเครื่องสดดูเหมือนจะหาดูไม่ค่อยจะได้ง่ายนัก เพราะช่างเก่าก็ตายไป ช่างใหม่ก็ไม่นิยมที่จะสืบต่อความรู้ไว้ ยิ่งกว่านั้นโลงศพสมัยนี้ ก็มักนิยมทำเป็นโลงธรรมดามียาชันแน่นหนาแล้วมีโลงทองหรือลองประกอบข้างนอกอีกชั้นหนึ่ง ลองประกอบชั้นนอกนี้ทางวัดสั่งให้ช่างทำไว้ประจำตามวัด หรือฌาปนสถานใครต้องการก็มาเช่าไปประกอบเข้ากับโลงตามต้องการได้ พวกช่างเครื่องสดหรือกระดาษโลงจึงหายหน้าไปเกือบจะหมด

สมัยก่อนนี้ การทำศพเป็นเรื่องที่ยุ่งยากมากทีเดียว เพราะทุกสิ่งทุกอย่างต้องทำขึ้นใหม่และต้องทำกันเอง แม้แต่โลงหรือหีบศพ ครั้นต่อมามีพ่อค้าซึ่งไม่รังเกียจในการที่จะทำหีบหรือโลงศพไว้จำหน่าย โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ๆ พ่อค้าต่อโลงหรือหีบศพไว้จำหน่าย ไม่ว่าจะเป็นโลงของผู้ถือศาสนาใด การต่อโลงเองจึงหมดภาระไปอย่างหนึ่ง เพียงแต่มีเงินไปซื้อก็ซื้อหาได้ทุกเวลา แต่สำหรับบ้านนอกหรือต่างจังหวัด เรื่องของการต่อโลงยังจำเป็นอยู่มาก เพราะการค้าสินค้าประเภทนี้ยังแพร่หลายไปไม่ถึง

การจัดพิธีศพก็เหมือนกัน แต่ก่อนนี้ก็หาเครื่องประดับหน้าศพลำบาก แต่ทุกวันนี้ ตามจังหวัดหรืออำเภอมีวัดที่จัดการเรื่องนี้ไว้โดยเฉพาะ ทำให้การจัดการศพสะดวกสบายขึ้นมาก

โลงหรือหีบศพประเภทหนึ่งสำหรับใช้กับศพที่นั่งหรือบรรจุกระดูกเรียกกันว่าโกศ โกศนั้นตามปกติแล้วจะใช้สำหรับข้าราชการชั้นสูงหรือพระราชวงศ์บรมวงศานุวงศ์ขึ้นไป จนชั้นพระมหากษัตริย์ และส่วนมากมักจะเป็นของหลวงทั้งนั้น ดังนั้นเรามาพูดกันถึงเรื่องโกรศก็คงจะไม่ไร้ประโยชน์เสียทีเดียว ถึงแม้ว่าพวกเราส่วนใหญ่ไม่มีโอกาสจะได้นั่งในโกศเวลาตายแล้วก็ตามที แต่อย่าอิจฉาคนที่ต้องนั่งโกศเลย โกศหรือโลงก็มีค่าเท่ากันในสายตาของพระ

ในเรื่องโกศนี้  จมื่นสิริวังรัตน  ได้เขียนไว้ในสารานุกรมไทยว่า “โกศที่ใส่ศพนั่งมีอยู่ ๒ ชั้น คือ ชั้นในและชั้นนอก ชั้นในเรียกในทางราชการว่า “โกศ” มีอยู่ ๒ ชนิด คือ ชนิดหนึ่งเป็นรูปกลมทรงกระบอกปากผาย ฝาครอบเป็นลูกแล้ว ๕ ชั้น มียอม ทำด้วยเงินลงรักปิดทอง มีอยู่องค์เดียวสำหรับทรงพระบรมศพสมเด็จพระมหากษัตริย์โดยเฉพาะ นอกนั้นทำด้วยทองแดง หรือเหล็ก ลงรักปิดทองสำหรับทรงพระศพพระราชวงศ์ชั้นเจ้าฟ้า ฝาครอบ ๕ ชั้น มียอด และสำหรับพระราชวงศ์ตั้งแต่พระองค์เจ้าลงไปจนถึงข้าราชการ ฝาครอบ ๓ ชั้นมียอด อีกชนิดหนึ่งทำด้วยเหล็กเป็นรูปสี่เหลี่ยมฝาครอบ ๓ ชั้น มียอด หุ้มผ้าขาวสำหรับพระราชวงศ์ และลงรักปิดทองสำหรับข้าราชการ

ส่วนชั้นนอกเรียกว่า “ลอง” สำหรับประกอบนอกตัวโกศอีกทีหนึ่ง มีลักษณะและชื่อเรียกต่างกันตามขั้นดังนี้

๑. พระลองทองใหญ่ (รัชกาลที่๑) ทำด้วยไม้แกะสลักลวดลายทรงแปดเหลี่ยมหุ้มด้วยทองคำตลอดองค์ฝายอดทรงมงกุฎ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๓๕๑ สำหรับทรงพระบรมศพของพระองค์ เมื่อสร้างเสร็จในปีนั้น สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้ากรมหลวงศรีสุนทรเทพสิ้นพระชนม์ ทรงพระอาลัยมากจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระลองทองใหญ่นี้ทรงพระศพเป็นประเดิม แล้วจึงได้ใช้ทรงพระบรมศพพระมหากษัตริย์และอัครมเหสี

โดยที่พระลองทองใหญ่นี้ ในรัชกาลที่ ๑ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานทรงพระศพพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้ากรมหลวงศรีสุนทรเทพมาแล้ว ในรัชกาลต่อมาจึงได้อนุโลมพระราชทานทรงพระศพสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้า และสมเด็จพระบรมวงศ์เธอ ที่ทรงมีพระเกียรติคุณยิ่งเป็นกรณีพิเศษ

๒. พระลองทองใหญ่ (รัชกาลที่ ๕) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเมือง พ.ศ. ๒๔๔๓ อีกองค์หนึ่ง เป็นพระลองหุ้มด้วยทองคำเช่นเดียวกันกับพระลองทองใหญ่ที่สร้างในรัชกาลที่ ๑ นั้น และมีศักดิ์เสมอพระลองทองใหญ่ (รัชกาลที่ ๑) สำหรับทรงพระบรมศพและพระศพ

๓. พระลองทองเล็ก  ทำด้วยไม้แกะสลักลวดลายทรงแปดเหลี่ยมหุ้มด้วยทองคำทั้งองค์ ฝายอดทรงมงกุฎ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๐ สำหรับพระราชทานทรงพระศพสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้า

๔. พระลองทองน้อย  ทำด้วยไม้แกะสลักลวดลายทรงแปดเหลี่ยม ยอดทรงมงกุฎปิดทองประดับกระจกทั้งองค์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.๒๓๙๔ สำหรับพระราชทานทรงพระศพสมเด็จเจ้าฟ้าและพระอัครชายา

๕. พระลองกุดั่นใหญ่  ทำด้วยไม้แกะสลักลวดลายทรงแปดเหลี่ยม ฝายอดทรงมณฑปปิดทองล่องชาดประดับกระจกสี สร้างในรัชกาลที่ ๑ สำหรับพระราชทานทรงพระศพสมเด็จเจ้าฟ้า สมเด็จพระบรมวงศ์ สมเด็จพระมหาสมณะหรือสมเด็จพระสังฆราช

๖. พระลองกุดั่นน้อย  ทำด้วยไม้แกะสลักลวดลายทรงแปดเหลี่ยม ฝายอดทรงมณฑปปิดทองประดับกระจกสี สร้างในรัชกาลที่ ๑ สำหรับพระราชทานทรงพระศพพระบรมวงศ์ที่ดำรงตำแหน่งเสนาบดี และพระเจ้าบรมวงศ์ที่ทรงพระอิสริยศักดิ์เป็นกรมหลวง และศพเจ้าจอมมารดาที่ธิดาเป็นพระอัครมเหสี  ข้าราชการที่ได้รับพระราชทานตรานพรัตน์ราชวราภรณ์ และที่ดำรงตำแหน่งหน้าที่ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์

๗. พระลองมณฑป  ทำด้วยไม้แกะสลักลวดลายทรง ๔ เหลี่ยม ฝายอดทรงมณฑปปิดทองประดับกระจกสี สร้างในรัชกาลที่ ๔ สำหรับพระราชทานทรงศพพระเจ้าบรมวงศ์พระองค์เจ้าที่ทรงกรม ข้าราชการชั้นเสนาบดีที่เป็นราชสกุล

๘. พระลองราชวงศ์  ทำด้วยไม้แกะสลักลวดลายทรง ๔ เหลี่ยม ฝายอดทรงพระชฎาพอก ปิดทองล่องชาดประดับกระจกสี สร้างในรัชกาลที่ ๔ สำหรับพระราชทานทรงพระศพพระองค์เจ้า และหม่อมเจ้า

๙. ลองไม้สิบสอง  ทำด้วยไม้แกะสลักลวดลายย่อมุมหักเหลี่ยม ทรงไม้สิบสองฝายอดทรงมงกุฎปิดทองประดับประจกสี สร้างในรัชกาลที่ ๑ สำหรับพระราชทานทรงพระศพ พระราชวงศ์ฝ่ายพระราชวังบวร
พระวรวงศ์พระองค์เจ้าที่ทรงรับราชการในตำแหน่งหน้าที่สำคัญและสำหรับพระราชทานประกอบโกศศพข้าราชการชั้นเสนาบดี เจ้าพระยา และรัฐมนตรีว่าการกระทรวง และรัฐมนตรีช่วยว่าการ ซึ่งถึงแก่กรรมขณะดำรงตำแหน่งหน้าที่อยู่นั้น และศพสมเด็จพระราชาคณะ

๑๐. ลองแปดเหลี่ยม  ทำด้วยไม้แกะสลักลวดลายทรงแปดเหลี่ยม ฝาทรงมณฑปปิดทองล่องขาดประดับกระจกสี สร้างในรัชกาลที่ ๖ สำหรับพระราชทานประกอบโกศศพ ข้าราชการที่ได้รับพระราชทานตราปฐมจุลจอมเกล้าหรือประถมาภรณ์ช้างเผือก และเจ้าพระยาชั้นสัญญาบัตรหรอืรัฐมนตรีสั่งราชการที่ถึงแก่กรรมในขณะที่ดำรงตำแหน่งหน้าที่อยู่ เจ้าจอมมารดาและท้าวนางที่มีพระโอรสธิดาทรงกรมและที่ไม่ทรงกรม ซึ่งประกอบด้วยคุณงามความดีในราชการและส่วนพระองค์ หม่อมห้ามของพระบรมวงศ์ที่เป็นสะใภ้หลวง พระราชาคณะชั้นหิรัญบัตร

๑๑. ลองโถ  ทำด้วยไม้แกะสลักลวดลายรูปกลม ฝายอดปริก ปิดทองประดับกระจกมีมาแต่ในรัชกาลที่ ๑ สำหรับพระราชทานประกอบโกศศพหม่อมห้าม พระบรมวงศ์ที่มีพระโอรสดำรงตำแหน่งเสนาบดี ศพท่านผู้หญิง ท.จ.ว. ท้าวนาง ข้าราชการที่ได้รับราชอิสริยาภรณ์ประถมาภรณ์มงกุฎไทย หรือผู้ที่เป็นรัฐมนตรี แต่ไม่ได้มีตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการหรือสั่งราชการและไม่ได้รับสายสะพาย ซึ่งถึงแก่กรรมในขณะที่ดำรงตำแหน่งอยู่ในคณะรัฐมนตรีเวลานั้น

แต่ทั้งนี้ ถ้าผู้นั้นเป็นราชสกุล  ราชนิกูล ก็เปลี่ยนเป็นพระราชทานลองราชนิกูลประกอบโกศศพ

๑๒.  ลองราชนิกูล  ทำด้วยไม้แกะสลักลวดลายทรงสี่เหลี่ยมตัดมุม ฝาทรงชฎา ปิดทองประดับกระจกสี สำหรับพระราชทานข้าราชการผู้เป็นราชสกุล ราชนิกูล ซึ่งมีเกียรติยศชั้นที่ได้รับพระราชทานลองโถประกอบโกศศพ

นอกจากนี้ยังมีเครื่องประดับพระลองอีกหลายอย่าง จะว่าโดยละเอียดก็จะยืดยาวเกินไป

การจะพระราชทานเกียรติยศแก่พระศพและศพของผู้ใดเพียงใดก็ย่อมแล้วแต่พระราชอัธยาศัยที่จะทรงพระมหากรุณา

ทั้งชั้นในที่เรียกว่าโกศและชั้นนอกที่เรียกว่าลองนั้น เมื่อเรียกรวมกันเรียกว่า “โกศ”

เรื่องของหีบหรือโลงศพหรือโกศดังได้กล่าวมาแล้วแต่ตอนต้นนั้น แม้จะแตกต่างกันโดยสภาพภายนอก แต่สิ่งที่อยู่ภายในก็คือศพนั่นเอง ซึ่งมีการเน่าเปื่อยผุพังและสลายไปในที่สุด จะคงไว้ก็แต่ชื่อเสียงเกียรติคุณของผู้ตายเท่านั้นที่ยังคงอยู่จนตราบเท่ากัลปาวสาน

ที่มา:วิชาภรณ์  แสงมณี

หีบศพของชาวจีน

หีบนั้นดูเหมือนจะมีใช้กันอยู่ทั่วไป พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานให้ความหมายคำว่าหีบไว้ว่า เป็นนาม ภาชนะ ใส่สิ่งของรูปสี่เหลี่ยมสูงมีฝาหีบศพชาวจีน

หีบนั้นแต่เดิมมาเรานิยมใช้ทำด้วยไม้ เพราะสะดวกในการที่จะประกอบเป็นรูปหีบทั้งไม้ก็หาง่าย ราคาไม่แพง ต่อมาเมื่อทางประเทศตะวันตกส่งหีบเหล็กเข้ามาจำหน่ายเราก็นิยมหีบเหล็กเพราแข็งแรงและสวยงามดี แต่หีบเหล็กก็ราคาแพง จึงมีใช้เฉพาะคนที่มีเงินเท่านั้น ส่วนหีบไม้นั้นใช้กันทั่วไป ต่อมาเมื่อพวกช่างคิดประดิษฐ์พวกเครื่องหนังขึ้นมาเราก็มีกระเป๋าหนังเข้ามาใช้กันต่อไปอีก จนทุกวันนี้หีบเกือบจะหายสาบสูญไปแล้ว เพราะกระเป๋าเข้ามาแทนที่หีบ ความจริงแล้วกระเป๋ากับหีบก็เป็นพวกเดียวกันนั่นเอง เราไม่ค่อยจะเรียกกระเป๋าที่ทำด้วยหนังว่าหีบ แต่บางแห่งก็ยังเรียกกระเป๋าว่าหีบอยู่

สำหรับพวกข้าราชการที่จะต้องโยกย้ายไปรับราชการตามที่ต่างๆ หีบไม้ดูเหมือนจะเป็นสิ่งจำเป็นที่สุด เพราะบรรจุของได้ง่ายทั้งสะดวกในการขนส่งและกันของแตกหักบุบสลายได้ พวกข้าราชการจึงจำเป็นต้องมีหีบใส่ของกันทั่วไป ซึ่งบางคนก็ออกแบบให้มีประโยชน์ใช้สอยมากที่สุด คือเมื่อจะขนย้ายของก็ใช้หีบนี้บรรจุของต่างๆ เมื่อเข้าที่แล้วบางคนเอาหีบมาทำเป็นตู้หรือชั้นวางของ บางคนก็เอามาเรียงกันทำเป็นเตียงนอน แล้วแต่จะใช้ช่างออกแบบให้

การต่อหีบใส่ของต้องระวังอย่างเดียวอย่าให้รูปคล้ายคลึงกับหีบศพก็แล้วกัน  เพราะเมื่อเหมือนหีบศพนำไปวางไว้ในบ้าน ดูไม่เป็นมงคลแก่ตาตนเองหรือผู้ที่พบเห็นเสียเลย

เมื่อพูดถึงหีบศพแล้ว ก็อดที่จะนึกถึงประเพณีการทำศพของชนชาติศาสนาต่างๆ ไม่ได้ ประเพณีการทำศพนั้นอาจจะแตกต่างกันตามลัทธิศาสนาความเชื่อถือของมนุษย์เรา แต่รวมแล้วคนเรารู้จัดการเกี่ยวกับศพของพวกตนอยู่ ๓ อย่างคือ อย่างที่หยาบที่สุดหรืออาจจะเป็นแบบดั้งเดิมที่สุดคือ การทิ้งซากศพให้สัตว์กินเป็นอาหาร จะเป็นสัตว์น้ำเช่น ปลาฉลามหรือสัตว์บก เช่น นกหรือสิงสาราสัตว์ก็ตาม ตามหนังสือไตรภูมิกถาได้พรรณนาเรื่องการทำศพของชาวอุตตระกุรุทวีปว่า ห่อด้วยผ้าแล้วนำเอาไปทิ้งไว้ให้นกหัสดีลิงค์กิน นกหัสดีลิงค์นั้นเป็นนกขนาดใหญ่มาก ว่ามีกำลังเหมือนช้างสาร วิธีทำศพแบบนี้ก็คล้ายคลึงกับของชาวธิเบตคือชาวธิเบตนั้นเอาผ้าห่อศพแล้วนำไปทิ้งให้แร้งกิน เพราะธิเบตเป็นประเทศที่มีภูเขามากหาไม้ยาก การเอาศพไปทิ้งให้แร้งกิน ก็นับว่าเป็นการสะดวก ไม่สิ้นเปลือง ท่านคงนึกว่าการทำศพเช่นนั้นอุจาดนัยน์ตามากแต่ที่เขาทำก็เพราะมีความจำเป็น อย่างกรุงเทพฯ ของเราสมัยก่อนนี้ศพคนอนาถาก็ถูกนำไปทิ้งไว้ป่าช้าวัดสระเกศให้แร้งทึ้งกินเป็นอาหารเหมือนกัน จนมีคำกล่าวติดปากว่า “แร้งวัดสระเกศ เปรตวัดสุทัศน์” วัดสุทัศน์นั้นว่ามีเปรตคอยหลอกหลอนผู้คนเท็จจริงอย่างไรก็ไม่ทราบ

วิธีทำศพโดยวิธีเอาไปทิ้งให้แร้งกิน ยังมีปฏิบัติอยู่ในชนบทอีกพวกหนึ่ง คือ แขกปาร์ซีผู้นับถือลัทธิศาสนาโซโรอัสเตอร์  ซึ่งมีอยู่จำนวนไม่มากนักในประเทศอินเดีย แขกปาร์ซีถือว่าศพของพวกตนนั้นจะถูกต้องพื้นแผ่นดินไม่ได้ เขาจึงมีพิธีทำศพโดยนำไปทิ้งไว้บนภูเขาให้แร้งกินเหมือนชาวธิเบตหรือชาวอุตตระกุรุททวีปอย่างที่กล่าวไว้ในไตรภูมิกถา แต่มีผู้เล่าว่าแร้งทุกวันนี้ไม่ค่อยอยากจะกินซากศพของชาวปาร์ซีเสียแล้ว ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด

พิธีทำศพโดยวิธีเอาศพให้สัตว์กินนี้เป็นการทำลายศพให้สูญหายไปแล้ว ไม่ต้องการเก็บไว้เป็นที่ระลึกอะไรอีก

ส่วนวิธีการทำศพอีกอย่างหนึ่งก็คือ ฝังศพไว้ในพื้นแผ่นดินหรือใส่ไว้ในอุโมงค์ การทำศพด้วยวิธีฝังนี้มีอยู่หลายชาติหลายศาสนา เช่น ศาสนาอิสลาม คริสต์ พุทธ หรือชนชาติจีน การฝังศพนั้นก่อนจะฝังต้องนำศพบรรจุลงในหีบเสียก่อน แล้วจึงนำศพไปฝัง แต่ศพของคนจีนนั้น การนำศพไปฝังไม่ได้ฝังโลงหรือหีบศพลงไปในดินทีเดียว ก่อนฝังเขาทำฮวงซุ้ยหรืออุโมงค์ไว้ก่อน และแล้วนำหีบศพไปบรรจุไว้ในอุโมงค์อีกทีหนึ่ง ศพที่ฝังเช่นนี้จะอยู่นานเป็นพันปี เช่นเดียวกับที่พวกอียิปต์ดองศพแล้วบรรจุโลงเก็บไว้

โลงศพของชาวคริสต์และอิสลามนั้นใช้ไม้กระดานทำดูไม่ยากนัก แต่โลงศพของชาวจีนทำโดยวิธีขุดซุงทั้งต้น แต่ต่อมาก็ใช้ไม้ประกอบเป็นรูปท่อนซุงเหมือนกัน ทำให้สิ้นเปลืองไม้มากกว่าหีบศพของชาติอื่น คนจีนถือเรื่องการตายเป็นสิ่งสำคัญพอๆ กับการอยู่ เขาจึงต้องเลือกชัยภูมิที่จะทำที่ฝังศพกันอย่างพิถีพิถันมาก ถึงกับมีซินแสคอยดูสถานที่ที่จะฝังศพโดยเฉพาะทีเดียว ค่าตรวจสถานที่ก็ไม่ใช่ถูก ดูเหมือนจะแพงพอๆ กับค่าที่ดิน ตามที่เคยสังเกตคนจีนชอบทำฮวงซุ้ยตามเชิงเขา ถ้าได้มีน้ำอยู่ด้วยใกล้ๆ นั้น เขาว่าจะเป็นทำเลดีนักแล ว่ากันว่าถ้าเลือกทำเลทำฮวงซุ้ยบรรพบุรุษถูกต้องตามตำราแล้ว  ลูกหลานอยู่ข้างหลังก็จะทำมาค้าขึ้น ถ้าเลือกทำเลไม่ดีจะมีผลตรงกันข้าม

โลงศพของชาวจีนในเมืองไทยนั้น ส่วนมากทำด้วยไม้จำปา ซึ่งเป็นไม้ที่มีเนื้อแข็งและสวยงาม เพราะชาวจีนนิยมความสวยของไม้ที่เอามาทำโลงด้วย ถึงกับกล่าวกันว่า “อันว่าชายชาตรีชาวจีนนั้น จะเป็นผู้มีความสุขที่สุดในโลก หากได้พบสาวแสนสวนที่เมืองซูโจว (ซึ่งเป็นเมืองที่มีสาวงาม) แล้วนำเธอไปพลอดรักหรือดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ที่เมืองหังโจว แล้วไปรับประทานอาหารที่เมืองกวางโจว และสุดท้ายไปตายที่เมืองหลิ่วโจว”

ทำไมจึงกล่าวเช่นนั้น ว่ากันว่าสาวเมืองซูโจวนั้นสวยงามนักหนา เห็นจะพอกับสาวโพธารามหรือบ้านโป่งหรือสาวเมืองเหนือของเรานั้นเอง ส่วนเมืองหังโจวนั้นเล่าว่าเป็นเมืองที่มีทิวทัศน์สวยงามพาให้เคลิ้มฝันว่าเป็นสวรรค์อยู่บนดินทีเดียว อาหารที่เมืองกวางโจวนั้นเล่ากันว่ามีรสอร่อยที่สุด พ่อครัวฝีมือเยี่ยมไปจากเมืองนี้เป็นส่วนมาก ส่วนที่เมืองหลิ่วโจวที่เขาแนะนำให้เป็นเรือนตายนั้น ก็เพราะมีไม้สวยงามเหมาะที่จะทำโลงหรือหีบศพยิ่งนัก

คนจีนเขาคิดอะไรๆ แปลกๆ ดีเหมือนกัน

ส่วนพิธีการทำศพอีกอย่างหนึ่งก็คือเผาให้มอดไหม้เป็นเถ้าถ่านไป วิธีการแบบนี้มีในผู้ที่นับถือศาสนาพราหมณ์ ฮินดู และพุทธ

สำหรับชาวฮินดูหรือพราหมณ์นั้น หีบศพดูเหมือนจะไม่ค่อยพิถีพิถันนัก ส่วนใหญ่เอาศพห่อเฝือกหรือฟากแล้วนำไปวางบนกองไม้แล้วจุดไฟเผา แล้วเอากระดูกขี้เถ้าโยนลงแม่น้ำไป

มีผู้เล่าว่าคนอินเดียนั้นเมื่อจะตายถือกันว่าจะต้องมาตายที่ริมฝั่งแม่น้ำคงคา ซึ่งเป็นแม่น้ำสวรรค์ ก่อนตายได้อาบน้ำในแม่น้ำคงคาว่าชำระร่างกายให้บริสุทธิ์ปราศจากบาป เมื่อตายแล้วก็เผากันที่ริมฝั่งแม่น้ำนั่นเอง แล้วเอากระดูกเถ้าถ่านโยนลงแม่น้ำคงคา คนที่ร่ำรวยจะเผาจนเนื้อหนังมังสาไหม้หมด แต่คนจนๆ ไม่มีเงินจะซื้อฟืน เผาพอไหม้เกรียมก็โยนลงไปในแม่น้ำคงคาเลย ว่าเป็นการทำให้วิญญาณบริสุทธิ์เป็นครั้งสุดท้าย

ส่วนคนไทยเรานั้น ถ้าเป็นศพที่ตายโดยผิดธรรมชาติ เช่น ตายโหง เรามักนิยมนำศพไปฝัง แต่ถ้าเป็นการตายด้วยการเจ็บไข้ได้ป่วยหรือตายธรรมดาแล้ว เราก็นำศพใส่โลงแล้วนำไปเผาเหมือนกัน เช่นเดียวกับลัทธิพราหมณ์หรือฮินดู การเผาศพของคนไทยก็คงจะได้เยี่ยงอย่างมาจากลัทธิพราหมณ์นั่นเอง

ที่มา:วิชาภรณ์  แสงมณี

คำปฏิญาณและกฎของลูกเสือ

คำปฏิญาณของลูกเสือสามัญมีอยู่ ๓ ข้อคือ
๑. ข้าจะจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
๒. ข้าจะช่วยเหลือผู้อื่นทุกเมื่อกฎลูกเสือ
๓. ข้าจะปฏิบัติตามกฎของลูกเสือ

กฎของลูกเสือนั้นมีอยู่ ๑๐ ข้อคือ
๑. ลูกเสือมีเกียรติเชื่อถือได้
๒. ลูกเสือมีความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และซื่อตรงต่อผู้มีพระคุณ
๓. ลูกเสือมีหน้าที่กระทำตนให้เป็นประโยชน์และช่วยเหลือผู้อ่น
๔. ลูกเสือเป็นมิตรของทุกคน และเป็นพี่น้องกับลูกเสืออื่นทั่วโลก
๕. ลูกเสือเป็นผู้สุภาพเรียบร้อย
๖. ลูกเสือมีความเมตตากรุณาต่อสัตว์
๗. ลูกเสือเชื่อฟังคำสั่งสอนของบิดามารดา และผู้บังคับบัญชาด้วยความเคารพ
๘. ลูกเสือมีใจร่าเริง และไม่ย่อท้อต่อความยากลำบาก
๙. ลูกเสือเป็นผู้มัธยัสถ์
๑๐. ลูกเสือประพฤติชอบด้วยกาย วาจา ใจ

ถ้าลูกเสือของเราปฏิบัติตามคำปฏิญาณและกฎของลูกเสือได้โดยเคร่งครัดแล้ว ปัญหาของวัยรุ่นจะไม่เกิดขึ้นเป็นแน่

อนึ่ง คำว่าลูกเสือนั้นเราแปลมาจากภาษาอังกฤษว่า Scout ซึ่งเป็นคำผสมซึ่งแยกออกได้ ดังนี้

S  มาจากคำ Smartness  ความว่องไวผึ่งผาย
C มาจากคำ  Courtesy    ความสุภาพอ่อนน้อม
O มาจากคำ  Obedience   การกระทำตามคำสั่ง, ความเชื่อฟัง
U มาจากคำ  Usefulness   เป็นประโยชน์
T มาจากคำ   Trustworthiness  คือความสุจริตมั่นคง

ที่หน้าหมวกของลูกเสือเรามีหน้าเสือและมีคำขวัญว่า “เสียชีพอย่าเสียสัตย์” คือสอนให้ลูกเสือเป็นคนที่มีความซื่อสัตย์สุจริตนั่นเอง

เดี๋ยวนี้เรามีลูกเสือขึ้นอีกประเภทหนึ่ง เรียกว่าลูกเสือชาวบ้าน คนที่จะเป็นลูกเสือประเภทนี้ไม่จำเป็นต้องเป็นเด็กนักเรียน แต่เอาพวกชาวบ้านที่สมัครใจมาร่วมรับการอบรมและการฝึกแบบลูกเสือ ก่อให้เกิดความรักหมู่คณะและทำประโยชน์ส่วนรวมได้มากขึ้น

นายแพทย์ถวิล  สุนทรารักษ์  นายแพทย์ใหญ่จังหวัดสุรินทร์ได้กรุณาเขียนประวัติลูกเสือชาวบ้านมาให้ใจความว่า

ผู้ที่ริเริ่มให้มีลูกเสือชาวบ้านขึ้นคือ พ.ต.อ.(พิเศษ) สมควร  หริกุล ผู้บังคับการตำรวจชายแดนภาค ๒ และรักษาการผู้กำกับการตำรวจตระเวนชายแดนเขต ๔ สาเหตุที่จะจัดให้มีขึ้น เพราะท่านผู้นี้มีความประทับใจในกิจการลูกเสือ ภายหลังที่ได้รับการฝึกวูดแบดจ์สำรองที่ค่ายลูกเสืออุดรธานี โดยมีนายสมเกียรติ  พรหมสาขา ณ สกลนคร ผู้ตรวจการกระทรวงศึกษาธิการเป็นผู้อำนวยการฝึก จึงได้ชักชวนให้ตำรวจตระเวนชายแดนทั้งนายพันนายร้อยนายสิบ และพลตำรวจเข้ารับการฝึกวูดแบดจ์ แล้วต่อมาท่านผู้นี้ได้ริเริ่มฝึกชาวบ้านรุ่นแรกที่ตำบลเหล่ากอหก กิ่งอำเภอนาแห้ว อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย จำนวน ๑๑๕ คน เมื่อวันที่ ๙ ถึงวันที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๑๔ ผลปรากฏว่าพวกชาวบ้านได้มีความสามัคคีกลมเกลียวกันดีระหว่างสมาชิกด้วยกันและครูฝึก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงสนพระราชหฤทัย ได้พระราชทานเงินให้ครั้งแรก ๑๐๐,๐๐๐ บาท พระองค์มีพระราชประสงค์จะให้มีการฝึกชาวไทยที่แข็งแรงทุกคนให้ได้ ๓ ล้านคนใน ๕ ปี โดยโปรดเกล้าฯ พระราชทานผ้าพันคอ ห่วงผ้าผูกคอ ตราหน้าเสือของคณะลูกเสือแห่งชาติ วุฒิบัตร และบัตรประจำตัว ขณะนี้ (ตุลาคม ๒๕๑๗) ฝึกมาแล้วประมาณ ๙๐๐ รุ่น จำนวนลูกเสือชาวบ้านประมาณ ๓ แสนคน

เคยไปเห็นลูกเสือชาวบ้านเขาร้องเพลงล่ำลากันเมื่อได้รับการฝึกจบลงไปแล้ว จะเป็นเพราะผลของการฝึกอบรมหรือการได้อยู่ร่วมกันเป็นเวลาหลายวันก็ตามที ปรากฏว่าพวกลูกเสือชาวบ้านทั้งหลายต่างร้องไห้อาลัยล่ำลากันทุกครั้งหรือทุกรุ่นทีเดียว นับว่าการฝึกลูกเสือชาวบ้านได้รับผลเป็นที่น่าพอใจยิ่ง อันคนเรานั้นเมื่อรักกันแล้ว การที่จะช่วยเหลือเอื้อเฟื้อกันเมื่อมีความจำเป็นก็ย่อมจะทำได้ง่าย เพราะเราทำให้คนที่เรารัก เราเสียสละให้พวกพ้องของเรา คนเราที่ทะเลาะวิวาทกันอยู่ทุกวันนี้ เพราะถือว่านั่นพวกเขา นี่พวกเรา มีทิฎฐิมานะอิจฉาริษยากัน ซึ่งกิเลสเหล่านี้ระหว่างคนที่เรารักจะเกิดขึ้นได้ยาก

ถ้าทุกแห่งเต็มไปด้วยลูกเสือชาวบ้าน บ้านเมืองของเราคงจะสงบสุขและน่าอยู่ขึ้นอีกมาก

เรามีคำพังเพยหรือสุภาษิตเกี่ยวกับเสืออยู่หลายคำ เช่น หน้าเนื้อใจเสือ หมายความว่าคนนั้นมีหน้าซื่อแต่ใจโหดร้ายทารุณเหมือนเสือ

เขียนเสือให้วัวกลัว เป็นการวาดเรื่องให้คนกลัว แต่ความจริงแล้วเรื่องที่ว่านั้นไม่มีทางที่จะทำอะไรได้ เหมือนเขียนรูปเสือหลอกวัว วัวก็ไม่กลัวฉะนั้น

ใจดีสู้เสือ  หมายความว่าเมื่อมีเหตุการณ์อะไรที่ร้ายแรงเกิดขึ้นอย่าตกใจง่ายๆ พยายามทำใจให้มีความกล้าไว้ แล้วอันตรายนั้นๆ จะพ่ายไปเอง ว่ากันว่าเสือนั้นถ้าประจันหน้ากับคนแล้ว ถ้าคนไหนใจกล้าไม่หลบหรือวิ่งหนี ไม่ช้าเสือจะวิ่งหนีเอง

ที่มา:วิชาภรณ์  แสงมณี

เสือชนิดต่างๆ

เสือเป็นสัตว์สี่เท้าที่ดุร้ายในจำพวกแมว กินสัตว์อื่นเป็นอาหาร มีอยู่หลายชนิด เช่น เสือโคร่ง เสือดาว เป็นต้น ใครที่ไม่เคยเห็นเสือก็จงดูแมวเป็นตัวอย่าง ลักษณะของเสือเมื่อเวลาเข้าจับเหยื่อไม่ผิดกับแมวเมื่อเวลาจับนกหนูเป็นอาหาร คนโบราณจึงว่า เสือนั้นเป็นลูกหลานของเสือโคร่งแมว และจิ้งจกเป็นตายายของจระเข้ ทำไมบรรพบุราของสัตว์พวกนี้จึงรูปร่างเล็กกว่าลูกหลานก็ไม่ทราบ

พูดถึงกระบวนสัตว์ดุร้ายที่เป็นสัตว์บกสี่เท้ากันแล้ว ถัดจากราชสีห์ลงมาแล้วก็ไม่มีสัตว์ใดเกินกว่าเสือไปได้  เพราะเสือนอกจากกัดหมูวัวควายของชาวบ้านไปกินแล้ว บางตัวยังอาจเอื้อมมากัดคนไปกินเป็นอาหารก็ยังมี เสือบางตัวในประเทศอินเดียกว่าจะถูกสังหารลงไปได้  ปรากฏว่ากินคนไปตั้ง ๒-๓๐๐ คน แต่สำหรับเมืองไทยแล้ว เสือตัวไหนร้ายขนาดกัดคนเสือตัวนั้นจะมีโอกาสอยู่ดูโลกไม่นานเลย ไม่ช้าก็ถูกล่าโดยญาติหรือมิตรสหายของผู้ตาย ทั้งนี้ก็เพราะว่าในเมืองไทยปืนมีมากกว่าในประเทศอินเดียนั่นเอง

เสือมีมากมายหลายชนิดก็จริง แต่เสือที่ใหญ่และน่ากลัวจริงๆ ก็เห็นจะมีแต่เสือโคร่งหรือเสือลายพาดกลอนเท่านั้น โดยเฉพาะเสือโคร่งนับเป็นเสือที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย

เสือโคร่งอวัยวะกล่องเสียงเจริญกว่าเสือชนิดอื่นสามารถคำรามเสียงดังก้องเช่นเดียวกับสิงโต และเสือดาวซึ่งเป็นเสือมีลายจุดเล็กและดุร้ายเหมือนกัน

เมื่อเราพูดถึงเสือโคร่งว่าเป็นเสือที่ดุร้ายที่สุดแล้ว เรามาศึกษาเรื่องของเสือโคร่งกันดูก็คงไม่ไร้ประโยชน์เสียทีเดียว

เสือโคร่งนั้นเรียกกันว่าเสือลายพาดกลอนหรือเสือใหญ่ก็เรียก ลักษณะสีของตัวทั่วไปเป็นสีน้ำตาลแกมเหลืองแกมแดงจางๆ สีเข้มมากตอนบนตัว และจางขาวลงไปทางด้านใต้ท้อง มีลายสีดำลากจากบนหลังลงไปทางข้างคอ ข้างตัวและตะโพก หางลายดำเป็นปล้องๆ ปลายหางสีดำ (ไม่มีพู่ปลายหางอย่างสิงโต) ที่หน้าก็มีลายดำในพื้นสีน้ำตาล ลายดำบนช่วยปลายขาหน้ามีน้อยหรือไม่มีเลย

เสือโคร่งอายุรุ่นหนุ่มสาวมีสีเข้มสวย พออายุมากสีจางลงทุกที เสือแก่ๆ บางตัวสีจางและลายไม่ใคร่ชัด ชาวบ้านป่าเรียกกันว่า สาง และก็อาจจะเป็นเพราะคำนี้เอง เราจึงมีคำว่าเสือสางใช้ควบคู่กัน

ที่ข้างแก้มตั้งแต่ใต้หูลงไปจนถึงคางมีขนสีขาวยาวกว้างออกไป ทำให้หน้าของมันกว้างกลมใหญ่น่ากลัวขึ้นอีกมาก หนวดสีขาวค่อนข้างยาว หูสั้นกลมหลังหูสีดำ มีดวงสีขาวกลไปทางปลายหู เวลามันขู่หูของมันรี่ไปข้างหลัง ปลายจมูกมีแถบที่ไม่มีขน เป็นหนังสีชมพูอ่อน ม่านตากลม เวลามันขู่คำรามจะเห็นเขี้ยวยาวทั้งสี่ อยู่ที่กรามล่าง ๒ ซี่ กรามบน ๒ ซี่ และฟันหน้าบนซี่เล็กๆ ๖ ซี่ เล็บหดได้อย่างแมว

เสือโคร่งนี้มีผู้พบว่าเป็นสีขาวก็มีสีดำก็มี แต่ก็น้อยมาก

ขนาดของเสือโคร่ง ส่วนมากยาวจากจมูกถึงโคนหางราว ๑.๖๕-๒.๙๕ ม. หางยาวราว ๙๐ ซม. สูงที่ไหล่ราว ๐.๙๐-๑.๐๔ ม. มีบางตัวใหญ่กว่านี้แต่ก็ไม่มากนัก เสือโคร่งขนาดใหญ่ในอินเดียบางตัวยาวจากจมูกถึงปลายหาง ๓.๖๐ ม. เสือโคร่งในไซบีเรีย บางตัวยาวถึง ๓.๙๐ ม. ในประเทศไทยมีน้อยตัวที่ยาวถึง ๓.๓๐ ม. การวัดความยาวนี้ควรวัดก่อนถลกหนัง ถ้าหากถลกหนังแล้ววัดความยาวที่หนังจะได้ขนาดที่ผิดความจริง เพราะหนังของมันเมื่อดึงแรงๆ จะยืดยาวออกไปอีกได้มาก ชาวบ้านมักพูดกันเสมอว่า เขาเคยยิงเสือใหญ่ได้ถึง ๑๐ ศอก หรือ ๑๒ ศอก (๕ ม. หรือ ๖ ม.) เป็นการวัดด้วยการคาดคะเนเชื่อไม่ได้

เสือโคร่งนี้ท่านผู้รู้แบ่งออกเป็นชนิดได้ถึง ๙ ชนิด มีอยู่กระจายทั่วไปในหลายประเทศ เช่นแถบเอเชียอาคเนย์ อาฟกานิสถาน เปอร์เซีย และไซบีเรีย ประเทศจีน เกาหลี เกาะสุมาตรา เกาะชวาและบาหลี

เสือโคร่งส่วนมากผสมพันธุ์ ตั้งท้องราว ๑๔-๑๕ อาทิตย์ คลอดลูกครั้งละ ๒-๔ ตัว มีน้อยที่จะมีถึง ๖ ตัว ตัวเมียเป็นสัดปีละหลายครั้ง ฉะนั้นจึงผสมพันธุ์ได้ตลอดปีไม่เป็นฤดู จึงพบลูกเสือเล็กๆ ได้ทุกฤดู

นางเสือโคร่งมักจะแยกไปจากตัวผู้เมื่อมันจะออกลูก โดยมากหวงลูก มันจะต่อสู้ไม่ยอมให้ตัวผู้เข้าใกล้ได้ ลูกมักจะอยู่กับแม่จนโตเกือบเท่าแม่ ตัวเมียมักจะไม่ยอมให้ตัวผู้ทับในระยะที่ยังเลี้ยงลูก ฉะนั้นแม่เสือจึงตั้งท้องราว ๓-๔ ปีต่อครั้ง

มีนิทานเกี่ยวกับการเกิดหรือกำเนิดของสัตว์เล่าต่อๆ มาเป็นปรัมปรานิทานว่า ครั้งหนึ่งสัตว์ทั้งหลายได้พากันไปหาพระอิศวรผู้เป็นเจ้า ทูลถามว่าสัตว์ชนิดไหนควรจะมีลูกปีละกี่ครอก และครอกหนึ่งจะต้องมีกี่ตัว เสือทูลถามพระอิศวรว่า ตนจะมีลูกได้เท่าไร พระอิศวรตอบโดยไม่ทันคิดเหมือนตอบสุกรและสุนัขไปว่า มีลูกปีละ ๗ ครั้งๆ  ละ ๗ ตัว เสือก็ทูลลากลับไป ฝ่ายมนุษย์เฝ้าอยู่ที่นั้นด้วยจึงอุทธรณ์คัดค้านขึ้นตามประสาของมนุษย์แม้จนทุกวันนี้ว่า ถ้าพระอิศวรให้เสือมีลูกปีละ ๗ ครั้งๆ ละ ๗ ตัวละก็ อีกไม่นานมนุษย์จะไม่มีเหลืออยู่ในโลก เพราะถูกเสือกินเป็นภักษาหารเสียหมด พระอิศวรผู้เป็นเจ้าทรงได้คิด จึงแปลงตัวเป็นนกคุ้ม ไปแบบอยู่ข้างทางที่เสือเดินผ่านไป ฝ่ายตัวแทนเสือเมื่อเดินกลับมากลัวจะลืมเรื่องคลอดลูกก็เดินท่องไปว่าปีละ ๗ ครั้งๆ ละ ๗ ตัว ท่องไปเรื่อยๆ พอถึงตรงที่นกคุ้มแอบอยู่ นกคุ้มก็บินปร๋อขึ้นโดยเร็วเป็นเหตุให้เสือตกใจ ท่องพรที่พระอิศวรประทานผิดไปเป็น ๗ ปี ครั้งละหนึ่งตัว ว่ากันว่าเพราะเสือลืมพรท่องไว้อย่างนี้เสือจึงออกลูกหลายปีต่อครั้งอย่างที่ว่าไว้ข้างต้นนั้นแล

เสือโคร่งมักจะอยู่โดดเดี่ยว ถ้าเราพบเสืออยู่หลายๆ ตัว มักจะเป็นครอบครัวของมันคือพ่อแม่และลูกเท่านั้น เสือโคร่งมักจะนอนพักผ่อนในเวลากลางวันและออกหากินในเวลากลางคืน ชอบเดินตามทางเดิน ด่านสัตว์หรือที่ตามหาดทราย ระยะทางที่มันเดินหากินอาจจะไกลถึง ๒๐-๓๐ กม. ก็ได้ อาหารสำคัญสำหรับเสือก็คือหมูป่าอีเก้งและกวาง สัตว์ที่ใหญ่กว่านี้เช่น วัวแดง กระทิง ช้าง ควายป่า มันก็กินหากได้โอกาส แต่สัตว์พวกนี้มีเขางาเป็นอาวุธ ถ้าเสือเผลอเป็นถูกทำร้ายถึงตายหรือสาหัสไปเหมือนกัน โดยเฉพาะพวกวัวแดง กระทิง หรือควายป่านั้นมันมีวิธีสู้เสือโดยตั้งทัพเป็นวงกลมเอาตัวเมียและลูกไว้ข้างในวง ตัวที่แข็งแรงหรือตัวผู้หันหน้าออกนอกสู้เสือ เสือก็ต้องล่าถอยไปเหมือนกันไม่กล้าเข้าใกล้ ช้างก็เหมือนกันถ้าเสือตัวไหนบังอาจก็อาจจะถูกช้างจับขยี้เสียได้ง่ายๆ เหมือนกัน

สำหรับคนนั้น  สัตว์เกือบทุกชนิดมันจะไม่กล้าเข้าใกล้ เสือก็เช่นกัน มันคงจะสอนกันมาหรือรู้โดยสัญชาติญาณว่าสัตว์สองขาอย่างคนอย่าเข้าใกล้มีอันตรายรอบข้างทีเดียว เสือจึงกลัวที่จะต้องเผชิญหน้ากับคน และมันจะไม่ชอบกินคนเลยถ้าไม่จำเป็นจริงๆ เสือที่กัดคนคือเสือที่ต้องต่อสู้เพื่อป้องกันตัว เสือแม่ลูกอ่อนที่หวงลูกเหมือนสัตว์ทั้งหลาย เสือที่ได้รับบาดเจ็บผูกอาฆาต ดังนั้นพรานป่าที่ยิงเสือไม่ตายได้รับบาดเจ็บไป จึงถือเป็นหน้าที่ที่จะต้องตามไปสังหารมันให้ตาย ไม่เช่นนั้นคนอื่นจะต้องรับเคราะห์จากเสือตัวนั้นเป็นแน่

อย่างไรก็ตามเสือที่บังเอิญเคยกินคนมาแล้ว มักจะไม่ค่อยกลัวคน เพราะมันคงรู้ว่าคนนั้นเนื้อหนังมังสาอ่อนนุ่มน่ากินยิ่งกว่าสัตว์อื่นก็เป็นได้ เสือกินคนจึงเป็นเสือที่น่ากลัว และต้องพยายามกำจัดเสียโดยเร็ว

เสือโคร่งไม่ค่อยร้องคำรามบ่อยๆ มันคำราม “ฮาว” แล้วลงท้าย “ฮู” ซ้ำกัน ๒-๓ ครั้งไม่ใคร่มากกว่านั้น ตอนจะจบมักจะหยุดเป็นช่วงสั้นๆ “อาวฮู อาวอู อูอุอุ” หากมันตกใจอะไรทันทีทันใดมันจะส่งเสียงดัง “วูฟ”

เสือโคร่งว่ายน้ำได้เก่ง บางครั้งว่ายน้ำจากช่องทะเลจากเกาะไปหาฝั่ง หรือฝั่งไปหาเกาะเป็นระยะทางไกลๆ ได้ สมัยเมื่อราว ๕๐-๖๐ ปีมาแล้ว เล่ากันว่าที่เกาะแห่งหนึ่งในทะเลสาบสงขลาเขตอำเภอปากพยูน จังหวัดพัทลุง ในคืนดึกสงัดมีคนได้ยินเสียงเสือและเสียงจระเข้กัดกันและคำรามดังก้องท้องน้ำ พอรุ่งขึ้นเช้าคนก็ไปพบทั้งศพเสือและศพจระเข้ลอยอยู่ในทะเลตรงช่องระหว่างเกาะหนึ่งไปยังอีกเกาะหนึ่ง เข้าใจกันว่าเสือว่ายน้ำจะไปยังอีกเกาะหนึ่ง ไปพบจระเข้ ซึ่งเป็นเจ้าถิ่นเข้าก็เกิดต่อสู้กัน สุดท้ายทั้งเสือทั้งจระเข้ก็สิ้นชีวิตทั้งสองฝ่าย เรื่องของการต่อสู้ก็เป็นอย่างนี้เอง ไม่ว่าคนหรือสัตว์มักจะสิ้นสุดลงด้วยความตาย ทั้งๆ ที่ตั้งต้นด้วยความลำพองเหมือนตนเองจะไม่ตายฉะนั้น

เสือที่จับมาเลี้ยงตั้งแต่เล็กๆ นั้น ว่ากันว่าสามารถเลี้ยงให้เชื่องหัดให้เล่นละครสัตว์ได้ แต่ภาษิตไทยหรือคำพังเพยของเราก็มีอยู่ว่าเลี้ยงลูกเสือลูกจระเข้ เรื่องที่จะให้มันรู้จักกตัญญูรู้คุณนั้นไม่มี ซ้ำร้ายเผลอตัวเมื่อไรมันจะกัดเอาตายเมื่อนั้น เหมือนเลี้ยงคนอกตัญญูนั่นแหละ

เสือที่กินคนมามากนั้น เล่ากันว่าวิญญาณผีร้ายของคนจะเข้าสิงอยู่ในเสือ จนทำให้เสือมีอิทธิฤทธิ์สามารถจะแปลงร่างเป็นคนได้ พวกพรานป่าเล่าว่า เวลาไปนั่งห้างยิงสัตว์ถ้ามีคนมาเรียกเวลากลางคืนห้ามล่งไปอย่างเด็ดขาด เพราะเสือสมิงจะแปลงร่างเป็นคนมาหลอกให้พรานลงไป พรานคนไหนเวทย์มนต์คาถาไม่แข็งลงไปก็ถูกเสือกัดตาย โดยมากเสือสมิงจะแปลงเป็นร่างคนที่พรานรักเช่นบุตรภรรยาเป็นต้น จะเท็จจริงอย่างไรก็ไม่ทราบ แต่พวกพราน ซึ่งอยู่ในกรุงหรือตัวเมืองจะไม่ยอมเชื่อเรื่องเช่นนี้ เขาว่าที่เห็นเป็นคนนั้นเพราะพวกพรานนั่งถ่างตาตั้งแต่หัวค่ำจนดึกดื่นเที่ยงคืน ความง่วงเหงาหาวนอนประกอบด้วยความเงียบสงัดของป่าชัฏเป็นเหตุให้ตาของพวกนั่งห้างคอยยิงสัตว์ฝาดไปก็ได้

อีกอย่างหนึ่งคำว่าเสือสมิงนั้น ว่ากันว่าครั้งแรกเป็นคนมีวิชาความรู้เรื่องอยู่ยงคงกระพันมาก พอแก่วิชามากเข้าก็กลายเป็นเสือสมิงไปได้เหมือนกัน นี่เป็นความเชื่อของคนโบราณที่ยังตกทอดเป็นมรดกมาถึงพวกเรา

เพราะความดุร้ายของเสือและความทะนงองอาจของมัน เราจึงนิยมว่าเสือเป็นสัตว์ที่เก่งกล้าสามารถไม่กลัวใคร เสือเป็นสัตว์ที่ไม่อาศัยสัตว์อื่นในการแสวงหาอาหาร มันหิวก็จับสัตว์อื่นกินเอง หาไม่ได้ก็อด หาได้ก็มีอาหารเหลือฟุ่มเฟือย เรามีคำพังเพยอยู่คำหนึ่งว่า “อาหารเสือ” คือวันไหนไม่มีก็ไม่มีที่จะบริโภค วันไหนมีก็บริโภคจนไม่หมด เช่น ภิกษุสงฆ์ เป็นต้น คำโคลงโลกนิติ์ของเราบทหนึ่งยกย่องเสือไว้ว่า

ยามจนทนกัดก้อน        กินเกลือ
อย่าเที่ยวแล่เนื้อเถือ        พวกพ้อง
อดอยากเยี่ยงอย่างเสือ    สงวนศักดิ์
โซก็เสาะใส่ท้อง            กัดเนื้อกินเอง

ผิดกับสุนัขจิ้งจอกที่คอยตามหลังเสือ คอยแทะเนื้อกระดูกที่เหลือจากเสือกินเป็นอาหารแล้ว

เสือนั้นว่ากันว่าเป็นเจ้าแห่งป่า หากว่าป่านั้นไม่มีสิงโตหรือราชสีห์อยู่ สัตว์ทั้งหลายย่อมกลังเกรงเสือ พวกพรานป่าเขาให้ข้อสังเกตว่า หากเราเดินป่าซึ่งปกติมีเสียงสัตว์หรือนกร้องกันเซ็งแซ่แล้วจู่ๆ เสียงทุกชนิดก็หยุดชงักลงทันที เรียกว่าป่าทั้งป่าสงบนิ่งละก็ พึงรู้เถิดว่าเจ้าป่าหรือเสือกำลังมาหรืออยู่ในที่ใกล้ๆ นั่นเองให้ระวังตัวได้ เพราะเสือมีตบะและอำนาจอย่างนี้เอง เมื่อใครล่าเสือได้ เขาจึงเอาหนังหน้าผากเสือมาทำเป็นของขลัง คือลงยันต์แล้วพกติดตัวไปว่าทำให้คนเกรงขาม เป็นที่ปรารถนาของพวกนักเลงสมัยก่อนนัก

หัวกะโหลกเสือนั้นพวกคนมีเงินเขาเอาไปขัดแล้วเลี่ยมเงินหรือทองตรงเขี้ยวของมันเอาไปวางเป็นที่เขี่ยบุหรี่ เป็นเครื่องประดับบารมีของคนเราประการหนึ่ง

หนังสือก็เป็นที่ปรารถนาของคนเรา เขานำไปเป็นเครื่องประดับหรือเครื่องใช้ไม้สอยแสดงถึงความมั่งมีประการหนึ่งเหมือนกัน เพราะเป็นของแพงหายาก

เพราะความดุร้ายของเสือนี่เอง เราจึงเรียกพวกโจรหรือนักเลงอันธพาลหรือพวกโจรปล้นสะดมก็ตัวฉกาจว่าอ้ายเสือ และตามคตินิยมของพวกโจรปล้น เมื่อจะขึ้นปล้นบ้านใดก็มักจะตะโกนว่าไอ้เสือบุก เป็นการข่มขวัญเจ้าทรัพย์ให้กลัวไว้ก่อนโดยอ้างเอาชื่อเสือเป็นสมัญญานามของพวกตน แต่ถ้าถูกเจ้าทรัพย์หรือเจ้าหน้าที่ต่อต้านหนาแน่นจนไม่สามารถจะทำการได้สำเร็จก็ต้องร้องว่า อ้ายเสือถอย แล้วก็วิ่งหนีเหมือนกัน บางทีหนีไม่ทันอ้ายเสือก็ถูกยิงตายอยู่ข้างถนนก็มี

ท่านผู้รู้กล่าวว่ากริยาของเสือมีอยู่ ๒ ประการคือ
๑. ซ่อนเร้นอยู่ในที่ลับ คอยตะครุบหมู่เนื้อกินเป็นอาหาร
๒. เนื้อชนิดใดชนิดหนึ่งที่มันตะครุบได้แล้ว ถ้าล้มลงข้างซ้ายก็ไม่กิน

กริยาของเสือเหลืองเช่นนี้ท่านเปรียบเหมือนพระสาวกของพระพุทธองค์ที่อยู่ในเสนาสนะป่าอันสงัด เจริญภาวนาจนมีความชำนาญในอภิญญาหก และไม่บริโภคอาหารอันได้มาด้วยมิจฉาชีพ และได้มาโดยประการที่ไม่ชอบธรรม

ก็เพราะความกล้าหาญของเสือนี่เอง เราจึงมีองค์การหนึ่งขึ้น เพื่อฝึกหัดอบรมให้เยาวชนของเราเป็นคนดีเมื่อเติบโตขึ้น นั่นคือลูกเสือ

ผู้ที่เริ่มตั้งกิจการลูกเสือขึ้นครั้งแรกคือ ลอร์ค บาเดนเพาเวล (Lord Badenpowell) ซึ่งเป็นชาวอังกฤษ สำหรับประเทศไทยนั้น พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๖ แห่งราชวงจักรีเป็นผู้ทรงริเริ่มตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ.๒๔๕๔

ที่มา:วิชาภรณ์  แสงมณี

นิทานเกี่ยวกับฤาษี

สมัยหนึ่ง นานมาแล้ว มีฤาษีหินตนหนึ่ง ตั้งอยู่กลางป่าห่างไกลจากหมู่บ้านและทางไปก็ทุรกันดารเต็มไปด้วยสัตว์ร้ายนานาชนิด ในปากของฤาษีหินตนนี้ มีทรัพย์สินเงินทองบรรจุไว้มากมาย วิธีที่จะเอาทรัพย์ออกจากปากฤาษี2ฤาษีนั้นไม่ยาก เพียงแต่จุดเทียนแล้วเอาไฟลนใต้คางฤาษีๆ ก็จะอ้าปากออก แล้วก็ล้วงเอาทรัพย์ออกมาได้ ถ้าเทียนดับฤาษีก็จะหุบปากทันที แต่นี่เป็นเพียงคำเล่ากันมา ไม่มีใครู้ว่าฤาษีนั้นอยู่ที่ไหน

ยังมีผัวหนุ่มเมียสาวคู่หนึ่ง เพิ่งแต่งงานกัน เป็นคนยากจนหาเช้ากินค่ำแต่เป็นคนขยันหมั่นเพียรและเป็นคนโอบอ้อมอารี จึงเป็นที่รักใคร่ของเพื่อนบ้านทั่วไป วันหนึ่งมีขอทานแก่ๆ คนหนึ่งมาที่บ้านของผัวเมียคู่นั้น ขอผ้านุ่งผืนหนึ่ง เพราะว่าขอทานคนนั้นมีผ้านุ่งผืนเดียว และก็ขาดจวนจะปกปิดร่างกายไม่มิดอยู่แล้ว ผัวเมียคู่นั้น ทั้งๆ ที่ตนมีผ้านุ่งอยู่คนละผืน และฝ่ายสามียังโชคดีที่มีผ้าใหม่อยู่อีกหนึ่งผืน แต่เมื่อมีคนมาขอก็อดสงสารไม่ได้ จึงไปเอาผ้าผืนใหม่นั้นให้ขอทานคนนั้นไป พร้อมกับพูดว่า

“ลุงครับ ผมกับเมียเป็นคนจน มีผ้านุ่งใหม่เพียงผืนเดียวนี่แหละ แต่ก็ยังดีกว่าลุง เพราะผมและเมียยังแข็งแรง ทำมาหากินได้ ส่วนลุงแก่แล้ว จะทำอะไรก็คงไม่ได้ ผมยินดีให้ผ้าผืนนี้แก่ลุง ถ้ามีมากกว่านี้ผมยินดีจะให้อีก แต่นี่จนใจจริงๆ มีเพียงเท่านี้เอง”

ชายของทานคนนั้น ยกมือขึ้นไหว้แล้วให้ศีลให้พร พร้อมกับพูดว่า “ลุงก็ไม่มีอะไรจะตอบแทน แต่ลุงมีสิ่งหนึ่งจะมอบให้หลาน เพราะเป็นคนดีโอบอ้อมอารีและเสียสละ ของสิ่งนี้ ลุงเก็บไว้นานแล้ว แต่เวลานี้ลุงเห็นว่าจะเป็นประโยชน์แก่หลาน รับเอาไว้เถอะ เผื่อเป็นบุญของหลาน คงจะค้นหาได้” ว่าแล้วก็ส่งกระดาเก่าๆ ให้ แล้วเดินลับไป

สองผัวเมียรับกระดาแผ่นนั้นมาแล้ว ก็คลี่ออกอ่าน ปรากฏว่า เป็นแผนที่แสดงที่ตั้งของฤาษีหินที่เล่าต่อๆ กันมานั่นเอง สองผัวเมียรู้สึกดีใจเป็นอันมาก จึงจัดแจงหาเสบียงกรังเดินทางไปค้นหาฤาษีหินทันที

ทั้งสองเดินรอนแรมมาในป่าหลายเพลา ผ่านหุบเขาและผาชัน ซึ่งเต็มไปด้วยสิงสาราสัตว์ และไข้ป่า สุดท้ายก็มาถึงสถานที่ตั้งฤาษีหิน ในกลางดงลึก ซึ่งไม่มีใครผ่านไปมาเลยสองผัวเมียจึงจุดเทียนขึ้น ฝ่ายเมียเอาเทียนลนใต้คางฤาษี พอคางฤาษีถูกไฟลน ก็อ้าขึ้น ฝ่ายผัวก็เอามือล้วงลงไปในปากของฤาษี เอาเงินและทองออกมา ทั้งสองดีใจเป็นที่สุด แล้วก็ล้วงอีกต่อไป ขณะที่ล้วงอยู่นั้นบังเอิญลมกรรโชกมาโดยแรง ทำให้เทียนดับวูบลง และปากของฤาษีก็หุบลงทันที และงับเอามือของผัวไว้ด้วย จะดึงเท่าไรก็ไม่หลุดออกมาได้ สองผัวเมียรู้สึกตกใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะไฟที่ติดตัวมาก็หมดลงพอดี ตนไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่าจะเกิดเหตุเช่นนี้ขึ้น จึงไม่ได้ตระเตรียมไฟไว้ เมื่อทำอย่างไรก็ไม่สามารถจะดึงมือออกจากปากฤาษีได้แล้ว ทั้งสองก็ร่ำไห้อาลัยอาวรณ์กันอยู่ตรงนั้นเอง ภายหลังร่ำไห้กันอยู่นานแล้ว ฝ่ายผัวก็พูดขึ้นว่า

“น้องเอย เราต้องเสี่ยงเอา จะมัวร่ำไห้กันอยู่อย่างนี้เห็นทีจะไม่เป็นผล น้องจงกลับไป พบบ้านคนแล้วเอาไฟกลับมา แต่ระยะทางที่ไปนี้หลายวันนักกว่าน้องจะกลับมาพี่อาจจะตายเสียก่อนก็ได้ ไหนๆ จะจากกันแล้ว ขอพี่ชื่นใจน้องสักทีเถิด” ฝ่ายเมียก็เข้ามาโอบกอดผัวแล้วเอียงแก้มให้ผัวจูบ ต่างคนตางจูบล่ำลากัน ขณะนั้น เหมือนฟ้าบันดาล ฤาษีหินซึ่งปราศจากชีวิตจิตใจนั้น ก็หัวเราะก๊ากๆ ขึ้น พร้อมกับพูดว่า

“เออ แกสองคนนี้รักกันจริง และเป็นคนดี โอบอ้อมอารีกับเพื่อนบ้าน ล้วงเงินทองเอาไปอีกเถอะ ข้ามอบให้” สองผัวเมียดีใจเป็นล้นพ้น แล้วช่วยกันล้วงเอาเงินทองออกจากปากฤาษีจนเพียงพอแก่ความต้องการแล้ว ก็ก้มลงกราบฤาษีหิน นำเงินทองกลับมาบ้านกลายเป็นเศรษฐีย่อยๆ ขึ้นครอบครัวหนึ่งในหมู่บ้านนั้น

บางครั้งอนุภาพแห่งความรัก ก็สามารถฟันฝ่าเอาชนะอุปสรรคต่างๆ ได้เหมือนกัน

ที่มา:วิชาภรณ์  แสงมณี